xs
xsm
sm
md
lg

“จ๋า ทาสไก่” ไอดอลสายบุญ ผู้ช่วยชีวิต “เจ้าจ๊อก” ไม่ให้กลายเป็น “ไก่ต้ม”!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เปิดใจ “ทาสไก่หน้าหวาน” ผู้ช่วยชีวิตเจ้าจ๊อก ในวันที่เกือบถูกต้ม สู่สัตว์เลี้ยงแสนรักของครอบครัว เชื่องเหมือนสุนัข-อุ้มไปเที่ยวทุกที่ เปิดโลกสัตว์ ที่ใครๆ ต่างมองเพียงอาหารอันโอชะ




จากถูกเชือดไปต้มกิน สู่ “ไก่เซเลบ”


กลายเป็นเรื่องราวน่ารักที่ถูกพูดถึงและเกิดการแชร์ออกไป จนเป็นไวรัลในโลกออนไลน์ สำหรับเรื่องราวผู้หญิงหมวยหน้าหวาน “ทาสไก่” สาย Vegan คนนี้ กับไก่แสนรู้ที่เข้ามาเป็นสัตว์เลี้ยงแสนรักในชีวิตของเธอ ที่ไม่ว่าเธอจะไปเที่ยวที่ไหนหากพาไปได้เธอก็จะพาไปด้วย

“น้องจ๊อกเจอโดยบังเอิญมาก ตอนนั้นพี่ชายจ๋าไปเดินเจอซอยนานา เห็นไก่ตัวหนึ่งนอนอยู่ข้างตึก ถาม รปภ. ว่าของใคร แต่ก็ไม่มีใครรู้ แล้วมีพี่วินมอเตอร์ไซค์บอกว่า ถ้าไม่มีใครเอาไก่ เดี๋ยวผมเอาไปต้ม พี่ชายจ๋าเลยบอกเดี๋ยวผมเอาเองครับ

เป็นที่มาที่เราเอาน้องจ๊อกมาไว้ที่บ้านเราก่อนค่ะ ตอนแรกไม่ได้คิดจะเลี้ยง แค่จะรักษาเขาแล้วปล่อย แต่พอนานๆ ไป มันก็เริ่มผูกพัน มันก็ไม่รู้ว่าปล่อยที่ไหนด้วย”

“จ๋า-ณปภัทสร ต่อเทียนชัย” วัย 27 ปี เจ้าของร้าน Veganerieปิดใจถึงจุดเริ่มต้น ของการนำ “จ๊อก” สัตว์เลี้ยงของเธอ ไว้ว่าพี่ชายได้เจอไก่จ๊อกโดยบังเอิญ ที่บริเวณซอยนานา ในตอนนั้นจ๊อกได้รับบาดเจ็บและตัวเล็กมาก

เมื่อถามคนแถวนั้นก็ไม่มีใครทราบว่าไก่ตัวนี้มาจากไหน รู้เพียงว่ามีวินมอเตอร์ไซค์คนหนึ่งสนใจ และจะนำไก่กลับไปต้มกินเป็นมื้อเย็น ทำให้พี่ชายของเธอตัดสินใจเอาตัวไก่ออกมาก่อน


“ตอนนั้นพี่ชายคิดจะช่วยอย่างเดียวเลยค่ะ ช่วยให้น้องเขาปลอดภัย เสร็จแล้วว่าจะปล่อยน้องเขาค่ะ

ณ ตอนนั้น ถามว่าพวกเราตกใจไหม ตกใจ อยู่ดีๆ มีไก่ 1 ตัว มานอนอยู่ในบ้าน เป็นไก่ที่บาดเจ็บ เราก็ตกใจมาก และก็กลัวโรค กลัวจะมีอะไรรึเปล่า

แต่ว่าเราก็เกิดความคิดว่า ยังไงไก่ตัวนี้ต้องรอด เราก็เลยพาไปหาหมอ พาไปดูแล ณ ตอนนั้นเราคิดแค่นี้ว่า ยังไงเขาต้องรอด ตอนนั้นครอบครัวห้าม ไม่มีใครเห็นด้วย เพราะเราไม่เคยเลี้ยงไก่ และเราอยู่ที่บ้าน อยู่คอนโดฯ เราไม่ได้มีสวน มันก็เฮ้ย!! อยู่ดีๆ เอาไก่มาเลี้ยงมันก็แปลกๆ ณ ตอนนั้น”

กว่าจะผ่านมาถึงจุดนี้ ทาสไก่คนนี้ยอมรับว่าเคยผ่านความกลัวมาก่อน แต่ด้วยคำพูดของแม่ ที่ทำให้เธอเปลี่ยนทัศนคติต่อจ๊อก

“ตามจริงคนที่ใกล้ชิดกับน้องจ๊อกมาก จะเป็นคุณแม่จ๋า ที่ใกล้ชิดกว่าจ๋าอีก คุณแม่จะเป็นคนอาบน้ำให้โดยตรง

เป็นคนที่เลี้ยงโดยตรง ทำแผลให้ เคยถามแม่เหมือนกัน แม่…เอาจ๊อกไปปล่อยไหม ไปให้คนอื่นไหม คุณแม่ก็บอกว่าไม่เอา เหมือนกับว่าต่อให้งานหนักก็บอกว่าไม่เอา เหมือนรัก

…จ๋าเป็นคนที่กลัวการเลี้ยงไก่มาก ตอนที่เอาไก่มาช่วงแรกๆ แล้วจ๊อกวิ่งเข้าหา จ๋าจะเป็นคนแรกที่กรี๊ด แล้วปิดประตู เพราะกลัวจ๊อก


แต่ว่ามีคำพูดคำนึงของคุณแม่ ที่เปลี่ยนจ๋าเลย คือ แม่บอกจ๋าว่า มันทำมากสุดได้แค่นี้แหละ

มันอยากจะเข้าหาเรา เหมือนหมาที่อยากตะกุย แต่มันตะกุยไม่ได้ มันทำได้แค่จิกเรา อันนี้คือมากสุด มันทำอะไรนอกจากนี้ไม่ได้แล้ว
จ๋าก็เลยไม่กลัวแล้ว เข้าไปบ้านให้จิก และมันทำให้รู้สึกว่าเข้าใจเขา และเรียนรู้ว่าเขาเป็นมากสุดแค่นี้ ก็เป็นคำพูดที่เปลี่ยนจ๋าไปเลย จ๋าก็เลยเข้าไปยกจ๊อกแทน เข้าไปเล่นกับจ๊อก ตอนนี้ก็เลยไม่กลัวแล้วค่ะ”


ระยะเวลา 4 ปี ที่จ๋าและครอบครัวได้เลี้ยงดูน้องจ๊อกวัย 4 ปีอย่างดี จนเธอเองก็ยอมรับว่า เป็นทาสไก่ไปแล้ว แน่นอนหลายคนอาจจะมองว่า การนำไก่มาเป็นสัตว์เลี้ยง และพาไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ เป็นเรื่องที่แปลก

“ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะเลี้ยงไก่ในบ้าน เหมือนเรานับว่าเป็นการเรียนรู้ไปเลย ว่าไก่เป็นแบบนี้ เหมือนเป็นประสบการณ์ครั้งแรกค่ะ

จ๋าว่าก็น่าจะเหมือนหมาหรือน้องแมว ที่พอเราเลี้ยงไปแล้ว สัตว์เขาจะมีความฉลาดของเขา แล้วเขาก็เริ่มจำเราได้ เราก็เริ่มเห็นความน่ารักของเขา และที่สำคัญมันก็ก่อให้เกิดความผูกพัน เหมือนเขาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเรา

รู้สึกเขิน และรู้สึกแปลกดี แต่ก็รู้สึกดีใจนะคะ จ๋าดีใจที่สุดตอนที่หลายๆ คน บอกว่าเฮ้ย!! ฉันเพิ่งรู้ว่าไก่เชื่องขนาดนี้ คือ เขาเพิ่งเคยเห็นมุมน่ารักๆ ของไก่ แค่นี้จ๋าก็รู้สึกดีใจแล้วค่ะ

มีคนมองอยู่แล้ว เป็นเรื่องปกติ เพราะว่าใครๆ ก็ไม่ทำกัน เราอยากให้น้องเขาเดิน อยากให้น้องเขามีความสุขมากกว่า แต่ว่าเราต้องถือคติ ถ้าเราไปที่สาธารณะ เราต้องอย่าให้รบกวนใคร ถ้าเราไปแล้วน้องเขาขับถ่าย เราก็ต้องทำความสะอาดทันที”




เลี้ยงไก่ บนคอนโด-ไร้พื้นหญ้า = ผิดธรรมชาติ?


“เลี้ยงง่ายกว่าที่คิด แต่จ๋าว่ามันอยู่ที่เราเปิดใจมากกว่า เพราะแต่ก่อนเราไมได้คิดว่าน้องเขาจะเลี้ยงได้ คิดว่าน้องเขาเป็นอาหารอย่างเดียว แต่พอเรามาเห็นน้องเขาในมุมที่เขาวิ่งหาคน จำชื่อได้


มันก็ทำให้เราคิดว่า น้องเขาเหมือนน้องหมา น้องแมวเลย แต่ว่าต่างแค่ภาษาในการสื่อสาร เช่น น้องเขาเห่าไม่ได้ แต่ว่าน้องเขาจิก มันก็ทำให้เราได้เรียนรู้”



ความผูกพันกับไก่ ที่เก็บมาเลี้ยงจนปัจจุบันเป็นสัตว์เลี้ยงที่เธอมักจะพาไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ด้วย ไม่ต่างจากน้องหมา น้องแมว ที่ต้องการความรักเหมือนกัน

“(เวลาพาไปทะเลหรือไปที่ไหน) อุ้มค่ะ เพราะว่าน้องเขาตัวใหญ่ จะเอาไปด้วยค่ะแต่ว่ามันต้องมีสักคนหนึ่งสแตนด์บายดูน้อง ก็เหมือนน้องหมา น้องแมวที่เผื่อเขาไปไหน ก็ต้องมีใครสักคนที่ดูแลน้องได้

คือ อย่างเวลาเราไป เราไม่ได้ไปคนเดียวแน่นอน ไปอย่างน้อย 3-4 คนเลย คือ ช่วยกันดู สำหรับจ๊อกอุ้มค่ะ ตามจริงใส่รถเข็นได้ จ๋าเคยแต่ว่าเราชอบอุ้มมากกว่า”


แต่จากประสบการณ์เธอบอกว่าการเลี้ยงไก่ ไม่สามารถฝึกฝน และควบคุมเรื่องระบบการขับถ่ายได้ เพราะฉะนั้นการทำความสะอาดจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ ที่เธอให้ความใส่ใจเป็นอย่างมาก

“ไม่ได้พาไปทุกที่ค่ะ ตามจริงอยู่บ้าน แต่ว่าเราจะพาน้องเขาไปเที่ยว ตอนที่เราไปเที่ยวที่ไหนก็ได้ที่มันมีที่วิ่ง ถ้าเราไปทะเลหรือไปสวนใหญ่ๆ เราก็จะพาน้องไปด้วย เพื่อให้น้องเขาเดิน


ไก่ถ้าถามว่ายากไหม ไม่ยาก แต่ว่ายุ่งยากไหม ยุ่งยาก ตรงที่ว่าจะมีการขับถ่ายของน้องเขาที่จะบ่อย และไก่เป็นสัตว์ที่ขับถ่ายแล้วฝึกไม่ได้ด้วย เราก็เลยมีการทำความสะอาดตลอดเวลา


เรื่องที่ฝึกไม่ได้จะเป็นเรื่องขับถ่าย แต่เรื่องที่ฝึกได้จะเป็นเรื่องของการนอน เช่น ตอนนี้น้องจะนอนเป็นที่ค่ะ นอนที่เดิมทุกครั้ง แต่ว่าอย่างไก่จะเป็นสัตว์ที่ไวต่อแสง ถ้าเราปิดไฟเมื่อไหร่เขาก็จะนอน

ถ้าเราเปิดไฟเขาก็จะตื่น เราก็จะมีการฝึกว่าให้นอนเป็นเวลา แล้วจะมีการปิดไฟเวลาเดิม ประมาณเที่ยงคืนก็จะปิดแล้ว เขาก็จะเข้านอน และมันทำให้ถ้าเราฝึกไปบ่อยๆ เขาก็จะเริ่มชิน เริ่มจะเข้านอนเอง”


เมื่อพูดถึงจ๊อก ตลอดการให้สัมภาษณ์ จ๋าเปรยรอยยิ้มให้เห็นเสมอๆ สะท้อนให้เห็นถึงความสุข และความผูกพันที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งเผยกิจวัตรประจำวันของจ๊อกที่ผ่านมา

โดยอาหารโปรดของจ๊อก คือ ข้าวโพด ถั่ว ทั้งยังมีนิสัยที่ไม่เหมือนไก่ทั่วไป คือ ชอบนั่งรถมาก ที่ประจำที่ โดยจะไปนั่งที่ว่างระหว่างคนขับ หากใครอุ้มไปวางที่อื่น จ๊อกก็จะปีนกลับมานั่งที่ประจำเสมอ

“ไก่ตอนเช้าจะขัน พอขันเสร็จมันก็จะกิน แล้วเราจะมีจานอาหารที่มีข้าวโพด มีน้ำให้ พอกินเสร็จมันก็จะมีช่วงบ่ายๆ ที่ไก่จะออกไปที่ระเบียง แล้วไปเล่นกับดิน นอนกับดิน กินอะไรอย่างนี้ เพราะเราจะมีระเบียงและมีต้นไม้

เพราะไก่มันก็จะชอบไปเล่น ไปกินต้นไม้ และชอบไปตากแดดตอนบ่ายๆ จริงๆ ไก่ตามคน อย่างอยู่กับเรา จ๋าไปไหน ไปห้องน้ำก็จะไปเฝ้าหน้าห้องน้ำ อย่างเราแต่งหน้าก็จะมาเฝ้าเรา ก็จะค่อนข้างตามคนตลอดเวลาค่ะ”


ไม่เพียงแค่นั้น เธอพร้อมชี้แจง จากการตั้งข้อสังเกตถึงการเลี้ยงไก่ในคอนโดมิเนียมส่วนตัว อาจจะเป็นการทรมานสัตว์ เพราะดูผิดธรรมชาติ รวมทั้งเป็นการรบกวนเพื่อนบ้านหรือไม่!?

“ถามว่าผิดธรรมชาติไหม บอกเลยมันก็ยังไม่ตรงกับสิ่งที่ควรจะเป็น เพราะมันควรจะอยู่กับดิน แต่ถามว่ามันเป็นสิ่งที่เราทำดีที่สุด ที่เราช่วยมันมาและเราเลี้ยงจนน้องเขาสุขภาพดี แข็งแรง นี่เป็นสิ่งที่เราทำดีที่สุด


มันจะมีสิ่งที่เราทำได้เพิ่ม คือว่าถ้าเราเห็นโอกาสที่เราจะพาน้องไปเดินสวนที่กว้างๆ ได้ ไปทะเล หรือไปไหนที่มันเดินอย่างนี้เราก็พาไปตลอดค่ะ อันนี้ก็เป็นสาเหตุที่บางทีจะเห็นรูปจ๋าพาไก่ไปเที่ยว คือ พาเพื่อพาเขาไปเดินกับพื้น

นับว่าทำการบ้านระหว่างเลี้ยงเลยค่ะ เลี้ยงไปศึกษาไป ถามคนอื่นไปด้วย แล้วมีการที่นำมาประยุกต์กับตัวเอง เพราะว่าเราอาจจะบ้านไม่เหมือนคนอื่น เราอยู่ในเมือง ไม่มีสวนก็ต้องประยุกต์เอา

เท่าที่จ๋าทราบมาจากประสบการณ์ คือ เรืองของเท้าของน้อง เท้าที่เป็นแผล เหมือนมันเป็นโรคปกติของไก่ค่ะ อันนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้เรามีการพันผ้าให้น้องเขาด้วย

ตามจริงไก่มันควรจะอยู่กับสวนกับดิน แต่พอมันอยู่ในคอนโดฯเรา อยู่ในบ้านเรา ซึ่งพื้นเป็นพื้นปูนพื้นไม้ ถ้าน้องเขาเดินนานๆ มันจะทำให้เท้าเป็นแผล เป็นหน่อไก่ ที่คอนโดฯ ไม่สนับสนุนให้เลี้ยง แต่ว่าถ้าเลี้ยง เลี้ยงได้ แต่ต้องดูแลดีๆ อย่าให้รบกวนเพื่อนบ้าน”






ไก่จิก = สื่อสาร!!



“ไก่สื่อสารได้ ที่สำคัญ เราเรียกเขาเมื่อไหร่ เขาขานตลอด แบบจ๊อก แล้วขานเลยค่ะ ถ้าเหมือนแมวจะเหมือนเรื่องของไม่ได้ง้อมาก ไม่ได้ง้อ คือ เราจะต้องง้อเขา และจะเหมือนหมาในเรื่องของ เขาจะมีเรื่องความหวงบ้าน ถ้ามีคนแปลกหน้าเขาจะเดินตามเลยค่ะ


อย่างเวลามีช่างมาซ่อม เขาจะไปเฝ้าเลยค่ะ และเหมือนหมาอีกเรื่องหนึ่ง ถ้ามีอะไร คนเสียงดังหรือผิดปกติในบ้าน เขาจะรีบวิ่งเข้ามาดูก่อนคนแรก และส่งเสียงให้เรารู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

เหมือนแมวในเรื่องชอบให้เราเกา อย่างตอนที่จ๋านั่งอยู่ เขาก็จะกระโดดขึ้นมาบนโซฟา แล้วให้เราเกา ให้เราลูบเขาแล้วเขาจะนอน



เวลาจ๋าเปิดประตูเข้าบ้านปุ๊บ น้องเขาจะวิ่งมาทุกครั้ง วิ่งมาหาเรา เหมือนเขาจำได้ และจะเหมือนสุนัขกับแมวตรงที่เขาจำเจ้าของได้ เหมือนแต่ละคนเขาจะปฏิบัติไม่เหมือนกัน อย่างกับแม่จ๋าตอนเช้าเขาจะมีการมาจุ๊บปากคุณแม่เบาๆ

แต่ว่าจ๋าไม่เป็น จ๋าจะจิกแรง แต่ว่าพี่ชายจะเป็นอีกแบบ เหมือนเขาจะจำได้ว่า คนไหนเป็นยังไง แล้วก็ดูจากการปฏิบัติของเขาที่จะไม่เหมือนกัน”



การช่วยเหลือ = เป็นสัญชาตญาณของคน


“จ๋าคิดเสมอว่าทุกอย่างมันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ มันก็ต้องมีที่มาที่ไป จ๋าเชื่อว่าการช่วยเหลือมันก็เป็นสัญชาตญาณของคนอยู่แล้ว แม้ว่าเราจะทาน Vegan หรือไม่ทานก็ไม่สำคัญ มันเป็นสัญชาตญาณของคนที่ช่วยเหลือ หรือรักค่ะ

จ๋าว่าการช่วยเหลือมันเป็นสัญชาตญาณของคนเลย ไม่ว่าจะเป็น Vegan หรือไม่ Vegan ก็ตามค่ะ แต่ว่าเป็นเรื่องของเวลาที่เหมาะเจาะมากกว่า เหมือนบังเอิญเราแค่ไปบังเอิญเจอกัน ในเวลาเดียวกันเฉยๆ

จ๋าเชื่อว่าถ้าพี่ๆ หรือเพื่อนๆ คนอื่นถ้าเจอน้องจ๊อก ก็คงทำแบบเดียวกับพี่ชายจ๋าเหมือนกัน”

อาจเรียกได้ว่า ไก่ได้เข้ามาเปลี่ยนชีวิตราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ ภายหลังจากที่เลี้ยงจ๊อก ทำให้คนมองเห็นถึงความน่ารักของไก่ ไม่ใช่เป็นเพียงอาหารมากยิ่งขึ้น

“ตกใจมากเลยค่ะ ตอนที่จ๋าแชร์เรื่องน้องจ๊อก ตอนนั้นจ๋าพยายามหาคอนเทนต์ในเพจ เพื่อให้มันหลากหลาย เพราะว่าจ๋าทำเพจส่วนตัว เป็นเพจที่สนุกๆ ที่แยกกับธุรกิจ เป็นเพจที่เราให้ความรู้เรื่อง Vegan เป็นยังไง ไลฟ์สไตล์ หรือการกินแพลนต์เบส (plant-based) แล้วในเพจจะมีเรื่องราวของน้องจ๊อกด้วย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในนั้นประมาณ 25%

ปกติเวลาคนเขามาสนใจคอนเทนต์จ๋า จะสนใจเรื่องแพลนต์เบส Vegan มากกว่า น้องจ๊อกก็มีนิดนึง มีคนบอกว่าแปลกดีนะ แต่ว่าวันนั้นเป็นวันที่จ๋าพยายามทำให้ข้อมูลหลากหลาย วันนี้เอาน้องจ๊อกมาบ้างดีกว่า


เพราะพูดถึงอาหารเยอะแล้ว ก็เลยเอารูปเก่าๆ ที่เรามี เอามาเรียบเรียง แล้วเขียนเป็น 10 ข้อ ที่อ่านง่ายๆ แล้วเป้าหมายเพื่อที่จะให้คนเห็นความน่ารักของไก่ ว่า ไก่ก็ไม่ได้ต่างจากหมาแมวแค่นั้นเองค่ะ แค่นั้นจริงๆ

สังเกตว่าจ๋าเขียนสั้น ไม่ได้ยาวมาก แล้วก็แชร์ไปปุ๊บ แล้วจ๋าก็ไปทำงานต่อ กลับมาก็ 1,000 likes คือ เราไม่เคยได้ 1,000 likes มาก่อน จากนั้นวันต่อมา ก็มีนักข่าวโทร. มาหลายที่เลยค่ะ รู้สึกตกใจ แต่ก็รู้สึกดีใจที่ทุกคนก็ชอบในเรื่องราวของน้องจ๊อก และได้เห็นความน่ารักของไก่ แค่นี้จ๋าก็ดีใจ ขอบคุณมากค่ะ”

การแชร์เรื่องราวจ๊อกของเธอในครั้งนี้ ทำให้รับรู้ว่ามีคนชื่นชม ความน่ารักแสนรู้ของไก่ตัวนี้อย่างล้นหลาม อีกทั้งเห็นว่า ยังมีใครอีกหลายคน ที่มีไลฟ์สไตล์ นำไก่มาเป็นสัตว์เลี้ยงเช่นเธอ

“กลายเป็นว่า อ้าว! ผู้หญิงเลี้ยงไก่ ทุกคนก็แปลกใจ เพราะว่ายังไม่เคยเห็นผู้หญิงเลี้ยงไก่ และไม่ยังเคยเห็นไก่ไปทะเล หรือไปเที่ยว แต่ว่าตามจริงที่ต่างประเทศเยอะเลยนะคะ ที่มีคนเลี้ยงไก่ พาไปทะเล พาไปเที่ยวก็เป็นเรื่องปกติ


ตอนที่เป็นไวรัล มันทำให้จ๋าได้เห็นเลยว่า มีคนที่เลี้ยงไก่เยอะมากเลยนะคะ จ๋าเป็นแค่ส่วนหนึ่งเล็กๆ มีคนที่เขาเลี้ยงไก่ และเขาดูแลดีแบบเยอะมาก”

อย่างที่กล่าวไปแล้วข้างต้น อาชีพของเธอผู้นี้คือการเปิดธุรกิจร้านอาหาร Veganerie ซึ่งด้วยวิถีชีวิต ที่ไม่ทานเนื้อสัตว์ เธอไม่ได้มองว่าการช่วยน้องจ๊อก ให้หลุดพ้นจากการตกเป็นมื้ออาหารในครั้งนั้น ไม่ได้เป็นเพราะเธอ คือ สายเคร่งครัดงดทานเนื้อสัตว์ใดๆ




ทำชีวิตให้ดี ด้วยการกิน “มังสวิรัติ”


“เหตุผลของแต่ละคนไม่เหมือนกันนะคะ บางคนทำเพราะสุขภาพ บางคนอยากมีผิวใส หรือบางคนอยากช่วยสิ่งแวดล้อม บางคนสงสารสัตว์ อันนี้ก็แล้วแต่คน แต่ว่าสุดท้ายผลลัพธ์มันเหมือนกัน คือ ลดการบริโภคเนื้อสัตว์


สำหรับจ๋า จ๋าเป็นเพราะว่าอยากรู้อยากลองมากกว่า อยากพิสูจน์ว่ามันจริงรึเปล่า เพราะว่าสิ่งที่เราเรียนมามันเป็นอีกแบบหนึ่ง เราก็แค่อารมณ์เด็กวัยรุ่นที่อยากพิสูจน์ ณ ตอนนั้น”


นั่นคือจุดเริ่มต้นในการหันมากิน Vegan และในที่สุดเธอมากันมาเปิดร้านอาหารที่ไร้เนื้อสัตว์ขั้นสุดเต็มตัว โละใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากหนังสัตว์ และขนสัตว์ทุกชนิด จนเธอบอกว่าเป็นไลฟ์สไตล์ส่วนตัวของเธอไปแล้ว

“Vegan จะเป็นไลฟ์สไตล์ ไม่ว่าจะเป็นการกิน หรือว่าการใช้กระเป๋า รองเท้า ที่ทุกอย่างจะไม่ได้มาจากสัตว์ คือ อย่างอาหารก็เป็นอาหารแพลนต์เบส อาหารที่มาจากพืชไม่มีเนื้อสัตว์ ไม่มีไข่ นม เนย


ตอนเริ่มมาจากคุณแม่ เมื่อประมาณ 9 ปีก่อน คือ คุณแม่ก็ไปดูสารคดีฝรั่ง และได้เห็นเบื้องหลังของอุตสาหกรรมสัตว์ และได้เห็นข้อมูลต่างๆ ที่เรายังไม่เคยรู้มาก่อน คุณแม่เลยลองเปลี่ยนอาหาร คือ ลดเนื้อสัตว์ งดไข่ นม เนย ประมาณ 3 เดือนค่ะ


เข่าเสื่อมก็ดีขึ้น และนิ้วล็อกก็ดีขึ้น อันนี้เป็นผลลัพธ์ส่วนบุคคลนะคะ คุณแม่ก็เลยรู้สึกดีค่ะ และเริ่มเปลี่ยนอาหารมาเรื่อยๆ มันก็ทำให้จ๋าได้รู้จักคำว่า Vegan เป็นอย่างนี้นี่เอง หลังจากนั้น ก็ได้หาข้อมูลเพิ่มเติม เพราะว่า ณ ตอนนั้นสัก 9 ปีที่แล้ว มันยังไม่มีในไทยเลยค่ะ

แพลนต์เบส Vegan หรือว่าคีโต คือ ยังไม่มีเลย มีแต่เจอกับมังสวิรัติ มันเลยเป็น passion ให้เราหาข้อมูลมาเรื่อยๆ และได้เห็นว่า เฮ้ย!! ตามจริง เขาเป็นกันทั่วโลกแล้วนะ มี movement นี้ทั่วโลก แล้วที่สำคัญมันไม่ใช่แค่กระแส แต่ว่าเป็นความยั่งยืน

เพราะสุดท้ายแล้วมันก่อให้เกิดผลดีต่อสุขภาพ ต่อน้องสัตว์ และสิ่งแวดล้อมด้วย เหมือนเป็นวงจรเดียวกัน และมันก็จะเพิ่มไปทุกปี ทำให้เราสังเกตว่า 9 ปี ผ่านไป Vegan เพิ่งมาบูมไทยเมื่ออาจจะปีหรือปีที่แล้ว

อย่างจ๋าพอไม่ทานเนื้อสัตว์ เรารู้สึกเรามีแรงมากขึ้น เพราะถ้าทานเนื้อสัตว์ แต่ก่อนเหมือนต้องขอเวลาย่อยก่อน เราก็จะอืด จะง่วง แต่พอเราไม่ทานแล้ว พลังงานตรงนั้นก็หายไป ความอืด ความง่วงก็หายไป



กลับกลายเป็นว่า เราทานอาหารจากพืชแล้วเรามีแรง ของจ๋าน้ำหนักลด 11 โล แต่ว่าใช้เวลานะคะ และสิวก็หาย ถ้าเป็นคุณพ่อคอเลสเตอรอลหายเลย แต่ก่อนท่านจะคอเลสเตอรอลสูงค่ะ”

เมื่อถามว่า การเป็นสาว Vegan มีผลต่อการใช้ชีวิตหรือไม่นั้น เธอยืนยันเลยว่า การเป็น Vegan ไม่ได้ทำให้ชีวิตยากขึ้นเลย แต่กลับทำให้ชีวิตของเธอดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสุขภาพที่เห็นผลชัดจากครอบครัวของเธอเอง

“จ๋าค่อยๆ เปลี่ยน จ๋าเปลี่ยนเป็นมังสวิรัติก่อน เป็นมังสวิรัติมา 4 ปีค่ะ หลังจากร่างกายเราเริ่มชินไม่ทานกับเนื้อสัตว์ ร่างกายปรับตัวได้ปุ๊บ จ๋าก็เปลี่ยนเป็น Vegan โดยเป็นไปเอง อีก 5 ปี เข้าปีที่ 6 แล้วค่ะ ก็ประมาณ 10 ปี




ร้านนี้เริ่มมาตั้งแต่ตอนที่จ๋าเป็นมัง แล้วจ๋าเริ่มเห็นว่า Vegan คืออะไร ก็เลยลองดูเลย เริ่มมาจากคุณแม่ชอบกินเค้ก แต่พอคุณแม่เริ่มเปลี่ยนเป็น Vegan ก็อดทาน จ๋าก็เลยอยากทำให้คุณแม่ทานมาก ก็เริ่มมาจากเราอยากทำเค้กให้คุณแม่ทานก่อนตอนนั้น คือ ที่มาค่ะ

เราก็เลยหาในเน็ต แล้วเปลี่ยนสูตรให้เป็นไม่มีไข่ นม เนย อันนี้ก็เป็นของร้าน Veganerie คือ ทำเค้กให้คุณแม่ทาน พอทำเสร็จปุ๊บก็ลองเอาไปขายที่ Farmer’s Marget ในวันหยุด”

หากดูกันที่ข้อมูลกลุ่มลูกค้าของ Veganerie ให้ลึกขึ้น ในบรรดากลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติ คนที่เป็นวีแกนคือกลุ่มที่ใหญ่ที่สุด
เมื่อบทเรียนชีวิตพลิกมาสู่บทใหม่ แน่นอนว่า ท่ามกลางกระแสเศรษฐกิจ และวิกฤตการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ในปัจจุบันนี้ ร้านอาหารถือว่าได้รับผลกระทบอย่างหนัก ส่งให้ร้านอาหารต้องมีการปรับตัวมากยิ่งขึ้น

“ร้านอาหารกระทบโดยตรงเลยค่ะ เพราะว่าลูกค้าจ๋า 70% เป็นคนต่างชาติ ฉะนั้น ลูกค้าต่างชาติหาย แต่ถ้ามองข้อดีก็เยอะ มันทำให้เราเรียนรู้การปรับตัว ใช้ออนไลน์มากขึ้น และตอนนี้คนไทยก็มากขึ้นกว่าเดิมเยอะเลยค่ะ


ปรับเป็นออนไลน์ และ marketing การสื่อสาร แต่ก่อนจะมีแต่ภาษาอังกฤษ เราก็ใช้ภาษาไทย จ้าง outsource marketing ให้ข้อมูลคนไทย ว่า การทาน แพลนต์เบส Vegan มันไม่ใช่เฉพาะกับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่ว่ามันเป็นอะไรง่ายๆ และใครๆ ก็ทานได้

พอเราเปลี่ยนการ communicate ใหม่ เรามีคอนเทนต์ที่เข้าถึงง่ายขึ้น มันก็ช่วยเพิ่มยอดขาย ช่วยการจำของลูกค้าได้ จำแบรนด์เราได้”




“Vegan” แรงบันดาลใจสู่การเป็น “เชฟ”



“ตามจริงจ๋าเรียนหมอ แล้วออกมาตั้งแต่ตอนเริ่มทำ Vegan ก็เลยเป็น passion ว่า เราอยากทำสิ่งนี้ให้เกิดขึ้นให้ได้ เพราะว่าตอนนั้นเด็กอาจจะไฟแรง เป็น passion ว่า เราอยากจะทำสิ่งนี้ให้เกิดขึ้นให้ได้ เพราะว่าตอนนั้นเป็นเด็กวัยรุ่นอาจจะไฟแรง คิดว่าเราอยากจะเป็นคนแนะนำสิ่งนี้ ให้คนเห็นการทานพืชผัก มันก็ทานง่ายนะ แล้วก็อร่อย

เป็น passion ให้เราเปลี่ยนคณะ จ๋าก็เลยมาเรียนคณะบริหารธุรกิจของจุฬาฯ ภาษาอังกฤษค่ะ ไม่ได้จบเชฟโดยตรง แต่ว่าการทำอาหารและการทำให้เราเรียนรู้ไปด้วยตัวเอง บวกกับประสบการณ์ มันทำให้เรามีความเชี่ยวชาญ


จากประสบการณ์ด้วย และเราเรียนด้วยตัวเอง ถึงจุดหนึ่งมันก็จะสิ้นสุด เหมือนกับยังไงเราก็ต้องเรียนต่ออยู่แล้ว จ๋าก็พยายามเทกคอร์สข้างนอกอยู่ตลอดเวลา เหมือนพยายามเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ



จนเมื่อปีที่แล้ว จ๋าก็เป็นเกียรติมากค่ะ ที่ได้รับเชิญไปที่โรงแรมอันอนันตรา ประเทศโอมาน แล้วไปเป็น Vegan Chefs ให้เขาเลย ไปคุมงาน 7 วัน

ถามว่าเชฟต้องรวยไหม จ๋าว่าก็แล้วแต่คนนะคะ อยู่ที่ฝีมือ และการที่เราพรีเซนต์ให้ชัดเจน จ๋าคิดว่าเรียนที่ไหนก็ได้ค่ะ


จ๋าว่าในสายงานนี้ก็มีความท้าทาย มีความยากของมันอยู่แล้ว แต่ว่าถ้าเราจะทำมันสักอย่าง มันก็ไม่ได้ยาก แต่ขอให้ทุ่มเทและอย่าหยุด”




แนะสาย “สุขภาพ” ต้องรักตัวเอง



“จ๋าว่าเราแค่อาจจะไม่ชินมากกว่า แต่ว่าถ้าเราไปเรื่อยๆ เดี๋ยวเราก็ชิน แล้วก็คิดว่ามันไม่ได้ยาก ถ้าหลายๆ คนถามจ๋าจะเริ่มยังไงดี บอกเลยว่าจ๋าจะแนะนำว่าเป็นตัวเองมากที่สุด อย่าทำอะไรที่มันฝืน


อย่างเวลาถ้ากินเจ 10 วัน ไม่รู้เป็นไหม อย่างบางคนอาหารมันจะเปลี่ยนไปเลย มันทำให้บางคนจะทานได้แค่ชั่วคราวและกลับเป็นเหมือนเดิม ฉะนั้น เวลาทำอะไรเป็นตัวเองให้มากที่สุด แต่ค่อยๆ เปลี่ยน ชอบกินกะเพราใช่ไหม กินกะเพราเหมือนเดิม เปลี่ยนจากหมูเป็นเห็ด รสจัดเหมือนเดิม กระเทียมใส่ได้



ค่อยๆ เปลี่ยนแล้วเราก็อย่าไปมีข้อจำกัดอะไรมาก ว่า เฮ้ยเดี๋ยวหลุด เดี๋ยวบาป ไม่ต้องคิดอะไรมาก ไปเรื่อยๆ แล้วก็หาข้อมูลไปด้วย เพราะการที่เราทำอะไรเราก็ต้องมีข้อมูล มีความรู้ด้วย หาข้อมูล หา inspiration ไปดูใน Youtube แล้วลองไปด้วยตัวเองค่ะ”









สัมภาษณ์โดย : ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง : ภูริฉัตร ปริยเมธานัยน์
ภาพ: พลภัทร วรรณคดี
ขอบคุณภาพ :ร้าน Veganerie Concept




** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **







กำลังโหลดความคิดเห็น