xs
xsm
sm
md
lg

ลุยไตรกีฬา ฝ่ามะเร็ง!! จากเหลือเวลาชีวิต 8 เดือน หายได้ใน 10 ปี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เปิดใจอดีตนักธุรกิจส่วนตัว ผ่านความตายพิชิตมะเร็งระยะสุดท้าย เพราะหมอบอกเธอว่าจะมีชีวิตเพียง 8 เดือนเท่านั้น มรสุมเลวร้ายที่สุดในชีวิต “ปวดหู-ต่อมรับรสพัง-ไม่ได้กลิ่น-กระดูกทรุด” ทนทุกข์ทรมาน เพราะให้คีโม ล่าสุด กลายเป็นคนแข็งแรงกว่าคนปกติ ชีวิตเปลี่ยนจากผู้ป่วยสู่นักไตรกีฬา ว่ายน้ำสร้างแรงบันดาลใจ พิชิตโรคร้าย!!




มุมมองเปลี่ยน!! จากเงินสำคัญสุด…เป็นรักชีวิต


“ทุกคนไม่ได้เตรียมตัวจะตายนะ แล้วครูเชื่อว่าทุกคนกลัวตาย กลัวพลัดพราก จริงๆ กลัวพลัดพรากสิ่งที่ตัวเองรัก ที่ตัวเองยึดติด กำไว้ ยึดไว้

พอวันหนึ่งทุกคนบอกเลยว่า ไม่เป็นไรหรอกเดี๋ยวแกทำใจได้ วางละ เดี๋ยวตาย สบาย พอถึงเวลานั้นจริงๆ ครูไม่เชื่อว่าทำใจได้ถ้าไม่ได้ฝึก

อยู่ๆ มีคนบอกคุณเลย…ขอโทษนะครับคุณเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย คุณอยู่ได้ 8 เดือน ถามหน่อยว่ามีใครทำใจได้ ครูเชื่อเลยว่าคนที่เข้มแข็ง ต่อให้เป็นทหารก็ยังล้มเลย บอกว่าคุณจะอยู่ได้แค่ 8 เดือน คุณจะต้องตาย

วินาทีนั้นโลกมันถล่ม มันเหมือนว่าที่เราสร้างมาทั้งหมด ที่เราทำมันมาทั้งหมด ที่เราว่าเป็นของเรา อ้าว 8 เดือนเหรอ มันจะไม่ใช่ของเราแล้ว มันถล่มตรงนั้นเลย มันพังวินาทีนั้นเลย มันหมดความหมายเลย

เราเข้าใจว่า เงิน ทรัพย์สิน ชื่อเสียง เงินทอง มันซื้อได้ทุกอย่างบนโลก เราเข้าใจแบบนั้น… วินาทีนั้นครูก็กอบไปเลย มีโฉนดที่ดินเยอะแยะ มีเงินในธนาคารด้วย ขอแลกกับชีวิต”


ด้วยใบหน้าที่สดใส แถมร่างกายเปี่ยมด้วยความกระชุ่มกระชวย ใครจะรู้ล่ะว่าผู้ที่นั่งอยู่ข้างหน้าผู้สัมภาษณ์คนนี้ คือ “นิกกี้-วิศรุตา ฟอร์ช็อง” อดีตนักธุรกิจส่วนตัว วัย 46 ปี เจ้าของวิลล่าในเกาะสมุยและเกาะพะงัน อดีตผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย

“ตอนนี้อย่าเรียกว่าหายขาด เรียกว่าอยู่กับเขาด้วยความเข้าใจและยอมรับ อยู่ด้วยกันได้ในร่างกายเดียวกัน เราจะไม่บอกว่าหายหรือไม่หาย แต่ว่าตรวจก็ยังไม่เจอ ก็เป็นปกติอยู่ตอนนี้เข้าไปสู่ปีที่ 10 แล้วค่ะ จากตรวจพบเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย จนปัจจุบันนี้ก็เข้าปีที่ 10”

เธอเล่าวินาทีความเป็นไม่แน่นอนของชีวิต หลังหมอตรวจพบว่าตัวเองเป็นมะเร็งปากมดลูกระยะสุดท้าย และจะมีชีวิตอยู่ได้อีกแค่ 8 เดือน เธอจึงได้เลือกที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง และขจัดความกลัวด้วยไตรกีฬาและว่ายน้ำมาราธอนเดี่ยวในทะเล จนสามารถพิชิตโรคมะเร็งได้สำเร็จ

“หมอรับไปที ขอแลกกับชีวิตหน่อย ให้หมดเลยที่มี ไม่อยากได้แล้ว ขอแลกชีวิต วินาทีนั้นทุกอย่างเงียบหมด หมอพูดมาคำเดียวเลยว่า คุณวิศรุตา มันทำแบบนั้นไม่ได้ คุณจะต้องยอมรับแล้วและเข้าสู่กระบวนรักษา ไม่มีอะไรแลกชีวิตได้ อ้าว!! ที่ทำมาคืออะไร ที่เขาบอกว่าเงินคือพระเจ้า เงินซื้อได้หมดซื้อชีวิตไม่ได้เหรอ…


จริงๆ หมอไม่ได้พูดว่าเป็นมะเร็งนะคะ ตามจรรยาบรรณหมอไม่พูดอยู่แล้ว ปกติเชื่อเลยว่าการที่เรามีอาการอะไรสักอย่างหนึ่งที่ผิดปกติ แล้วเราไปพบแพทย์ หมอไม่สามารถรู้ได้เลยหรอก ต้องผ่านเข้าการตรวจเลือด หรือว่าเข้าเครื่องสแกน

แต่พอดีวันนั้นเราเป็นมะเร็งปากมดลูก พอเราตรวจภายใน หมอเขาจะต้องใช้เครื่องมือเข้าไป มันเจอก้อน แล้วเขี่ยออกมามันแตกหมดเลย

มันหลุดออกมาเป็นยุ่ยๆ เป็นก้อนๆ มันก็สามารถบอกได้เลยว่า มันคือมะเร็ง คือ ไม่ต้องให้หมอมาใช้เครื่องมืออุปกรณ์อะไร มันสามารถตีได้เลยว่า ตรงนั้นคือมะเร็ง มันเน่าค่ะ ที่มันหลุดออกมา”

จากชีวิตที่กำลังรุ่งโรจน์ อยู่บนเส้นทางธุรกิจ แต่ฝันต้องดับสลายลงเมื่อตรวจพบว่ามีเนื้อร้ายอยู่ในร่างกาย สอนให้เธอเห็นสัจธรรมของชีวิต ว่าเงินไม่สามารถซื้อทุกอย่างบนโลกใบนี้ได้

“พอกลับไปบ้านปุ๊บ กอบทุกอย่างที่จะให้หมอ นั่ง…ฉีกค่ะ ฉีกทุกอย่างเลย มันซื้อไม่ได้นิ เพราะเราเข้าใจว่าเงินซื้อได้หมด…โปรย พอโปรยเสร็จ พวกนี้ไม่ใช่สิ่งที่ฉันจะยึดมันอีกแล้ว ฉันจะไม่ยึดมันอีก มันซื้อชีวิตไม่ได้

วินาทีนั้นคือ ฉันต้องเปลี่ยนทัศนคติในการใช้ชีวิต ตรงนั้นคือจุดพลิกผันเลย ที่เข้าใจตัวเอง เข้าใจโลกใบนี้ เข้าใจสรรพสิ่ง ว่าเงินไม่ได้ซื้อได้ทุกอย่าง มันแค่ใช้ในการดำรงชีพตามปัจจัย 4 เท่านั้นเอง”

แน่นอนว่าชีวิตและหน้าที่การงานที่กำลังไปได้ด้วยดี ต้องหยุดชะงักลงทันที นี่จึงเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของชีวิตที่เธอไม่เคยตั้งตัวมาก่อน

“ก่อนจะป่วยอาชีพเป็นนักธุรกิจ ทำวิลล่า สร้างวิลล่าขึ้นมาอยู่ที่สมุย เกาะพะงัน เราก็ให้เช่า เพื่อทำ management ชีวิตก็อยู่กับความเครียด เพราะว่าอยู่กับความอยากได้ อยากมี อยากเป็น คือ ทำแล้วอยากได้อะไร อยากได้ ห้า สิบ ร้อย พัน หมื่น แสน ขึ้นไปเรื่อยๆ ก็ไม่รู้จักหมด จะจบสักทีว่าจุดสิ้นสุดของความอยากอยู่ตรงไหน




ชีวิตปกติ คือ อยู่กับตัวเลข ว่ามีเท่าไหร่ มันก็เครียด อาหารก็กินไม่เป็นเวลา กินอาหารที่ไม่ดี ไม่ถูกหลักที่ร่างกายควรจะได้รับในแต่ละวัน

หายใจผิดไม่ออกกำลังกายเลย ปล่อยให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ ให้ความดันสูง ให้ชีพจรสูง ตรงนี้ของเหตุของการเป็นโรคภัยไข้เจ็บทั้งหมดเลย

พอมันอยู่กับเครียดมากๆ อยู่กับความคาดหวังมากๆ มันทำให้เราอยู่กับอดีต และก็กลัวถึงเรื่องอนาคต เลยอยู่กับปัจจุบันไม่ได้ พออยู่กับปัจจุบันไม่ได้ เราเลยไม่เข้าใจตัวเอง พอไม่เข้าใจตัวเอง ไม่ฟังเสียงร่างกายของตัวเอง โรคก็เกิดขึ้น”




อาหารไม่ย่อย-ประจำเดือนผิดปกติ …เสี่ยงมะเร็ง


“เอาจริงๆ นะคะ วิทยาศาสตร์ตอบไม่ได้ว่าทำไมเราถึงเป็นมะเร็ง เราถึงเป็นโรคต่างๆ คนที่ตอบเราได้ดีที่สุด คือ ตัวเราเอง เพราะฉะนั้นมะเร็งไม่ได้อยู่ๆ เป็น มันมาจากพฤติกรรมบวกกรรม

พฤติกรรมคืออะไร กินผิด หายใจผิด นอนผิด ออกกำลังกายผิด กรรมคืออะไร คือ สาเหตุของการกระทำ คุณทำสาเหตุไม่ดี คุณฆ่าคน เหตุคือคุณไปฆ่าคน ผลคือตำรวจจับคุณเข้าคุก

เพราะฉะนั้น มะเร็ง โรคต่างๆ เช่นเดียวกันสาเหตุ คือ คุณกินผิด คุณเครียด คุณปล่อยให้ร่างกายร้อนตลอดเวลา คุณหายใจผิด คุณไม่เข้าใจตัวเอง คุณไม่ออกกำลังกาย ผลคือคุณเป็นโรค ง่ายๆ เป็นหลักพุทธศาสตร์”

ทว่า…กว่าที่เธอจะผ่านเรื่องเหล่านี้มาได้อย่างทุกวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เธอยอมรับว่าในอดีตตนเองเป็นคนค่อนข้างเครียด ทำงานหนักและไม่ค่อยสนใจสุขภาพ เวลาเป็นอะไรก็ปล่อยให้หายเอง

“ร่างกายเป็นสิ่งมหัศจรรย์ เขาจะส่งสัญญาณบอกเราตลอดเวลาเลย ไม่ใช่อยู่ๆ ตรวจปุ๊บแล้วเจอมะเร็งระยะสุดท้าย จริงๆ เขาบอกเรามาสัก 5 ปีแล้ว เขาจะส่งสัญญาณ เช่น อาหารไม่ย่อย ทานเข้าไปแล้วเกิดลมในกระเพาะ

เสียดแทงปวดหลัง นอนไม่หลับ ปวดหัว ชีพจรเต้นเร็ว เต้นแรงสูงไม่มีสาเหตุ ความดันเลือดสูง นี่คือสาเหตุของโรคมะเร็งทั้งหมดเลย


บางทีเราเข้าใจว่า เราปวดหลังเราก็ไปหาหมอซื้อยา หรือบางทีก็ขายยา ปวดหลังกินยาแก้ปวดหลัง ปวดหัวซื้อพารากิน เป็นไข้ซื้อยาแก้ไข้ ปวดกระดูกซื้อยาแก้ปวดกระดูก นอนไม่หลับซื้อยานอนหลับ นั่นคือการรักษาของมนุษย์ทั่วๆ ไปในปัจจุบัน

จริงๆ ร่างกายเขาส่งสัญญาณบอก เราก็เข้าใจว่าเป็นเฉพาะส่วนไหน เราก็ซื้อยาส่วนนั้น ซึ่งจริงๆ แล้วมันคือสาเหตุของโรคที่ร่างกายส่งสัญญาณทั้งหมด พอเขาส่งสัญญาณเล็กๆ น้อยๆ เราก็ตอบสนอง เขาเรียกว่าการรักษาแบบจานด่วน ไม่ใช่เข้าไปหาต้นเหตุว่า เพราะอะไรถึงนอนไม่หลับ เพราะอะไรถึงปวดหัว เพราะอะไรถึงท้องผูก เพราะอะไรถึงปวดกระดูก ปวดหลัง ชีพจรเต้นเร็ว หัวใจเต้นเร็ว อาหารไม่ย่อย

พอเราไม่รู้ต้นเหตุที่แท้จริง เราเลยแก้การเฉพาะหน้า พอแก้การเฉพาะหน้ามันหาย มันดีขึ้น เพราะยาวิทยาศาสตร์เป็นการระงับอาการ พอหยุดกินอาการก็กลับมาอีก มันไม่ใช่การรักษาแบบต้นเหตุ ต้นตอของมันเลย ทีนี้พอเรากินไปๆ มันดื้อยา เพราะตัวก้อนมะเร็งเริ่มขยายขึ้น

อาการสุดท้ายเลย คือ บอกว่าเป็นระยะสุดท้าย คือ มันเข้าเลือด เข้าน้ำเหลือง เลือดมันออก นั่นคือระยะสุดท้าย มันลาม พอไปปุ๊บ เราก็บอกเลยว่า ฉันเป็นมะเร็ง ฉันตรวจเจอเป็นมะเร็ง ซึ่งจริงๆ เปล่า เขาบอกมานานแล้ว แต่เราไม่ฟังเสียงเขา”


ด้วยวัยเพียง 36 ปี แต่กลับพบว่าตัวเองมีเชื้อมะเร็ง เริ่มมีสัญญาณเตือน คือ ประจำเดือนมาไม่ปกติ แต่เธอกลับไม่ได้ใส่ใจ เมื่อทีมข่าวถามว่า คิดว่ามะเร็งของเธอเกิดจากอะไร อดีตผู้ป่วยมะเร็งก็ตอบว่า เป็นเพราะพฤติกรรมการใช้ชีวิตล้วนๆ

โดยไปตรวจอย่างจริงจังครั้งแรก เพราะมีอาการเลือดออกเยอะผิดปกติ ซึ่งเมื่อไปตรวจ พบว่าเป็นมะเร็งปากมดลูกระยะสุดท้ายและลามไปที่ปอด รวมทั้งหมอบอกว่าเชื้อที่เป็นพบคนที่ 5 ของประเทศไทย ซึ่ง 4 คนก่อนหน้านี้ตายไปหมดแล้ว

“ประจำเดือนผู้หญิงก็ค่อยๆ ออกมาก็ตามเดือนปกติ แต่บางที 3-4 เดือน ไม่ออก บางทีเดือนเดียว ออกทีเดียวหมดตัวเลย สลบไปเลย คือ เลือดออกทะลักเลย คือ หาสาเหตุไม่ได้ แล้วบางทีประจำเดือนหมดไปแล้ว มาอีก ไหลแบบกระปริบกระปรอย

คือ มะเร็งมันจะมีผลต่อระบบย่อยอาหารเป็นหลัก คือ มันจะย่อยอาหารไม่ได้ แล้วก็ท้องอืด จุกเสียด มีลมเสียดแทง แล้วก็มีกรดไหลย้อน คือ มันเป็นกลไกของเขา ตัวก้อนพอโตแล้วมันก็ไปเบียดอวัยวะ รบกวนการทำงาน พอตัวก้อนมันโตก็ไปรบกวนทางเดินหายใจ เพราะว่าออกซิเจนเข้าไม่ถึง มะเร็งเลยลาม เลยแตกตัวได้อย่างรวดเร็วเลย

พอเราหายใจไม่ถูกต้องแล้วด้วย ตรงนั้นคือออกซิเจนเข้าไปบำบัดไมได้ มันก็เลยทำให้มะเร็งมันแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วไปตามปอด น้ำเหลือง เลือด”



ผู้หญิงเสี่ยง “มะเร็งปากมดลูก?”




“ไม่นะ อธิบายก่อนว่าจริงๆ แล้วมะเร็ง ไม่ได้มาตรวจแล้วเป็นนะ มันมีการสะสมใช้ระดับยี่สิบ สามสิบปีขึ้น งั้นต้องย้อนไปพฤติกรรมตั้งแต่เด็กเลย DNA พ่อแม่ให้มาตั้งแต่กำเนิดเป็นทาสสะอาด เป็นเซลล์สะอาด

พอเราคลอดออกมา อาหารเป็นเพียง 10% แต่อารมณ์กับความรู้สึก ความคิด การใช้ชีวิตที่ผิด นั่นคือ 90% เลย เพราะฉะนั้นตัวกระตุ้นคืออาหาร ปัจจัยหลักคือคิดไม่หยุด มีอารมณ์ไม่หยุด เครียด เป็นคนที่ไม่ปล่อยวาง ไม่ให้อภัยตัวเอง ไม่ให้อภัยคนอื่น
พอมันสะสมเข้า คุณกินได้ไหมเวลาคุณเครียด กินไม่ได้ นอนหลับได้ไหมเวลาคุณเครียด นอนไม่ได้ แล้วคุณก็กินชุ่ย รีบๆ จะรีบไปทำงาน จะรีบไปหาเงิน กินไม่ดูแลตัวเอง มันก็เลยเกิดเหตุการณ์ปัจจัยกระตุ้นบ่อยๆ ซ้ำๆ

มะเร็งเกิดสภาวะที่คิดซ้ำๆ กระทำซ้ำๆ กินซ้ำๆ หายใจซ้ำๆ เคลื่อนว่ายซ้ำๆ ทำเหตุซ้ำๆ พอเราทำเหตุไม่ดีซ้ำๆ มันก็ป่วย จากเซลล์ต้นกำเนิดที่ DNA ที่มันดีตอนที่เราเป็นทารก เราปล่อยวาง เราไม่ได้คิดอะไร

ร้อง แม่ก็ให้กินนม ให้กินอาหาร กินเสร็จก็เงียบหัวเราะ นั่นคือ พฤติกรรมของจิตประภัสสร แต่พอเราเริ่มโต เรามีภาระหน้าที่ ต้องเรียนหนังสือ ต้องเครียด ต้องเรียนพิเศษ ต้องเตรียมทำงาน แต่งงานมีครอบครัว งั้นกระบวนการทั้งหมดเลย คือ การกระตุ้นให้เซลล์เปลี่ยนทิศทาง จากเซลล์ดีเป็นเซลล์ร้าย”





เลือกตายดีกว่าอยู่! เมื่อคีโมเปลี่ยนชีวิต


“จริงๆ เป็นการที่เราไม่ยอมรับตัวเองมากกว่า ซึ่งจริงๆ มันคือมะเร็ง เรารู้ว่าสิ่งที่หลุดออกมากับอาการทั้งหมด คือ มันคือมะเร็ง

แต่พอหา Consult (ค้นหาข้อมูล) หลายๆ คน จนคอนเฟิร์มว่าใช่…คุณเป็นมะเร็ง รู้ได้ตอนไหนว่าเป็นระยะสุดท้าย ก็พอเข้าเครื่องสแกน ตรวจเลือด เขาก็จะบอกระยะ ระยะของมะเร็งจะบอกสเตจว่า มันคือระยะที่เท่าไหร่ คือ ลามรึยัง ไปยังอวัยวะตรงไหน เข้าเลือดรึยัง ตรงนั้นถึงจะบอกได้ว่า คุณเป็นขั้นไหน”

นิกกี้ตัดสินใจทำการรักษาด้วยกระบวนการเคมีบำบัด หรือที่เรียกว่า “คีโม” ซึ่งตอนนั้นยังมีโรคซึมเศร้าแทรกซ้อนอีกด้วย ซึ่งเธอบอกว่าเคยรู้สึกตกต่ำถึงขนาดที่ไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไป

และถึงขั้นพยายามฆ่าตัวตายมาแล้วถึง 2 ครั้ง ซึ่งความเศร้าในเวลานั้นถือเป็นช่วงชีวิตที่เธอต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการรักษาใจตัวเอง

“ตอนการให้ยาก็ทรมานมาก 8 เดือน ยาคีโม 54 ขวด 1 คอร์ส 6 ครั้ง ครั้งหนึ่ง 3 วัน วันหนึ่ง 3 ขวด ขวดหนึ่งใช้เวลา 3 ชั่วโมง คูณ 3 ขวด แล้วคูณ 3 วัน คือ 9 ขวด แล้วคูณทั้งหมด 6 ครั้ง 54 ขวด มันโคตรทรมานเลย กินไม่ได้ ไม่เคยนอนเลย 378 วัน แม้วินาทีเดียว เพราะยามันแรงมาก


คือ ครูเป็นเซลล์ตัวดุ มันเป็นคนที่ 5 ของประเทศไทย แล้วสามีส่งเรื่องไปทางอเมริกา ไปฝรั่งเศส เขาก็บอกว่าส่งมาก็คือหนูทดลอง เพราะเซลล์ตัวนี้ไม่เคยพบมาก่อน งั้นต้องเป็นหนูลองยา อ้าว!! แล้วยังไง รอดไหม ก็เลยลองหาหมอในเมืองไทยดู ก็พบหมอที่เคยรักษาเซลล์ตัวนี้ แต่ไม่เคยมีใครรอดเลย

แสดงว่ายาที่ผู้ป่วยมะเร็งจะต้องรับ คือ ไม่ใช่ยาตัวเหมือนกันทุกคน ต้องเป็นยาที่ผสมสูตรขึ้นมาใหม่ และทดลองกับคุณ ครูได้ยาแจ็กพอต คือ ลองเข็มแรกก็ลองจริงๆ ก็เป็นหนูจริงๆ ประสาทสัมผัสพังหมดเลย ตาจะบอด มองไม่เห็น จะมองในระยะ 10 ฟุต นอกนั้นจะพล่ามัว เบลอไปหมดเลย เดินไม่ได้เหมือนคนตาบอด

หูนี่หนวก เดซิเบลต่ำทั้งหมดจะไม่ได้ยิน ปวดหู คือ แพลนต้องใส่เครื่องใช้ฟังแล้ว ต่อมรับรสพัง ไม่ได้กลิ่น รับรสไม่ได้ แล้วก็กระดูกพรุน กระดูกทรุดเลย ฟันคือเหงือกถล่ม มันทรุดหมดเลย ถ่ายไม่ออกเป็นระยะเวลา 1 ปี ใช้วิธีแคะเอา

เพราะฉะนั้นครูจะติดยาวิทยาศาสตร์ทั้งหมดเลย คือ ยานอนหลับ นอนเองไม่นะคะ เพราะว่าการคีโมมันแรงมาก มันจะรั้งเส้นประสาท ทำให้เราไม่สามารถหลับได้เองได้ ที่ทำให้เราหลับได้วิทยาศาสตร์เข้าใจว่า คือ โอเคคุณนอนไม่หลับ คุณเอายานอนหลับไป มันหลับนะประมาณ 5 วัน หลังจากนั้นไม่หลับ มันเริ่ม Stroke หัวใจแล้ว เฮือกๆ ขึ้นมา

กลับไปเปลี่ยนยา ก็จะได้โดรสที่สูงขึ้น จนไปสุดของมัน ไม่มียานอนหลับแล้ว ก็เป็นผู้ป่วยจิตเวท ถ่ายไม่ออก โอเคก็เริ่มจากถ่ายไม่ได้ใช่ไหม เอายาถ่ายไป ก็เริ่มจากโดรสต่ำๆ จนไปสุดที่โดรสที่ยาเป็นแรงๆ น้ำเหม็นๆ กินก่อนเข้าห้องผ่าตัด

คือ มันไม่มีอะไรออกแล้ว คือ อยู่แค่นั้นเลย รู้สึกว่าไม่ใช่แล้ว วิทยาศาสตร์ไม่น่าจะตอบโจทย์ของการรักษา แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นปฏิปักษ์วิทยาศาสตร์นะคะ เพราะครูจบกระบวนการการรักษากับวิทยาศาสตร์ทั้งหมดเลย แต่ครูกำลังจะบอกว่าวิทยาศาสตร์คือการทำลาย การฆ่า การตัดทิ้ง เป็นอาหารจานด่วนดีนะคะ เพราะการใช้ธรรมชาติบำบัดมันช้า บางอย่างตัวโรคที่มันลามแล้ว หรือเป็นก้อนใหญ่แล้วต้องเอาออก


ครูเลยใช้วิธีบูรณาการ คือ ฟื้นฟูเซลล์ที่มันถูกทำลาย คือ คีโม นอกจากมันทำลายเซลล์ตัวไม่ดีแล้ว มันทำลายเซลล์ดีด้วย ครูใช้หลักของพระพุทธเจ้า คือ เซลล์มันเจริญเติบโต คือ มันตั้งอยู่ดับไปทุกขณะจิต ทุกวินาทีๆ เมื่อเรารู้กลไกนี้ครูเอากลไกนี้มาจัดการ ในการอยู่ร่วมกับมะเร็ง”

เธอส่งต่อประสบการณ์ในการต่อสู้กับการรักษาคีโม ในระยะเวลา 8 เดือน ที่ผ่านช่วงท้อผสมอยู่ในนั้น นอกจากจะทรมานแล้ว ผลของการให้คีโมกลับทำให้เธอไม่ได้รับประสาทสัมผัสทางร่างกาย ทั้งตา หู จมูก ปาก

“มันท้อผสมอยู่ในนั้น คือ มันเหมือนเป็นความคิดที่สร้างการจะมีชีวิตอยู่ แต่พอความรู้สึกมันวูบเดียวมันเกิดขึ้น แป๊บเดียวมันก็ดับ ไม่อยากอยู่แล้ว ทำยังไงความคิดมันเข้ามาจัดการ

ตอนแรกฉันจะสู้นะเพื่อลูก แป๊บนึงความคิดมันก็จัดการเราอีก ไม่ได้นะ ใช่เงินหมดลูกเอาที่ไหนเรียน ฆ่าตัวตายซะ ครูเลยเป็นอีกโรค คือ โรคซึมเศร้า เป็นผู้ป่วยจิตเวทด้วยโดยตรง แล้วไม่รู้จะบำบัดยังไง เพราะถึงจุดที่ฆ่าตัวตายแล้ว ฆ่าตัวตายถึง 2 ครั้ง

ตอนนั้นช่างแม่งไม่ได้ ไม่มีใครช่างแม่งได้ เพราะทุกคนกลัวพลัดพราก ลูกอยู่ 5 ขวบ พ่อแม่คนรอบข้าง สมบัติพัสถาน คนที่รักของที่ยึด ไม่มีใครบอกช่างแม่งหรอก มีแต่บอกว่าฉันไม่อยากตาย ไม่มีใครอยากตาย

ครูไม่อยากตาย ครูจะทำยังไงล่ะ ฉันจะรอดได้ ฉันจะอยู่ได้ไหม ไม่อยากตาย มีอะไรบ้างซื้อชีวิตฉันได้ กินอะไรแล้วมันดี แล้วฉันรอด ทำยังไงก็ต้องค้นหาทุกวิถีทาง ทำทุกวิถีทางเลย”



นอกจากนี้ ถามเธอว่าผ่านช่วงชีวิตเหล่านี้มาได้อย่างไร “ลุกขึ้นมา” เธอบอก ลุกขึ้นมาใช้ชีวิต “เพราะเมื่อก่อนใช้ความคิดอยากจะรอด ใช้ความคิดอยากจะตาย อ้าว!! วนอยู่อย่างนี้ อยู่บนเตียงมันไม่มีแอ็กชัน มันเลยต้องลุกขึ้นมากระทำ พอลุกขึ้นมากระทำปุ๊บค่าเลือดมันลง มันมีเอฟเฟกต์ที่ดี มันเริ่มมีกำลังใจแล้ว พอเราลุกขึ้นมาดูแลตัวเอง มันเห็นเป็นรูปธรรม เหมือนใจยอมรับว่าใช่แล้ว…ฉันเจอทาง”


“มะเร็ง” สอนชีวิต



 

 “หันกลับไปมองนะคะ มันเหมือนทุกวันนี้เรายืนอยู่บนปากเหวร้อนๆ ข้างล่างทุกวันนี้คือเห็นมันนะ มันร้อนนะ มันเดือด แล้วก็จะเห็นเป็นจุดๆ ลอยดีดดิ้นเต็มไปหมดเลย ครูไม่บอกว่ามันคืออะไร แต่ครูจะบอกเลยว่าการตัดใจที่ออกมาจากสิ่งนั้น แล้วเราเข้าใจว่ามันคือสิ่งดี สิ่งวิเศษ

ตัดใจจากมัน วางจากมัน แล้วปีนขึ้นมา ตอนปีนมันลำบากมาก แต่พอขึ้นมายืนแล้ว โห มันโล่ง มันโปร่ง มันเบา มันว่างไปหมดเลย

         ทำไมมันสวยงามขนาดนี้ ความไม่ได้อยากมี อยากเป็น ความพอ พอมองลงไปปุ๊บ มันคืออะไรที่อธิบายไม่ได้ว่าฉันจะไม่กลับไปจุดนั้นอีกแล้ว ต่อให้มีประเทศทั้งประเทศมายกให้ แล้วบอกว่าฉันยกให้เธอนะแสนล้าน เอาไหม แลกให้เธอตอนนี้แสนล้าน เธอกลับมาใช้ชีวิตเหมือนเดิม ไม่เอา


สามีเขาเตือนมาตลอด เขาบอกว่านิกกี้เธอเครียดนะ เธอจะทำไปทำไมเยอะแยะ ไม่ได้ฉันมีลูก ลูกฉันต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ครอบครัวข้างหน้าฉันต้องเป็นอย่างนี้ลูกฉันต้องสบาย ฉันต้องมีอนาคต

อะไรล่ะ…อนาคต ก็ปัจจุบันเธอยังไม่มีเลย ก็นี่ไงลูกฉันต้องไปเรียนต่างประเทศ ลูกฉันต้องทำงานดีๆ ฉันจะต้องมีรถแบบนี้ ฉันต้องมีบ้านแบบนี้ มีธุรกิจ มีชื่อเสียง นี่ไงคะ จริงๆ เขาเตือนมาตลอด แต่เราไม่ฟังเขา

เชื่อเลยว่าทุกคนเหมือนกันหมด หาเงินเข้าธนาคาร ถือสมุดและดูตัวเลข ไม่ก็ออกไปทำเฟอร์นิเจอร์ ซื้อรถหรูๆ กินอาหารหรูๆ เที่ยวต่างประเทศ อันนั้นก็น่าเป็นวิสัยของคนทั่วๆ ไปอย่างปกติ ครูก็เป็นเช่นนั้น เงินออกไปในทางพฤติกรรมที่เกินปัจจัย 4

พอเกินปัจจัย 4 เราใช้เยอะ มนุษย์เราก็ต้องเติม เพราะเขารู้สึกว่าใช้ไปแล้วมันขาด ฉะนั้น มันพร่องไปแล้ว อนาคตจะทำยังไง เขาก็ต้องเติมตลอดจนไม่รู้จักพอไง

แต่พอเป็นมะเร็งปุ๊บเราต้องพอ ความมัธยัสถ์ ความประหยัด รู้จักใช้ อะไรควรอะไรไม่ควร ใช้ความเหมาะสมจนเกิดขึ้น โรคมาสอน”





“หลัก 3 อ.” ยาดีรักษามะเร็ง!!


หลังจากการฉีดสารเคมีเพื่อรักษาเข็มสุดท้ายได้จบลง และเจอประสบการณ์ไม่ดีมากนัก ชีวิตใหม่ก็ได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง เมื่อนิกกี้เบนเข็มไปที่การปรับเปลี่ยนชีวิต ดูแลตัวเองด้วยสูตร 3 อ.คือ เลือกกิน “อาหาร” ควบคุม “อารมณ์” และ “ออกกำลังกาย” เพื่อพยายามที่จะมีชีวิตอยู่ให้นานที่สุด จนปัจจุบันสภาพร่างกายแข็งแรงดีขึ้นมาก 

“ครูใช้คำว่าหลัก 3 อ. ครูจะบอกเลยว่าทุกวันนี้ครูรอดมามีชีวิตใหม่ ด้วยการมาใช้ชีวิตด้วยหลัก 3 อ.อยู่กับทุกโรคที่เป็นด้วยความผาสุก ด้วยความเข้าใจ ยอมรับแล้วปล่อยวาง

หลักการนี้เริ่มต้นเลย ไม่ใช่การรับอาหาร คนป่วยทุกคนเข้าใจว่า จะหายจากมะเร็งต้องคั้นน้ำ ต้องกินแต่ผัก ไม่ใช่ นั่นคือสุดโต่ง เฮ้ย!! จะหายจากมะเร็งต้องออกกำลังกายเยอะๆ ต้องดึงออกซิเจนเข้าร่างกายเยอะๆ โดยที่ไม่ดูแลอาหาร และไม่ดูแลจิตใจสุดโต่งนะคะ


อ้าว!! จะเอาแต่จิตใจกินอาหารชุ่ยเหมือนเดิม ไม่ออกกำลังกาย นั่นก็สุดโต่ง หลัก 3 อ. ของครู หมายความว่า เป็นการบูรณาการของร่างกายและจิตใจให้เกิดการทำงานฟื้นฟูไปพร้อมๆ กัน

โรคทุกโรคเราต้องฟื้นฟูก่อน สังเกตเลยว่าพอเรารู้ว่าเราเป็นโรคร้ายจิตจะตกก่อน จากตอนแรกเราก็ป่วยนี่แหละ แต่พอไปหาหมอปุ๊บ หมอบอกว่าเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย กินไม่ได้นอนไม่หลับทันที เขาบอกว่าอยู่ได้ 2 ปี ส่วนใหญ่ 2 เดือนไปแล้ว

นั้นคือจิตตก จิตที่ไม่ยอมรับความจริง แล้วพอไม่ยอมรับความจริง มันเลยไม่เกิดกระบวนการเปลี่ยนแปลงอาหาร ออกกำลังกาย หายใจใหม่ คือ มันไม่มีแรงผลักดัน แรงบันดาลใจในการลุกขึ้นมาเดินทางต่อ เพราะฉะนั้นหลักพุทธศาสตร์ คือ หลักแรก อ. ที่ 1 คือ ควบคุมความคิดและอารมณ์ ความรู้สึก ให้เห็นว่ามันไม่ใช่เรา ตรงนี้คือจุดเบื้องต้นเลย คือ ปรับแผงวงจรไฟฟ้าหัวใจ ให้หัวใจเต้นในจังหวะที่ช้าที่สุด Heart rate (อัตราหัวใจเต้น) ของครูเลย ก่อนที่ครูจะเจอทางเต้นอยู่ 120 ครั้งต่อนาที ในสภาวะปกติ ทุกวันนี้ Heat rate ครูเต้นอยู่ที่ 38-44 ครั้งต่อนาทีเท่านั้น

พอ Heart rate เราเต้นช้า ความดันเลือดเราก็จะลดระดับลง ตรงนี้ร่างกายเราจะเย็นปกติ คือ ไม่ร้อนเกินไป ไม่เย็นเกินไป หยินหยางเสมอกัน แค่นั้นเองง่ายๆ คือ สมดุล มีทั้งสภาวะเป็นกรดและเป็นด่าง”

อย่างไรก็ดี เธอใช้ตัวเองทดลองเป็นห้อง Lab โดยได้รับแรงบัลกาลใจมาจากหนังสือจากหมอผู้ที่ป่วยเป็นมะเร็งสมองระยะสุดท้าย แต่ก็สามารถมีชีวิตถึง 10 ปี

“ตอนนั้นบอกได้เลยว่าในเมืองไทยไม่สามารถหาข้อมูลอะไรได้ จะไปหาผู้ป่วยที่รอดจากมะเร็ง แล้วมาอธิบาย ใช้คำว่าไม่มีเลย น้อยมาก แต่มีคนที่เขียนเรื่องมะเร็ง แต่เขาไม่ได้เป็นมะเร็ง เพราะฉะนั้นเขาจะบอกเราไม่ได้หมด

อาการต่างๆ ของผู้ป่วยมะเร็ง คือต้องเป็นมะเร็งแล้วหายมาเท่านั้น อย่างเช่น ถ่ายไม่ออก นอนไม่หลับ อาหารไม่ย่อย เพราะมันจะมีโรคต่างๆ ตามมาเต็มไปหมดเลย กระเพาะทะลุ เลือดออกในกระเพาะ อาหารไม่ย่อย กระดูกพรุน นอนไม่หลับ เครียด วัยทองอย่างนี้ เขาจะให้คำตอบเราได้ยังไง


จะมีหมอท่านหนึ่ง คือ ดร.เดวิด เป็นมะเร็งสมองระยะสุดท้าย ซึ่งหมอบอกว่า ดร.จะอยู่ได้แค่ 2 ปี แต่หมอเปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิต วิถีคิด วิธีการคิด วิธีการกิน และการออกกำลังกาย แต่เขาไม่ได้บอกว่า คือ 3 อ. มันกว้างมาก หมอไม่ได้บอก Detail ทั้งหมด คือ กินพืชผักผลไม้ หมอออกกำลังกาย ทำสมาธิ และคิดบวก Positive Thinking แค่นั้น แต่คือเป็นปรมาจารย์ทางด้านมะเร็งสำหรับครู

หมอออกกำลังกาย หมอทำสมาธิ อันนี้เป็นพื้นฐาน ทุกคนในโลกรู้จักหลักพุทธศาสตร์ การทำสมาธิ การทำจิตให้ว่าง อันนี้ไม่ต้องบอกทุกคนเป็นหมด ควบคุมความคิดและอารมณ์

หมอไม่ได้สอนเรื่องหนึ่ง คือ ว่ายน้ำ หมอสอนว่าให้ออกกำลังกาย แต่หมอไม่ได้บอกว่าออกกำลังกายวิธีไหน อันนี้ต่างหากที่ครูเจอเอง คือ ณ ตอนนั้นให้คีโมเสร็จร่างกายไม่สมบูรณ์อีกแล้ว กระดูกมันพรุน กระดูกมันทรุด อวัยวะทั้งหมดมันไม่สามารถมาใช้บนสภาพที่มีน้ำหนักได้

เพราะฉะนั้นกีฬาบนบกทุกอย่างเลย คือ ต้องใช้ความมีน้ำหนัก ใช้การกระแทก การวิ่ง การปั่นจักรยาน สภาพครูมันเหลือเพียงน้อยนิดแล้ว ครูไม่สามารถที่จะเกิดความเสี่ยงตรงนั้นได้แล้ว อะไรที่ประคองร่างกายฉัน และทำให้ฉันขยับด้วยแรงที่มันน้อยมากๆ และไม่เหลือริบหรี่แล้ว ได้ออกกำลังกายได้บ้าง ก็เลยเจอการว่ายน้ำสำหรับบำบัดโรค



ครูก็เลยอ่านหนังสือเล่มนี้ทั้งหมด คือ ใช่แล้ว คือ ปัจจุบันหมอเสียชีวิตไปแล้ว แต่หมอก็อยู่มา 10 ปี นั่นแสดงว่า 10 ปี คือ โบนัส คือกำไรของหมอแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าทุกคนบอกว่าฉันตายด้วย 8 เดือน แล้วถ้าฉันอยู่เหมือนหมอเดวิดได้ 10 ปี นั่นคือกำไร”

โดยหลัก 3 อ. ที่ว่านี้ เป็นการปรับจิตใจให้ดีขึ้น ทั้งด้านความคิด การเข้าใจ ยอมรับความคิดของตัวเองทั้งด้านมืด และด้านสว่าง

“เป็นหลักธรรมชาติที่อยู่จากอากาศเลย คือ ความเข้าใจ ความไม่ขัดแย้ง เพราะฉะนั้นจิตใจอยู่ที่ให้ใจประภัสสร ให้ใจเกิดความเบิกบาน หัวเราะ ยิ้มบ่อยๆ เข้าใจตัวเอง เข้าใจผู้อื่น ให้อภัยตัวเอง ให้อภัยผู้อื่น คิดได้ พอคิดเสร็จก็วางมันซะ

ยอมรับตัวเองทั้งด้านมืด และด้านสว่าง พอเรายอมรับตรงนี้ได้ เราก็จะยอมรับคนอื่นเช่นเดียวกัน อาหารกินให้เป็นยา ดื่มให้เป็นยา มีผลต่อการฟื้นฟูและบำบัดโรค ออกกำลังกาย คือ ปรับการหายใจ เปิดร่องนมปานร่องบนให้ออกซิเจนเข้าสู่กระแสเลือดถึงจุดตันเถียรให้มากที่สุด

หายใจลึกยาวด้วยลมหายใจเดียว เพื่อให้เซลล์ได้มีโอกาสได้โตขึ้นเป็นเซลล์ที่ดี ให้ออกซิเจนเข้าสู่ปอด เนื้อปอดขยายมีพื้นที่ในการเก็บออกซิเจนได้มากขึ้น ตรงนี้เข้ามาทำให้หยินหยางเสมอ กระแสคลื่นพลังที่มีอยู่รอบตัวที่มันดีๆ จากธรรมชาติ มันจะปรับสมดุลด้วยตัวของมันเอง”

ดูเหมือนว่าเธอเชื่อว่านี่เป็นวิธีที่ทำให้เธอมีสุขภาพที่ดียิ่งขึ้น และวันนี้สามารถผ่านตรงนั้นมาได้ เธอจึงรู้สึกเข้าใจสิ่งที่คนเป็นโรคนี้กำลังคิดอยู่ และอยากให้คนที่กำลังเจอปัญหาเช่นนี้ หาทางออกให้ตัวเองได้ โดยที่ไม่ต้องจบชีวิตด้วยโรคนี้อีกต่อไป

“จริงๆ แล้วครูบอกเลยว่า ถ้าเราก้าวข้ามความหวาดกลัวได้ทุกชีวิต คือ กลัวตาย กลัวไม่ได้กิน กลัวเจ็บ กลัวทรมาน กลัวไม่ได้ กลัวไม่มี กลัวไม่เป็น ตัดความกลัวออกทั้งหมดจากชีวิตจิตใจ รับรองได้ทางกลางมาเอง


มันจะเป็นทางที่เหมาะสมและสมควรในการใช้ชีวิตทั้งหมดเลย ไม่เอาชนะ คนเราชอบเอาชนะ กลัวแพ้ กลัวเสียหน้า ต้องการให้สังคมยอมรับเราตลอดเวลา โดยที่เรายังไม่รู้เลยว่าเราชอบหรือเราไม่ชอบ ถ้าเราย้อนกลับมาดูที่ตัวเองได้ เรายอมรับตัวเองได้ ทางกลางทั้งหมดคือความสมดุลและการชีวิต”

พร้อมแนะนำสำหรับผู้ป่วยที่อยากออกกำลังกาย และบำบัดจิตใจด้วยวิธีแบบเดียวกับเธอไว้ว่า จะต้องรู้จักลิมิตของตัวเอง และยืนยันให้ฟังว่า ผู้ป่วยมะเร็งสามารถออกกำลังกายได้

“ทุกอย่างต้องอยู่ทางกลาง แล้วฟังเสียงร่างกายตัวเองเป็นหลัก ครูใช้คำว่าให้ดูแลหัวใจตัวเอง เวลาเราจะทำอะไร สังเกตจะพูด จะคิด จะทำ จะเคลื่อนไหว จะกินอะไร ถ้าหัวใจเต้นตึกๆ หยุดเลย แสดงว่ามากไป ลมหายใจที่มันหายใจไม่ทัน สั้นเหมือนหมา มันจะเกิดความร้อน หัวใจ stroke เร็วเป็นกรด

เพราะฉะนั้นคุณจะวิ่งก็ได้ ปั่นจักรยานก็ได้ จะว่ายน้ำก็ได้ อะไรก็ได้ แต่อย่าให้ Heart rate ขึ้น อย่าให้ความดันเลือดขึ้น อย่าให้ร่างกายร้อนต่อเนื่องในระยะเป็นเวลานานๆ ร่างกายต้องพัก

การจะทำอะไรก็แล้วแต่ มันย่อมมีผลดีและผลเสียคู่กันเสมอ มันบอกผลดี มันโกหก เพราะฉะนั้นตอนที่ครูหาทาง มันก็เจอทั้งดี เจอทั้งไม่ดี แต่จะบอกเลยว่าสิ่งไม่ดี คือ การก้าวข้ามมาเพื่อพบสิ่งที่ดีต่างหาก ทุกอย่างเป็นข้อดีทั้งหมดเลย”




ตั้งเป้าหมาย “ฉุดตัวเอง” ว่ายน้ำ “มาราธอน”


“ครูบอกเลยว่าครูว่ายท่ากบ ว่ายฟรีสไตล์ไม่เป็น เวลาเราป่วย โลกใบนี้มันมีแต่ครูสอนว่ายน้ำ ครูสอนวิ่ง ครูสอนปั่นจักรยาน สำหรับคนปกติ พอบอกคนป่วยไปปุ๊บ ไม่มีใครอยากสอนหรอก เพราะเขาสอนให้คนที่แข็งแรง ว่ายเร็วๆ ให้ออกกำลังกายเร็วๆ ให้แข็งแรง ให้มีกล้ามเนื้อ เพราะฉะนั้นเราจะเดินไปบอกเขายังไงว่าสอนฉันหน่อยได้ไหม

ฉันเป็นคนป่วย ฉันไม่มีกล้ามเนื้อนะ ฉันเป็นโรคหัวใจ เขาจะเข้าใจไหม เขาไม่เข้าใจเพราะเขาไม่ได้ป่วย เขาเป็นครูที่แข็งแรงมาสอนเรา เพราะฉะนั้นเขาไม่เข้าใจเราหรอก พอไปลงเรียนปุ๊บเขาให้เราว่ายเร็วๆ แล้วเราหายใจไม่ทัน คือ จะตาย รู้สึกว่าไม่ใช่แล้ว ฉันต้องหาทางเองแล้ว

อาหารหาทางได้แล้ว บำบัดจิตใจได้แล้ว ทีนี้จะทำยังไงจะฟื้นฟูเซลล์ ดึงกล้ามเนื้อกลับมา เพราะเราเข้าใจผิดว่าเป็นมะเร็งห้ามออกกำลังกาย เป็นโรคหัวใจห้ามออกกำลังกาย ให้นอนๆ


เฮ้ย!! ทำไมยิ่งนอนแล้วทำไมยิ่งแย่ มันเหนื่อย มันทำอะไรไม่ได้เลย ในเมื่อนอนแล้วไม่สามารถทำอะไรได้เลย รู้แล้วว่านอนแล้วเป็นอย่างนี้ ฉะนั้นฉันยอมลุก ลองขยับ เฮ้ย!! มันแข็งแรงขึ้น เลยลงน้ำ เพราะบนบกมันทำให้เราเจ็บ กระแทก มันทำให้เราปวดกระดูก”

ดวงตาฉายแววความสุข หลังจากที่เราเอ่ยถามถึงเรื่องราวการเข้าสู่วงการมาราธอนของเธอ หลังจากการรักษาตัวจากโรคมะเร็งสิ้นสุดลง จุดเริ่มต้น เริ่มจากการออกกำลังกายควบคู่ระหว่างที่ร่างกายกำลังปรับสภาพเข้าสู่ภาวะปกติ จากหลักการ 3 อ.“การว่ายน้ำ” จึงเป็นเป้าหมายแรกที่เธอนึกถึง โดยเธอฝึกฝนด้วยตัวเอง

“เพียงว่าก้าวข้ามให้ได้เท่านั้นเองว่ากลัวสำลักน้ำ กลัวจม ครูก็เลยหาทางเจอ ก็เริ่มที่จะเปิดคลิปดู ว่ายยังไงท่าฟรีสไตล์ ไม่มีใครสอน ดูๆ เสร็จก็ลงไปในสระ ลงไปเริ่มเคลื่อนไหว จากว่ายได้แค่ 10 เมตร ครูก็เริ่มขยายขึ้น 10 เมตร เป็น 200 เมตร ครึ่งโล 1 โล


พอมันได้ 1 โล มันเริ่ม challenge การ challenge ของมนุษย์มันเกิดจากคุณไม่เคยทำสิ่งหนึ่งได้ พอคุณเกิดแรงบันดาลใจ ในสิ่งที่คุณไม่เคยทำมันได้ มันอยากทำต่อ มันก็เริ่ม challenge ไม่ใช่ความโลภ

แต่มันรู้ว่าร่างกายมันมีความสามารถ ถ้าเราไม่ใช้ความกลัว มันจะเพิ่มปริมาณของมันได้ไปเรื่อยๆ คือกล้ามเนื้อมันจะสร้างขึ้นๆ ไม่ใช่อยู่ๆ ว่ายน้ำ 10 เมตร ฉันจะไปว่าย 5 โล มันเริ่มจากเสต็ปเป็นเสต็ปการฝึกซ้อม และการเทรนเขา ให้เขาคุ้นเคยอย่างช้าๆ

เริ่มจากเกาะขอบสระก่อน ทำยังได้ให้ตัวลอย อันนี้คือจุดเริ่มต้น ทำยังไงให้ปล่อยมือได้ให้มันลอย เริ่มลอยได้แล้ว ทำยังไงให้ตัวมันนอนได้ แล้วขาไม่จม ทำยังไงให้เคลื่อนตัวได้ แล้วทำยังไงให้ไม่เหนื่อย เพราะทุกคนเวลาบอกว่าว่ายน้ำ เหนื่อย ว่ายไม่ได้หรอก โล 1 เยอะ…”

นอกจากนั้น ยังท้าทายร่างกายด้วยการลงแข่งขันไตรกีฬาหลายครั้ง ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ร่วมกิจกรรมว่ายน้ำข้ามช่องแคบเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ระยะทาง 12 กิโลเมตร เป็นการว่ายน้ำข้ามเกาะระยะทางยาวที่สุดในประเทศไทย เพื่อนำรายได้ช่วยเหลือผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย

“คือตอนแรกเราใช้การว่ายน้ำเป็นการบำบัดโรคให้ตัวเอง พอค่าเลือดมันลด มันก็รู้สึกว่าใช่ทางแล้ว ถูกต้องแล้ว มันได้ทั้งควบคุมจิตใจด้วย ให้ใจได้สภาวะปกติที่ว่างจากความคิดและอารมณ์ คือ ความคิด มันมีอยู่แล้ว แต่เราไม่เข้าไปยึดมัน


ร่างกายมันโล่งโปร่ง DNA มันสร้างขึ้นมา มันกลับไปสู่รากฐานเดิม มันเริ่ม challenge พอมันว่ายได้โลนึง อ้าว!! ทำไมคลื่นไหวได้ 2 โล อ้าวทำไมได้ 3 กิโลอีกแล้ว มันเกิดความคิดว่าฉันต้องยืนได้ยังไง

เพราะฉะนั้นคนที่ท้อแท้สิ้นหวังขาดแรงบันดาลใจมันจะยืนบนโลกใบนี้ไม่ได้ ครูเลยเริ่มที่จะดึงศักยภาพของตัวเองขึ้นมา คือ จากที่เคยทำไม่ได้ ชอบปฏิเสธว่าทำไม่ได้หรอก ยาก can not ฉันจะทำ

เป้าหมายครูจึงไม่ใช่ความสำเร็จว่าทำมันสำเร็จ แต่สิ่งที่ครูสรรเสิญที่สุด คือ กล้าและตัดสินใจที่ลุกมาทำ เพราะความงดงามคือคุณกล้า พ้นจากความกลัว และลุกขึ้นมาทำมัน และการเดินทางระหว่างทางมันงดงาม ปลายทางไม่ใช่คำตอบ

คำตอบที่ดีที่สุด คือ คุณลุกขึ้นมาทำ จากคุณกลัวคุณกล้า แค่นั้นจบแล้ว เพราะฉะนั้นมาราธอนเกิดจากการเริ่มไม่อยากอยู่ในสระ อยากว่ายน้ำยาวๆ แล้ว ก็ไปข้ามเกาะ แมตช์แรกเลยเป็นผู้ป่วยมะเร็ง เพิ่งไปรักษามา ตอนนั้นจำได้ว่า 3 เดือนเท่านั้น เรียนว่ายน้ำเอง ลงสระเอง จนว่ายได้ 2 กิโล ก็ลงไปหาความท้าทาย

ฉันจะอยู่ ฉันจะหายใจรดบนโลกใบนี้ได้ยังไง ฉันจะทำอะไร งั้นฉันจะไปว่ายดู ก็ในเมื่อมะเร็งมันรักษา มาปางตายขนาดนั้น เพราะฉะนั้นไม่กลัวอะไรแล้วในโลกใบนี้ ก็ลองไปทำดู ก็ลงไปสมัครการข้ามเกาะเสม็ดครั้งแรก 5 กิโล ข้ามมาฝั่งบ้านเพ และปั่นจักรยานอีก 20 กิโล และวิ่งอีก 5 กิโล อันนั้นคือครั้งแรกในชีวิตเลย จากคนที่ทำไม่ได้ ไม่เคยทำอะไรได้เลย ไม่เล่นกีฬาด้วย ก็ไปว่ายข้ามมัน


แล้วมันก็จะเกิดมาตลอดเลย เฮ้ย…คนอย่างฉันข้ามผ่านด้วยเหรอ มันไม่ได้รู้สึกว่าฉันชนะ มันไม่ได้รู้สึกว่าฉันเก่ง ฉันอะไร ฉันทำได้ด้วยเหรอ มันก็เริ่มขยายจาก 5.5 กิโล เป็น 8.5 กิโล เป็นมาราธอน 10 กิโล แล้วก็มาข้ามคนเดียว อยากจะว่ายน้ำคนเดียว”

การแข่งขันกีฬาสุดทรหด 3 ประเภทอย่าง “ไตรกีฬา” ทั้งการว่ายน้ำ ขี่จักรยาน และวิ่ง โดยสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายระยะทางแตกต่างกันออกไป ซึ่งครูนิกกี้เป็นอีกหนึ่งสาวที่ใช้กีฬาเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ และบำบัดโรคมะเร็ง จนทุกวันนี้ได้หันมาใช้การว่ายน้ำข้ามทะเลระยะไกล (Utra swimthon) และฝึกซ้อมอย่างหนักเพื่อว่ายน้ำข้ามประเทศพิชิต 7 Oceans World ในปีหน้า ประเดิมว่ายข้ามเส้นแรก คือ 1.ว่ายข้ามจากเกาะเจอร์ซี่ (อังกฤษ) - ฝรั่งเศส ระยะทาง 24 กม. 2. ว่ายข้ามช่องแคบ Bistrol Channel (อังกฤษ) ระยะทาง 28 กม. 3. ว่ายข้าม North Channel จากประเทศไอซ์แลนด์-สกอตแลนด์

“Open water ใครก็บอกว่าอันตราย แต่ครูว่าไม่อันตรายหรอก ถ้าเราควบคุมตัวเองได้ แล้วมี safety ที่ถูกต้อง แต่เอาเข้าจริงๆ การลงน้ำมันต้องมีเรือพายตาม มีคนดูแล บางทีมีคลื่น มีเรือ มีลมสารพัด อะไรที่เราบอกไมได้นั่นคือในน้ำ เพราะฉะนั้นคนที่ไม่เคยสัมผัสกีฬาทางน้ำเลยก็ต้องไปตามงานที่เขาจัด

งานที่เขาจัดก็จะมีกรรมการ มีเวลา มีกฎระเบียบเต็มไปหมดเลย อันนั้นคือการแข่งขัน ก็ถูกต้อง ครูก็เข้าสู่กระบวนการตรงนั้นไป แต่เราเป็นโรคหัวใจ เขาให้ว่าย 10 กิโล แต่มีเวลาให้แค่ 6 ชั่วโมง ครูต้องว่ายให้ทัน ระยะนึงมันไม่ใช่เราแล้ว เพราะเราไม่ได้ต้องการการแข่งขัน แต่เราต้องการสร้างแรงบันดาลใจ เราต้องการทำอะไรที่มันนอกเหนือจากกฎกติกา เงื่อนไข ทางสมมติ เพราะฉะนั้นครูก็เลยว่ายกับตัวเอง”


ด้วยความกล้าและอยากเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้อื่น เธอเริ่มอยากท้าทายตัวเอง หาอะไรที่ก้าวข้ามผ่านไปอีกระยะหนึ่ง และหลังจากที่จบการแข่งในครั้งแรก ก็ยังมีสิ่งที่อยากพัฒนาศักยภาพของตัวเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆ

“นอกเหนือจากเหตุผลการเวลา คือการแข่งขันอยู่ภายใต้การเวลา กำหนดให้ 10 ชั่วโมง พอหลัง 10 ชั่วโมง DNF อันนี้คือกระบวนการทางโลก เราต้องเข้าใจก่อนว่าเราเป็นผู้ป่วย เวลาอย่ามาบีบบังคับในการใช้ชีวิตของฉัน ครูจึงอยู่เหนือกาลเวลา จะว่ายไปเรื่อยๆ ฉันหมดแรงเมื่อไหร่ ฉันก็พอ ฉันก็ขึ้น เพราะฉะนั้นครูก็ว่ายไปทุกที่ ตรงไหนที่ครูอยากจะว่ายครูก็ไป challenge พอมันเริ่ม challenge ให้ตัวเองปุ๊บจะทำไปทำไมล่ะ

ตัวเองรอดแล้ว ลุกขึ้นมา challenge รณรงค์ ใช้การว่ายน้ำ ประกาศเลยว่าฉันคือผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายที่รอดชีวิตมา ฉันอยากเป็นคนบอกโลกว่า การหายเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย การหายจากโรคหัวใจ โรคกระดูกพรุน วัยทอง โรคกระเพาะ กรดไหลย้อนทำยังไง โรคซึมเศร้าทำยังไง …ฉันจะบอกโลกใบนี้ ก็เลยเกิดการรณรงค์ขึ้นมาว่ายน้ำสร้างแรงบันดาลใจให้คนอื่นทำตาม”

โดยตลอดระยะเวลา 7 ปี ที่อยู่ในวงการว่ายน้ำมาราธอนระยะไกล ด้วยท่า "free immersion therapy" ที่ได้ค้นพบเอง ในการพิชิตมะเร็ง และโรคอื่นๆ ด้วยตัวเอง  รวมทั้งเดินทางสายกลาง ใช้หลักธรรมในก้าวข้าม เธอพูดได้เต็มปากว่า ทำให้สุขภาพของเธอแข็งแรงยิ่งขึ้น ซึ่งตลอดในการคุย ไม่มีแม้แต่อารมณ์แห่งความท้อแท้ ปรากฏให้เห็นบนใบหน้าของผู้หญิงคนนี้

เมื่อถูกถามถึงความคิดถึงการใช้ชีวิต จากคนที่เคยประมาทกับชีวิต กลายเป็นคนดูแลตัวเอง จนมีสุขภาพแข็งกว่าคนปกติทั่วไป เธอให้คำตอบทิ้งท้ายไว้ว่า ให้หันกลับมามองตัว เดินทางสายกลาง และไม่ประมาทกับชีวิต

“มันประมาทนะ เราเข้าใจว่าเราเป็นคนแข็งแรง อายุน้อย เอาไว้ค่อยแก่ๆ ก่อน แล้วโรคมา ทุกคนจะคิดแบบนั้น ยังหรอกเดี๋ยว 75 ค่อยตาย โอ้ย อีกเยอะ 30 กว่า เพราะเราเข้าใจผิด เซลล์ในร่างกายถ้าเราไม่เคารพเขา เราไม่เข้าใจเขา เขาจะทรยศเรา ตัวเราเองต่างหากที่ทรยศเซลล์ในร่างกายเรา เขาเลยทรยศกลับ

ตอนนี้เปลี่ยนจากสมัยก่อนไม่ยิ้ม ยิ้มแล้วได้อะไร จะคุยกับคุณได้อะไร มานั่งคุยตั้งนานได้อะไร เงินไม่ได้ ไม่คุยสมัยก่อนจะอยู่กับตรรกะ อยู่กับความคิด ความเห็นแก่ตัว อยากได้ อยากมี อยากเป็น ได้เท่าไหร่ก็ไม่พอ อยากได้แล้วก็อยากได้อีก ไม่พอสักที


พอมันเป็นโรคแล้วมันเข้าใจ ทัศนคติมันเปลี่ยนไป มันพอแล้ว ไม่สะสมแล้วไม่ไหว แบกมันหนัก ความคิดที่แบกก็หนัก ทรัพย์สินเงินทองแบกแล้วยิ่งหนักเข้าไปใหญ่เลย เพราะฉะนั้นวาง

ไลฟ์สไตล์เปลี่ยนจากกินยาก อยู่ยาก คุยยาก ยิ้มยาก กลายเป็นกินง่าย คุยง่าย ใครเรียกก็มา อยากได้ประโยชน์มีประโยชน์กับใครรึเปล่า ก็ไปให้ อยู่ตรงไหนไปหมด มันอยาก sharing มันอยากให้แล้ว อยากแบ่งปัน

พอมันเข้าใจตัวเองได้แล้ว มันลด ละ เลิก ความอยากได้อยากมี อยากเป็น อาการคาดหวังตัวเอง คาดหวังคนอื่น พอหยุดคาดหวังตัวเองได้แล้ว มันจะไม่คาดหวังคนอื่น เมื่อยึดตัวเองได้แล้ว มันอยากยึดคนอื่นอีกไหม พอที่ตัวเองได้แล้ว มันอยากให้คนอื่นไม่พออีกไหม มันก็อยากให้คนอื่นพอตาม เพราะมันมีความสุข

วิถีการใช้ชีวิตก็เปลี่ยน การสะสม โกยเข้าหาตัว มันจึงลดระดับลง จนเบาบางและหมดไป ตรงนี้ ทำให้การให้จึงเริ่มต้นขึ้น พอให้ตัวเองดีแล้ว มันอยากให้คนอื่นแล้ว”






สัมภาษณ์ : ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง : ภูริฉัตร ปริยเมธานัยน์
ภาพ : ธัชกร กิจไชยภณ
ขอบคุณภาพ : FB "Visaruta Forsans"



** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **