เปิดใจอดีตคนดวงเฮง ถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 พ่วงแจ๊กพ็อต 3 เด้ง รับทรัพย์กว่า 42 ล้าน แต่ใช้เงินเกือบหมดใน 2 ปี ซ้ำร้ายปัญหาชีวิตรุมเร้า “ขาดทุนธุรกิจ-พ่อแม่ป่วย-ค้างค่าเทอมลูก-วิกฤตโควิด” จนเหลือบ้านเป็นสมบัติชิ้นสุดท้าย
ถูกหวย 42 ล้าน แต่เกือบหมดภายใน 2 ปี!!
“แย่ครับ มีเงินนอกระบบที่ต้องจ่ายรายวัน เศรษฐกิจไม่ดีหลายอย่าง เงินก็ร่อยหรอจนสุดท้ายตอนนี้เรามีเงินในบัญชีไม่กี่หมื่นบาท รอขายบ้านอย่างเดียว เพราะถ้าไม่ขายบ้านเราก็จะไม่มีเงินทุนที่จะทำธุรกิจตอนนี้ เราไม่เคยมีเงินก้อนเป็นหลักหลายสิบล้าน เราก็ประมาทในการใช้เงิน การบริหารจัดการก็ไม่ดี”
ปิยะวัฒน์ ขาวปลอด หรือ เอก กล่าวกับทีมข่าว MGR Live หลังจากที่เรื่องราวของเขากลายเป็นที่พูดถึงบนสังคมออนไลน์อย่างกว้างขวาง อันเนื่องมาจากการที่เขาได้เปิดเผยผ่านรายการ “ตีสิบเดย์” ว่า เมื่อ 10 ปีที่แล้ว เขาคือผู้โชคดีถูกสลากกินแบ่งรัฐบาลรางวัลที่ 1 รับเงินไปจำนวนกว่า 42 ล้านบาท แต่ในระยะเวลาเพียงแค่ 2 ปี เงินที่ได้มากลับถูกใช้จ่ายไปจนเกือบหมด อีกทั้งยังมีปัญหาชีวิตตามมาอีกมากมาย จนเกือบทำให้เขาตัดสินใจจบชีวิตตนเอง
ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีก่อน ครอบครัวของเอกมีฐานะปานกลาง ประกอบธุรกิจเปิดร้านขายและผลิตอุปกรณ์สักลาย แต่เนื่องจากประสบปัญหาเศรษฐกิจ จึงต้องมีการกู้เงินนอกระบบมาหมุนเวียนกว่า 600,000 บาท และจ่ายดอกเบี้ยรวมแล้วนับล้าน แต่ในความโชคร้ายยังมีความโชคดี ที่เขาถูกลอตเตอรี่รางวัลใหญ่ จากต้นทุนที่ซื้อไปเพียง 5,000 บาท
“ตอนขยายสาขาที่ 3 มีเงินทุนอยู่แต่ไม่พอ ก็เลยไปกู้เงินนอกระบบมา เพราะบ้านยังผ่อนอยู่ ก็เลยตัดสินใจว่าจะไปทำงานต่างประเทศค่อยกลับมาใช้หนี้ แต่ยังไม่ทันได้ไปก็ถูกลอตเตอรี่ครับ ปกติแล้วตัวผมกับตัวแฟนค่อนข้างจะมีดวงด้านนี้ ทีนี้ผมไปดูหมอดูชื่อดังอยู่ 2 คน หมอดูมดแดง หมอดูรอยเท้า แล้วก็ ตุ้ย เอกซเรย์เขาดูเหมือนกันว่าผมจะมีโชคเกี่ยวกับการเสี่ยงโชค เราเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ เขาบอกว่าผมจะถูกรางวัลที่ 1 สองรอบ ให้ซื้อเกี่ยวกับเบอร์โทรศัพท์
เมื่อก่อนเบอร์โทรศัพท์ผมจะลงท้ายด้วย 741 ของแฟนลงท้ายด้วย 746 เราก็ซื้อตามมาเรื่อยๆ งวดที่เราจะไปทำงานต่างประเทศ ต้นทุนที่ซื้องวดนั้นอยู่ประมาณ 5,000 มีคนเอาลอตเตอรี่มาขาย ผมซื้อแค่ 741 แต่มันมีอยู่ชุดนึงที่ 746 ตอนแรกผมไม่เอาแต่ลูกสาวร้องจะเอา ก็เลยซื้อมาเพราะเป็นเบอร์เดียวกับเบอร์โทรศัพท์แฟน
ผมเปิดร้านที่ถนนข้าวสาร กองสลากอยู่สี่แยกคอกวัว วันที่ลอตเตอรี่ออก ผมก็จะไปฟังทุกงวด ไปลุ้น พอรางวัลที่ 1 ออกมา ผมไม่รู้ว่าลอตเตอรี่ผมมีอะไรบ้าง ซื้อมา 10 กว่าชุดก็ไม่ได้จำ หลักๆ ผมซื้อใต้ดิน 741 ตัวนึงประมาณ 800 x 800 ถ้าถูกจะได้อยู่ประมาณ 5-6 แสน ผมกะว่าถ้าถูกจะใช้หนี้ให้หมด จะได้ไม่ต้องไปต่างประเทศ
ปรากฏว่า รางวัลที่ 1 ออกมา 746 ผมก็ตายแล้ว ทำไมสวรรค์มันแกล้งแบบนี้ ก็เศร้ามาถึงร้าน มีลอตเตอรี่อยู่ชุดนึงก็เลยเอาออกมาดู เลขท้ายมันเป็น 746 ก็ตกใจ ปรากฏว่า ถูกรางวัลที่ 1 บอกให้ใครฟังก็ไม่เชื่อ แต่ตัวเองลึกๆ ก็ยังมีความมั่นใจอยู่ เวลาเราไปทำบุญเราอธิษฐานอย่างเดียวเลย ขอให้ถูกลอตเตอรี่รางวัลใหญ่ๆ”
ความโชคดียังไม่หมดเพียงแค่นั้น จากในตอนแรกที่ เอก คิดว่าจะได้เงิน 20 ล้านบาท จากการซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาล 5 ชุด แต่หลังจากที่ตรวจสอบโดยละเอียด ก็พบว่าถูกรางวัลแจ็กพ็อต รับเงินรวมทั้งสิ้นกว่า 42 ล้านบาท!!
“เรารู้แล้วว่าถูกรางวัลที่ 1 ใบนึง 2 ล้าน คู่นึง 4 ล้าน เราถูก 5 คู่ ถูกจริงๆ 20 ล้าน โทร.ไปบอกพ่อแม่เขาหาว่าเราเพ้อ มาดูอีกที มันชุดที่ 62 มีแจ๊กพ็อต 20 ล้าน ของงวดนั้น เท่ากับว่า ผมจะได้ 40 ล้าน พอไปขึ้นเงินเขาก็บอกรู้รึเปล่ามีรางวัลพิเศษอีก เป็นหวยการกุศล ได้มาอีก 2 ล้าน เท่ากับถูก 3 เด้ง เด้งที่ 1 ถูกรางวัลที่ 1 เด้งที่ 2 ถูกแจ๊กพ็อต 20 ล้าน เด้งที่ 3 มีการกุศลด้วย เป็น 42 ล้าน
เอาเงินไปใช้หนี้บ้าน 2 หลัง มีรถ ตัดไปหมด ซื้อทองให้ลูกน้องที่อยู่ด้วยกันคนละบาท เงินอีกส่วนให้ญาติพี่น้อง เฉพาะญาติแจกไปล้านกว่าบาท เข้าบัญชีให้แม่ พ่อตาแม่ยายคนละล้าน ซื้อบ้านเพิ่มอีก 2 หลัง 18 ล้าน ที่เหลือก็ไปทำบุญเป็นล้าน เขาบอกว่าคนที่ถูกลอตเตอรี่หรืออะไรใหญ่ๆ ดวงเราจะหมด เราก็กลัวตาย เงินมันก้อนใหญ่เราใช้เงินมือเติบ รู้ตัวอีกทีจ่ายบ้านก่อนสุดท้าย เหลือเงินไม่กี่ล้านบาท มันเป็นเงินร้อน จะไปเร็ว แต่เราก็มีบ้าน มีรถ ก็ยังชะล่าใจอยู่”
ชีวิตพลิกเพราะความประมาท
อย่างที่กล่าวไปแล้วข้างต้น ระยะเวลาเพียงแค่ 2 ปี เงินรางวัลที่ได้รับมาก็ลดลงอย่างรวดเร็วจนน่าใจหาย อีกทั้งเขายังเจอปัญหารุมเร้าหลายด้าน ทั้งด้านธุรกิจ ด้านสุขภาพคนในครอบครัว ด้านการศึกษาของลูกๆ จนมีเสี้ยวความคิดหนึ่งที่ไม่อยากอยู่บนโลกนี้อีกต่อไปแล้ว…
“ปรากฏว่า พอเราทำธุรกิจ มันก็มีโดนโกง ขาดทุนไปร่วม 2 ล้าน มีปัญหาสุขภาพของพ่อตา แกฟอกไตมา 5 ปีก่อนถูกลอตเตอรี่ เดือนนึงประมาณ 30,000 หลังจากที่ถูกก็ฟอกไตมาอีกเกือบ 5 ปี แล้วเงินเริ่มหมด ก็เลยย้ายแกจากโรงพยาบาลเอกชนมาฟอกรัฐบาล อยู่ได้ประมาณไม่ถึงครึ่งปีแกก็ติดเชื้อ เสียชีวิต ถ้าเกิดว่าเรายังมีเงินให้แกฟอกเอกชนต่อไป แกน่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกพักใหญ่ ก็เสียใจตรงนั้นที่เงินเราหมดเลยทำให้แกไปเร็วขึ้น
แม่ตัวเองก็เข้าโรงพยาบาล เป็นนิ้วในถุงน้ำดีต้องผ่าตัด หมอไปเจอเป็นเนื้อร้ายกลัวเป็นมะเร็ง เลยตัดลำไส้ออกไปครึ่งนึง เมื่อก่อนแกน้ำหนักประมาณ 60 กว่าโล ตอนนี้อยู่ประมาณ 30-40 โล แกผอม รักษาแม่หมดไปเป็นล้าน พ่อตาก็หมดไป 2-3 ล้านเหมือนกัน
และเมื่อปีที่ผ่านมา ค้างค่าเทอมลูกอยู่ เขาเลยไม่ให้เรียนพอออกไปซักอาทิตย์เขาก็มาตามให้ไปเรียนต่อแล้วให้ผ่อนชำระ แต่ว่าลูกคนที่ 2 ตอนนี้ไม่ได้เรียน มีลูกทั้งหมด 4 คนครับ จบปริญญาตรีไปแล้วคนนึง ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ลูกผมแต่ละคนเรียนเอกชน ความเครียดเยอะขนาดที่ว่าตอนนั้นมีข่าว คนรมควันในรถ คนผูกคอตาย ก็คุยกันถ้าพอไม่ไหวพ่ออยากจะฆ่าตัวตาย แต่ก็ยังเป็นห่วงเรื่องลูก ถ้าเราตายไปคนนึง ครอบครัวต้องพังทลายแน่ๆ ก็เลยกลับมาฮึดสู้อีกครั้งนึง”
ดังโชคชะตาเล่นตลกกับชีวิตซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะวิกฤตโควิด-19 ที่เกิดขึ้น ก็สร้างความเสียหายให้กับธุรกิจของอดีตชายดวงเฮงคนนี้ จนต้องสูญเงินไปอีกหลายล้าน
“ธรรมดาเราจะมีเงินจากร้านสักรวมกันทั้งหมดเดือนนึง 3 แสนกว่า หักค่าใช้จ่ายแล้ว ได้ทุกเดือนสบายๆ เพราะร้านที่ถนนข้าวสาร ผมเซ้งมาล้านกว่าๆ เงินก้อนสุดท้ายที่ผมเอารถไปจำนำ เพื่อจะมาจ่ายค่าเช่าที่ข้าวสาร เราจ่ายไปแล้วปีนึง พอโควิดมาเราจบเลย ร้านเปิดไม่ได้ ลูกน้องก็ต้องจ่ายไปอีกครึ่งปี จนเราไม่ได้ไหว เราอุ้มไม่ไหวแล้ว ยอมปล่อยร้านได้แต่ขนของกลับ
เท่ากับว่าเงินที่เราเซ้งมาล้านกว่าบาทก็ไม่ได้คืน เงินค่าเช่าที่จ่ายล่วงหน้าก็ไม่ได้ เพราะไม่ได้เปิดร้าน พอรอบ 2 ยิ่งแย่ ร้านสักโดนสักปิดด้วย เราขายอุปกรณ์ได้น้อยลง กระทบมาก เอาง่ายๆ ผมหมดไปเฉพาะโควิด 3 ล้านกว่า เงินหมุนในบัญชีเลยไม่มี
ตอนนี้ตัดสินใจขายบ้าน อย่างน้อยเรายังมีสมบัติที่จะขายอยู่ บ้านเฉพาะหลังนี้ 12 ล้าน แล้วทำเรือนรับรอง 2 ล้านกว่า บิวต์อินไปล้านกว่า ประมาณ 15-16 ล้าน ก็เลยตัดสินใจขาย 10.5 ล้าน ก็ยังมีสมบัติก้อนสุดท้าย ถ้าขายก้อนนี้ไปแล้วจะได้มาดำเนินชีวิตใหม่และใช้อย่างประหยัด ต้องมีความระมัดระวังในการใช้เงินมากยิ่งขึ้น”
เอก กล่าวว่า บทเรียนสำคัญที่จำได้ขึ้นใจ คือ เรื่องของการบริหารจัดการเงิน และการอย่าไว้ใจใครมากเกินไป และท้ายที่สุดนี้ เขายังเชื่อมั่นในโชคชะตาของตนเอง ที่อาจถูกรางวัลใหญ่อีกครั้งในภายภาคหน้า
“เราก็ช่วยเหลือคนไปเยอะนะ มีเพื่อนยืมเงินไป 4-5 คน รวมๆ แล้วประมาณล้านกว่าบาท ก็ไม่ได้คืนเลยซักบาท เมื่อก่อนเราลำบากก็มีคนช่วยเหลือ พอเรามีอันจะกิน คนนู้นคนนี้ขอเราก็ช่วย แต่สุดท้ายเราไปขอความช่วยเหลือจากใครไม่ได้เลย แม้กระทั่งเงินที่ให้ยืมไปก็ขอคืนไม่ได้ เราประมาทกับชีวิตเกินไป ใช้เงินไม่วางแผน
เอาง่ายๆ โควิดเราไม่นึกถึงเลย มันจะมามันก็มา ไม่ได้กระทบเราอย่างเดียว กระทบคนทั่วโลก เราไม่นึกว่าเศรษฐกิจจะเป็นแบบนี้ อย่าประมาทกับชีวิต เราต้องมีการเก็บออม มีการวางแผนการเงินที่ดีว่าควรจะใช้เงินส่วนไหน เท่าไหร่ กี่เปอร์เซ็นต์ เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้ แต่หลักๆ ตอนนี้ หวังจะขายบ้านได้ แล้วก็อาจจะมีอะไรดีๆ เข้ามาครับ
แต่ก็ยังหวังลอตเตอรี่อยู่ ยังซื้อทุกงวด เพราะว่าเขาฟันธงว่าเราจะถูกรางวัลที่ 1 อีกรอบนึง ก็รออยู่ แล้วประจวบว่าลูกชายคนที่ 4 ชื่ออู๋ เขาเพิ่งหัดพูดตอนที่เราถูกลอตเตอรี่ ก็จะถามลูกชายว่า “น้องอู๋ เมื่อไหร่พ่อจะถูกลอตเตอรี่” ลูกบอกว่า “10 ปี”ปีนี้เข้าปีที่ 10 น่าจะเป็นดวงของเรามาอีกซักรอบนึง ริบหรี่แต่ก็ยังมีความหวังอยู่ แต่ไม่ประมาทแล้วเที่ยวนี้”
ดูโพสต์นี้บน Instagram
ข่าวโดย : ทีมข่าว MGR Live
คลิป: อิสสริยา อาชวานันทกุล
ขอบคุณภาพ : รายการ “ตีสิบเดย์” และเฟซบุ๊ก "Piyawat Kaoplod"
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **