xs
xsm
sm
md
lg

พ่นไฟภาษาเดียว ธรรมดาไป!! เจาะใจ “แรปเปอร์ไทย-มลายู” พาความเก๋าสู่อินเตอร์ [มีคลิป]

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เปิดใจ แรปเปอร์ “มลายูสยาม” ศิลปินสุดโต่ง ทำงานเพลงท่ามกลางพิษโควิด สร้างเอกลักษณ์จนแฟนต่างชาติยอมรับ ด้วยจิตวิญญาณที่เคารพความฝันของตัวเอง






ไม่ย่ำอยู่กับที่ สร้างเอกลักษณ์… แรปเปอร์ “มลายูสยาม”


“จุดเริ่มต้นมันเริ่มต้นที่เราชอบร้องเพลงมากกว่า เราชอบเสียงดนตรี และเราชอบกิจกรรมเกี่ยวกับดนตรี ก็เลยทำให้เราต่อยอดไปเรื่อยๆ สานฝันไปเรื่อยๆ

แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะมีเพลงเป็นของตัวเอง เราแค่อยากจะร้องเพลงให้คนอื่นฟังแค่นั้นเฉยๆ ด้วยโอกาสต่างๆ ที่มันเข้ามา จนทำให้เราโชคดีในจุดนั้น”

มาร์โค มะนารา ศิลปินแรปเปอร์ “มลายูสยาม” เจ้าของบทเพลง “สายเปย์”เปิดใจกับผู้สัมภาษณ์ถึงจุดเริ่มต้นของการได้รับโอกาสเป็นศิลปิน และการสร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัว สอดแทรกภาษา ตัวตน วิถีชีวิต จนกลายเป็นที่ยอมรับต่อประเทศเพื่อนบ้าน

“ช่วงนั้นผมก็ทำงานด้วย เรียนไปด้วยทำงานไปด้วย แล้วร้องเพลงตามสถานที่บันเทิง แต่ผมเริ่มต้นตรงที่เป็นจุดนักท่องเที่ยวต่างชาติ ก็เลยร้องเพลงสากลเยอะ เราก็ได้รู้จักลูกค้ามากหน้าหลายตาที่เป็นต่างชาติ

จนนายทุนคนหนึ่งก็เห็นพรสวรรค์ของเรา คือ ให้เราเป็นคนร่วมก่อตั้ง เขาบอกว่าผมสามารถไปไกลได้มากกว่านี้ และเขาบอกว่าที่ตรงนี้ไม่เหมาะสำหรับคุณ คุณมันดีเกินไปสำหรับที่นี่

เขามาดูผมเป็นระยะหนึ่งแล้ว ไม่ได้แค่คืนนั้นคืนเดียว เขาชอบผมที่ว่าผมร้องเพลงหลากหลายสไตล์ แล้วเขาก็มาดูหลายๆ ครั้ง


แล้วเขาตัดสินใจเดินเข้ามาหาผม เขาบอกว่า You อยากเปลี่ยนชีวิตไหมล่ะ ถ้า You อยากเปลี่ยนชีวิตเดี๋ยวจะให้โอกาสคุณ เราก็นึกว่าเขาพูดเล่น พอไปๆ มาๆ นัดเจอกันจริง คุยกันจริง ด้วยความที่ผู้กำกับมีบริษัททำหนังอยู่แล้ว ก็เรียกมาคุยกัน ให้เป็นเรื่องเป็นราว”

กว่า 10 ปี ที่มาร์โค หนุ่มชาว จ.นราธิวาส เดินตามหาฝัน ตระเวนประกวดร้องเพลงหลายเวที ไม่คิดว่าวันหนึ่งการทำงาน ร้องเพลง ณ สถานบันเทิงแห่งหนึ่ง กลับพลิกชีวิตสู่การเป็นศิลปินแรปเปอร์

“พ่อผมเป็นนักดนตรี ก็เลยชอบร้องเพลงมาตั้งแต่เด็ก ผมเลยมีความฝันเหมือนกันว่าจะเป็นศิลปิน แต่ว่าก็ไม่ได้คิดว่าจะมาถึงจุดนี้ ผมมีวงดนตรี ประกวดดนตรีตามงานต่างๆ และทำกิจกรรมในโรงเรียน เป็นนักร้องนำตั้งแต่นั้นเลย

10 ปีครับผม ตั้งแต่ผมเรียนมหา’ลัย ปี 1 ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย อดหลับอดนอนแต่ก็จบปริญญาตรีได้

จริงๆ ผมเป็นคนตามฝันตลอด รายการประกวดร้องเพลงผมก็ไปหมด ไม่ว่าจะเป็น The voice, The Star ก็ไม่ได้ ไปไม่ถึงฝัน แต่เรายังไม่ได้หยุดฝัน คิดว่าสักวันต้องทำให้ได้

ศรัทธากับความฝัน มันเป็นสิ่งที่ห้ามทิ้ง ความศรัทธา คือสิ่งที่สำคัญ คือ ความอดทน ผลลัพธ์ของมันจะหอมหวานเสมอ เพราะฉะนั้นจงอดทนในสิ่งคุณใฝ่ฝัน และจงศรัทธา จงเชื่อมั่นในตัวเองว่าคุณทำได้”


หลังจากการพูดคุยกับทางค่าย ก็เหมือนไม่มีอุปสรรคอะไรมาหยุดเขาได้อีกต่อไป เพราะเขาได้ทำเพลงตามต้องการ โดยได้ออกเพลงที่มีชื่อว่า “ดาแลดวงใจ” โดยได้มีการผสมผสานภาษามลายู สอดแทรกไปยังเนื้อเพลงซึ่งได้รับผลตอบรับดีมากในประเทศมาเลเซีย และอินโดนีเซีย จนกระทั่งได้รับฉายาว่า “แรปเปอร์มลายูสยาม”

“มาร์โคเป็นชื่อเล่นผม ด้วยความที่ผมมีเพื่อนต่างชาติเยอะ เราร้องเพลงสถานที่ที่ต่างชาติเยอะ เขาบอกว่าเราหน้าเหมือนชาวต่างชาติ

ส่วน มะนารา เป็นชื่อเล่นผมภาษาทางบ้าน นารา คือ จังหวัดนราธิสาส จังหวัดบ้านเกิด ก็เลยมารวมเป็นมะนารา เหมือนให้รู้ว่า Signature ของบ้านเกิดตัวเองไปเลย

ผมอยากผลักดันบ้าน เพลงดาแลดวงใจเพลงแรก ผมพยายามผลักดันตลอด เป็นเรื่องวิถีชีวิต เป็นการโปรโมตการท่องเที่ยวในตัว

เพลงผมตั้งแต่เพลงแรก เรามีการผสมผสาน 2 ภาษา คือ ภาษาไทยกับภาษามลายู ภาษามลายูใช้ประมาณ 4 ประเทศ มีมาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ บรูไน โดยเพลงดาแลดวงใจเป็นเพลงประกออบภาพยนตร์

กระแสทางต่างประเทศเขาชอบ เขาบูม เขาก็เลยหาชื่อเรียก แต่ว่าจะเรียกยังไงให้ดูแตกต่าง เขาเลยตั้งให้เป็นแรปเปอร์มลายูสยาม”

อย่างไรก็ดี เขายอมรับว่าด้วยสถานการณ์แพร่เชื้อโควิด -19 ทำพิษ ส่งผลกระทบโดยตรง ทำให้ไม่สามารถเดินทางไปทำงาน และพบแฟนๆ ต่างประเทศได้

“ผมเกือบได้ไปต่างประเทศแล้วครับ ตามรายการที่เขาโทร.ให้ไปสัมภาษณ์ ไม่ว่าจะเป็นมาเลเซีย สิงคโปร์ รวมๆ ประมาณ 4-5 รายการ แต่ช่วงนั้นเรากำลังจะไป ดีลกันเรียบร้อย แต่ปิดประเทศพอดี

แต่เราก็ไม่ท้อ ทำเพลงต่อไป ก็ถือว่าใช้วิกฤตเป็นโอกาส ในเมื่อไม่สามารถบินไปได้ เราก็ซุ่มทำเพลง แล้วปล่อยทีเดียวไปเลย”




ศิลปินสุดโต่ง ทำงานด้วยจิตวิญญาณ!!


“ประสบความสำเร็จถ้าในไทยไม่ค่อยมองเห็นเท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นมาเลเซีย อินโดนีเซีย เขาตอบรับกันพอสมควรเยอะมาก ไม่อย่างนั้นเขาไม่เรียกผมว่าแรปเปอร์มลายูสยามแน่นอน

ถ้าดูในคอมเมนต์ Youtube ดาแลดวงใจ จะมีต่างชาติมาเมนต์เยอะมาก โดยเฉพาะมาเลเซียกับอินโดนีเซีย”

ถึงแม้ว่าในประเทศไทยจะไม่เป็นที่นิยมมากนัก แต่เขากลับมองมุมแตกต่าง เก็บเกี่ยวประสบการณ์ ท้าทายตัวเอง ไม่ย่ำอยู่กับที่ ทำงานด้วยจิตวิญญาณ โดยปล่อยเพลง “สายเปย์” ที่ผ่านแนวคิดของเขาเองทั้งหมด

“ผมแต่งเอง คือมันต้องแสดงความเป็นตัวตนของผมมากที่สุด เวลาเราเขียนเนื้อเพลง จู่ๆ ใช่ว่าจะเขียนเลย ต้องไปหา inspiration ข้างนอกก่อน จะโทร.หาเพื่อนให้พาไปเที่ยว เราก็จะได้เห็นคนมีเงินใช้ชีวิตยังไง เหมือนเวลาจองโต๊ะ เขาไม่พูดว่าจองโต๊ะ เขาจะพูดว่าจอง Area ให้หน่อย

เนื้อเพลงจึงเป็นแรงบันดาลใจที่เราไปเจอจริงๆ ถึงจะได้เขียนเนื้อเพลงออกมาได้ แต่งให้ตัวเองใช้เวลา 2 วัน ก่อนหน้านั้นเขียนไม่ออก เพราะว่ามันไม่มี inspiration เราต้องไปหาข้างนอก

เพลงนี้ concept คือตัวผมเลย ในเมื่อคุณอยากทำเพลง นายทุนเขาบอกผมว่า ถ้า You อยากทำเพลง You ต้องทำเพลงที่เกี่ยวกับตัว You ความเป็นตัว You

ผมมีเพื่อนต่างชาติเยอะ เวลาเรา hang out กัน เราจะจ่าย เดี๋ยวครั้งหน้าคุณจ่าย จะสลับกันไป แต่เปย์ด้วยกันไหม เปย์ด้วยกัน โต๊ะข้างๆ จะได้รับผลพลอยได้ ไม่ได้เปย์เยอะ เราแสดงน้ำใจมากกว่า รักเพื่อน รักโต๊ะข้างๆ ด้วย”


ต้องยอมรับว่าเป็นการทำงานฉีกกฎของค่ายเพลงอื่นมาก เพราะมีนายทุนที่เปิดกว้างที่เห็นถึงความสามารถและความสุขในการทำงานมากกว่าผลประโยชน์ที่จะได้รับมา

โดยทางค่าย ME Entertainment ทุ่มงบไม่อั้น ปิดถนนข้าวสารเพื่อผลิตผลงานเพลงนี้ให้ออกมาดีที่สุด

“ผมคิดว่าเป็นโอกาสของผม ที่เราได้ concentrate กับงานมากขึ้น เราจะได้มีเวลาทำเพลงที่ออกมาให้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ ผมไม่ท้อนะครับ เพราะว่ามันเป็นอะไรที่ทำให้เราต้องทำต่อไป จะยังไงสู้ต่อ

มันเหมือนความฝันมาก จนแบบเฮ้ย!! เราได้ทำเพลงของตัวเองแล้วนะ เรามีโปรดิวเซอร์ทำเพลงที่เป็นระดับแนวหน้ามืออาชีพเป็นต่างชาติเลย ห้องอัดที่เราไป ศิลปินมาเป็นร้อยๆ ชีวิต

แล้ว MV มันเป็นทุกอย่างเหมือนฝันมาก MV สายเปย์ คือ ปิดถนนข้าวสารเลยครับ รถที่เข้าฉากเป็นรถที่เจ้าของหวงมากแต่ก็เอามาได้ ทุกอย่างมันเหมือนฝันหมด ผมก็เลยตบหน้าตัวเองฝันไปรึเปล่า

คือ วันที่ผมไปถ่าย ผมไม่รู้ว่าเขาจะเซตมาแบบนี้ คิดว่าคงถ่ายง่ายๆ เดินไปกล้องถ่ายไป แต่ไม่ใช่ เป็นการปิดถนนตำรวจอยู่หน้า อยู่ท้าย bodyguard คุมรถอยู่ 4-5 คน คือ แบบเฮ้ยมาผิดกองไหม ได้คุยกับคนขับรถตู้ว่าพี่มาผิดกองรึเปล่า ผมว่าไม่ใช่กองนี้แล้ว


เพลงใครๆ ก็ได้ แต่ด้วยงานมันไม่มีอยู่แล้ว ถ้างาน event คงยาก แต่ผมไม่ได้คิดอะไรมาก คิดบวกไว้ก่อน ออกไปเรื่อยๆ เดี๋ยวมันก็โดนเอง คือ ถ้าผมทำในสิ่งที่ชอบ เหนื่อยแค่ไหน ไม่เป็นไร เอาไงเอากัน ผมเต็มที่ สุดซอย”

ท้ายที่สุดแล้ว การเดินบนเส้นทางแห่งนี้ นอกจากเป้าหมายที่ชัดเจน คือ การยืนหยัดตัวตน เลือกจะทำตามความฝัน มากกว่าฟังเสียงคนอคติ คิดลบตลอด

“ผมต้องการความแตกต่าง แตกต่างทั้งเพลง แตกต่างทั้งการทำงาน นี่แหละ ลุย ชน จิตวิญญาณของมะนารา ถ้าคนอื่นคิดให้ก็ไม่ใช่จิตวิญญาณของมะนารา ก็ไม่ใช่ความตั้งใจที่เราจะถ่ายทอด”

ฟังแล้วอาจดูเป็นเรื่องไม่ยากนัก ที่ใครคนหนึ่งจะลุกขึ้นมาคว้าความสุข ความฝัน เชื่อมั่นในสิ่งที่ตนเองทำ แต่สำหรับเขาแล้ว ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะมีผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลังทุกสิ่งที่ทำ ซึ่งการจะมาถึงจุดที่ประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้ สิ่งที่สำคัญสำหรับเขา คือ “ความอดทน” และ “การเคารพความฝันของตัวเอง”

“เวย์ผมคือปล่อย teaser 3 วันปล่อย MV เลย วัดเลยจะชอบไม่ชอบก็แล้วแต่ แต่ผมทำเพลงใหม่ต่อเรื่อยๆ คุณก็ฟังแล้วกัน ถ้าโดนก็โดน ไม่โดนก็ไม่เป็นไร เราเต็มที่กับงาน โปรดักชันเราไม่ธรรมดา คุณก็ดูแล้วกันว่าควรดังหรือไม่ควรดัง”

มันเป็นงานถึงแม้จะเหนื่อยล้าแค่ไหน แต่คุณจะภูมิใจ เราเต็มที่กับงาน เราต้องเคารพจิตวิญญาณของตัวเองด้วย ถ้าเราอยากจะทำอะไร เราต้องทุ่มให้สุด ไม่อย่างนั้นมันสูญเปล่าครับ

คุณต้องเคารพจิตวิญญาณตัวเอง คุณต้องเคารพความฝันตัวเอง คุณต้องเคารพตัวคุณเองด้วย ฉะนั้นคุณต้องมั่นใจ”




สัมภาษณ์ : “รายการพระอาทิตย์ Live”
เรียบเรียง : ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง : ภูริฉัตร ปริยเมธานัยน์




** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **




กำลังโหลดความคิดเห็น