จากสาวนักวิทยาศาสตร์ สู่การเป็นช่างแต่งหน้าชื่อดังของเมืองไทย ที่พิสูจน์ตัวตน พัฒนาฝีมือ ฝากผลงานมานับไม่ถ้วน และหนึ่งในนั้น ใครจะรู้ล่ะว่าระยะเวลากว่า 20 ปี เธอคนนี้คือผู้อยู่เบื้องหลังพระสิริโฉมของ พระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารรีรัตน์ อีกด้วย
นี่เหละ… “ช่างแต่งพระพักตร์พระองค์หญิง”
“รู้สึกว่าเป็นมงคลชีวิต เราเป็นคนไทย คนไทยทุกคนมีหน้าที่ของแต่ละคนในการที่จะรับใช้ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ เราเป็นหนึ่งที่ได้มีโอกาสถวายงานท่าน
ท่านน่ารักมาก ทรงเป็นกันเอง เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย พระองค์ท่านก็ดูแล บางทีเราป่วยหนัก ท่านก็รีบให้หมอมาดูแล ส่งเข้าโรงพยาบาลรักษา ในช่วงหนึ่งที่ป่วยหนักๆ ซึ่งถ้าเราไม่ได้พระองค์ท่าน คือ เราอาจจะแย่
น้ำพระทัยนิดหนึ่งที่เล่าให้ฟัง จริงๆ มีมากมาย เราไปดูในสื่อได้ ในเวลาที่ท่านเสด็จไปต่างจังหวัด คือ ชาวบ้านจะรักท่านมาก และท่านก็จะรักชาวบ้าน”
นี่คือคำบอกเล่าของ “ฟูก-ภูวษา พรธรรมฉัตร” หรือที่ใครๆ เรียกว่า อาจารย์ฟูก ช่างแต่งหน้าระดับปรมาจารย์ ที่เนรมิตความสวยให้แก่ผู้หญิงดั่งความต้องการ รวมไปถึงการเป็นผู้อยู่เบื้องหลังพระสิริโฉมของ “พระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารรีรัตน์” อีกด้วย
โดยแต่ละลุคนั้น ใครจะรู้ล่ะว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเกิดจากภาพในหัวที่คิดภาพขึ้นมาเอง แถมไม่เคยเรียนแต่งหน้ามาก่อน
“ถวายงานมาประมาณ 20 กว่าปี ตอนนั้นก็ทรงถ่ายพระรูปกับนิตยสารแพรว หลังจากนั้น ก็ถวายงานมาเรื่อยๆ” เธอเล่าย้อนถึงการเป็นช่างแต่งพระพักตร์ประจำพระองค์หญิงกว่าระยะเวลา 20 ปี
“จะรับสนองว่าท่านรับสั่งอะไรมา เราก็จะพยายามต่อยอดด้วยกัน คิดด้วยกัน คือ เป็นการทำงานที่ง่ายมากเลย เพราะท่านทรงมีน้ำพระทัยที่ดีมาก และการทำงานแต่ละครั้ง ในเรื่อง make up เราก็จะ create กัน และคอลเลกชันแต่ละคอลเลกชัน ฟูกก็จะเป็นคนที่คิด make up มา
แล้วให้ท่าน approve อีกทีหนึ่ง พอคอลเลกชันแต่ละครั้ง ทุกอย่างจะเปลี่ยนคอลเลกชันเพราะเราทำมาหลายปีแล้ว ดังนั้น ทุกอย่างแต่ละคอลเลกชัน make up ก็จะเปลี่ยนไป อาจารย์ก็จะเป็นคนคิด และอาจารย์ก็จะเป็น Head makeup artist ที่จะคลุมช่างแต่งหน้า นางแบบบางทีก็มี 70 กว่าคน
ดังนั้น เราก็ต้องมีช่างแต่งหน้าหลายคน และเราจะวาง concept ไว้ทุกอย่าง บางทีเราค่อนข้างที่จะให้ดูเป็นแฟนซีบ้าง เป็นกึ่งนิดๆ ทุกอย่างจะมีความเปลี่ยนไปตามแฟชั่น
เพราะว่าอาจารย์ก็จะมีโอกาสไป Paris Fashion Week ทุกปี ไปดู Fashion show ทุกครั้ง เราก็ศึกษางานจากเมืองนอก ทั้งแสง การ make up
และดูทุกๆ อย่าง สิ่งที่ฝรั่งเขาทำ ดูหลายโชว์ แล้วเรากลับมาทำให้แฟชั่นของเมืองไทยดูทันสมัยใหม่ขึ้น แต่ขณะเดียวกัน มันก็ไม่ได้เยอะแยะ เราก็ไม่ได้ทำให้ว่าการแต่งหน้า ทำให้เสื้อผ้าดูไม่ดี เพราะการแต่งหน้าจะต้องทำให้เสื้อผ้าดูแพง คนที่แต่งหน้าดูแพง คนที่ใส่ดูแพง ทุกอย่างมันก็จะทำให้ support ซึ่งกันและกัน”
นอกเหนือจากเป็นช่างแต่งพระพักตร์ประจำพระองค์แล้ว อาจารย์ฟูก ก็ยังมีโอกาสแต่งหน้าให้แก่เหล่านางแบบในงานแฟชั่นโชว์ ในแบรนด์เสื้อผ้าส่วนพระองค์ “Sirivannavari” อีกด้วย พร้อมทั้งสะท้อนถึงการได้ทำงานใกล้ชิด ให้เห็นว่าให้เกียรติเพื่อนร่วมงาน
“รักมาก เพราะว่าอยู่ถวายงานท่านกันมานานมาก ตั้งแต่ท่านทรงพระเยาว์ ฉะนั้น ทุกอย่างอยู่ที่ใจ คือ ท่านน่ารักมากเลย และในลึกๆ ท่านก็ยังเป็นห่วงประชาชน อยากทำอะไรเพื่อสังคม ทำช่วยเรื่องศิลปิน มีกองทุน และมีมูลนิธิ”
“งานไม่ได้โด่งดังอะไร แต่มันเป็น Magazine Ads คนที่เขาร่วมงาน หรือว่า production house เขาก็ชอบในนิสัย บุคลิก หรือว่าการทำงาน ฝีมือ มันก็เป็นการทำให้เราเข้ามาในวงการโดยที่เราไม่ได้รู้ตัว ไม่ได้ใฝ่ฝัน
ตอนนั้นเป็นการแต่งหน้าให้แก่เด็กๆ คือ เป็นการถ่ายโฆษณาหมู่บ้าน แล้วก็มีน้องๆ เด็กๆ มาเป็น presenter เข้าเซ็ต ก็จะมีพิงค์กี้ มีน้องขวัญ ยังเด็กๆ เรายังอุ้มอยู่เลย ก็จะมีแอนดริว ถ่ายโฆษณา ช่วงนั้นเขายังเด็กๆ อยู่ ก็ทำมาเรื่อยๆ
คนเ โอกาสสำคัญที่สุด พอมันมีโอกาสเข้ามา มันก็จะมีการต่อยอดไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นการทำงานแต่ละครั้ง พอเราตั้งใจ ทำงานด้วยความสุข ทำงานด้วยใจ ด้วยความมุ่งมั่น และตั้งใจ รับผิดชอบงาน มันก็มีคนติดต่อมาเรื่อยๆ”
การได้เป็น “ช่างแต่งหน้า” อาจจะเป็นความใฝ่ฝันของผู้หญิงหลายคน สำหรับเธอแล้วนั้นยอมรับว่า ไม่ได้มีความใฝ่ฝันที่อยากจะเป็นตั้งแต่เริม แต่เพราะความพรสวรรค์และพรแสวง ส่งให้เธอสามารถโลดแล่นบนเส้นทางสายนี้ จนกระทั่งได้รับความไว้วางใจ เป็นช่างแต่งพระพักตร์ของพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา และศิลปินที่มีชื่อเสียง
จาก “สาววิทยาศาสตร์” สู่ช่างแต่งหน้ามืออาชีพ
“ด้วยความที่ว่า หลังจากช่วงที่เราเรียนเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์อยู่ เราก็ทำกิจกรรม แล้วมีการแต่งหน้ากิจกรรมต่างๆ แล้วหลังจากนั้นทุกอย่างเหมือนกับความบังเอิญ
เขาบอกว่าความบังเอิญไม่มีอยู่ในโลกนี้ใช่ไหม ก็ไปทำงานโฆษณา เราก็ไม่เคยเรียนมาก่อนเลย ด้วยความคิดว่าทุกอย่างเกิดจากสมอง ดังนั้น การแต่งหน้า หรืออาชีพเสริมสวยมันไม่ได้ใช้แค่แรงงานอย่างเดียว มันต้องมีฝีมือ ซึ่งฝีมือก็มาจากสมอง
ดังนั้น เราก็ต้องทำงานด้วยเซนส์ของเรา โดยที่เราไม่ได้เรียนมาก่อน แล้วก็ทำโฆษณาไป เริ่มต้นเลย คือ การทำโฆษณาเรื่อยๆ การเก็บเกี่ยวประสบการณ์สำคัญ สำหรับการเป็นช่างแต่งหน้า”
การเลือกเรียนเคมีในคณะวิทยาศาสตร์ซึ่งอาจจะดูไม่เกี่ยวกับการเป็นช่างแต่งหน้าเลยนั้น แต่กลับเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์ สามารถนำมาต่อยอดใช้ในสายอาชีพแห่งนี้
“เราจะมีความรู้เรื่องสี และเรื่องความศิลปะด้วย เรื่องสี บางทีการแต่งหน้าเราต้องใช้ทฤษฎีสีมาช่วย โดยที่เราสมมติว่า ใต้ตาคล้ำ เป็นรอยเทา หน้าเทา เราจะใช้พวกทฤษฎีสี เช่น คนมีผิวสองสี ผิวคล้ำ อาจจะจำเป็นใช้สีบางสีที่จะทำให้เขาดูแพงขึ้น ถ้าหน้าคล้ำ ผิวเทา เราจะต้องใช้ทฤษฎีสีเหลือง สีส้มมาช่วยฆ่าเทาบนใบหน้า
สมมติว่าเราใช้สีชมพูเลย มันจะดูหน้าเทายิ่งขึ้น หน้าจะไม่สว่าง สมมติเราใต้ตาคล้ำ นอกจากเราปิดคอนซีลเลอร์แล้ว ซึ่งเวลาใช้คอนซีลเลอร์ปิดมากๆ บางคนมีปัญหารอบดวงตาเยอะ อาจจะคล้ำมาก เกิดจากต่อมน้ำเหลือง หรือการไหลเวียนของเลือดมันไม่ดี
ทำให้เลือดตกค้างอยู่ใต้ผิว ทำให้เมื่อเราใช้คอนซีลเลอร์เสร็จ เราต้องใช้สีเหลืองค่อยๆ ปัดเข้าไป เพื่อตัดความเป็นเทา โดยที่เราไม่ต้องมาใช้รองพื้นให้มันหนา”
แม้เธอจะเริ่มต้นในสายอาชีพแห่งนี้ จนกลายเป็นระดับปรมาจารย์ไปแล้ว แต่เธอเองก็ไม่ยอมหยุดนิ่ง พัฒนาฝีมือ และนำความรู้จากการเล่าเรียนมาประยุกต์ใช้ พร้อมทั้งอัปเดตเทรนด์การแต่งหน้าอยู่เสมอๆ ไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมสาวๆ อยากให้เธอผู้นี้รังสรรค์ความสวยงาม สักครั้งในชีวิต
Born to be “ไม่ได้ใฝ่ฝัน แต่คนเรามีพรแสวง”
กว่าจะกลายเป็นช่างแต่งหน้าที่ประสบความสำเร็จและได้รับโอกาสที่ดีเสมอๆ ทำให้เธอเลือกจะยืนหยัด ส่งกลับคืนสู่สังคม โดยการเป็น “ผู้สอนแต่งหน้า”
“เรียกว่าเป็นช่างแต่งหน้าคนเดียวก็ได้ที่มีลูกศิษย์ทั่วประเทศเยอะที่สุด เพราะว่าเมื่อก่อน ที่เป็นที่ปรึกษาของเครื่องสำอางบริษัทหนึ่ง จะต้องเดินสายทั่วประเทศเลย เพื่อไปสอนเหนือใต้ออกตก
มีที่ไหนๆ เราก็จะไปสอนทุกภาคเลย การสอนไม่ได้คุ้มหรอกกับค่าตัว ค่าแรง แต่คิดว่าเราทำไปเพื่อสังคมส่วนรวมมากกว่า
การออกไปสอนข้างนอก จะทำให้บางทีเราก็เห็นสภาพคน สภาพ my set ของเขา ความเป็นอยู่ และ skill ของเขา ทุกอย่างก็จะมาจากภายในสู่ภายนอกว่าเขาอยู่ยังไง ลักษณะการอยู่ มันก็ส่งผลมาที่ผิวเขา ว่าผิวเขาเป็นแบบนี้ การใช้เครื่องสำอางถูกต้อง ไม่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นการที่เราสอนคนเยอะมากๆ เราก็จะได้ความรู้ เพราะว่าหน้า คือ ครู
บางทีเราเห็นหน้าครู บางหน้าเข้ามาเรียนแต่งหน้า สิวทั้งหน้าเลย ก็เลยรู้สึกว่าก่อนที่จะมาเรียน ไปรักษาผิวก่อนดีไหม หรือว่าบางคนมีความคิดที่ผิดๆ คิดว่าการแต่งหน้าจะช่วยชีวิตได้หมดทุกอย่าง โดยที่ไม่ได้ดูแลผิวตัวเองเลย”
ไม่แปลกใจเลยว่า เพราะอะไรอาจารย์ฟูกจึงประสบความสำเร็จในอาชีพ เพราะไม่ใช่เรื่องของความเก่ง ประสบการณ์ แต่ว่าเธอยังให้โอกาสผู้อื่น อีกทั้งยังพัฒนาตนเอง เก็บรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อย่างที่เธอบอกว่า เรื่องแสง เรื่องความเป็นอยู่ ทุกองค์ประกอบมีความสำคัญ
“ความท้าทาย คือ การพัฒนาตัวเอง และการทำงานมันได้ผลงานมากๆ เมื่อก่อนในตัวแม่ ในหลายๆ คน ก็จะมีอยู่ในวงการจริงๆ คือ ทำ Magazine และก็มีผลงานมาเรื่อยๆ เมื่อก่อน Magazine ก็จะมีหลายเล่ม ดังนั้นอย่างของฟูก จะมีแต่งครั้งหนึ่ง เวลา Magazine ออกอย่างปักษ์รายเดือน มันก็จะมี 7 เล่มบนแผง โดยที่มีฝีมือเราหมดเลยทุกเล่ม
นั่นคือการที่ในวงการให้การยอมรับเรา ให้โอกาสเรา เราก็มีแต่งปกหนังสือ แต่ง Magazine นางแบบทุกคนก็จะมาอยู่บนแผงทั้งแผงเลย ก็มีความภูมิใจของเรา
และการทำงานทุกครั้ง มันลำบากยากเย็น เมื่อก่อนมันยังไม่มีคอมพิวเตอร์รีทัช ทุกอย่างต้องสดหมด แล้วเราก็จะต้องเรียนรู้จากช่างภาพว่าเราทำงานกับช่างภาพคนนี้ อย่างพี่ใหม่ อมาตย์ (นิมิตภาคย์) พี่ปู สุเมธ (วิวัฒน์วิชา) หรือพี่ต้อ โชตวิชช์ (สุวงศ์) ช่างภาพรุ่นเก่า การทำงานเขาจะแตกต่างกัน และแสงก็จะไม่เหมือนกัน เราก็จะมีการเรียนรู้กับช่างภาพที่ดังๆ หลายท่านเลย
เราก็รู้ว่าช่างภาพแบบนี้ เขาจะทำงานแบบนี้ เพราะจาก concept เราก็จะต้องดูว่าแสงที่เขาจัด concept ของงาน ทุกอย่างเราจะต้องเรียนรู้ อันนี้คือ detail เล็กๆ ซึ่งหล่อหลอมเรา ให้เรามีวันนี้ ให้เรามีความรู้
เพราะฉะนั้นเวลาเราสอนคน เราจะเอาความรู้ตรงนี้ไปสอน ซึ่งมันล้ำลึก บางทีเราไปทำงาน เราก็ไม่ได้แต่งหน้าอย่างเดียว เราก็เป็นเด็กยกรีเฟกต์ เพื่อทำให้ภาพที่สวยงามขึ้นมา
ดังนั้น เด็กรุ่นใหม่ที่เดี๋ยวนี้เกิด มันก็ไม่ยากนะคะ เพราะมีโซเชียลเยอะ ใครที่ขยันทำสื่อโซเชียล ออนไลน์ เขาก็จะมีการพัฒนาตัวเองอีกแนวหนึ่ง แต่ว่าบางที เขาอาจจะอยู่ในโลกของออนไลน์ แต่พวกเราก็จะอยู่ในโลกของออฟไลน์บ้าง ออนไลน์บ้าง แถมเราเป็นรุ่นที่บุกเบิกมาก่อน อยู่ในวงการแฟชั่นมาก่อน
วงการแฟชั่นเดี๋ยวนี้ก็ไม่ค่อยมี ในออนไลน์ไม่ค่อยมีวงการแฟชั่นเท่าไหร่ นอกจากว่าตามสื่อ การนำเสนอรูปภาพอะไรต่างๆ แต่ว่าในวงการแฟชั่น วงการ Magazine พวกเราคือที่ 1”
อย่างไรก็ดี ในฐานะที่มีประสบการณ์ ยังแบ่งเป็นเคล็ดลับความสวยให้ฟังว่า นอกจากเรื่องแต่งหน้าที่เป็นตัวช่วยที่ทำให้เราสวยในระดับหนึ่ง การมีพื้นฐานของผิวที่ดี คือ สิ่งที่สำคัญ และยังเปลี่ยนชีวิตอีกด้วย
“ตอนนี้อาจารย์ก็เตรียมไว้แล้ว สำหรับการสอนปีหน้า ว่าจะแต่งหน้าเสริมราศีปีฉลู บางคนชงบ้าง บางคนดีบ้าง เพราะฉะนั้นเรื่องการแต่งหน้า เราก็จะมีเรื่องการเสริมดวงไปด้วย การใช้สีอะไรที่ให้เหมาะ สำหรับอาจารย์การแต่งหน้าเปลี่ยนชีวิต ทุกคนก็ต้องเปลี่ยนชีวิต พลิกชีวิตขึ้นมา
เดี๋ยวนี้เราแปลกใจมากเลย ทำไมผู้ใหญ่อายุ 70 กว่า ถึงไปเรียนแต่งหน้า ผู้ใหญ่เมื่อก่อนชอบอยู่บ้าน พอแก่เขาจะเข้าวัด แต่ปัจจุบันเขาเปลี่ยน mindset ของเขา ว่าเขาจะต้องออกมาข้างนอก เขาถามว่า 71 หรือ 73 มีโอกาสสวยไหม เขาอยากจะสวย อยากจะดูดี หรืออยากจะมีชีวิตยืนยาว โดยการแต่งหน้าเปลี่ยนชีวิต เพื่อให้เขาสวยได้”
พร้อมทั้งกล่าวหลักการทำงานอีกด้วยว่า ไม่ได้เน้นทำงานเชิงธุรกิจ แต่ทำงานเพื่อสังคม และทิ้งท้ายถึงคนรุ่นใหม่ ที่มีความฝัน หรือผู้ที่อยากทำอาชีพแต่งหน้าด้วยว่า ต้องรู้จักพัฒนาตัวเองเสมอๆ
“การสอนเราไม่ได้ทำเพื่อเป็นธุรกิจ อาจารย์ทำเพื่อสังคม เพราะว่าคนที่มาเรียนส่วนมากแล้ว 80% เลยที่จะมาเอาอาชีพ เอาความรู้ตรงนี้ กลายเป็นอาชีพเสริม ไม่ว่าจะเป็นคุณครู เป็นพยาบาล เป็นแพทย์ เป็นหลายอาชีพเลย เป็นอาชีพเสริม
และร้านเสริมสวยก็ทำเป็นอาชีพได้ เพราะวิชาที่อาจารย์ได้ เป็นวิชาเทพ ทุกอย่างกลั่นกรองมาเรียบร้อย ให้เขาได้นำไปใช้ประโยชน์ได้ บางคนอาจจะเป็นบิวตี้บล็อกเกอร์ เป็นเมนเทอร์ ทุกอย่างเอาวิชานี้ไปใช้
นี่คือการคืนให้กลับสังคม จริงๆ เราไม่ได้อะไรจากสังคมมากมาย แต่ว่าเราต้องการให้สังคมของเราดีขึ้น และให้โอกาสคน เหมือนกับโอกาสที่เราได้รับมาจากหลายๆ ท่านในวงการ และโอกาสนี้ให้กลับคืนสู่สังคม ให้มีทางเลือกในชีวิตที่จะดูแลตัวเอง ในครอบครัวได้”
สัมภาษณ์ : รายการพระอาทิตย์ Live
เรียบเรียง : MGR Live
เรื่อง : ภูริฉัตร ปริยเมธานัยน์
ขอบคุณภาพ : FB “ภูวษา พรธรรมฉัตร”
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **