คว้าทุกโอกาสที่เข้ามา! เปิดใจ “โค้ชแบงค์” กับเส้นทางชีวิตที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ทำงานตั้งแต่จำความได้ “ขายสร้อยหอยริมหาด-เต้นเปิดหมวก” สู่การเป็นนักธุรกิจขายเสื้อบนแพลตฟอร์มออนไลน์ระดับโลก ได้จับเงินล้านโดยที่ไม่ต้องจับสินค้าตัวเองแม้แต่ชิ้นเดียว!
“ธุรกิจ POD” ทำเล่นๆ แต่รับทรัพย์ปีละหลายล้าน!
“ธุรกิจ POD ย่อมาจาก Print on Demand คือเราจะผลิตสินค้าก็ต่อเมื่อคนสั่งเข้า ผมทำ 5-10 ชั่วโมงต่ออาทิตย์ ทำมาเรื่อยๆ แต่ช่วงสิ้นปียอดขายมันมาสูงมาก กำไรแค่เดือนเดียวก็ได้เป็นแสนเลย เราเห็นว่ามันมีโอกาส”
ชายหนุ่มในเสื้อยืดสีดำ ผู้นั่งอยู่ด้านหน้าทีมข่าว MGR Live คือ “แบงค์-เริงณรงค์ ปรียาพงษ์” หรือ “โค้ชแบงค์” วัย 31 ปี โค้ชสอนทำธุรกิจออนไลน์ ผ่านเพจเฟซบุ๊ก “The E-Com Wealth Project”
ตลอดจนการทำธุรกิจขายเสื้อยืดบนแพลตฟอร์มระดับโลกอย่าง Amazon, Etsy, Redbubble และอื่นๆ อีกมากมาย ธุรกิจดังกล่าวสามารถทำเงินให้เขาตกปีละหลายล้านบาท โดยที่เขาไม่ต้องจับเสื้อที่ขายแม้แต่ตัวเดียว!
หนุ่มไฟแรง ได้อธิบายเพิ่มเติมถึงธุรกิจ POD หรือ Print on Demand ว่าเป็นธุรกิจออนไลน์ที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้ เพราะแทบจะไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายในการลงทุนเลย โดยในปีแรกที่เริ่มทำธุรกิจ POD แบบ Part time ก็สามารถทำกำไรให้เขานับแสนบาท และเมื่อทำมาได้ 2 ปีก็สามารถทำยอดขายปีล่าสุดสูงถึง 472,000 เหรียญ หรือประมาณเกือบ 15 ล้านบาทไทย ถ้าอยากรู้ว่า POD คืออะไร มาทำความรู้จักธุรกิจนี้ไปพร้อมๆ กัน
“ธุรกิจ POD เป็นธุรกิจที่มีต้นทุนน้อยมาก ไม่ต้องสต๊อกสินค้า มีสินค้าเป็นร้อยๆ ชิ้น สามารถทำได้ทั้งปลอกโทรศัพท์ เสื้อแขนยาว-แขนสั้น กระเป๋า บางทีผ้าม่านหรือพรมเช็ดเท้าก็มี แต่เสื้อเป็นสินค้าที่ผมถนัดที่สุด แพลตฟอร์มจะผลิตสินค้าก็ต่อเมื่อคนสั่ง แล้วจัดส่งให้ลูกค้าเรา โดยที่เราไม่มีค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียเลย
หน้าที่เราเป็นคนออกแบบลายกราฟิก แล้วเอาไปลงเสื้อ Mock-up ขายตามแพลตฟอร์มอย่างพวก Amazon, Etsy, Redbubble เป็นแพลตฟอร์มใหญ่สุดสำหรับทำธุรกิจนี้ ผมศึกษาเป็นปีครับ ปีแรกเป็น Part time เดือนแรกขายแทบไม่ได้เลย ที่ขายได้เกินครึ่งคือซื้อเอง เพราะเราอยากรู้ว่าเป็นเสื้อแบบไหนน่าจะได้กำไรประมาณ 50 เหรียญ แต่เดือนที่ 2 เริ่มขายได้ แต่พอมาเจอเดือนธันวาฯ มันขึ้น เลยรู้สึกว่าต้องจริงจังมากขึ้นแล้ว
Amazon เป็นแพลตฟอร์มที่เคร่งที่สุด แต่คนเข้ามาชอปเยอะสุด มีขายทั่วโลกแต่ผมโฟกัสที่อเมริกาที่เดียว เพราะว่าแต่ละประเทศจะมีเครื่องหมายการค้าที่ต่างกันออกไป ส่วนมากมันจดลิขสิทธิ์คำพูดที่เราใช้ในการดีไซน์ ละเอียดอ่อนมาก บางครั้งเราลืมเช็กเขาก็ Reject ดีไซน์ผม Reject บ่อยๆ มันก็เสี่ยงต่อการถูกลบแอ็กเคานต์ ผมอยากให้มันอยู่มันอยู่ในระบบที่ผมควบคุมได้ มันมีกฎระเบียบต่างกัน เราทำงานในบ้านเขา เราต้องทำตามกฎ”
พร้อมทั้งเผยทริกในการทำธุรกิจ POD ที่คนไม่มีฝีมือด้านงานศิลปะก็สามารถทำได้?!
“ผมเป็นคนชอบวาดรูปตั้งแต่เด็ก แต่แทบไม่ได้ใช้ มันมีพวกเว็บกราฟิก เราใช้กราฟิกของเขา แต่ต้องไม่ผิดลิขสิทธิ์ ตอนที่ผมเริ่มทำใหม่ๆ ผมวาดเอง ใช้เวลานานมากทำให้มันดูดี แต่ว่าไม่มีคนซื้อ เราชอบแต่คนอื่นไม่ชอบ มันเป็นธุรกิจ Data หมายความว่าเราต้องไปดูตลาดก่อน คนเขาซื้ออะไร ชอบอะไรเราถึงมาทำ มันไม่ผิดหรอกถ้าสิ่งที่เราชอบมันมีความต้องการในตลาด ถ้าเราไปชอบอะไรที่คนไม่ชอบก็ไม่เวิร์ก เราต้องปรับความคิด มันเปลี่ยนให้เรามีรายได้มากขึ้น
[ เผยยอดขายในปีล่าสุด ]
ผมทำธุรกิจ POD ประมาณ 2 ปี มีประมาณ 7,000 ดีไซน์ ลายที่ขายดีที่สุดผมใช้เวลาออกแบบ 15 นาที ราคา 17.99 เหรียญ หรือประมาณ 500 บาทไทย ผมจะได้เกือบ 4 เหรียญต่อตัว ใน Amazon ลายนี้ผมขายได้ประมาณ 1,938 ชิ้น กำไรอยู่ที่ประมาณ 7,700 เหรียญ ประมาณ 200,000 กว่าบาท แต่จะบอกว่าทุกตัวไม่ได้ขายดีอย่างนี้เสมอไป
ขายได้สูงสุดอยู่ที่วันละ 20 ตัว แต่เฉลี่ย 1 วันขายได้ประมาณ 60 ตัว เฉลี่ยจากธุรกิจ POD ผมได้กำไรประมาณวันละ 200-400 เหรียญ หรือ 6,000-10,000 บาทไทย ธุรกิจออนไลน์มันมานานแล้ว แต่พอโควิดเข้ามามันเปลี่ยนทุกอย่าง ทำให้การทำธุรกิจออนไลน์มันพุ่ง ธุรกิจผมดีกว่าปีที่แล้วทั้งที่แทบไม่ได้ให้เวลากับมันเท่าไหร่”
เจาะถูก Niche เพิ่มโอกาสติด Best seller
“ตอนแรกเราทำใหม่ๆ เราไม่เข้าใจหรอกครับว่าอะไรคือ Best seller เราทำไปเรื่อยๆ เข้าใจแล้วว่า Best seller จะมีแต่ละ Niche สมมติเสื้อเกี่ยวกับ Father Day ถ้าเรามาติด Best seller ใน Father Day โอกาสที่จะขายได้วันละเป็นร้อยตัวมันมี”
อีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่จะทำธุรกิจนี้ให้ประสบความสำเร็จ คือ Niche market หรือการเจาะกลุ่มเป้าหมาย โดยในตลาด POD นั้น มี Niche ให้เลือกเจาะอยู่นับล้าน
[ ตัวอย่างดีไซน์เสื้อของโค้ชแบงค์ ]
“ผมจะสอนวิธีการรีเสิร์จหาสินค้าที่ขายได้ใน Niche นั้น สมมติผมจะเจาะ Soccer มันจะเปิดให้ดูเลยว่ามีอะไรมั่งที่ขายอยู่ แล้วเราก็เจาะเข้าไปอีกเพื่อที่จะให้คู่แข่งน้อยลงไปอีก อาจจะเอา Unicorn มาผสม เป็นยูนิคอร์นเล่นฟุตบอล อาจจะมีคู่แข่ง 200 คนก็น้อยลงมา อะไรประมาณนี้
มันจะมีแอปอยู่ เราเอา Niche มาใส่แล้วดูว่า Rank เท่าไหร่ เขาขายได้ประมาณกี่ชิ้นต่อเดือน Rank เท่าไหร่ต่อสินค้าชนิดนี้ คนผลิตเท่าไหร่ สมมติมีคนซื้อ 10-50 ชิ้นต่อเดือน แล้วมันมีคนผลิต 4-5 คน แสดงว่าถ้าเราเข้าไปใน Niche นี้ เราก็มีโอกาสขายได้สูง ถ้าเราทำงานดี เราต้องดูด้วยว่าเราทำได้ดีกว่าเขามั้ย สำหรับผมเองถ้าทำได้แย่กว่าเขาผมก็ไม่เข้า ผมเป็นคนไม่ค่อยเก่งดีไซน์อะไรมาก ผมจะเข้า Niche อันที่ง่ายๆ
มันมีเยอะมีเป็นล้าน Niche บาง Niche ที่คนแทบไม่รู้จักอาจจะมีพวกตัวเงินตัวทอง คนล่าไก่งวง คนตกปลา ภูมิประเทศ ก็มีคนทำอยู่ รูปผมก็ไม่ได้วาดเอง เอามาจากเว็บกราฟิก เอามารวมๆ กัน ทำสีใหม่ให้ดูน่าซื้อ Niche market ที่ขายดีคือหัวข้อ Evergreen จะเกี่ยวกับอาชีพหรือการงาน เล่นกีฬา ขายได้ตลอดทั้งปี”
เมื่อถามต่อว่า เป็นเรื่องยากหรือไม่ที่จะประสบความสำเร็จในอาชีพนี้ เขาก็ตอบว่า อาจต้องอาศัยดวงด้วย เพราะหากโชคดีที่มีสินค้าติด Best seller ก็สามารถพลิกชีวิตกันเลยทีเดียว
“ข้อดีของธุรกิจนี้ ผมไม่เคยได้จับเสื้อสักชิ้นเลย เวลาคนซื้อเสร็จ บริษัทปรินต์แล้วจัดส่งให้เราทั้งหมด หน้าที่ของเราคือรับเงินอย่างเดียว ผมทำไปเรื่อยๆ อาจจะ 1 ในร้อยถึงติด Best seller แต่พอเราติด Best seller 2-3 ชิ้น มันสามารถเปลี่ยนชีวิตคุณได้จริงๆ อีก 5 ปีข้างหน้ามันก็จะขายได้
จากสถิติที่ดูมาก็ยังขายดีอยู่ บางวันขายได้ 20-30 กว่าตัว เพราะเสื้อตัวนั้นตัวเดียว เราไม่เสียอะไรเลย เราเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ เรามีสิทธิที่จะไปขายแพลตฟอร์มไหนก็ได้ จะเอาออกเมื่อไหร่ก็ได้ สมัยก่อนเวลาทำดีไซน์ ผมเหมือนหว่านแหมากกว่า ทำมาเป็นร้อยดีไซน์อาจจะขายได้แค่ไม่กี่ดีไซน์ แต่ตอนนี้เราเข้าใจธุรกิจ เข้าใจระบบมากขึ้น เวลาดีไซน์ออกมา 5 งานอาจจะขายได้ 3 งานก็ได้ โอกาสขายได้มันมากขึ้น
เราไม่ได้ต้องการคนเก่ง เราต้องการคนที่รู้ตลาด สวยมากไปก็ไม่ได้ขายได้ แต่ถ้าเราวาง Layout ให้ดี ไม่จำเป็นต้องสวยแต่คนซื้อ มีคนที่ทำแบบเราแล้วได้รายได้เยอะกว่าเราก็มี ต้องเข้าใจก่อนว่าธุรกิจมันไม่ได้เหมาะกับทุกคน 1 ใน 10 จะทำได้ คนที่ทำไปเรื่อยๆ ตั้งใจทำ ไม่ท้อก่อน มันประสบความสำเร็จอยู่แล้วเพราะไม่ได้ยากขนาดนั้น เรียนรู้ไปเรื่อยๆ เอง”
ขายสร้อยหอย-เต้นบีบอย เลี้ยงชีพ
แม้ทุกวันนี้หลายคนอาจจะมองว่าเขาประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ใครจะรู้ว่าเบื้องหลังของชายผู้นี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะเขาเติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่ฐานะยากจน ต้องหาเช้ากินค่ำ ตัวเขาเองก็ยังต้องช่วยงานที่บ้านตั้งแต่จำความได้ และทำมาแล้วหลากหลายอาชีพ ไม่ว่าจะเป็น ขายของที่ระลึกบนชายหาด, ขายเรียงเบอร์, นวดในห้องน้ำ, ขายรองเท้ามือสอง รวมไปถึงการเต้นบีบอยเปิดหมวก
“ชีวิตจริงลำบากครับ ตั้งแต่จำความได้ 7-8 ขวบเลย สมัยเด็กก็ไปช่วยยายขายของที่ชายหาดบางแสน ขายสร้อยหอยสำหรับคนที่มาเที่ยว ยายผมเป็นคนขายพวกหมวก ห่วงยาง ของที่ระลึก มีเรื่องตลกอยู่ครั้งหนึ่งที่โดนเทศกิจจับ ขายสร้อยหอยบนชายหาดบางแสนมันผิดกฎหมาย แต่ว่าต้องทำเพราะมันก็มีค่าใช้จ่ายที่เราต้องช่วยยาย โดนจับวันนั้นจำได้เลย นั่งร้องไห้บนรถเทศกิจ โดนกักตัว 1 วัน พอถึงตอนเย็นยายก็มาเอาตัวออก
วันหวยออกจะเป็นวันที่สนุกสนานมาก ผมกับเพื่อนๆ จะไปยืนรอรับเรียงเบอร์เอาไปขาย ถ้านึกถึงอาชีพหลายๆ อาชีพ ผมเคยทำมาอยู่ นวดในห้องน้ำผมก็เคยทำ ตอนโตขึ้นมาแล้ว ประมาณ 16-17 เพื่อนชวนไปทำ นวดหลังเวลาคนมาร้านอาหาร หลายๆ อย่างที่ทำก็สนุกกับมันนะ ผมเป็นคนที่ชอบอะไรท้าทาย
ตอนอายุประมาณ 17-18 ธุรกิจแรกที่ผมเริ่มทำคือ “ขายรองเท้ามือสอง”เราไปรับรองเท้ามือสองจากโรงเกลือมาขายตลาดนัดวังมุขแลนด์ ลงทุนไม่เยอะ รองเท้าคู่หนึ่งไปรับมาอยู่ที่ประมาณ 200-300 เราเอามาขาย 400-500 แต่เอาจริงๆ มันไม่ได้กำไรเท่าไหร่ พอเราคิดหักลบแล้วก็ไม่ได้เหลือมาก ทำให้เรารู้จักว่าธุรกิจคืออะไร อย่างที่บอกเป็นคนชอบทำอะไรแบบนั้น มันเหมือนกับทำให้เราสนุกในการใช้ชีวิตด้วย”
[ เมื่อครั้งที่ยังเต้นบีบอยเปิดหมวก ]
นอกจากการค้าขายแล้ว ด้วยความที่เขาเป็นคนมีความสามารถด้านการเต้น จึงใช้สิ่งที่สร้างรายได้ให้แก่ตนเอง และชีวิตของแบงค์ก็พลิกผันอีกครั้ง เมื่อมีโอกาสได้รู้จักกับภรรยาชาวแคนาดา ที่ขณะนั้นเธอเดินทางมายังประเทศไทย
“ผมขายรองเท้าก่อนที่จะมาเต้นบีบอย พอเต้นเก่งขึ้นมา มีคนชวนไปเต้นเปิดหมวกแถวพัทยา ผมเต้นแล้วได้เงินก็เลยตั้งใจเต้นให้ดีขึ้นแล้ว แล้วก็เข้ามหา'ลัย ตอนนั้นเรียนที่ ม.บูรพา คณะศิลปกรรม จริงๆ แล้วผมไม่ได้รบกวนเงินคุณพ่อคุณแม่มาตั้งแต่มหา'ลัย เริ่มเต้นบีบอยผมเริ่มมีเงินเอง ในส่วนการเรียนบางตัวผมก็ได้ทุน ก็คือช่วยในการจ่ายค่าเทอม
ตอนเรียนอยู่ปี 2 รู้สึกว่าที่เรียนอยู่มันไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากทำตอนโตไป ผมตัดสินใจดรอปเรียน แล้วก็มาเต้นบีบอยเต็มเวลา เป็นอะไรที่ช็อกคุณแม่เหมือนกัน เพราะจู่ๆ ผมบอกแม่ผมจะออก ผมรู้สึกว่ามันไม่ใช่ตัวผม ผมเรียนต่อไปอย่างน้อยก็เสียเวลาอีกปีครึ่ง แต่คือผมมีเป้าหมายไง ผมดรอปมาเพื่อมาเต้น มาเก็บเงิน แล้วจะเดินทางไปแคนาดา มันตั้งใจไว้แล้ว ตอนนั้นมารู้จักกับภรรยาที่เมืองไทย เรามารู้จักกันที่โบสถ์คริสต์ เราได้ทำงานร่วมกัน แล้วเขากลับบ้านไป
ตอนนั้นผมรู้แล้วว่าทางเดียวที่จะเก็บเงินได้ไวที่สุดก็คือการเต้น ก็เลยตัดสินใจหยุดเรียนก่อน ทั้งเต้นเปิดหมวก ทั้งจัดงานแข่งเต้น แล้วก็เก็บเงินช่วงประมาณ 1 ปี ตอนนั้นผมเต้นวันละประมาณพันบาท เงินพันบาทเยอะนะ เราไปทำอย่างอื่นมันไม่ได้อย่างนั้น ถ้าผมเต้นวันเว้นวัน ถ้าใช้แบบประหยัดจริงๆ ปีหนึ่งก็ได้เป็นแสน อย่างน้อยก็พอค่าเครื่องบินแล้ว
โค้ชแบงค์ยอมรับว่า เมื่อตอนยังเด็กก็มีความรู้สึกน้อยใจในชะตาชีวิตที่ต้องทำงานหาเงินช่วยเหลือทางบ้าน ทั้งที่ควรจะเป็นวัยที่ได้เที่ยวเล่นตามประสา แต่เมื่อโตขึ้นก็คิดได้ว่า ทั้งหมดที่ทำได้หล่อหลอมให้ให้เขาเป็นเขาอย่างทุกวันนี้
“ตอนที่ขายเรียงเบอร์ ขายสร้อยหอย บางทีก็รู้สึกอิจฉาเพื่อน ทำไมคนอื่นเขาไปเล่นได้ แต่การได้เห็นชีวิตยายเป็นอะไรที่คุ้มมาก ถ้าให้ย้อนชีวิตกลับไปก็ไม่เลือกที่จะเล่นกับคนอื่น หลายๆ อย่างที่ครอบครัวสอนเรา ยายทำงานหนักตื่นตั้งแต่ตี 4 ทุกวัน ออกไปตลาดซื้อกับข้าวมาทำอาหารแล้วไปขายของ กลับมาก็ทำกับข้าวให้ที่บ้านกินแล้วถึงเข้านอน ยายเป็น Role Model ตั้งแต่เด็กเลย
พอโตมาเรารู้สึกว่าเราสนุกกับมัน ผมคิดว่าทุกอย่างมันเป็นสเตป แต่ละอย่างที่ผมทำเหมือนกับมันสร้างเพื่อให้ผมมีวันนี้ ผมรู้สึกว่ามันเป็นข้อดี เพราะว่าตอนนี้เรารู้ว่าเราต้องทำงานหนักกว่าคนอื่นเขาเพื่อที่จะให้เรามีอะไรที่ดีขึ้น ตอนนี้ถึงแม้ผมจะสำเร็จในระดับหนึ่ง แต่ผมมองกลับไป ความขยันผมยังไม่เท่ายาย ยายนำผมอยู่หลายเท่า ตอนนี้ยายก็ไม่ต้องขายของแล้ว อยู่กับคุณแม่ คุณแม่ก็ฐานะดีขึ้นกว่าเดิมเยอะ
สิ่งที่ผมเรียนรู้มา หลายคนเริ่มไม่เท่ากัน นับ 1-10 บางคนเริ่มที่ 4 บางคน 7-8 แล้ว จริงๆ แล้วมันมีอยู่อย่างนึงที่เริ่มเท่ากันคือความขยัน ทุกคนเริ่มจากศูนย์ไม่ว่าคุณจะมีอะไรมาก่อน ผมคิดว่าถ้าผม ถ้าผมขยันมากกว่าคนอื่น ผมก็สำเร็จได้ในการทำธุรกิจ”
เงิน 1 ก้อนกับชีวิตใหม่ในแคนาดา
“จริงๆ ตอนนั้นอยากย้ายไปอยู่กับแฟน หนทางเดียวที่จะไปได้คือต้องไปเรียน ไม่งั้นจะไม่ได้วีซ่า งั้นเราต้องไปเรียนแคนาดา พอเราไปถึงนู่น เงินที่เราเก็บมาจากการเต้น 1 ปี มันพอค่าตั๋วเครื่องบินและจ่ายค่าเทอมเทอมแรกก็หมด (หัวเราะ) เดี๋ยวไปหาเอาดาบหน้า”
เมื่อบทเรียนชีวิตพลิกมาสู่บทใหม่ ความท้าทายก็มากขึ้นตามมา หลังจากที่ข้ามน้ำข้ามทะเลมายังดินแดนแทบไม่มีใครรู้จักเขา ประกอบกับเงินติดตัวที่ร่อยหรอลงทุกวัน ทำให้ แบงค์ ในวัยเพียงยี่สิบต้นๆ ขณะนั้นต้องทำทุกอย่างเพื่อเอาชีวิตรอดให้ได้
“เรามีวีซ่านักเรียน เราไปเรียนจริงๆ แต่ทำงานไปด้วยหลังเลิกเรียน เขาไม่ให้เราทำงาน ตอนนั้นก็ทำร้านอาหารไทย เป็นเด็กเสิร์ฟ เด็กล้างจาน จะได้เงินน้อยกว่ามาตรฐานของเขา แล้วก็มาเปิดบริษัทตัดหญ้ากับแฟน ทำได้อยู่ประมาณซัมเมอร์หนึ่งแล้วก็หยุดไปเพราะเรียนหนักขึ้น มันโฟกัสไม่ได้ เราต้องโฟกัสเรื่องเรียนก่อน
ตอนที่ย้ายไปตอนแรกต้องเรียนภาษาก่อนที่เราจะเข้าไปเรียนมหา'ลัย เรียนภาษาประมาณปีกว่าถึงเข้าไปเรียนบัญชีที่มหา'ลัย ชีวิตมันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตอนแรกก็ไม่ได้คิดเยอะขนาดนั้น แต่พอไปถึงแล้วมันต้องคิดวิธีทำยังไงก็ได้ให้เราอยู่รอด แฟนก็เรียนอยู่เหมือนกัน ทั้งคู่ไม่มีเงิน แต่เราก็ทำงานหนักทั้งคู่ กู้เงินรัฐบาลด้วยส่วนหนึ่งมาเรียน”
เป็นอีกครั้งที่ชีวิตเดินมาถึงทางแยก เพราะมีโอกาสได้มารู้จักกับการทำธุรกิจออนไลน์ เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่เปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาล…
“ผมเรียนจบมาก็ทำงานเป็นนักบัญชี แต่จริงๆ แล้วมันไม่สวย มันไม่หวานขนาดนั้น จบมาจริงๆ ทำได้ประมาณ 6 เดือน ผม Burnout (ภาวะหมดไฟ) แบบสุดๆ มันไม่ใช่เราเลย กลับบ้านอยากจะร้องไห้ มันเป็นอะไรที่ฝืนสุดๆ ตอนนั้นมีลูกแล้ว ผมบอกแฟน ทำต่อไปไม่ได้แล้ว ผมต้องออกมาทำธุรกิจ ถ้าทำต่อไปผมคงเป็นโรคซึมเศร้าแน่ แฟนก็โอเค มาดูว่าจะทำอะไรได้บ้าง
ผมเป็นคนที่ลองทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิต รู้สึกว่าไหนๆ มันก็มาอยู่ข้างหน้าแล้ว ลองดู ถ้ามันไม่ใช่ก็ปล่อยไป แต่ถ้ามันใช่เราก็โฟกัสให้มากขึ้นแล้วก็ทำให้เต็มที่ ผมออกมาไม่ได้เพราะขี้เกียจ แต่ออกมาจะทำอย่างอื่น ผมรู้ว่ามันจะต้องทำได้แต่ไม่รู้ว่าตอนนั้นจะทำอะไร เราก็ศึกษาผ่านยูทูป มีอะไรบ้าง How to make money online ก็ลองหาดูเรื่อยๆ
[ ธุรกิจแรก “ขายหนังสือมือสองออนไลน์” ]
ธุรกิจแรกที่เริ่มทำคือ “ธุรกิจขายหนังสือมือสองผ่าน Amazon” วิธีการทำคือเราไปตามห้างมือสอง เอาแอปของ Amazon เราไปสแกนหนังสือแต่ละเล่ม สแกนเสร็จมันจะบอกเราเลยว่าหนังสือเล่มนี้คนจะซื้อในราคาเท่าไหร่ มีคนขายกี่คน พอไปทำจริงๆ มันเห็นเลย หนังสือขายอยู่ประมาณ 3.99-5.99 เหรียญ เป็นหนังสือเรียน แต่เวลาเราเอาไปขายมันจะเริ่มตั้งแต่ 60-100 เหรียญ บางเล่ม 200 เหรียญก็มี แต่ต้นทุนต่ำมาก ผมเห็นช่องทาง เอาล่ะ จะลุยเต็มที่เลย
ผมขับรถทัวร์จังหวัดที่ตัวเองอยู่ ไปห้างมือสองสแกนหนังสือให้หมด เพราะเมืองนอกคนมีเงินมันเยอะ พอเขาใช้เสร็จก็เอาไปบริจาคให้กับห้างมือสอง แล้วห้างมือสองก็เอามาขายในราคาถูก เราก็เข้าไปสแกนหาเล่มที่มันมีราคาสูงๆ มาขาย ผมเริ่มธุรกิจนั้นปีแรกผมได้เงินประมาณแสนเหรียญ หรือประมาณ 3 ล้านบาทไทย ก็ออกมาทำอันนี้เต็มเวลา”
อาจเรียกได้ว่าการลาออกจากงานบัญชีเป็นการตัดสินใจที่ถูก เพราะธุรกิจขายหนังสือมือสองออนไลน์นั้น สร้างรายได้ให้เขามากมายจนสามารถปลดหนี้กู้ยืมจากรัฐบาลได้ในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี
“ตอนทำบัญชีได้เงินประมาณปีละ 40,000 เหรียญ ส่วนอันนี้หักแล้วก็มากกว่า 2 เท่า แต่ทำงานหนักกว่า ไม่มีสวัสดิการ ไม่มีความปลอดภัย ถ้าเราขี้เกียจเมื่อไหร่ก็จะไม่ได้ยอด มันอาศัยความขยัน ทำธุรกิจนั้นประมาณปีครึ่ง ผมจ่ายหนี้ที่ติดรัฐบาลไว้ทั้ง 2 คนประมาณ 50,000 กว่าเหรียญ กู้ยืมมาเรียน คนอื่นเขาก็งงเหมือนกัน ปกติคนเมืองนอกใช้เวลาประมาณ 10 ปี อย่างพ่อแม่แฟนผมก็ใช้เวลาเกือบ 20 ปีจ่ายเงินที่เขากู้มาจากรัฐบาล
แต่งานบัญชีมันมีประโยชน์มาก ถ้าผมไม่รู้จักงานบัญชี ภาษี ผมคิดว่าไม่ได้อยู่จุดนี้ มันช่วยได้เยอะเลย เพราะเราทำธุรกิจ ผมเสียภาษี 2 ที่ เพราะผมรับเงิน 2 ที่ เราไม่เอามารวมกัน”
เติมเต็มชีวิต โค้ชธุรกิจสอนคนไทย
“ช่วงนั้นผม Burnout จากธุรกิจออนไลน์ ต้องเข้าใจว่าเราทำธุรกิจออนไลน์มันเหงา ไม่มีเพื่อน ผมไม่ได้คุยกับใครมาเป็นปี ผมเป็นคนชอบเข้าสังคม แต่บางทีธุรกิจออนไลน์มันไม่มี สิ่งแรกที่ทำให้ผมมาสอน คือ ต้นปีนี้ผมกลับมาจากแคนาดามาที่ไทย มาเจอรุ่นน้องที่รู้จัก รุ่นน้องบอกมาสอนหน่อย อยากรู้ว่าพี่ทำอะไร อยากทำแบบพี่บ้าง ผมก็เลยบอกหาคนมาให้พี่สัก 10 คน คอร์สเล็กๆ น้องก็หานักเรียนมาให้ 10 คน ผมก็ไปสอน 10 คนนั้นเป็นคอร์สแรกของผมเลย
บอกตัวเองว่าอยากทำ บอกกับแฟนว่าไม่มีความสุขอย่างนี้มานานแล้วในการทำงาน ชอบมาก แล้วตอนนั้นต้องกลับไปแคนาดา โควิดมาพอดี เดินทางไม่ได้ เลยลองทำคอร์สออนไลน์ดีกว่า ก็มีความสุขกับการสอน เกือบปีแล้วครับ เริ่มประมาณเดือนมีนาฯ”
ปัจจุบัน นอกเหนือจากการงานขายเสื้อออนไลน์ที่ยังทำอยู่ แบงค์ได้เบนเข็มมาสู่การเป็นโค้ชสอนทำธุรกิจ ถ่ายทอดวิทยายุทธ์ให้แก่ผู้ที่สนใจ โดยเขาไม่ได้มองว่าจะทำให้คู่แข่งเพิ่มขึ้น เพราะความต้องการในตลาดออนไลน์มีสูง
“ตอนนี้มีสอนคอร์สออนไลน์ สามารถเรียนผ่านเว็บไซต์ ผ่านเฟซบุ๊ก แล้วก็มีคอร์สสดที่เราไปสอนตามต่างจังหวัด เจอตัวจริงๆ ผมชอบสอนคอร์สสดมากเพราะคิดว่านักเรียนที่เข้ามาเรียนจะได้อะไรกลับไปมากที่สุด สอนต่างประเทศยังไม่มี แต่ในอนาคตวางแผนจะทำเป็นคอร์สภาษาอังกฤษ เพราะมีคนถามเข้ามาเยอะ
ผมมีนักเรียนที่เรียนอยู่มัธยมนะ มียอดขายเดือนละ 4-5 หมื่น นักเรียนส่งข้อความมาบอกว่า ขอบคุณนะ ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันนี้ ปกติกลับบ้านเล่นเกม ตอนนี้กลับบ้านทำงานออกแบบ มีเงินเข้ามาเดือนเป็นหมื่น มีคนส่งข้อความมาเรื่อยๆ เรารู้สึกดี มันรู้สึก Full feel อย่างน้อยให้คนมาประสบความสำเร็จ ผมอยากให้คนไทยมากกว่า ดีกว่าไปปล่อยโอกาสให้คนต่างประเทศ ผมนึกภาพนะ สมัยก่อนถ้าผมได้รู้จักกับธุรกิจนี้ตั้งแต่เด็ก ชีวิตผมจะดีกว่านี้อีก
ก่อนที่อินเทอร์เน็ตจะมาถึง เราไม่มีโอกาสรู้เลยนะว่าคนที่จะประสบความสำเร็จเขาทำอะไรแต่ละวัน แต่พออินเทอร์เน็ตมามันเหมือนสะพานเชื่อมระหว่างคนยากจนกับคนมั่งมี อันนี้ก็เหมือนกัน ผมคิดว่ามันเป็นโอกาสของทุกคน ถ้ามีความขยันก็สำเร็จได้
ถามว่ามีคู่แข่งเพิ่มเข้ามามั้ย มันก็มี ทำให้ตลาดมีคนเข้ามาเยอะมากขึ้น แต่ว่าจริงๆ แล้ว ดีมานด์มันก็เพิ่มมากขึ้นทุกวัน เพราะคนชอปออนไลน์เพิ่มมากขึ้น คนเข้ามาชอปออนไลน์บน Amazon.com ต่อเดือนทั้งโลก 197 ล้านคน เราขอแค่เป็นเศษเสี้ยวในนั้น จริงๆ แล้วมีหัวข้อเยอะมากถ้าเขาเข้าใจการทำธุรกิจนี้”
ส่วนใครก็ตามที่ตัดสินใจลงมือในธุรกิจนี้แล้ว และยังไปไม่ถึงตามเป้า โค้ชแบงค์กล่าวว่า อย่าเพิ่งถอดใจ อย่างน้อยควรให้เวลาตัวเองสัก 3 เดือน
“ผมบอกนักเรียนผมเสมอว่าการตั้งเป้าสำคัญมาก ต้องมี Short Term Goal เป้าระยะสั้น และ Long Term Goal เป้าระยะยาว ทุกคนมีความเก่งแต่ละด้านต่างกันออกไป บางคนอาจจะไม่ได้เกิดมาเพื่อทำธุรกิจนี้ แต่ผมแนะนำว่าอย่างน้อยให้เวลาตัวเอง 3 เดือน
เดือนแรกคือการฝึกซ้อม ให้เวลาตัวเองเรียนรู้ เดือนที่ 2 ที่ 3 อาจจะตั้งเป้าต้องให้ได้เท่านี้ ถ้าคนที่เริ่มใหม่ Breakdown อย่าไปมองอะไรที่ใหญ่เกินไปจนเราเอื้อมไม่ถึง ใช้ตัวเลขให้มันดูง่ายขึ้น ทำยังไงให้ได้ 500 เหรียญต่อเดือน มันดูเยอะนะ แต่ถ้าเรา Breakdown ขายให้ได้ 6 ตัวต่อวัน คุณก็ได้ 500 เหรียญต่อเดือนแล้ว ถ้ากำไรตัวละ 3 เหรียญ คิดแบบขั้นต่ำ รีเสิร์ชให้ดี 6 ตัวต่อวันไม่ยากเลย ถ้าตั้งใจจริงๆ
ถ้าไม่ถึงต้องมาวิเคราะห์ว่าเป็นเพราะอะไร เราทำทุกอย่างตามที่สอนแล้วรึเปล่า เราทำตามที่คนอื่นทำแล้วประสบความสำเร็จแล้วมั้ย ถ้าทำแล้วมันยังไม่ได้อีก อาจจะเป็นที่ว่าเราอาจจะไม่ใช่ธุรกิจที่เหมาะกับเรา บางทีเราอาจจะ Move on ไปทำอย่างอื่น
แต่ไม่ได้หมายความว่าเราเป็นคนล้มเหลว บางทีคนคิดว่าถ้าเราหยุดทำธุรกิจแล้วเราล้มเหลว มันไม่ใช่ คุณอาจจะไปรุ่งเรืองด้านการทำธุรกิจอื่น อันนี้เป็นแค่ส่วนหนึ่ง ตอนนี้เราก็มีโปรเจกต์อื่นด้วยที่กำลังทำ มีพาร์ทเนอร์ที่กำลังทำงานร่วมกัน ยังไม่อยากสปอยล์ ทำขายในไทย เป็นโปรดักส์และเซอร์วิสผสมกัน”
โค้ชธุรกิจดัง ยังได้ฝากคำแนะนำ ถึงผู้ที่สนใจในงานด้านนี้ว่า ควรมีบุคคลต้นแบบ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจ หากอยากไปให้เร็วและไกลขึ้นเช่นเขา
“สำหรับคนที่ยังไม่เริ่มทำธุรกิจออนไลน์ ผมบอกเลยว่าควรจะเริ่ม อาจจะเป็นไม่ใช่งานประจำ หลังเลิกงานกลับบ้านมา 1-2 ชั่วโมง ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจอะไรก็แล้วแต่ ไม่ต้องเป็น POD ก็ได้ ลองเริ่มทีละนิด ทำมันเรื่อยๆ มันจะเปิดกว้างให้เรารู้จักกับการขายของออนไลน์มากขึ้น แล้วจะรู้จักธุรกิจอื่นด้วย มีอะไรเข้ามาเราก็จะทันเขา
สำหรับคนที่เริ่มแล้ว ผมคิดว่าสำคัญมาก ให้หาต้นแบบ ทำตามเขา ผมใช้วิธีนี้ แล้วมันช่วยได้จริงๆ ตอนผมขายหนังสือ ผมหาต้นแบบ ผมจะตามคนคนนี้ ทำทุกอย่างที่เขาทำ รู้ชีวิตเขา ถ้าเขาสำเร็จแล้ว ถ้าเราทำตามเขา โอกาสสำเร็จมันก็สูง ผมก็ใช้วิธีนี้กับการเต้นเหมือนกัน ผมอยากเป็นเหมือนคนนี้ อยากจะเก่งให้เหมือนเขา เขาทำอะไรผมก็พยายามทำ
อย่างการลงทุนก็เหมือนกัน ผมก็ดู Warren Buffett เขาลงทุนอะไร ซื้อหุ้นอะไร ผมสามารถดูได้ อยากเก่งเหมือนเขาก็ทำตาม ศึกษาวิธีคิด แต่นึกถึงสมัยก่อนทำไม่ได้เพราะไม่มีอินเทอร์เน็ต คนจนกับคนรวยอยู่ห่างกัน จะไปดูชีวิตเขาไปดูยังไง แต่พออินเทอร์เน็ตมามันเชื่อม เราสามารถดูได้หมด”
ตั้งเป้า “เกษียณตัวเองในวัย 40 ปี”
หากมองย้อนกลับไปถึงเส้นทางชีวิตของโค้ชแบงค์นั้น อาจกล่าวได้ว่าไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ใครจะคิดว่าเด็กวัยรุ่นที่เคยเต้นบีบอยเปิดหมวกที่พัทยา เมืองแห่งแสงสีและสิ่งล่อใจ จะกลายมาเป็นนักธุรกิจไฟแรงอย่างทุกวันนี้ อีกทั้งยังต้องเจอกับคำสบประมาทจากคนรอบข้าง ซึ่งเขาเลือกที่จะนำคำเหล่านั้นมาเปลี่ยนเป็นพลังบวกให้ฮึดสู้แทน
“ผมรู้เป้าหมายว่าผมจะทำอะไร มันเลยทำให้สิ่งต่างๆ ไม่เข้ามาเป็นสิ่งขวางกั้นผม Goal ของผมคือเต้น อีกวันพัก แล้วก็เต้น เก็บเงินๆๆ ผมรู้ว่าถ้านอกลู่เมื่อไหร่ก็ไม่ถึงเป้าหมายแน่นอน เวลามี Goal สำคัญ มันจะทำให้เราไปถึงเป้าได้ ถ้าเรารู้ว่าจุดหมายเราจะไปทางไหน อะไรก็หยุดเราไม่อยู่
ครอบครัวของแฟน ตอนนั้นรู้สึกว่าสบประมาทที่สุด เราไปเริ่มจากไม่มีอะไรเลย เหมือนเราไปพึ่งเขา เจอพูดประมาณว่าไม่สำเร็จหรอก ทำไม่ได้หรอก รถอย่างนั้นสำหรับคนรวยเท่านั้น บ้านอย่างนี้เกินฝัน เป็นแรงผลักดันที่ดีมาก สิ่งหนึ่งที่ผมเรียนรู้มาตลอด คือ เปลี่ยนจาก Negative Energy เป็น Positive Energy แล้วมันจะผลักให้เราไปไกลขึ้น ผมใช้วิธีนั้น และผมพิสูจน์ให้เขาเห็นว่าผมทำได้
สิ่งแรกที่ผมภูมิใจ คือ ผมจ่ายค่าที่ยืมรัฐบาลมาเรียน จ่ายให้แฟนด้วย ปีครึ่งจ่ายหมดเลย แล้วพอปีที่ 2 ผมให้แฟนอยู่บ้านเต็มเวลา ไม่ต้องทำงาน ผมทำงานคนเดียว ให้แฟนอยู่บ้านเลี้ยงดูลูก ประมาณปีที่ 2 ผมก็ซื้อบ้าน 1 หลัง แล้วสิ้นปีซื้ออีกหลัง หลังละ 10 ล้านบาท ไม่เคยคิดว่าจะได้อยู่ สำหรับบางคนอาจจะไม่มาก แต่สำหรับผมไม่เคยอยู่อย่างนี้ สมัยเด็กก็อยู่บ้านหลังคาสังกะสี เวลาฝนตกมาทีแทบไม่ได้นอน ทุกวันนี้ดีกว่าเดิมเยอะ
เราก็ซื้อรถ Audi ก็ดีสำหรับที่นู่น เขาก็งง บางทีคนก็กลัวนะ ทำอะไรผิดกฎหมายรึเปล่า ทำอะไรเกินตัวรึเปล่า เรากับแฟนเป็นคนที่รู้ที่สุด เราคุยกับเสมอ ที่เราทำแบบนี้เพราะในอนาคต อย่างซื้อบ้าน ที่ผมซื้อจุดประสงค์คือซื้อมาเป็น Asset ผมจ่าย 20 เปอร์เซ็นต์ แล้วให้ปล่อยเช่า ให้คนมาจ่ายค่าเช่าให้เรา แต่พอ 30 ปีเมื่อไหร่ มันก็เป็นของเราหมดเลย เวลาคนมาเช่ามันก็มีเงินเหลืออยู่ในส่วนหนึ่ง เราก็ทำให้เขารู้สึกช็อกไประดับหนึ่งว่ามาได้ในระดับนี้”
เมื่อถามต่อว่า จำเป็นหรือไม่ว่าคนที่จะประสบความสำเร็จจะต้องทำงานในต่างแดน เขาให้คำตอบว่า ไม่จำเป็น แต่หากมีโอกาสก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี และย้ำถึงความสำคัญของภาษา เพราะจะเป็นใบเบิกบางไปสู่โอกาสใหม่ๆ อีกมากมาย
“การที่เราเข้าใจภาษาอังกฤษมันสำคัญ มันทำให้เราเปิดโลกกว้างขึ้น มันทำให้เราเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ภาษาผมแย่นะสมัยนั้น เกรดไม่ดีด้วย คุยกับแฟนภาษา Thinglish ไทยคำอังกฤษคำ (หัวเราะ) จุดหมายแต่ละอย่างของเรามันช่วยผลักดันให้เราทำสิ่งสิ่งนั้นมากขึ้น พอมีแฟน เราก็ไปซื้อหนังสือมา เราตั้งใจเรียน ไปตอนแรกก็ยากเพราะเราคุยกับคนอื่น ฟังมากๆ เราก็ง่วงนอน เหมือนสมองเราใช้งานหนัก เก่งเพราะเวลามากกว่า เราไปอยู่นู่นแล้วเราใช้มากขึ้นถึงเก่งขึ้น
สิ่งที่สำคัญในการไปเมืองนอก คือ ได้เห็นธุรกิจต่างๆ เราอาจจะเอาเข้ามาปรับใช้ในไทย ถ้าคุณมีโอกาสไปมันก็ดี ได้ไปเห็นได้ไปเรียนรู้อะไรใหม่ๆ แต่ถ้าคุณอยู่บ้าน ไม่มีเงินไปต่างประเทศ เรียนภาษาอังกฤษ เพราะว่าสำคัญ มันจะเปิดโอกาสเรากว้างมากขึ้นในการทำธุรกิจ ในการทำงานทั่วไปด้วย
ข้อดีของเมืองไทยที่เอาไปใช้ที่นู่นได้ คือ การแข่งขันที่เมืองไทยสูงกว่าที่นู่น เวลาเราอยู่ที่นู่นคนทั่วไปจะรู้สึกชิลมาก ไปทำงานกลับมาไม่มีความกระตือรือร้นเหมือนคนไทยเท่าไหร่ ผมเอาสิ่งที่เรียนรู้จากเมืองไทยไป ทำให้ผมขยันกว่าเดิม ไม่หยุดกระตือรือร้น เป็นข้อดีของคนไทยที่ผมว่าเรามีอยู่ ส่วนข้อดีของแคนาดาจะเป็นเรื่องของ Branding ผมว่าเมืองนอกมีเอกลักษณ์ที่ดี มันจะช่วยในการทำธุรกิจให้ได้โตไวขึ้น”
จากเรื่องราวทั้งหมดที่ได้พูดคุยกันมา อาจกล่าวได้ว่า นอกจากความโชคดีที่จับอะไรก็เป็นเงินเป็นทองไปหมดของเขา อีกสิ่งสำคัญที่ทำให้เด็กหนุ่มจากชลบุรีมีทุกอย่างได้อย่างทุกวันนี้ ก็มาจากความขยันและไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคที่ถาโถมเข้ามา
เมื่อบทสนทนาดำเนินมาถึงช่วงสุดท้าย นักธุรกิจหนุ่มวัย 31 ปี มองว่า จุดนี้ที่ยืนอยู่ ณ ตอนนี้ หลายคนอาจมองว่าเขาประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย แต่สำหรับเขาแล้ว นี่เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น…
“Goal ของผมคือผมอยากจะเกษียณตอนอายุ 40 ผมอยากจะไม่ว่าทำธุรกิจอะไรก็แล้วแต่โดยไม่ต้องห่วงเรื่องเงิน แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ทำธุรกิจนะ อาจจะไปทำธุรกิจด้านช่วยเหลือคนอื่น อาจจะไปเปิดมูลนิธิ อะไรที่ทำให้เรามีความสุข อาจจะสอนงานธุรกิจโดยที่ไม่หวังผลประโยชน์ อายุผมไม่อยากกลับไปทำงานแล้วโดยที่ไม่หวังเงิน นี่คือ Goal ที่อยากจะไปให้ถึงจริงๆ ยังมีเวลาอีก 9 ปี
ตอนนี้ผมรู้สึกขอบคุณทุกอย่าง ผมโชคดีมาก ทุกวันผมสามารถทำงานที่บ้าน เจอครอบครัว ถ้าครอบครัวอยากไปไหนผมก็พาไปได้ ไม่ต้องกลัวว่าเราจะไม่มีเงินเข้า เรามาในจุดที่เราสามารถทำอะไรก็ได้ สามารถทำงานที่ไหนก็ได้บนโลก และเรามีเงินพอซัปพอร์ตสิ่งนั้น
ทุกคนเริ่มไม่เท่ากัน แต่พอมาที่ความขยัน ทุกคนเริ่มจาก 0 หมด ถ้าคุณมีความขยันมากกว่าคนอื่นเขา โอกาสที่คุณจะประสบความสำเร็จก็มากกว่า บางทีคนอาจจะบอกว่าขยันอย่างเดียวไม่พอ ต้องทำงานให้ฉลาดด้วย ก็จริง ต้องทำงานฉลาดอยู่แล้วถ้าอยากจะประสบความสำเร็จ แต่ความขยันผมให้มาอันดับแรก มันสำคัญมาก
ถามว่าประสบความสำเร็จรึยัง ผมว่าระดับหนึ่ง แต่ยังไม่ถึงจุดที่เรียกว่าผมประสบความสำเร็จจริงๆ ผมรู้ว่ามันยังอีกไกล ยังมีให้สู้อีกเรื่อยๆ มันยังเป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น”
ออมเงินสไตล์โค้ชแบงค์ ใช้ 10 เก็บ 90 “ผมเชื่อในการใช้เงินแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ทั้งหมด ห้ามเกินนั้น พยายามทำยังไงก็ได้ให้มันอยู่แค่ 10 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือ 90 เปอร์เซ็นต์ ผมต้องลงทุนให้เงินมันทำงานให้ผมต่อ พยายามใช้หลักการนี้ มันไม่สำคัญว่าได้เงินเท่าไหร่ มันสำคัญที่เก็บไปเท่าไหร่ ไม่งั้นเราต้องทำงานไปจนตาย ผมคิดว่าสำคัญมาก เงินที่ได้มา ส่วนหนึ่งเก็บไว้เป็นเงินสด ผมเก็บเงินสดไว้ประมาณ 7 เดือน ผมเป็นคนประหยัดเงิน (เงินที่ได้ต่อเดือน) ประมาณ 3-5 แสน คูณไป 7 เดือน สมมติผมใช้ 40,000 ต่อเดือน ผมต้องเก็บเงิน 280,000 ถ้าเราทำงานไม่ได้ เราต้องมีเงินอย่างน้อย 7 เดือนเพื่อตั้งหลักทำอะไรต่อ ส่วนที่เหลือผมแยกไว้ กองหนึ่งไปอยู่ในลงทุนเกี่ยวกับพวกบ้าน อีกกองหนึ่งซื้อพวกหุ้น อีกกองหนึ่งซื้อกองทุน สำหรับเวลาเราเกษียณ ผมแบ่งไว้เป็น 3 กอง แล้วก็มีกองทุนของลูกด้วย เวลาลูกเข้ามหา'ลัยถึงจะเอาเงินตรงนี้ออกได้ อย่าง Airbnb เป็นธุรกิจบ้านเช่าระยะสั้น ที่ผมเอาเงินก้อนนี้ที่ได้มาจากธุรกิจออนไลน์ไปลงทุน ผมซื้อบ้านไว้ที่แคนาดา 2 ยูนิต ให้คนเช่าข้างบน-ข้างล่าง สำคัญที่จะเอาเงินไปทำงานให้เราต่อ ไม่ใช่ว่าเก็บไว้อย่างเดียว ผมไม่รู้ว่าผมจะทำธุรกิจนี้ได้นานขนาดไหน ถ้าเราเอาเงินทิ้งไว้ในธนาคารอย่างเดียว มันก็ไม่ทำให้เราโตขึ้น ธนาคารก็เอาเงินของเราไปให้คนอื่นกู้เพื่อที่จะได้ดอก ทำไมเราไม่เอาเงินตรงนั้นที่เรามีไปลงทุนอย่างฉลาด ศึกษาให้ดี มันสำคัญมาก เพราะกว่าเราทำงานหนัก กว่าจะได้เงินตรงนั้นมา เราจะเอาเงินไปทำอะไรได้อีกที่จะทำให้เราโต” |
สัมภาษณ์โดย : ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง : กีรติ เอี่ยมโสภณ
ภาพ : สันติ เต๊ะเปีย
ขอบคุณภาพเพิ่มเติม : เฟซบุ๊ก ฺ"The E-com Wealth Project"
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **