xs
xsm
sm
md
lg

ดาว TikTok ดีกรีนักเต้นทีมชาติ!! “ครูกั้งเอว 5G” เซ็กซี่ขยี้ดรามา “นุ่งบิกินีจนถูกแบน” [มีคลิป]

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เปิดใจครูสอนเต้นสุดเซ็กซี่ “ครูกั้ง-กันย์นุดี” เจ้าของ #เต้นกับกั้ง จากการค้นหาตัวตนตั้งแต่วัยเด็ก สู่การเป็นนักลีลาศทีมชาติไทย ผันตัวเองเปิดสตูฯสอนเต้น ลบคำครหา-ผ่านบททดสอบของชีวิต พร้อมก้าวสู่การเป็นดาว TikTok เท้าไฟ สร้างรายได้กว่าหลักแสนต่อเดือน






จาก “นักกีฬาทีมชาติ” สู่ดาว TikTok 5G!!


“มาถึงจุดนี้ เป็นเพราะความเป็นตัวของตัวเอง คือ ก่อนหน้านี้ หนูไม่ได้คิดอะไรเลย ไม่ได้คิดว่าต้อง present ตัวเองยังไง แต่ว่าหนูเป็นคนชอบเต้น หนูก็จะอัดคลิปตัวเองลงโซเชียลฯ นั่นคือ ช่องทาง IG คนชอบหนูมาจาก IG เป็นจุดเริ่มต้น ก่อนที่จะมี TikTok

เพราะหนูเล่น IG เป็นหลัก เข้าไปดูได้เลย รูปน้อยมาก แล้วลงคลิปเยอะมาก คือ ถ้าคนจะเข้าไปดูรูปหนู ไม่มีเลย มีแต่คลิป น้อยมากที่จะลงรูป เพราะหนูชอบคลิปตัวเองเต้น เวลาเห็นตัวเองเต้นสวย เราก็อยากอัด แล้วพออัดเราก็ลง แล้วคนก็ติดตามเราเยอะขึ้นๆ”




“กั้ง-กันย์นุดี ครุจิต”สาวสวยมากความสามารถ วัย 28 ปี ดีกรีอดีตนักกีฬาลีลาศทีมชาติไทย ปัจจุบันเธอผันตัวมาทำอีกหนึ่งสิ่งที่เธอรักคือการเป็นคุณครูสอนเต้น

ด้วยความที่เธอรักการเต้นมากทำให้เรียนรู้ และฝึกทักษะการเต้นมาโดยตลอด พร้อมเล่าเรื่องราวในชีวิตกว่าจะประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้ เธอต้องเก็บเกี่ยวประสบการณ์ ต่อสู้กับชีวิตกว่ามาถึงจุดที่เปิดสตูดิโอสอนเต้นร่วมกับเพื่อนในชื่อ Minizize ได้ในวัย 28 ปี

“ตอนนั้นอายุประมาณ ป.2-ป.3 แม่ก็พาไปเรียนเต้นลีลาศ เราก็เรียนมาเรื่อยๆ จนได้ที่ 1 ของเขต จนถึงได้ที่ 1 ของภาค แล้วเราก็ค่อยเข้าสู่ระดับประเทศ

ตอนได้ที 1 ของภาค เราเริ่มรู้สึกว่าจริงๆ เราชอบเต้น แต่ตอนนั้นเราไม่เคยเรียนเต้นอย่างอื่นเลย เราก็คิดว่าเราชอบเต้นลีลาศ แล้วเราไม่มีเวลาช่วงชีวิตของวัยรุ่นเลย อย่างเพื่อนๆ เสาร์อาทิตย์ คือ ไปห้างกัน ตอนนั้นหนูอยู่ขอนแก่น หนูเป็นคนขอนแก่น เสาร์อาทิตย์จะต้องนั่งรถทัวร์มากรุงเทพฯ มาเรียนลีลาศเสาร์อาทิตย์เลย


หนูมีถึงจุดหนึ่งที่เราอิ่มตัว เหมือนเรารู้สึกเริ่มขี้เกียจซ้อมแล้ว เริ่มไม่อยากอัปเลเวลตัวเอง บวกกับตอนนั้นเพื่อนๆ รอบตัวก็เป็นนักเต้น dancer มากขึ้น เราก็เลยไม่อยากเต้นลีลาศ เราก็เลยพอ

แล้วก็เข้าสู่การเป็น dancer แต่ก่อนจะเป็น dancer ก็เข้า class เต้นก่อน แล้วเขาก็เห็นแววเรา เขาก็เลยเอาเราไปงาน


ผ่านความลำบากมากเลยค่ะ คือ มันไต่สเต็ป เหมือนตอนแรกเราเป็น dancer เอาจริงๆ เป็น dancer มันเหนื่อยมากเลยนะคะ ต้องไปซ้อม 1 วัน วันงาน 1 วัน เผลอๆ บางงานอาจจะมี blocking ด้วย

ได้ค่าตัว 2,000-2,500 หมายถึงว่า มันยากเย็นกว่าจะได้เงินเท่านี้ ถ้าเทียบกับเราตอนนี้ แล้วบวกกับตอนนั้นเราหารายได้เพิ่ม โดยการเป็นครู จาก #เต้นกับกั้ง มันเลยทำให้มีรายได้หลักมาจากครูสอนเต้น

แล้วเราชอบในการที่เราเป็นครู มาดครูในตอนนั้นด้วย มันเลยทำให้มีความคิดกับกะทิว่า เฮ้ย!! อยากเปิดสตูของตัวเอง มันก็เลยทำให้มี Minizize ขึ้นมา”

จากวันนั้นจนถึงวันนี้ กับเด็กต่างจังหวัดสาวที่ค้นหาตัวเอง เดินทางสู่เส้นทางการเป็นนักลีลาศทีมชาติไทย และทำให้พบว่าชื่นชอบการเต้นเป็นชีวิตจิตใจ ก่อนพิสูจน์ตัวเองจนกระทั่งหลายๆ คนเริ่มรู้จักเธอมากยิ่งขึ้นผ่าน #เต้นกับกั้ง

“น่าจะเล่นช่วงโควิดรอบแรกที่เพิ่งเล่น TikTok เหมือนได้กระจายให้กลุ่มคนให้รู้จักเรามากขึ้น เหมือนคนรู้จักผ่าน TikTok ตั้งแต่ช่วงโควิดรอบที่แล้ว เพราะเพิ่งเริ่มเล่นด้วย

เหมือนตอนนั้นเราเปิด class เต้นของตัวเอง เราก็ไม่รู้จะใช้ชื่อ class ว่าอะไร ก็เลยใส่ hashtag เป็นเต้นกับกั้ง แบบง่ายๆ เลย ไม่ได้คิดอะไรมาก่อน ก็แบบเอาเลย แล้วมันกลายเป็นว่าคนก็ติด ทุกคนที่ลงคลิป ที่มาเรียนกับเรา เขาก็จะใส่ hashtag นี้ มันก็เลยเหมือนเป็นเครื่องรางประจำตัวของเราไปแล้ว จนถึงทุกวันนี้เลย

(ยอมรับ) ตกใจค่ะ เพราะว่า class แรกที่คนมา ก็คนเยอะมาก แล้วก็เยอะขึ้นเรื่อยๆ เคยคลาสนึง 50 กว่าคน เกือบ 60 คน อาจจะเป็นเพราะว่า เราเป็นคนที่เข้าใจคนที่เต้นไม่เป็น เราก็เลยอธิบายได้แล้วเขาเข้าใจในสิ่งที่เราพูด เพราะบางคนเต้นเก่ง แต่ว่าอธิบายไม่ได้ ประสิทธิภาพการเป็นครูมันจะลดลง”


และหลายคนกำลังให้ความสนใจเธอเป็นอย่างมาก เมื่อช่วงที่ผ่านมาเธอได้โพสต์คลิปเต้น ใส่ชุด ว่ายน้ำ ผ่านแอป TikTok ที่มีคนติดตามเธอมากถึง 3.2 ล้านคน รวมทั้งคลิปโชว์สกิลการเต้นสุดเซ็กซี่ให้แฟนๆ ได้เห็นอยู่บ่อยๆ ในช่วงนี้ จนหลายคนเรียกเธอว่า นางฟ้า TikTok ซึ่งเธอยอมรับตรงๆ ว่า ไม่อยากเป็นเน็ตไอดอลของใคร เพราะด้วยตัวตนจริงๆ เป็นคนโผงผาง และไม่ชอบถูกจับตามอง


“จริงๆ ไม่ค่อยชอบเลยค่ะ ไม่ว่าคำว่านางฟ้า TikTok หรือดาว TikTok มันรู้สึกว่าเป็นคำยังไงก็ไม่รู้ค่ะ เหมือนคำว่าเน็ตไอดอล ซึ่งจริงๆ เราไม่ได้เป็นเน็ตไอดอลใคร มันรู้สึกยังไงก็ไม่รู้ เราไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นดาว TikTok


ไม่อยากเป็นไอดอลของใครเท่าไหร่ด้วยตั้งแต่แรก มันรู้สึกถูกจับตามอง กดดันด้วย และบวกกับพื้นฐานนิสัยเราไม่ได้เป็นคนน่าเอาแบบอย่างอะไรขนาดนั้น

เราเป็นคนพูดจาไม่เพราะค่ะ เป็นคนพูดจาห้าวๆ โผงผาง แต่ว่าที่คนเข้ามาชอบเรา เพราะน่าจะเป็นสไตล์การเต้น ไม่ใช่เป็นเพราะนิสัยมันก็อาจจะมีบางกลุ่มที่ชอบ แต่ถ้าจะยกหนูเป็นไอดอลเลย หนูคิดว่าไม่น่าจะไม่เหมาะ”


โดยจุดที่ทำให้มัดใจหลายๆ คน มาจากเอกลักษณ์ท่าทางการเต้น ที่ต้องใช้สรีระทั้งร่างกาย ซึ่งเอว คือ จุดที่เซ็กซี่ที่สุด จนเธอเอ่ยปากเรียกว่า เอวแบบ 5G


“ในร่างกายทิ่คิดว่า sexy ที่สุดของกั้งน่าจะเป็นเอวค่ะ เอวแบบ 5G หนูตั้งเอาเอง เอวเร็ว เอวพลิ้ว อย่างที่บอกค่ะเป็นนักกีฬาลีลาศมาด้วย เพราะลีลาศต้องใช้ทุกส่วนในร่างกาย เราก็เลยอาจจะมีเทคนิคในการใช้เอว


มีการใช้สรีระผู้หญิงในการเต้น อก เอว สะโพก บวกกับหนูเป็นนักกีฬาลีลาสมาด้วย มันอาจจะเอวดีกว่าชาวบ้านช่องเขา

ส่วนมากคนจะชมว่าเป็นผู้หญิงเซ็กซี่ สวย แต่น่ารักไม่น่าจะเหมาะกับหนู เพราะเสียงก็ไม่น่ารักแล้ว ส่วนมากท่าเต้นก็ไม่เป็นเชิงน่ารักเท่าไหร่ จะเป็นเชิงเต้นแรงๆ ฟาดๆ เซ็กซี่ส่วนใหญ่ น่ารักจะไม่เหมาะกับตัวเองเลย”


กินฟรี-อยู่ฟรี น้ำใจจาก “กระแต อาร์สยาม”



“ช่วงโควิดรอบที่แล้ว เหมือนมันว่างงาน พี่แต (กระแต อาร์สยาม) เขาก็ชวนไปอยู่ที่บ้านเขา และไปเล่นฟิตเนส แล้วเขาก็มีธุรกิจของเขา ด้วยการขายผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเครื่องสำอางความสวยความงามของผู้หญิง

แล้วเขาก็ชวน เหมือนช่วยให้เรามีรายได้ในช่วงโควิด เพราะตอนนั้นสตูฯเราก็ปิด ตอนนั้นก็กลายเป็นโควิดเรารอด เพราะพี่แต

เพราะที่พักเขาก็ให้อยู่ฟรี เหมือนช่วยให้เรามีรายได้ แล้วตอนนั้นรายได้ก็เยอะ เพราะว่าเราไม่ต้องลงทุนอะไร เหมือนเขาช่วยเรา เราก็เลยรู้สึกว่าเขาช่วยเราจากใจจริงๆ โดยที่ไม่ได้หวังอะไร เขายอมได้ต้นทุนนิดหน่อย เพื่อให้เรามีรายได้มากขึ้น”





ชีวิตเปลี่ยนเพราะ “Tiktok”


สำหรับการอัปคลิปเต้นผ่านช่องทาง “@.kangg” ของเธอคนนี้ ไม่ได้ทำเล่นๆ ใครจะรู้ล่ะว่าทำให้เธอพบจุดเปลี่ยนในชีวิตที่ชัดเจน คือ แรกเริ่มเดิมทีกลุ่มเป้าหมายนักเรียนไม่ใช่เด็ก แต่เมื่อเริ่มเล่นแอปพลิเคชัน TikTok กลุ่มเป้าหมายเด็กเข้ามามากยิ่งขึ้น

“ตอนแรกไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องเล่น TikTok แต่ตอนนั้นมันเกิดโควิดพอดี แล้วเพื่อนรอบตัวเล่น TikTok กันหมดเลย คือเล่นมาปีๆ แล้วค่ะ

เล่นตอนเดือนกุมภา โควิดรอบที่แล้ว ก่อนจะล็อกดาวน์นิดเดียว คือ หนูเล่นปุ๊บอีกวันนึงล็อกดาวน์เลย หรือเป็นเพราะหนูเล่น TikTok โควิดเลยมา (หัวเราะ)

เหมือนการที่เราตัดสินใจเล่น เพราะว่าลองเล่นดูก็ได้ ไม่จริงจัง เพราะตอนนั้นว่าง และไม่รู้ว่าจะทำอะไร สตูฯก็ปิด เราก็เลยมีเวลาเล่น TikTok ลงคลิปวันละ 2-3 คลิป ชวนเพื่อนไปคอนโดฯเพื่อน ไปถ่าย TikTok ด้วยกัน มันก็เลยทำให้คนรู้จักมากขึ้น


ชีวิตเปลี่ยนนะคะ อย่างสตูดิโอสอนเต้นของหนู ตอนแรกเหมือนมีคนรู้จักระดับหนึ่ง แต่พอเล่น TikTok มันหายล็อกดาวน์ สตูหนูอยู่ดีๆ ก็คนเยอะมาก กลุ่มเป้าหมายของเด็กก็เพิ่มมากขึ้น


เพราะตอนแรกกลุ่มเป้าหมายหนู คือ เด็กน้อยมาก แต่พอเล่น TikTok กลุ่มเป้าหมายเด็กอยู่ดีๆ ก็ล้นสตูฯ เด็กอายุประมาณ 11-12 คือ จะจูงมือพ่อกับแม่มาสตูฯนี้ แล้วมาบอกว่า พอดีลูกให้มาสมัครให้ เห็นครูใน TikTok”

ประโยคที่ว่า “การไม่ทิ้งความฝันไว้ข้างทาง” คงพิสูจน์ได้จากเรื่องราวของเธอผู้นี้ เมื่อ TikTok ทำให้พบจุดเปลี่ยนของชีวิตคนรู้จักเธอในฐานะครูสอนเต้นมากยิ่งขึ้น โดยไม่มีการยิงโฆษณา ผ่านแอปพลิเคชันดังกล่าว ครูกั้งเล่าอีกว่า ส่วนใหญ่ล้วนดิ้นรนต่อสู้ด้วยตัวของตัวเอง

“ตอนนั้นเพิ่งเปิดแล้วคนยังน้อยอยู่ เหมือนตอนนั้นเราก็คิดว่า นักเรียนเราเยอะแล้ว เพราะจริงๆ #เต้นกับกั้ง หนูมีมาตั้งแต่ก่อนเปิดสตู แล้วหนูคิดว่าจริงๆ กลุ่มเป้าหมายเราน่าจะโอเค ไม่ต้องใช้ PR อะไรมาก ใช้ตัวเรา นักเรียนเก่าเรา

แต่สรุปมันก็ไม่พอ เพราะว่าสเกลที่หนูเปิดสตูฯ คือ มันใหญ่มาก มันต้องการกลุ่มเป้าหมายที่กว้าง ที่ทั่วประเทศไทย หรือทั่วกรุงเทพฯ ซึ่งมันไม่พอ เราก็เลยมีการทำการบ้านกับตัวเองมากขึ้น ว่าจะโปรโมตยังไงให้คนรู้จัก Minizize มากขึ้น ซึ่งเราก็ไม่คิดเลยว่า TikTok คือ จะเป็นช่องทางที่เวิร์กมาก

แล้วหนูก็เริ่มมีการใส่ #MinizizeDanceStudio คนก็รู้ว่าเราอยู่ที่ Minizize มันก็เลยทำให้ TikTok เป็นจุดที่ทำให้ Minizize ปังขึ้น เหมือนมีส่วนค่ะ”


โดยในแต่ละคลิป ส่วนใหญ่จะได้รับการสนับสนุนจากสปอนเซอร์ ที่เข้ามาสปอนเซอร์ให้การสนับสนุนผ่านคลิปเต้นของเธอ โดยมีรายได้กว่าหลักแสนบาทต่อเดือน

“โอ้โห ตอนแรกน้อยมากค่ะ ตอนแรกน้อยไม่พอใจกับผลรับ class นึงอยู่ที่ประมาณ 8 คน 12-13 คน แต่พอ TikTok มา week แรก ก็คือ เต็มทุก class เต็มในที่นี่ คือ 30 คนนะคะ

บาง class ทะลุไปถึง 40 คน หนูก็เลยรู้สึกว่า TikTok จริงๆ เป็นจุดเปลี่ยนหลายๆ อย่างในชีวิตหนูเลย คือ มันอาจจะมีหลายอย่างด้วย แต่ TikTok คือ น่าจะเป็นหลักๆ ที่ทำให้รู้จักคนมากขึ้น โดยที่เราไม่ต้องจ่ายค่ายิง Ads

ช่วงแรกหนูก็ยิง Ads ใน Google ใน Facebook เดือนละ 50,000-60,000 บาท เพราะตอนแรกยังไม่มี TikTok เลย แต่พอมี TikTok เราใส่ Hashtag ตัวเอง ใส่ Hashtag สตู แล้วก็ลงคลิปบ่อยๆ คนก็รู้จักสตูมากขึ้น พอเปิดผลรับคือดีมาก หนูก็เลยคิดว่ามาจาก TikTok”
นอกจากนี้ ผ่านประสบการณ์ ครูกั้ง ยังมองว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายหากจะประสบความสำเร็จ ในวงการ TikTok ซึ่งสิ่งที่สำคัญ คือ จะต้องหาตัวตนให้เจอ


“จากตัวเองหนูเองจะต้องเป็นตัวของตัวเองก่อน แล้วชื่นชอบอะไรแล้วถ่ายทอดออกมา แต่หนูดีตรงที่คนมันชอบสไตล์เต้นหนู โดยที่หนูไม่ต้องพยายามอะไร


ไม่ต้องพยายามคิด content มันก็เลยเกิดจากไลฟ์สไตล์ตัวเอง ไม่เกิดจากว่าเราวางแผนอะไร คิด content อะไร


แต่จริงๆ ส่วนมากที่หนูติดตามหลายๆ คน ใน TikTok ส่วนมากทุกคนจะมีความเป็นตัวของตัวเอง บางคนก็ขายตลก บางคนก็เป็นสายซีรีส์ หรือให้ข้อคิด ไร้สาระก็มี หนูว่าแต่ละคนมีความเป็นของตัวเอง แล้วคนดูก็จะชอบในสิ่งนั้น คนดูจะไม่ค่อยชอบอะไรที่มัน fake อยู่แล้ว หนูคิดว่าการเป็นตัวของตัวเองดีสุด”


“ครอบครัว”=เบื้องหลังความสำเร็จของชีวิต



“หนูรู้สึกว่าหนูผ่านมาได้ เพราะว่าหนูกล้าที่จะทำโดยที่ไม่พึ่งคนอื่น หนูลุยเดียวมาตลอด แล้วรู้สึกว่าไม่มีอะไรจะเสียแล้ว


หนูเป็นคนถ้าคิดปุ๊บ คิดอยากจะทำ ทำเลย และถ้าไม่เวิร์กเดี๋ยวเราก็รู้เอง แต่เราจะรู้ได้ยังไงว่าเวิร์กไม่เวิร์ก ถ้าเรามัวแต่แล้วมันจะดีเหรอ หนูรู้สึกว่ามันต้องทำเลย

และถ้ามันแป้กแค่หาทางใหม่แค่นั้นเลย สำหรับหนูรู้สึกว่าหนูเป็นคนกล้าคิดแล้วก็ทำไว ทำไวกว่าชาวบ้านชาวช่องเขา เป็นคนทุ่ม เหมือนเราลุยเดี่ยวด้วย เราก็เลยไม่ต้องมาหารความคิดกับใคร เรารู้สึกว่าทำไมเลยแล้วกัน สุดท้ายเวิร์คไม่เวิร์คเดี๋ยวผลลัพธ์บอกเราเอง

ครอบครัวไม่เคยว่าอะไรหนูเลย เรียนไม่ดีไม่เป็นไร คือ เขา support เรื่องเต้นหนูมาตลอด ตั้งแต่เป็นนักกีฬาลีลาศ จนเป็น dancer เขาไม่เคยว่าหนูเลย มีแต่ความเป็นห่วงว่าจะทำอะไรต่อ แต่ไม่เคยมากำหนดชีวิตหนู ว่าหนูจะต้องเป็นยังไง หนูคิดว่าครอบครัวสำคัญมาก




คุณแม่จะอยู่ในทุกสเต็ปของชีวิต จริงๆ ตอนเป็นช่วงนักกีฬาลีลาศ ครอบครัวหมดกับหนูหลายล้าน เพราะว่าลีลาศมันต้องใช้เงินลงทุนสูงมาก ชุดมะม้าก็ตัดให้ เพราะไม่อยากเสียเงินเพิ่ม ค่าเรียนก็แพงมากๆ แพงกว่าเต้นทุกชนิดบนโลกนี้
แล้วพอถึงจุดนึงที่เราหางานได้ ครอบครัวก็ happy แล้วค่ะ กว่าจะมาถึงจุดนี้



คู่ชีวิตก็สำคัญ หมายความว่า ไม่ว่าหนูจะมีคนรู้จักหนูมากขึ้น เขาก็ไม่เคยหึง หวง ไม่มากันทางหนู เพราะว่าตั้งแต่แรกที่เขาเลือกคบหนู หนูก็เป็นอย่างนี้ตั้งแต่ต้นด้วย หนูก็จะซีเรียสเรื่องความเป็นตัวตน ถ้าหนูเป็นอย่างนี้ตั้งแต่แรก You ก็ต้องรับได้ แล้วเขาจะคอย support หนูตลอด


ไม่ว่าหนูจะคิดอะไร เขาจะบอกว่า ดี ทำเลย แล้วเขาจะคอย support แต่ถ้าเป็นคนที่คอยมาตั้งคำถามกับเรา ซึ่งอย่างที่บอกที่ผ่านมาหนูลุยเดียวมาตลอด หนูไม่ต้องหารความคิดกับใคร แต่พอเรามีแฟนแล้ว การหารความคิดกับเขา เป็นในเชิงบวก มันเลยทำให้มีพลังบวก ในการที่จะสร้างตัวเองขึ้นมา”






ฝ่าคำครหา “เป็นครูสอนเต้นไม่รุ่ง แก้ผ้ารุ่งกว่า”


“ยากมากค่ะ ทุกวันนี้อยู่ยากมาก เพราะว่าเหมือนเราเต้นสไตล์ sexy แต่ว่า TikTok คือ จะไม่ชอบอะไรที่มัน sexy เช่น แต่งตัว sexy เห็นเนินอกนิดนึงก็จะไม่ได้ เราก็ต้อง play safe (ป้องกัน) มากขึ้น


อย่างชุด bikini ที่ทุกคนเห็น ก็จะต้องจำเป็นใส่ในที่ ที่มีสระว่ายน้ำ ทะเล หรือทราย ไม่สามารถเต้นในสตูดิโอได้อย่างนี้ค่ะ


แต่อย่างหลายๆ คนก็ยังไม่รู้ว่า bikini ใส่ได้ด้วยเหรอ คือ มันใส่ได้ ถ้ามันอยู่ในสถานที่ ที่มันได้ คือ สระว่ายน้ำ คือ เห็นทะเลมากกว่า 40%”

นี่คือคำตอบของเธอ เมื่อถูกถามถึงกระแสในแง่ลบ ที่เป็นกระแสร้อนแรงในขณะนี้ ครูกั้งตอบด้วยท่าทีมั่นใจ และเปิดเผยความรู้สึกกับเรื่องที่เกิดขึ้นว่า การใส่ชุดว่ายน้ำเป็นเรื่องธรรมดา และไม่ได้แปลกอะไร หากใส่ในสถานที่ถูกกาลเทศะ


“จริงๆ จะไม่ดรามาเลย ถ้าตัวหนูไม่ยกประเด็นนี้ เป็นดรามา แต่ตอนนั้นที่หนูยกประเด็นนี้เป็นดรามา เพราะว่าตอนนั้น account หนูโดนปิด แล้วบวกกับหนูไปเที่ยว ซึ่งก่อนหน้านี้เราก็มีการไปเที่ยวกับครอบครัว เป็นทริปสิมิลัน

แล้วเราก็ลงคลิปชุดว่ายน้ำค่อนข้างเยอะ สรุปเราก็ไปต่อกับทริปเพื่อนเลย คือ ทริปสมุย เราไปทะเล 2 ทริปติดเลย

เพราะว่าทั้งปีคือทำงานมาตลอดค่ะ แล้วพอโดนปิดบัญชีคนก็เลยเหมารวม ว่าเป็นเพราะ bikini นั่นแหละ ใส่อยู่นั่นแหละ ตอนนั้นเราเสียความรู้สึก เพราะว่าเราโดนแบนด้วย เป็นทุนเดิมที่เราไม่รู้ว่า account เราจะกลับมาไหม”

เจ้าของ #เต้นกับกั้ง ที่นอกจากหน้าตาสวยแล้ว ต้องยอมกับ Body Shaming ของเธออีกด้วยนั้น ได้เผยบางอย่างให้ได้ทราบต่อ ว่าการที่ประเด็นร้อนแรงและเป็นปัญหาเช่นนี้ เพราะถูกเข้าใจผิดเรื่องการสวมชุดว่ายน้ำเต้น เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม จนทำให้ถูกทางแอปพลิเคชั่น TikTok สั่งปิดบัญชีผู้ใช้

“ตอนนั้นร้องไห้ค่ะ ร้องไห้เพราะว่าเราไม่รู้เลยว่าจะได้กลับมาไหม บวกกับคำพูดที่มันไม่ดีอีก จริงๆ หนูจะไม่สนใจเลย ถ้า account หนูยังอยู่ แต่ความรู้สึกตอนนั้นมัน sensitive ขั้นสุด ว่าเราไม่รู้ว่าเราจะได้ account นี้กลับมาไหม


แต่ยังเจอคำพูดที่เหมือนดูถูกความสามารถของเรา ประมาณว่า เป็นครูสอนเต้นไม่รุ่ง แก้ผ้ารุ่งกว่า ซึ่งถ้าเรามี account อยู่เราจะไม่สนใจคำพูดพวกนี้เลย เพราะเรารู้ตัวเองดีว่าเราเป็นคนยังไง และกว่าจะมาถึงจุดนี้เราเป็นยังไง


ตอนนั้นอย่างที่บอกค่ะ sensitive เสียดาย account ด้วย และเจอคำพูดที่ไม่โอเคด้วย เหมือนมันไม่จริงที่เราโดนบล็อก เพราะ bikini มันเป็นเพราะว่าจริงๆ TikTok เขาไม่ให้เด็กเล่น แล้วเหมือนหนูเป็นคนที่ถ่ายคลิปกับนักเรียนบ่อย มันก็เลยโดนบล็อกบ่อย แต่คนก็ไม่เข้าใจ

เหมือนเราเห็นเด็กนักเรียนเต้นดี เราก็อยากเต้นกับน้อง แต่พอเต้นคนมันดูเยอะ AI มันก็จับได้ AI ก็จะเข้าหา account ที่มัน Active คนก็จะชอบมาชมว่า นักเรียนเต้นดี”

บัญชีผู้ใช้ที่เธอปลุกปั้นมากว่า 1 ปี หายวับไปกับตา และกลับถูกสังคมโซเชียล ประณามว่า กับสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นสิ่งสมควร เพราะไม่เหมาะสม ซึ่งความจริงแล้วนั้นครูสาวสุดแซ่บ กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยถึงข้อแคลงใจต่อว่า การลงคลิปเต้นกับชุดว่ายน้ำไม่ใช่สิ่งผิด แต่การลงคลิปเต้นกับเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี เป็นกฎข้อห้ามของแอปดังกล่าว


“(เด็ก) ไม่ได้แต่งตัวโป๊ค่ะ แต่ว่าเหมือน TikTok ต้องเด็กอายุประมาณ 17-18 ขึ้นถึงจะเล่นได้ แต่ถ้าเห็นตัวเล็กๆ คือจะโดนแบน บางคลิปก็รอด บางคลิปก็ไม่รอด มันก็เลยทำให้เป็นแต้มสะสม เหมือนเราโดนหักคะแนนทุกคนที่โดนบล็อก


แต่ตอนนั้นทุกคนเข้าใจว่าเป็นเพราะ bikini แต่คือเรารู้อยู่เต็มอกว่ามันไม่ใช่ เพราะเราทำตามกฎทุกอย่าง bikini หนูไม่เคยโดนบล็อกเลย เพราะหนูเต้นกับสถานที่ที่ถูกต้องทุกอย่าง

ตอนนั้นเราก็หงุดหงิดด้วย แล้วก็คิดว่าทำไมทุกคนไม่เข้าใจ มันไม่ใช่เพราะ bikini มันเป็นเพราะอย่างอื่น เราก็เลยโดนโจมตีเรื่อง bikini”

จากกระแสดรามาที่ถูกพูดถึงเรื่องการใส่ชุดว่ายน้ำ ครูกั้งได้สะท้อนถึงเสรีภาพการใส่ชุดว่ายน้ำในประเทศไทย ผ่านมุมมองให้ฟังอีกว่า เป็นเรื่องทัศนคติส่วนบุคคล การใส่ชุดว่ายน้ำสำหรับเธอเป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่เรื่องผิดแปลกอะไร

“อาจจะเป็นเพราะว่า มันดู sexy มากขึ้น เพราะหนูใส่เต้น สไตล์การเต้นของเรามัน sexy อยู่แล้ว คนบางประเภทอาจจะเข้าใจว่า หนูตั้งใจโชว์รึเปล่า แต่มันคือไลฟ์ไตล์หนู เพราะว่าหนูชอบ bikini แต่ส่วนตัวหนูก็ไม่ได้รู้สึกอนาจาร

หนูไม่ใช่เป็นคนที่ชอบใส่ปิด คือ ครอบครัวหนูไม่เคยมีปัญหาเลย การที่หนูแต่งตัวอย่างนี้ เต้นอย่างนี้ หนูก็เลยไม่เข้าใจว่าคนอื่นมาเดือดร้อนกับหนูทำไม

แต่ตอนนั้นที่หนูร้องไห้ เป็นเพราะว่า account หนูโดนปิด อย่างที่บอกหนูเจ็บใจมาตั้งแต่ต้น เหมือนอกหัก แต่ถ้า account ยังอยู่ ไม่มีคำพูดพวกนี้ จะกระทบจิตใจหนู เพราะหนูไม่มีปัญหาเลย

จริงๆ มันก็เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล ไม่ใช่ว่าความคิดของหนู คือ ถูกที่สุด แต่ว่าในส่วนตัวหนูที่เป็นคนชอบเต้น และอาจจะล่อแหลม


แต่จริงๆ มันเป็นความชื่นชอบของแต่ละคน ว่าจะเลือกใส่ชุดอะไร เป็นสิ่งที่หนูชอบบอกมาก ว่าถ้าใครไม่ชอบ จัดการตัวเองหมายความว่า คือ มึงไม่ชอบ กดบล็อกสิ ไม่ชอบกดปิดกั้นสิ ไม่อยากเห็นไม่ต้องเสียเวลามาเมนต์ค่ะ


เพราะว่าคนที่อ่าน มันก็คือคนที่รู้สึกแย่ ไม่ใช่คนเมนต์ ไม่มีทางที่หนูจะอ่านแล้วช่างแม่งได้ คือยังไงหนูก็ต้องคิดนิดนึงว่า คนไม่ชอบเรา”




เหยื่อโซเชียล” เสี่ยงซึมเศร้า-ฆ่าตัวตาย


“เราเป็นคนที่แคร์แฟนคลับ เราเป็นคนที่ชอบเช็กคอมเมนต์ ชอบอ่านคอมเมนต์ด้านบวก


แล้วมันไม่มีทางที่หนูจะมองข้ามพวกคอมเมนต์แย่ๆ ได้ แต่หนูจะพยายามทำให้มันไม่กระทบต่อสภาพจิตใจของหนู”


เมื่อพูดถึงเรื่องดรามาที่เกิดขึ้น รอยยิ้มที่เห็นตลอดการให้สัมภาษณ์ ก็เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน กั้งตอบอย่างตรงไปตรงมาว่าเรื่องที่เกิดขึ้น มีผลกระทบต่อจิตใจของเธอ

“ไม่มีใครช่วยได้เลยค่ะ หมายถึงทุกคนพยายามเอื้อมมือเข้ามาช่วย แต่หนูพัก ขออยู่คนเดียว แต่ก็นั่งอ่านคอมเมนต์วนไปเหมือนกันนะคะ ว่าคนพูดถึงเรายังไง


มันไม่อ่านไม่ได้หรอกค่ะ แต่ตอนนั้นพอเราได้ account คืนมา คำพูดพวกนั้นอยู่ดีๆ ก็ไม่ได้อยู่ในหัวหนูเลย คือ พอทุกอย่างมันพิสูจน์ว่า จริงๆ มันไม่ได้เป็นเพราะ bikini คนพวกนั้น คือ เรื่องของมึง”


แน่นอนว่า ในสถานการณ์ตอนนั้นสำหรับครูกั้ง ไม่ใช่เรื่องง่ายในการจัดการกับความรู้สึกที่ถาโถมเข้ามา เพราะต้องเจอกับคำพูดทำร้ายจิตใจ ที่เธอยอมรับว่าคอมเมนต์ลบๆ เหล่านั้นสามารถฆ่าคนบนโลกโซเชียลได้จริง

“คือ หนูรู้สึกเลย ว่าหนูรู้สึกแย่มากในตอนนั้น รู้สึกแย่ที่ต้องมาเจอคอมเมนต์อะไรอย่างนี้ เพราะว่าหนูก็เห็นข่าวเยอะเหมือนกัน ที่คนเป็นโรคซึมเศร้า จริงๆ ส่วนมากก็มาจากโซเชียล หนูก็เลยไม่อยากให้คนคอมเมนต์อะไรที่โดยไม่คิด

ทำให้คนๆ หนึ่งต้องคิดสั้น หรือว่ารู้สึกไม่ดีต่อตัวเอง ทั้งๆ คนพวกนั้นอาจจะพูดแบบสนุกปากก็ได้ หนูก็อยากให้ทุกคนมีสติในการคอมเมนต์

อย่างหนู หนูเลื่อนผ่านคลิปที่ไม่ชอบ หนูก็จัดการตัวเองโดยการไม่เมนต์ด่า เราแค่กดไม่สนใจ คือ ไม่ต้องยุ่งกับเขา ชีวิตใครชีวิตมัน ทุกคนมีไลฟ์สไตล์ไม่เหมือนกัน เขาชอบแบบนั้นเราไม่ชอบแบบนี้ เราก็ไม่ต้องดูเขาแค่นั้นเอง อันนี้คือคนที่มีสมองคิด สำหรับหนู


แต่ถ้าคนที่ยังสนุกปาก ก็ห้ามเขาไม่ได้จริงๆ ค่ะ ในสังคมอย่างนี้มันก็ต้องมี แต่เราก็ต้องเลือกจัดการกับตัวเองอีก”


เห็นเธอเป็นคนสนุกกับการใช้ชีวิต แน่นอนว่า เบื้องหลังของครูกั้งก็ต้องมีมุมเศร้า และผ่านการต่อสู้กับปัญหาที่เข้ามา สุดท้ายครูกั้งยอมรับว่าการจะสร้างการเปลี่ยนแปลงได้นั้น จะต้องเริ่มต้นจากการจัดการกับตัวเอง เสพสื่อด้วยสติ และไม่ทำร้ายใครโดยการตัดสินคนอื่น

ทุกวันนี้ใครๆ ก็เป็นไอดอลได้ ทุกวันนี้ใครๆ ก็มีความคิดของตัวเอง เป็นแรงบันดาลใจของใครหลายๆ คนได้ง่ายมากขึ้น โดยที่ไม่ต้องไปออกทีวี หรือต้องเป็นดาราเท่านั้น


มันคือโซเชียลนั่นแหละ ที่จะกลับมาทำร้ายเรา หนูก็เลยอยากให้คนเสพสื่อด้วยสติ แล้วก็ฉลาดมากขึ้น นึกถึงใจเขาใจเรา อย่างที่บอกค่ะ ไม่ชอบก็จัดการตัวเอง แล้วผลกระทบมันจะไม่ลงที่ใครเลย

คนที่ฟังมันอาจจะคิดได้ แต่มันก็อยู่กับการกระทำอย่างนี้ไม่ได้หรอกค่ะ นอกจากวันหนึ่งเขาจะโดนเอง และเขาจะรู้ว่ามันเป็นยังไง เราก็เลยต้องจัดการตัวเองไป เพราะคอมเมนต์เขาไม่ได้มีผลกระทบอะไรด้วย


อย่าเพิ่งตัดสินจากภายนอก จริงๆ แล้วทุกคนมีมุมดี แต่แค่หาให้เจอ ไม่ใช่เลือกอยากมองแค่ไหน ก็มองแค่นั้น คือ จริงๆ มันมองได้ ถ้าเราไม่ตัดสิน

อย่างโซเชียล การที่เห็นเขา 1 คลิป ไม่ได้แปลว่าเขาเป็นคนอย่างนั้น คือ อยากให้คิดเยอะๆ ก่อนที่จะคอมเมนต์อะไร เพราะสุดท้ายทุกครั้งที่หนูเห็นคอมเมนต์ไม่ดี หนูจะนอยด์ แต่ว่าก็จะจัดการตัวเองนะคะ ไม่ให้มีผลกระทบกับชีวิตเรา”


“พิมรี่พาย” ใบเบิกทาง “ทำความดี”




“เห็นหนูเป็นคนหยาบคาย หรือผู้ใหญ่บางคนอาจจะไม่ชอบ ด้วยตัวหนูเองครอบครัวหนูไม่เคยซีเรียสที่หนูเป็นแบบนี้เลย หนูก็เลยจะค่อนข้างจะไม่ซีเรียสว่าคนอื่นจะมองเป็นคนพูดจาหยาบคาย

แต่กับพ่อแม่หนูไม่ได้เป็นคนพูดกู พูดมึงนะคะ แต่ว่าจะไม่ได้มีคะ ขา แบบคนอ่อนหวาน พ่อแม่ก็น่าจะทำอะไรกับหนูไม่ได้แล้วค่ะ

แต่ว่าก็ไม่ใช่หนูเป็นคนไม่มีมารยาท เพราะว่าหนูเป็นเจ้าของธุรกิจด้วย หนูจะต้องมีการใช้คำพูดยังไงกับลูกค้า เห็นหนูเป็นอย่างนี้ หนูพูดกับลูกค้า เป็น เสียง 2 เสียง 3 เลย

และที่คนไม่ค่อยรู้ คือ หนูรักหมา รักแมว รักสัตว์ทุกชนิด แล้วก็ขี้สงสาร เป็นคนจริงๆ แล้วใจดีมาก หนูไม่ได้ทำแค่กับหมากับแมว หนูขี้สงสารคนทั่วไปด้วย อย่างช่วงโควิดที่ผ่านมา หนูก็ชอบไปเดินตลาดนัด หรือห้วยขวาง คนมันเดินน้อยมาก แต่หนูก็เห็นอย่างหมูปิ้ง เห็นเป็นร้อยๆ ไม้ คือ ขายไม่ได้เลย บางทีหนูก็อุดหนุนเขาเป็น 200 ไม้ แล้วเอาไปให้หมา แมวค่ะ

หนูจะเป็นคนที่ไม่เข้าวัด ไม่ชอบไหว้พระ แต่ไม่ได้ลบหลู่นะคะ แต่ว่าเราชอบไปทำบุญกับคน ไปทำบุญอย่างนี้มากกว่า จะไม่ใช่คนธรรมะธรรมโม ไม่เคยนั่งสมาธิเลยในชีวิต

พี่พิมรี่พาย หนูจะชอบเขา เพราะไปทำบุญกับคน ชอบช่วยเหลือคน ซึ่งเป็นสิ่งที่หนูคิดมาตลอดว่าหนูอยากทำ แต่หนูไม่เคยกล้าเลย เพราะเมื่อก่อนหนูมองว่าการทำดี ต้องใช้ความกล้า เช่น มีคนมาของเงิน บางทีหนูเห็นโต๊ะข้างๆ เขาไม่ให้ หนูก็รู้สึกว่ากูต้องให้ป่าววะ

แต่ทั้งๆ ที่ใจหนูคืออยากให้มากๆ หนูก็เลยรู้สึกว่า เหมือนช่วงนั้นไม่เปิดขนาดนี้ ใครก็ได้ที่จะทำ จะให้ใครก็ได้ หนูรู้สึกว่าพี่พิมรี่พาย เป็นใบเบิกทางของหนูให้หนูกล้าทำความดี แล้วหนูก็ไม่ได้คิดว่าการทำความดีตามเขาเป็นเรื่องที่ copy หนูรู้สึกว่าการทำความดี ใครๆ ก็ทำได้ ทำไปเถอะ ถึง copy ยังไง สังคมมันก็คือดีขึ้น”














ดูโพสต์นี้บน Instagram

โพสต์ที่แชร์โดย LIVE Style (@livestyle.official)



สัมภาษณ์: ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง: ภูริฉัตร ปริยเมธานัยน์
คลิป: อิสสริยา อาชวานันทกุล
ภาพเคลื่อนไหว: ภูริฉัตร ปริยเมธานัยน์, อิสสริยา อาชวานันทกุล
ภาพ: ปัญญพัฒน์ เข็มราช
ขอบคุณภาพ: อินสตาแกรม @kannudee_ , เฟซบุ๊ก “Kannudee Karujit” และ TikTok @.kangg
ขอบคุณสถานที่: “Minizize” Dance Studio (เดอะสตรีท รัชดา ชั้น 2)


** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **




กำลังโหลดความคิดเห็น