xs
xsm
sm
md
lg

เจาะชีวิต “มัจฉา” นักร้องในคราบนักธุรกิจ สร้างแบรนด์-ออกแบบ-ทำการตลาดเอง ครบวงจร!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เปิดตัวตน นักร้องสาวสวยสุดฮอต ลูกครึ่งไทย-สวิตเซอร์แลนด์ ทำมาแทบทุกบทบาท จากนางแบบ สู่นักแสดงช่อง3 จนหันมาสร้างแบรนด์เสื้อผ้าเป็นของตัวเอง ประสบความสำเร็จในวัยเพียง21 ปี พร้อมเล่าอีกมุมครอบครัวสอนคิดบวก ไม่หลงไปกับชื่อเสียง


นักธุรกิจไฟแรง สร้างแบรนด์เสื้อผ้าของตัวเอง

“ทุกอย่างเกิดจากแพสชั่นของเราเลย เราอยากจะเป็น Business woman เราก็คิดว่าเราควรที่จะทำในสิ่งที่เราชอบจริงๆ รักจริงๆ ก็เลยเริ่มทำแบรนด์เสื้อผ้า ทำมาเรื่อยๆ ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันเหนื่อยมาก เพราะว่าเหมือนเราจะอยากได้อันนี้ออกมา เราอยากจะให้คนถ่ายแบบ มันก็เลยเป็นเหมือนความสุขของเรา”


ชาช่า-มัจฉา โมซิมันน์ นักร้องสาวน้องใหม่สุดฮอตลูกครึ่งไทย-สวิตเซอร์แลนด์ วัย 21 ปี จากค่ายเพลง White Fox GMM Grammy เรียกได้ว่าเป็นนักร้องน้องใหม่ที่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว ออกเพลงซิงเกิ้ลก็สุดปังเรียกยอดคนดูในยูทูบมากถึง 14 ล้านวิวในไม่กี่วัน

ฮอตจนต้องรีบขอคิวเข้ามาพูดคุยถึงตัวตน ในความสุดปังของเพลง และเรื่องราวชีวิตที่ไม่ได้โดดเด่นแค่เรื่องผลงานเพลงเท่านั้น ยังมีความโดดเด่นทางด้านแฟชั่น เป็นนางแบบโกอินเตอร์ และยังมีแบรนด์เสื้อผ้าเป็นของตัวเองอีกด้วย

นอกจากนี้ยังมีความสามารถพูดได้ถึง 4 ภาษา ไม่ว่าจะเป็นภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ภาษาเยอรมัน และภาษาฝรั่งเศสด้วย เรียกได้ว่าครบเครื่องจริงๆ

ทั้งนี้เธอยังเล่าถึงชีวิตด้านอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านครอบครัวที่เติบโตมากับครอบครัวด้านธุรกิจ จึงทำให้เธออยากเป็นนักธุรกิจหญิงที่เก่งอีกด้วย พร้อมยังเล่าถึงการปลูกฝังของครอบครัวที่สอนให้คิดบวกในครอบครัวลูกครึ่งไทยผสมตะวันตกอีกด้วย


นอกจากพาร์ทนางแบบ ดารา นักร้อง เธอยังมีอีกมุมที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้จัก นั่นคือการมีแบรนด์เสื้อผ้าเป็นของตัวเอง ชื่อว่า “CHA COLLECTIVE” ซึ่งแรงบันดาลใจส่วนใหญ่ในการทำก็จะมาจากยุค90

“นอกจากงานเพลง งานเดินแบบ งานแสดง ฉาก็มีแบรนด์เสื้อผ้าของตัวเองด้วย เป็นดีไซน์เนอร์ด้วย เพราะว่าชอบแฟชั่น แล้วก็เรียนแฟชั่นดีไซน์ มีแบรนด์เสื้อผ้าของตัวเองที่เป็นเสื้อผ้าของผู้หญิงชื่อว่า “CHA COLLECTIVE” แล้วกำลังจะทำเสื้อผ้าออกกำลังกายด้วย

ทำมาหลังจากจบ High School ก็น่าจะ 2 ปีเกือบ 3 ปี แล้วค่ะที่ทำมา ส่วนตัวชอบแฟชั่นอยู่แล้ว รู้ตั้งแต่เด็กว่าอยากเป็นแฟชั่นดีไซเนอร์ ชอบวาดรูป ชอบแต่งตัวตั้งแต่เด็ก โตขึ้นมาก็ไปเรียน ตอนนี้เรียนอยู่ Raffles International College สาขาFashion Design

ทำทุกอย่างเลย แม่ช่วยซัพพอร์ตหน่อย ก็ทำทุกอย่างเองหมด ออกแบบเสื้อผ้า หาคนตัดเย็บเสื้อผ้าให้ ทำแพทเทิร์นให้ ตอบลูกค้าเอง ส่งของเอง ทำเว็บเอง ตอนแรกทำทุกอย่างค่ะ ตอนนี้ก็มีคนช่วยแล้วก็ดีขึ้นหน่อย”


กลายเป็นนักธุรกิจสาววัยเพียง 21 ปี ที่เรียกได้ว่าค่อนข้างประสบความสำเร็จอีกเช่นเดียวกัน ในอีกหนึ่งบทบาทของเธอ ที่ลงมือทำด้วยตัวเองทุกขั้นตอน เพียงเพราะความชื่นชอบ

แน่นอนว่าการทำธุรกิจ สำคัญเลยคือเรื่องการตลาด เธอเล่าว่า ที่จริงเธอไม่ได้มีความรู้เรื่องการตลาดหรือศึกษาเรื่องการตลาดมากมายขนาดนั้น แต่ยอมรับว่าโซเชียลตอนนี้ทำให้ทำงานได้มากขึ้น

“ที่จริงฉาไม่ได้ศึกษาเยอะขนาดนั้น เหมือนคิดว่าโอเค เราจะมาร์เก็ตติ้งยังไง ก็ส่งเสื้อผ้าไปให้ Influencer หรือเพื่อนๆ นางแบบ ก็ให้เขาลงไอจีให้ ก็ให้เขาแท็กให้ ฉาก็ขายเมืองนอกด้วย เหมือนเป้าหมายของฉาอยากจะขายฝรั่งด้วย วันนึง Kylie Janner ต้องใส่ชุดของฉา นี่คือความฝัน

เพราะถ้าเกิด Kylie Janner ใส่ชุดเรา เราคงรวย เพราะฉะนั้นหวังว่าวันนึงต้องมีดาราฮูลลีวูดคนนึงใส่ชุดของเรา ก็พยายามส่งเสื้อผ้าไปให้ Influencer เมืองนอก ผ่านอินสตาแกรมอย่างเดียวเลย ก็ DM ไปหาเขาว่าไปอยากส่งเสื้อผ้าให้ยูใส่ ส่วนใหญ่บางคนก็ตอบค่ะ การตลาดคือทำอย่างนั้นอย่างเดียวเลย ไม่ได้ทำอย่างอื่นเลย ก็ใช้เฟซบุ๊ก อินสตาแกรมโปโมทสินค้าของเรา ผลตอบรับก็ดีค่ะ ที่จริงตอนนี้ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นลูกค้าต่างประเทศ

ยิ่งตอนนี้เรามีโซเชียลมีเดียเยอะ มันทำให้ทุกอย่างมันง่ายขึ้น การขายของง่ายขึ้นมาก แต่ในทางเดียวกันก็ยากขึ้นเช่นกัน เพราว่าตอนนี้มันมีแบรนด์เสื้อผ้าขึ้นเยอะมากๆ แบรนด์ออนไลน์เยอะมาก การแข่งขันก็สูงมาก เราก็พยายาม Stand-out เสื้อผ้าที่เราทำต้องมีแบรนด์ Identity ที่ชัดเจน ต้องเป็นสไตล์ที่ชัดเจน สมมติเราทำตัวนี้ออกมา ถ้าเราชอบแบบนี้ เราควรจะทำแบบนี้เพิ่ม เพราเรารู้ว่าคนอาจจะซื้อ”


เก่งและโดดเด่นไปในทุกด้านขนาดนี้ เธอก็เล่ามาต้องจัดลำดับความสำคัญให้ดี เพราะทุกอย่างสำคัญพอๆ กัน และต้องขับเคลื่อนทุกอย่างไปพร้อมกันให้ได้

“ตอนนี้สิ่งที่สำคัญต้องทำทุกวัน ต้องให้ความสำคัญทุกวัน การฝึกเรื่องการร้องเพลง ฝึกเต้น จะมีคลาสเต้น และร้องเพลงทุกอาทิตย์ แล้วก็ออกกำลังกาย เหมือนต้องเป็นแบบเดลี่ลูทีน ต้องมีสิ่งที่เราทำทุกวัน ก็คือซ้อมร้อง เต้น ออกกำลังกาย

ส่วนเรื่องธุรกิจก็จะแบ่งเป็นแพลนมากกว่า ตอนนี้มี3 ธุรกิจ ถ้าทุกอย่างมาพร้อมกัน ร้องเพลงก็สำคัญหนึ่ง หลังจากนั้นก็จะเป็นเรื่องธุรกิจค่ะ ถ้าเกิดเป็นธุรกิจก็จะเป็นแบรนด์เสื้อผ้าก่อน แล้วก็จะเป็นเพจฟิตเนสค่ะ

จะให้ความสำคัญกับการเป็นนักร้องมากกว่า แต่ว่าสุดท้ายแล้วธุรกิจของเรามันก็ต้อง Go on มันไม่สามารถหยุดได้ เพราะฉะนั้นมันก็ต้องให้ความสำคัญกับทุกอย่าง

แค่รู้สึกว่าถ้าเรามีโอกาสอะไรเราก็คว้าไว้คือฉาก็ไม่ได้คิดว่าจะมาทำเป็นนักร้องแบบจริงจัง แต่มันคือความฝันของเรา เราอาจจะไม่ได้มีโอกาสในช่วงเวลานั้น แต่ว่าเราก็ทำมาเรื่อยๆ

ตอนแรกก็ทำงานเดินแบบ เริ่มเล่นละคร เล่นซีรี่ย์ เพราะรู้สึกว่าแค่นี้มันไม่พอ เราอยากจะทำได้มากกว่านี้ ทีนี้ก็ได้มาเป็นนักร้อง มันก็เหมือนแค่เราคว้าโอกาสทุกอันไว้ แล้วเราก็แค่ลองทำดีที่สุด ถ้าเกิดเราทำดีที่สุดแล้วเราจะมาเสียดายทีหลังไม่ได้

ถ้าเกิดเรารู้สึกว่าเราอยากทำหลายอย่างแล้วก็ทำได้หลายอย่าง แต่ไม่รู้ว่าจะทำอะไรดีที่เป็นเมนโฟกัส ฉารู้สึกว่าเราคงต้องถามตัวเองว่าอันไหนคือสิ่งที่เรารักมากที่สุด และสิ่งที่เรารู้สุกว่าเราสามารถทำได้นานที่สุด เพราะถ้าเกิดว่าเราทำแค่แปบเดียวแล้วทิ้งไปมันก็ไม่ได้ มันจะต้องเป็นสิ่งโอเคฉันรู้ว่าฉันจะทำอย่างนี้ ฉันอยากพัฒนาไปกับสิ่งนี้ไปเรื่อยๆ คือเราต้องกลับมาถามตัวเองมาอันไหนคือ Priority ของเรา”


สุดปังกับซิงเกิ้ลแรก14 ล้านวิว

และล่าสุดเธอได้ออกเพลงซิงเกิ้ลที่ 2 ไม่กี่วัน ก็มียอดวิวเกือบ2 ล้านวิวเข้าไปแล้ว เพลงนี้ยังได้แรปเปอร์หนุ่มชื่อดัง อย่างโต้ง TWOPEE มาแจมอีกด้วย

“ซิงเกิ้ลแรกเพลง So What ก็ตื่นเต้นมากค่ะ เพราะว่าไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน เมื่อก่อนฉาก็จะทำงานเดินแบบ ถ่ายแบบ เคยเล่นละคร เล่นซีรี่ย์

ผลตอบรับดีมาก ก็ขอบคุณทุกคนมากๆ ที่ซัพพอร์ต มีคนแชร์ คนไลก์ และคนดูยูทูบเยอะมาก ก็แฮปปี้มากๆ มีคนชมและก็มีคนติ เรื่องที่คนติเราก็เอาไปพัฒนาตัวเองต่อค่ะ

เกินคาดค่ะ จำได้ตอนที่เพลงออกตอนแรก ฉาแบบขอให้ได้1 ล้านวิวสักวันหนึ่ง แล้วเราได้ล้านวิวในเวลา2 วัน ซึ่งแบบช็อคมาก ก็ไม่คิดว่าคนจะดูเยอะขนาดนี้

สนุกและตื่นเต้นมากๆ สำหรับเพลงแรก So What ก็ถือว่าผลตอบรับดีมาก ตอนนี้มี14 ล้านวิวในยูทูบ ซึ่งแฮปปี้มาก ไม่คิดว่าจะมีคนดูเยอะขนาดนี้ค่ะ

ตอนนี้เพลงที่ 2 ก็ออกแล้วค่ะ ชื่อว่า Swipe เพลงนี้มีพี่โต้งTWOPEE มา featuring ค่ะ ที่จริงทำให้เพลงสมบูรณ์ขึ้นมาก เพราะว่าท่อนฉาก็จะร้องจากมุมผู้หญิง มีพี่โต้งเข้ามาก็ได้เห็นมุมผู้ชายบ้าง

ได้พี่เวย์ Daboyway เป็น Executive Producer ให้ ตอนนี้ก็ทำอัลบั้มอยู่ ซึ่งจะมี 5 เพลง หลังจากนี้ก็จะออกมาเรื่อยๆ ค่ะ”


ย้อนกลับไปถึงเส้นทางกว่าจะก้าวเข้าสู่วงการเพลง เธอเล่าว่าได้รับโอกาสที่ดีจากผู้ใหญ่ให้เข้าไปออดิชั่น จึงลองเดินตามความฝันด้านนักร้องจนสำเร็จ ได้เป็นศิลปินคนแรกของค่ายเลยทีเดียว

“ที่จริงทำงานในวงการตั้งแต่อายุประมาณ 14 ปี ตอนนี้ฉาอายุ 21 ปี วันนึงเหมือนเราไปงานอีเว้นท์งานนึง มีพี่จากทีมงานเดินเข้ามาหาคุณแม่ บอกว่าเรากำลังทำค่ายเพลงใหม่นะ ให้น้องลองมาออดิชั่นดูไหม ฉาก็บอกไม่เอาๆ ตอนแรกคือปฏิเสธเลย เพราะว่าไม่เชื่อมั่นในตัวเอง

คุณแม่ก็บอกลองไปดูเถอะ เราไม่รู้หรอกอาจจะดีก็ได้ ก็เลยลองไปออดิชั่นค่ะ ออดิชั่นเสร็จก็ตัดสินใจทำเลย เพราะว่าเราชอบ ฉามีInspiration ฉาชอบฟังเพลงอยู่แล้ว ชอบมาก แล้วก็ชอบศิลปินแบบ Ariana ,โรซาลิย่า,Beyoncé คือชอบมากค่ะ ตั้งแต่เด็กอยากจะเป็นเหมือนเขา

ตอนต้นปีที่ผ่านมา ก็ได้ออดิชั่นให้ White Fox ตอนแรกก็จะไม่ทำด้วยซ้ำ คิดกับตัวเองว่า เราไม่เคยร้องเพลงแบบจริงจังจะทำได้เหรอ ช่วงนั้นก็คือยังเต้นไม่ค่อยเป็นด้วย เต้นได้แต่มันไม่ค่อยดี เพราะแขนขายาวมันก็เลยเก้งก้างนิดนึง หลังจากนั้นก็มีการฝึกฝนมานาน ทั้งเต้นทั้งร้อง สิ่งที่ทางค่ายอยากจะทำ มันก็ตรงกับสิ่งที่ฉาอยากจะทำมากๆ มันก็ Perfect match

อีกอย่างเป็นศิลปินคนแรกของค่าย White Fox GMM Grammy ตื่นเต้นมาก แต่ว่าดีใจมาก ที่จริงมันเป็นความฝันของฉาตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่เด็กชอบร้องเพลงมาก แต่ว่าเป็นคนขี้อาย ไม่เคยร้องเพลงให้ใครฟัง เป็นคนขี้อาย ก็ร้องเพลงให้คุณแม่ฟังอย่างเดียว”


แม้จะได้รับโอกาสที่ได้เดินตามความฝัน แต่เธอก็ยอมรับว่าเป็นเรื่องที่ใหม่สำหรับเธอมาก และยากอยู่พอสมควร กว่าจะฝึกฝน ให้ออกมาสมบูรณ์แบบสู่สายตาผู้ชม

“ยากมากค่ะ เพราะว่า ฝึกฝนทั้งร้อง ทั้งเต้น ทั้ง Perform ทุกอย่าง เพราะว่า เหมือนเราชอบร้องเพลง แต่เราไม่เคยร้องแบบจริงจัง ซึ่งมันมีDetails เยอะมาก ต้องฝึกความแข็งแรงของเราด้วย ซึ่งมันยากแต่ว่ามันสนุก เพราะมันคือสิ่งที่เรารัก

เอาฉาเป็นตัวอย่างเลย การออดิชั่นตอนแรกฉาปฏิเสธโอกาสอันนี้ไปด้วยซ้ำ ซึ่งถ้าเราเกิดปฎิเสธอันนี้ไปจริงๆ แล้วเราไม่ได้ลองทำจริงๆ เราก็ไม่ได้มาอยู่ตรงนี้ เพราะฉะนั้นถ้ามีโอกาสอะไรก็คว้าเอาไว้ เพราะว่าเราไม่รู้จริงๆ ว่ามันจะนำพาเราไปสู่อะไรได้ค่ะ”

[ท่าเต้นเพลง Swipe ที่พร้อมมากระชากใจหนุ่มๆ]
ถ่ายทอดตัวตนผ่านเพลง หวังโกอินเตอร์

นักร้องสาวสุดฮอตเธอเล่าถึงความฝันตั้งแต่เด็กว่า ชอบร้องเพลงมาตั้งแต่อายุ 8 ขวบ พร้อมมองอนาคตไว้ไกลถึงะดับโกอินเตอร์
“ร้องเพลงในห้องน้ำตลอดค่ะ ตื่นมาตีห้าก็ร้องเพลง อาบน้ำก็ร้องเพลง กินข้าวเสร็จ ขึ้นรถก็ร้องเพลง คือร้องเพลงทั้งวันจนคุณแม่รำคาญ

เพลงที่ร้องบ่อยๆ ถ้าตอนเด็กๆ ที่จำได้ เพลงที่ชอบมากก็คือเพลงพี่ ทาทายัง เพลง Sexy Naughty Bitchy ตอนนั้นหนูน่าจะ8 ขวบ คุณแม่เปิดในรถแล้วก็ร้องตาม

เชื่อว่าทุกคนอยากโกอินเตอร์ ฉาก็อยากค่ะ เพราะว่าศิลปินที่ฉาชอบมากก็เป็นศิลปินจากอเมริกา เป็นฝรั่ง ก็หวังว่าวันนึงเราจะโกอินเตอร์ได้บ้าง เชื่อว่าเป็นความฝันของทุกคน เราก็ต้องฝันใหญ่ไว้ก่อน”


นอกจากนี้เธอยังมองว่า การเป็นศิลปินสำคัญเลยต้องมีสไตล์เป็นของตัวเองหากอยากรู้ถึงตัวตนของเธอ ก็อยากให้ลองฟังเพลงดูบ้าง เพราะเป็นการถ่ายถอดเรื่องราวของตัวเองผ่านเสียงเพลง

“การเป็นศิลปินมันสำคัญมากที่เราต้องเป็นตัวเอง 100% เราจะต้องมีสไตล์ของตัวเอง หรือว่าจะเป็นการแต่งตัว คาแรคเตอร์ หรือว่าอะไรก็ตามที่ Unique ของตัวเอง เพราะว่าการเป็นศิลปินเราต้องโดดเด่น ต้องเป็นตัวเรา100% เพื่อจะสื่อสารถึงสิ่งที่เราจะสื่อสารออกมา

เพราะว่าศิลปินทุกคน ทั่วโลก ทุกคนเป็นตัวของตัวเอง ไม่ได้มีใครที่เขาเป็นตามที่คนบอกว่าเขาต้องเป็นแบบนี้นะ การเป็นศิลปินสำคัญมากที่เรามีสไตล์ มีตัวตนของตัวเอง

คิดว่าสำหรับฉาคงจะมีอันนึง คงเป็นการแต่งตัวของฉาแหละ เพราะว่าชอบแฟชั่นมาก ๆ อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นฉาจะมีสไตล์ของตัวเองที่อยากจะแต่งตัว หรือว่าอยากจะเป็นเหมือนกัน

นอกจากนั้นที่จริงก็อยากให้สไตล์ของเราออกมาในด้านเพลงของเราด้วย เนื้อเพลง สิ่งที่เราต้องการสื่อสารออกมา เหมือนเพลงแรกที่ออกมาเราก็จะพูดถึง Girl power อยากจะให้พลังกับผู้หญิง อยากจะให้พลังความมั่นใจ พลังความสวย พลังความรักตัวเอง เหมือนเราอยากจะสื่อสารสิ่งพวกนั้นออกมา ฉาก็แค่รู้สึกว่าอยากให้ทุกคนที่ฟังเพลงฉาแฮปปี้ เหมือนแบบ Find yourself in my song อยากจะrelate ได้ถึงผู้หญิงทุกคนในหลากหลายอารมณ์”


แม่สอนคิดบวก จึงไม่ล้มเหลวในชีวิต

เริ่มทำงานมาตั้งแต่อายุ 14 ปี มีรายได้ตั้งแต่เด็ก เก็บเงินส่งตัวเองเรียน พร้อมกับซัยพอร์ตครอบครัวมาเรื่อยๆ

“ทำงานตั้งแต่ไฮสคลู แล้วก็ได้เงินมาก็จ่ายค่าเรียนของตัวเอง ตอนนี้ก็ทำงานแล้วก็จ่ายค่าเรียนมหาวิทยาลัยเหมือนกันค่ะ ก็ซัพพอร์ตตัวเองมาเรื่อยๆ ก็มีคุณพ่อคุณแม่ซัพพอร์ตด้วย

คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ได้บอกว่าเธอต้องทำเองได้ทุกอย่างไม่ใช่ เพราะตอนนี้ฉาก็ยังอยู่ที่บ้านอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ เราเป็นครึ่งไทยครึ่งฝรั่ง แต่คุณแม่ก็จะไทยเลย เขาซัพพอร์ตเราเต็มที่ เขาก็จะโชว์ให้เราเห็นหรือว่าสอนให้เรารู้ว่า เราต้องสามารถดูแลตัวเองได้ด้วยนะ เพราะเราไม่สามารถพึ่งเขาได้ตลอดไป”

[ครอบครัวที่คอยซัพพอร์ตในทุกๆ ด้าน]
นอกจากนี้เธอยังยกให้พ่อแม่เป็นแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตอีกด้วย เธอเล่าว่าพ่อแม่ไม่เคยกดดัน หรือบังคับอะไร แต่จะชอบหากิจกรรมให้ทำมาตั้งแต่เด็ก และจะคอยซัพพอร์ตอยู่เสมอเป็นแบบนี้มาโดยตลอด จึงได้พลังบวกในการช้ชีวิตที่ดีจากครอบครัว

“ถ้าเป็นคุณแม่หลักๆ ก็จะสอนการที่เราจะต้อง Positive Thinking เราจะต้องเชื่อมั่นในตัวเอง เราจะต้องคิดด้านบวกตลอด ถ้าเกิดเราลองทำอะไรแล้วมันไม่สำเร็จ ก็อย่าไปอยู่กับความทุกข์ ไม่อย่างนั้นเราก็ไม่สามารถมูฟออนได้คุณแม่ก็จะบอกเสมอว่าต้องเปิดโอกาสให้ตัวเอง

ส่วนคุณพ่อต้องสอนตลอดว่าต้องเข้มแข็ง ต้องมีแพสชั่น ต้องมี Drive อย่าอยู่นิ่งๆ ต้องพยายามหาอะไรทำตลอด ต้องมุ่งมั่น ต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน ถ้าเกิดเราไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจนเราก็จะอยู่แค่นี้ คุณพ่อก็จะเป็นแบบแนวเข้มงวดหน่อย เธอทำอะไรอยู่ เธอต้องไปหางานทำนะ อย่าเป็นเหมือนเด็กที่สปอย อยู่บ้านไม่ทำอะไร คุณพ่อก็จะผลักดันเราตลอด ให้เราเหมือนกับว่าต้องทำอะไรบางสิ่งบางอย่างให้ได้

คุณแม่คุณพ่อไม่สปอยเลยค่ะ เขาเหมือนจะผลักดันเราตลอด ให้เราออกไปทำงาน ออกไปหาอะไรทำ เขาจะไม่ให้เราอยู่เฉยๆ อยู่นิ่งๆ เขาจะเกลืยดมาก คือเราต้องหาอะไรทำตลอด

คุณพ่อคุณแม่เป็นคนที่ Active มาก เขาก็สอนเรามาตั้งแต่เด็ก ก็เลยรู้สึกว่าทำให้เราเป็นแบบนี้ ทำให้เรามีความคิดพวกนี้ เป็นคุณพ่อคุณแม่ ก็เป็น Influencer เบอร์หนึ่งค่ะ

จากสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้ ไม่ว่าจะพวกแบรนด์ ก็ยังไม่มีที่รู้สึกว่าล้มเหลว เสื้อผ้าขายดีมาก บางทีก็ขายไม่ค่อยได้เลย มันก็จะแล้วแต่ประเด็นเป็นช่วงๆ ไป ก็เป็นเรื่องปกติค่ะ ถ้าเกิดว่าเรารู้สึกว่าเราล้มเหลว เราก็แค่โอเคเราอาจจะเสียใจได้ ทุกคนเสียใจได้ แต่สุดท้ายแล้วเราก็ต้องลุกขึ้นมาแล้วก็ทำต่อไป

อาจจะมีช่วงที่ไม่ได้รู้สึกว่าเฟลมาก แต่ก็มีอยู่ตลอดเรื่อยๆ ค่ะบางทีขี้เกียจมาก ขี้เกียจไปเรียน ไม่อยากทำอะไรเลย บางทีเรารู้สึกว่าเราทำหลายอย่างจนเราก็รู้สึกว่ามีช่วงเครียดเหมือนกัน แต่สุดท้ายแล้วเราก็เครียดได้แค่แปบเดียว เราสามารถรู้สึกเสียใจได้ แต่สุดท้ายแล้วเราก็ต้องดึงตัวเองออกมาจากจุดนั้นให้ได้ ไม่อย่างนั้นเราก็จะไม่ไปไหน

บางทีก็เหนื่อย เครียด แต่เป็นเรื่องปกติค่ะ ทุกคนทำงานก็มีเหนื่อยเครียดอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นก็เครียดได้ แต่ต้องหายเครียด คุณแม่สอนเรื่องพวกนี้มาตลอด ปลูกฝังให้เราคิด Positive ก็เลยทำให้เราคิด Positive””


แม้จะเป็นลูกครึ่งไทย-สวิตเซอร์แลนด์ ด้วยความที่โตที่เมืองไทย รับวัฒนธรรมแบไทย จึงถูกปลูกฝังความเป็นไทยมา ทำให้ถูกซึมซับมาตั้งแต่เด็ก

“ที่จริงฉารู้สึกว่าเป็นไทยมากกว่านะ แค่จะมีเรื่องแฟชั่น เรื่องภาษาอาจจะถนัดภาษาอังกษมากกว่า หรือถนัดพูดแต่ภาษาอังกฤษ ความชอบอาจจะชอบเสพพวกหนังหรือว่าเพลงอังกฤษ ฝรั่งมากกว่า แต่ว่าถ้าพูดถึงนิสัย รู้สึกว่าเป็นไทยมากกว่า

ความอ่อนน้อมถ่อมตนต้องมีค่ะ เพราะว่าเราโตในวงการ รู้สึกว่าเรามีสิ่งนี้อยู่แล้ว เพราเราทำมาตลอด คุณแม่ปลูกฝังมาตลอด เพราะคุณแม่เป็นคนที่พูดเก่งมาก แล้วก็สอนเก่งมาก เพราะฉะนั้นตั้งแต่เด็กจนโต คุณแม่ก็จะสอนมาตลอด ห้ามเหลิงนะ

ตอนเด็กคุณแม่ให้เรียนหลายอย่างมาก เคยเป็นนักกีฬาว่ายน้ำ เคยเรียนทุกอย่าง ว่ายน้ำ เปียนโน เทนนิส ไอซ์สเก็ต กีต้าร์ เคยเรียนทุกอย่าง คุณแม่ให้เรียนหลายอย่างมาก สุดท้ายแล้วเราก็เหมือนแค่เลือกในสิ่งที่เราชอบ ซึ่งฉาคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ดีนะคะที่เราให้ลูกเราทำกิจกรรมเยอะๆ คิดว่ามันทำให้ฉาเป็นคนแอคทีฟมากขึ้นเยอะ เป็นคนที่อยู่นิ่งๆ ไม่ได้ เราต้องหาอะไรทำตลอดเวลา เพราะอย่างนั้นเราจะรู้สึกว่ามันไม่ปกติ

หากิจกรรมให้ทำ แต่ไม่ได้บังคับ เขาก็จะถามเราก่อนว่าอยากทำอันนี้ไหม เราก็โอเคอยากลองทำแม่ ก็ลองทำดู เขาก็จะให้การสนับสนุนเยอะเรื่องกิจกรรม คุณพ่อคุณแม่ก็ซัพพอร์ตเต็มที่ค่ะ”


นอกจากนี้สาวสวยที่เรียกได้ว่าโดดเด่นไปทุกๆ ด้าน แล้ว ครอบครัวเธอเองยังมีธุรกิจส่วนตัว นั่นคือ โรงงานไอศกรีมที่เธอต้องได้เข้าไปเรียนรู้ และช่วยเหลืออีกเช่นเดียวกัน จึงเรียกได้ว่าด้านธุรกิจก็โดดเด่นไม่แพ้กันเลยทีเดียว ในวัยเพียงแค่ 21 ปี

คุณพ่อคุณแม่มีโรงงานไอศกรีม ชื่อ “LA VANILLE” ธุรกิจที่บ้านก็มีช่วยค่ะ มีช่วยเรื่องอินสตาแกรมเพจ ช่วยทำมาร์เก็ตติ้ง แล้วก็เป็นนางแบบให้ด้วย(หัวเราะ”

เธอมองว่าแม้จะมีต้นทุนชีวิตที่ดี ก็ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นสิ่งสำคัญในการเริ่มต้นที่จะทำอะไร อยากทุกคนให้ทุกคนมองเห็นถึงคุณค่าตัวเอง แล้วโชว์ให้ทุกคนเห็น เชื่อว่าหากตั้งใจแล้วก็จะทำได้เอง

“เราจะเป็นใครก็ได้ จากไหนก็ได้ ถ้าเกิดเรามีแพสชั่นพอ เรามีความตั้งใจพอ มี Drive พอ เราก็สามารถทำอะไรก็ได้ ไม่จำเป็นต้องรวย เป็นนักร้อง นักแสดง ถ้าเรามีความตั้งใจพอ โชว์สิ่งที่เรามีออกมาให้ทุกคนเห็น เชื่อว่าทุกคนทำได้”

[ทำการตลาดช่วยธุรกิจครอบครัว พร้อมเป็นนางแบบให้อีกด้วย]
กว่า 7 ปี กับอาชีพนางแบบ

เธอเข้าสู่วงการด้วยการชักชวนของเพื่อนให้มาประกวด Young Model ในวัยเพียง14 ปี จนตอนนี้ก็กว่า กว่า7 ปีแล้ว ในวงการอาชีพนางแบบ

กว่าที่จะมาถึงจุดนี้ได้ ก็แคสงานมาไม่น้อย บางครั้งเคยไม่ได้งานเลยก็มี สุดท้ายมันก็ต้องใช้ความอดทนฝันฝ่าเก็บเกี่ยวประสบการณ์ผ่านมายืนได้ในจุดนี้

นอกจากนี้เธอยังเล่าว่า เคยร่วมงานกับแบนรนด์ชั้นนำระดับโลก มีโอกาสร่วมงานกับต่างประเทศในงาน CHANEL Cruise 2018-19in Bangkok อีกด้วย

นอกจากนี้เธอยังเล่าถึงประสบการณ์ที่ผ่านมาว่า นอกจากจะสอนให้มั่นใจในตัวเองและมีความรับผิดชอบมากขึ้นแล้ว ยังได้เรียนรู้ที่จะทำงานอย่างมืออาชีพท่ามกลางแสงสปอร์ตไลท์

“ฉาเริ่มทำงานตอนที่เรียนอยู่ไฮสคูล คือมันก็สอนเราหลายอย่างมาก เพราะว่าเราต้องเรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย แล้วคุณพ่อคุณแม่ก็บอกตลอดว่าถ้าเกิด you เรียนไม่เก่งก็ไม่ให้ทำงานนะ คือคุณพ่อคุณแม่อยากจะให้ตั้งใจเรียนมาก เพราะฉะนั้นก็ต้องตั้งใจเรียน แล้วก็ต้องทำงานไปด้วย

ซึ่งเหมือนตอนที่เราทำเราไม่รู้ตัวหรอก แต่มาเรื่อยๆ เหมือนมันสอนให้เราโตขึ้นเยอะมาก ให้มีความรับผิดชอบ ให้มีความอดทน คุยกับผู้คน ดีลกับผู้คนได้มากขึ้น เพราะฉะนั้นก็ช่วยเราโตขึ้นได้เร็วขึ้นค่ะ
 
เป็นนางแบบมาก่อน ตอนอายุ 14 ปี ก็เล่นละคร เล่นซีรีส์ แล้วก็มาเป็นนักร้อง งานแบบแคสงานกว่าจะได้ ยากมาก เหมือนตอนแรกฉาทำงานแบบและก็ถ่ายโฆษณาด้วย เวลาไปแคสติ้งโฆษณาประมาณ100 แคสติ้งกว่าที่จะได้

ทุกอย่างอย่างมันไมได้มาง่ายๆ ทุกอย่างที่ทำทั้งงานแบบงานแสดงอะไรทุกอย่างเราจะต้องพยายามค่ะ แต่เป็นเรื่องปกติค่ะ ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ”




เห็นเป็นสาวสตรองเก่งไปในทุกด้าน ก็มีบ้างที่เธอเจออุปสรรค เธอเล่าถึงเมื่อสองปีที่แล้ว เดินแบบรองเท้าสูงจนล้ม ทำเอาถึขั้นตกน้ำตาตกเลยทีเดียว

“ล้มมาหลายรอบมากแล้ว มีหลายงาน คือบางทีฉาเป็นคนข้อเท้าไม่ค่อยแข็งแรง เวลาใส่ส้นสูง แบบสูงๆ นานๆ มันจะไม่มีแรงเท้า มีครั้งนึงโชว์ POEM เดินฟินนาเล่แล้ว เดินเป็นแถวแล้วก็ไปขึ้นบันไดก็จะตกแล้วครั้งนึง แต่ก็โอเคยังไม่ตก พอเดินลงไปก็ตกเพราะเท้าคือไม่ไหวแล้ว ไม่รู้สึกเท้าแล้ว ก็ลุกขึ้นมาก็ตกไปอีก ลุกขึ้นมาก็ตกลงไปอีกที ก็เดินเข้าไปวันนั้นร้องไห้เลย

มีหลายงานค่ะที่รองเท้าหลุดบ้าง แต่สุดท้ายก็ผ่านมา อายค่ะ แต่สุดท้ายก็ไม่เป็นไรหรอก มันก็ผ่านมาแล้วก็ทำอะไรไม่ได้”

เมื่อถามถึงความแตกต่างระหว่างการทำงาน ที่ไทย และต่างประเทศว่าได้เรียนรู้อะไรมาบ้าง และมีความแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหนและที่สำคัญเธอยังบอกอีกว่าต้องมีความตรงต่อเวลา

ที่จริงนิสัยของคนไทยที่พี่พูดว่า อ่อนน้อมถ่อมตน มีความแบบ nice บางทีฝรั่งเขาอาจจะไม่ได้ nice เท่าเรา หรือเขาออาจจะไม่ค่อยแคร์มากกว่า เราก็สวัสดี เขาก็แค่แบบ Hi เดินผ่าน แต่มันก็มีข้อดีข้อเสีย คนเมืองนอกเขาก็จะตรงเวลาเป๊ะมาก บางทีอยู่ที่นี่ก็มีงานบางงานก็ไม่ตรงเวลามาก แต่เราก็รู้สึกว่ามันแล้วแต่ แต่ละวัฒนธรรมมันต่างกัน แต่มันก็มีข้อดีของวัฒนธรรมค่ะ

“เราต้องตรงเวลาตลอด เพราะคุณแม่บอกตลอดว่าต้องตรงเวลาตลอด เพราะว่ามันสำคัญนะคะ เราควรที่จะตรงเวลาตลอดค่ะ เพราะถ้าเกิดเราสาย 10 นาที15 นาที หรือครึ่งชั่วโมงเราอาจจะคิดว่ามันไมได้เป็นเรื่องใหญ่มาก แต่ว่าสำหรับคนอื่นที่เราทำงานด้วยมันอาจจะเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเขาก็ได้

เพราะเขาอาจจะต้องมีอะไรต้อทำต่อ ซึ่งเราไม่รู้ เราต้องคิดถึงคนอื่นด้วย แล้วเราก็ต้องตรงเวลา เพราะมันก็คือการฝึกวินัยของตัวเองด้วย ถ้าเราสายไป10 นาทีคิดว่าไม่เป็นไร วินัยเราก็จะไม่ดี เพราฉะนั้นเราก็ต้องตรงเวลา”




แชร์ทริกหุ่นสุดปัง



“ทำเพจเกี่ยวกับเรื่องการกิน การออกกำลังกายด้วยชื่อว่า “dietsocietythailand” ตอนนี้ก็รู้สึกว่าตัวเองทำหลายอย่างมาก คือไม่รู้จะโฟกัสที่อะไร

ทำเพจนี้มาสองปีแล้วค่ะ ที่จริงได้แรงบันดาลใจมากจากพวกเพจเมืองนอกจะมีอย่างนี้เยอะ แล้วเราก็คิดว่าคนไทยยังไม่ค่อยมีคนทำอย่างนี้ คือมันเป็นนข้อมูลที่ใช้ได้ในชีวิตประจำวัน ถ้าเราอยากจะหุ่นดี หรืออยากจะเฮลตี้ ก็เลยลองทำดู ตอนนี้ฟอลโลเวอร์ตอนนี้ขึ้นมาเร็วมากค่ะ ตอนนี้ทำมาประมาณ2 ปี ก็ประมาณ 200,000 ฟอลโล ก็ถือว่าโตเร็วมาก ก็ทำมาเรื่อยๆ

ที่จริงก็สนใจด้านนี้อยู่แล้ว ดูแลตัวเอง คุณแม่ก็เป็น Personal Training ด้วย ก็เหมือนให้เราออกกำลังกายมาตลอด ตอนนี้ พยายามออกกำลังกายอย่างน้อย 5 วันต่ออาทิตย์ อยากหุ่นดีกว่านี้ อยากมีกล้าม แต่มันใช้เวลามาก เหมือนเราทำสิ่งพวกนี้อยู่แล้ว เราลองมาแชร์ให้คนอื่นดู แล้วก็ลองมาทำแบบจริงจังดู

ดูแลตัวเอง กินดี เช้า กลางวัน เย็น ต้องแน่ใจว่าเราต้องกินโปรตีนให้เพียงพอ ที่จริงกินดี ก็ยังกินขนมหรือะไรอยู่นะคะ แต่เหมือนเรามันเหมือนเป็นการไดเอทแบบยืดหยุ่น80% เรากินอาหารที่เฮลตี้ แล้วก็สมบูรณ์เพื่อสุขภาพ แล้วอีก 20% เราก็สามารถทานอะไรก็ได้ที่เราอยากจะทาน เพื่อให้เราไม่รู้สึกกดกัน อดอัด ให้มีความสุขกับการกินอยู่

ข้อมูลที่เราพูดก็เป็นข้อมูลที่เรารู้อยู่แล้ว แล้วก็เป็นข้อมูลที่เรามีในเพจของเราอยู่แล้วด้วยค่ะ ก็แฮปี้ที่เราแชร์จากความรู้ของเรา เราก็แชร์สิ่งดีๆ ให้คนได้ดู ได้ฟัง ได้อ่าน”



สัมภาษณ์ : ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง : พัชรินทร์ ชัยสิงห์
ภาพ : พลภัทร วรรณดี
ขอบคุณภาพ : อินสตาแกรม@matcha_cha


** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **




กำลังโหลดความคิดเห็น