เปิดเรื่องราว “น้องลูกตาล” หนูน้อยวัย 10 ขวบ กับชีวิตที่ต้องดิ้นรนตั้งแต่แบเบาะ เกิดจากแม่ที่ท้องไม่พร้อม แต่ยังโชคดีได้กรรมกรใจบุญรับมาชุบเลี้ยงประหนึ่งลูกแท้ๆ เธอจึงช่วยเหลืองานทุกอย่างด้วยความกตัญญู “ภูมิใจที่แบ่งเบาภาระแม่ได้”
โชคชะตานำพามาเป็นแม่ลูกกัน
“รู้สึกดีใจและภูมิใจที่แบ่งเบาภาระแม่ได้บ้าง กลัวว่าแม่จะเหนื่อย ลำบาก หนูจะหาเงินมาช่วยแม่ สู้ค่ะ ไม่เคยท้อ”
“ลูกตาล-เพชรไพลิน เพ็งอุดม” สาวน้อยวัย 10 ขวบ กล่าวกับผู้สัมภาษณ์ด้วยรอยยิ้มและแววตาอันใสซื่อ ถึงความรู้สึกที่มีต่อ หนึ่งฤทัย ไพรศรี หญิงผู้ประกอบอาชีพกรรมกร วัย 49 ปี ที่เลี้ยงดูฟูมฟักลูกตาลมาตั้งแต่ยังเป็นทารกมาจนถึงปัจจุบัน
เมื่อเติบโตขึ้น ลูกตาลต้องแบกภาระหลายอย่างที่ดูจะเกินตัวตั้งแต่อายุยังน้อย ไม่เคยดูดาย ด้วยหวังเพียงได้แบ่งเบาภาระแม่ เธอไม่เคยท้อ อีกทั้งยังเต็มใจที่จะทำ เพราะรู้ดีว่าผู้หญิงคนนี้สำคัญกับเธอขนาดไหน แม้ว่าคำว่า “แม่” ที่เธอเอ่ยถึงนั้น จะไม่ใช่แม่ผู้ให้กำเนิดก็ตาม
หนึ่งฤทัย เล่าย้อนกลับไปก่อนที่สาวน้อยจะลืมตาดูโลก ว่า ผู้เป็นแม่ของลูกตาลตามสายเลือดไม่มีความพร้อมที่จะเลี้ยงดู ด้วยความสงสารเด็กที่ไม่รู้เดียงสา จึงตัดสินใจที่จะรับเลี้ยงเอง
“ตอนนั้นแม่ไปทำงานที่ประจวบฯ แล้วไปมีแฟน หลานของแฟนเขาท้องไม่พร้อม เขายังไม่อยากมีลูก ก็เลยบอกเขาว่า ท้องใหญ่ขนาดนี้แล้วไปทำแท้งก็อันตรายหลายอย่าง แล้วเด็กก็เกิดมาแล้ว เด็กไม่รู้เรื่อง อย่าเอาออกเลย เดี๋ยวคลอดแล้วน้ารับเอง”
เวลาผ่านไปจนลูกตาลอายุได้ 2 ขวบ เธอก็ได้เลิกรากับแฟนหนุ่ม และพาเด็กน้อยย้ายกลับมาทำงานที่บ้านเกิดในจังหวัดกาญจนบุรี
ด้วยฐานะที่ยากจน และเรียนไม่สูง จึงไม่มีทางเลือกในการประกอบอาชีพมากนัก การขายแรงงานเพื่อแลกเงิน จึงเป็นสิ่งที่เธอเลือกทำเพื่อเลี้ยงชีพทั้งสองพักอาศัยในบ้านเช่าหลังหนึ่ง หลังจากต้องย้ายที่อยู่ไปมาหลายแห่ง เพราะอาชีพที่แม่ทำ ต้องย้ายสถานที่ไปเรื่อยๆ ไม่เป็นหลักแหล่ง ตามการจ้างงาน
“ที่อยู่อาศัยทุกวันนี้ไม่มีค่ะ เมื่อก่อนมีเป็นของแม่แต่พ่อป่วย แม่ก็เลยขายเอามารักษาพ่อ ตอนนี้อยู่อาศัยที่บ้านเช่า อยู่มาได้จะปีนึงแล้วค่ะ กะว่าจะอยู่ที่นี่ถาวร ลูกจะได้เข้าโรงเรียนยันจบ
หน้าที่เราเป็นจับกัง ช่างเรียกให้ทำอะไรก็ทำ งานหลักๆ ก็คือ ผสมปูน กวนปูน หิ้วปูน หิ้วทราย อะไรประมาณนี้ เดิมทีค่าจ้างเขาให้วันละ 300 แล้วก็มาขึ้นเป็น 350 ค่ะ อยู่กับเขา ไปทำงานก็หอบไป ไปด้วยตั้งแต่เด็กๆ เลยค่ะ ผูกเปลแล้วก็ซื้อนมกล่องไปด้วย ไปไหนก็ไปด้วยกัน”
ช่วยงานแม่ตั้งแต่จำความได้
หลายปีผ่านไป ลูกตาลเริ่มโตขึ้นพอที่จะหยิบจับอุปกรณ์ช่วยแม่ทำงานได้ ตั้งแต่งานเล็กๆ น้อยๆ อย่างการตักทราย ยกไม้ หิ้วปูน จนถึงงานอื่นๆ ที่สามารถทำได้ตามกำลังที่เด็กแบบเธอจะทำไหว
“มาทำงานกับแม่ตั้งแต่ ป.1 ตอนนี้อยู่ ป.4 ค่ะ เราจะมาประมาณ 07.30 น. ทำถึง 5 โมงก็เลิกค่ะ ช่วยขนทราย เอาไม้เรียงต่อๆ กัน ถ้าเป็นไม้ยาวจะเรียงไว้ยาวๆ แต่ถ้าเป็นไม้เล็กก็จะกองไว้เป็นอีกประเภทนึง
ตอนเด็กๆ เห็นแม่ทำงานก็ถามแม่ว่า ‘แม่ไม่เหนื่อยเหรอ ไม่ร้อนเหรอ’ แม่บอกว่า ‘ไม่เหนื่อยไม่ร้อนหรอกลูก’ หนูไม่เชื่อแม่หนูก็เลยมาทำเอง ก็เหนื่อย ก็ร้อนค่ะ รู้แล้ว
(ได้ไปเล่นกับเพื่อนบ้างหรือไม่) ไม่ค่ะ บางทีก็อยากไปสนุกแต่ดูแม่แล้ว แม่ทำงานคนเดียวแล้วแม่เหนื่อย การไปเล่นสนุกก็ได้เล่นแค่แป๊บๆ มันไม่ได้รู้สึกสนุกนาน แต่ทำงานกับแม่สนุกตลอด เล่นไปทำงานไป มันรู้สึกสนุกก็เลยไปทำงานกับแม่ดีกว่าไปเล่น ก็รู้ว่าคนในครอบครัวเขาเหนื่อยเพื่อเราขนาดไหน”
และด้วยอาชีพของแม่ที่เป็นกรรมกร จึงต้องทำงานหนักทั้งวัน ลูกตาลจึงเป็นแม่ครัวคนสำคัญในการทำหน้าที่จัดเตรียมอาหารไว้รอรับแม่หลังเลิกงาน และทำงานบ้านเพื่อแบ่งเบาภาระแม่
ทางด้านของผู้เป็นแม่เล่าต่อว่า รายได้จ่ายค่าแรงรายวันของแม่ไม่เพียงพอต่อรายจ่าย จึงจำเป็นต้องประหยัด และหารายได้พิเศษในยามว่าง คือ การทำขนมขาย
และความสุขของแม่ลูกคู่นี้ คือ การได้ใช้เวลาร่วมกันอย่างมีคุณค่าที่สุด เพราะพวกเขารู้ดีว่า เงินที่ได้มามีค่าเพียงไร
“แม่ก็ทำขนมง่ายๆ ของง่ายๆ ไปขาย เราไม่ได้มีทุนขนาดนั้น น้องก็ไปช่วย ถ้าแม่ไม่ได้ไปขาย น้องก็ไปขาย บางทีน้องก็ไปเก็บชมพู่ ใส่ถุงแล้วเอาไปขาย วันหยุดแม่ก็จะพาเขาไปเที่ยว แต่ว่าเที่ยวตามประสาไม่ต้องใช้เงิน ก็คือ ไปเที่ยวตามวัด แพปลา เอาน้ำใส่ขวดไป ไม่ต้องไปซื้อ หิวก็กลับ
น้องบอกแม่ว่า รู้แล้วว่าแม่ทำงานเหนื่อยมาก หนูต้องช่วยแม่ประหยัดกว่านี้แล้ว เขาว่าวันไหนแม่ไม่มีตังค์ให้หนูไปกินที่โรงเรียนน้อย หนูไม่เอาก็ได้ เพราะว่าที่โรงเรียนมีข้าวกิน เขาก็บอกอย่างนี้ เราก็อ้าว กินข้าวโรงเรียนอย่างเดียวแต่ไม่มีตังค์ซื้ออย่างอื่น เขาบอกไม่เป็นไร
เคยท้อค่ะ ก็ปรึกษากัน 2 แม่ลูก เรามีกัน 2 คน ลูกก็โตแล้ว ปรึกษากันก็หยอกเล่นกันก็หายเครียดไปได้ เครียดก็แค่พักเดียว เขาก็จะคอยปลอบ แม่ไม่ต้องคิดมาก หนูจะตั้งใจเรียนให้จบ แล้วแม่ก็จะไม่ต้องทำงาน ถ้าหนูเรียนจบ หนูจะซื้อบ้าน หนูทำงานจะพาแม่เที่ยวเอง เขาก็พูดแบบนี้ตามประสาเด็ก จากที่เราท้อก็รู้สึกหายเหนื่อย”
สำหรับความฝันของเด็กหญิงวัย 10 ขวบ อย่างลูกตาล เธอฝันอยากเป็นครูบนดอย เพราะอยากทุ่มเทแรงกายแรงใจที่มี เพื่อช่วยเหลือเด็กที่ขาดโอกาสในการเข้าถึงการศึกษา
“ตอน ป.2 คิดว่าอยากเป็นคุณหมอ พอตอน ป.3 คิดเป็นครูดีกว่า เป็นครูแล้วสามารถเลือกวิชาที่เราจะเป็นได้ ก็เลยเลือกอยากเป็นครู เพราะว่าครูจะได้ไปช่วยเด็กๆ ที่เขายากจน ไม่มีทางไปเรียน เพราะว่าหลายๆ คน คนบนดอย เห็นเขายากลำบาก ไม่สามารถเรียนได้ พ่อแม่ไม่มีเงินส่งเสริม หนูก็เลยคิดว่าถ้าเราเป็นครูเราก็อาจไปส่งเสริมเด็กพวกนี้”
“หนูจะอยู่กับแม่ แม้จะลำบากยังไง”
“ถามแม่ว่า ทำไมคนอื่นเขาต้องบอกว่าหนูหน้าไม่เหมือนแม่ด้วย แม่ก็บอกว่า หนูก็เหมือนพ่อหนูน่ะสิ พอมาอีกวัน หนูก็ถามอีกเพราะหนูไม่เข้าใจเหมือนกัน แม่ก็เลยบอกว่า งั้นพูดความจริงดีกว่า หนูเป็นลูกที่เก็บมา แล้วแม่ก็เล่าให้ฟังว่าไม่ใช่ลูกแม่ ก็เลยถามว่าทำไมถึงเก็บหนูมาเลี้ยง แม่บอกสงสาร แม่เห็นหนูน่ารักแม่ก็เลยเก็บมา
แม่ก็ถามอีกว่า แล้วหนูจะรักแม่มั้ย หนูก็บอกว่า ถึงแม่ไม่ใช่แม่หนู แม่เก็บหนูมาเลี้ยง ให้หนูได้มีโอกาสเกิดขึ้นมา หนูจะอยู่กับแม่ แม้จะลำบากยังไงโตขึ้นไปยังไงหนูก็จะหาทางเรียนสูงๆ เพื่อจะพาแม่ไปเที่ยว หนูจะทำความฝันของหนูให้เป็นจริง”
นี่คือคำตอบอันใสซื่อบริสุทธิ์จากปากน้องลูกตาล หลังจากที่ผู้สัมภาษณ์ได้ถามถึงความจริงที่เธอนั้นไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆ ของผู้ที่เธอเรียกว่า “แม่”
อีกทั้งยังกล่าวต่ออีกว่า หากวันใดวันหนึ่งพ่อแม่ที่แท้จริง พร้อมที่จะรับไปดูแล ตนเองยืนยันที่จะอยู่กับแม่หนึ่งฤทัยดังเดิม
“ไม่ไปค่ะ ในเมื่อแม่คิดว่าไม่เอาเราแล้ว แล้วถ้าวันนึงเขาจะกลับมาเอาเรา ถามว่าแม่คนนี้จะอยู่ยังไง จะถามว่าถ้าแม่ไม่เอาหนูจริง ทำไมตอนนั้นถึงทำอย่างนั้น ถามแค่นี้ค่ะ กับแม่คนนี้ รู้สึกผูกพัน รักและเป็นห่วง ยังไงหนูก็จะไม่กลับไปหาแม่คนนั้นอยู่แล้ว แม่อยู่คนเดียวหนูก็ไม่ให้อยู่ ไม่ทิ้งค่ะ”
ขณะเดียวกัน ทางด้านของผู้ที่ดูแลลูกตาลมาตั้งแต่แบเบาะอย่างหนึ่งฤทัย ยอมรับตามตรงว่า ทำใจไม่ได้หากต้องเสียลูกตาลไป
โดยตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีแล้ว ที่เธอรับลูกตาลมาชุบเลี้ยงด้วยความรัก ความอบอุ่น ดูแลทุกอย่างไม่ด้อยไปกว่าแม่ผู้ให้กำเนิด สิ่งนี้ก็กลายเป็นสายใยแห่งความผูกพัน ที่ไม่มีอะไรทำลายความสัมพันธ์นี้ได้
“แม่คงเสียใจ ถ้าเกิดแม่แท้ๆ เขายืนยันที่จะเอาไป อยู่ที่ตัวเด็กด้วยว่าเขาจะไปมั้ย ก็คงต้องให้แต่แม่ก็คงเสียใจ ที่เสียใจคือเราไม่คิดจะทิ้งเขา ก็เลี้ยงเขามาจนรัก ผูกพัน ใจคือไม่อยากให้ค่ะ
ไม่อยากให้ ไม่ใช่ว่าเราจะเลี้ยงโตมาขนาดนี้แล้วจะให้เขาไปใช้งานทำงานอะไร ไม่ใช่ค่ะ ไม่ได้คิดแบบนั้น มันเหมือนเป็นเพื่อนอยู่กับเรามาจนถึงขนาดนี้แล้ว”
นี่คือเรื่องราวของลูกตาล เด็กหญิงวัย 10 ขวบ กับชีวิตที่แสนอาภัพ เพราะความไม่พร้อมของแม่ผู้ให้กำเนิด แต่ยังโชคดีที่มีหญิงใจบุญมาช่วยต่อลมหายใจ รับเธอมาเลี้ยงและมอบความรักประหนึ่งลูกแท้ๆ
แม้จะมีสภาพความเป็นอยู่ที่ลำบากยากจน แต่ก็พยายามดูแลจนเติบโตมาถึงตอนนี้ หากไม่มีแม่หนึ่งฤทัยรับมาเลี้ยงดูในวันนั้น ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าวันนี้ชีวิตของลูกตาลจะเป็นเช่นไร
เช่นเดียวกันกับลูกตาล ที่แม้จะไม่ใช่ลูกที่แท้จริง แต่ก็มีความกตัญญู รู้หน้าที่ อดทน อาสาช่วยทำงานอย่างไม่เคยเกี่ยงงอน ด้วยหวังว่าจะเมื่อตนเองเติบโตขึ้น จะสามารถดูแลผู้หญิงคนนี้ให้ได้สุขสบายต่อไปในอนาคต …
หากท่านใดต้องการช่วยเหลือด้านทุนการศึกษาของลูกตาล สามารถสนับสนุนได้ที่ ธนาคารออมสิน สาขาท่ามะกา ชื่อบัญชี ด.ญ. เพชรไพลิน เพ็งอุดม เลขที่บัญชี 0203-4705-6556
สัมภาษณ์ : รายการ “ฅนจริง ใจไม่ท้อ”
เรียบเรียง : MGR Live
เรื่อง : กีรติ เอี่ยมโสภณ
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **