“หนูรู้สึกว่ามันกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว…” เปิดมุมมองการโกงในชีวิตจริง ผ่านนางเอกละครเรื่อง "ฉลาดเกมส์โกง" ที่เพิ่งจบไปสดๆ ร้อนๆ และแน่นอนว่าต้องเป็นแง่มุมที่หลายคนเซอร์ไพรส์ ไม่ว่าจะเรื่อง "ประสบการณ์โกง" ของเธอ หรือแม้แต่ชีวิตครอบครัวที่พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะได้รับบท "ครูพี่ลิน"ในเรื่องนี้ และคนที่เฉลยคำตอบเรื่องนี้ได้ ก็มีเธอผู้เดียว“จูเน่ - เพลินพิชญา”
เปิดการโจรกรรมข้อสอบระดับประเทศ
“โรงเรียนหาเงินจากเราได้ แล้วทำไมเราจะหาเงินจากโรงเรียนบ้างไม่ได้”
“ครูขู่ว่าจะกาหัวกระดาษหนูถ้าหนูทุจริตในการสอบ แล้วอย่างครูที่ให้ข้อสอบกับคนที่เรียนพิเศษด้วย อย่างนี้มันเรียกทุจริตหรือเปล่าคะ”
“Generation เราต้องไม่มีคนโกงแล้วเว้ย”
กลายเป็นอีกหนึ่งละครที่ตีแผ่สังคม เสียดสีการศึกษาได้เจ็บแสบแห่งปี สำหรับละคร “ฉลาดเกมส์โกง” ที่เมื่อได้ติดตาม เป็นอันต้องนึกถึงภาพของภารกิจการโกงสุดตื่นเต้น กับเกมโกงที่ใหญ่ และท้าทายมากกว่าเดิม ในการโจรกรรมข้อสอบระดับประเทศอย่าง GAT-PAT
บอกไปใครจะเชื่อว่าละครเรื่องนี้จะสามารถตีแผ่การโกงเหล่านี้ได้จริง โดยผ่านตัวละคร “ลิน-รินลดา นิลเทพ” นักเรียนหัวกะทิ ที่ก้าวเข้าสู่วังวนกางโกง รับบทโดย “จูเน่ - เพลินพิชญา โกมลารชุน” หรือ จูเน่ BNK48 วัย 20 ปี
ทีมข่าว MGR Live ไม่รอช้า ได้มีโอกาสคว้าตัวเธอมาสัมภาษณ์ ผ่านประสบการณ์ในการสวมบทบาทของลิน ที่ผ่านความกดดันในฐานะนักแสดง รวมทั้งสะท้อนประสบการณ์สังคม และการศึกษาที่เธอได้พบเจอ
“ในฐานะที่หนูเรียนมาแล้ว ในช่วงมัธยมที่มันค่อนข้างที่ต้องแคร์เรื่องเกรดหน่อย คือ เน่ว่าด้วยสังคมที่เราต้องเรียนกับเพื่อน มันเลยสร้างเกิดการแข่งขันขึ้นมา ทำให้เรารู้สึกว่าเราคงต้อง concern (กังวล) เรื่องเกรด แล้วเน่รู้สึกว่าต้องพยายาม ซึ่งมันก็ดี คือ เพื่อนสร้างให้เราผลักดันตัวเอง
แต่ในฐานะหนูเรียนมาแล้วออกมาแล้ว เรารู้สึกว่าเราไม่ได้มีวิชาไหนที่กลับไปแก้ไข เพราะว่าเรียนจนจบมาแล้ว เกรดมันไม่สำคัญ”
เสียงเล็กๆ ผู้ที่ได้รับบทลิน นักเรียนมัธยมปลาย ที่นั่งอยู่ข้างหน้าผู้สัมภาษณ์ ได้มองถึงปัญหาของระบบการศึกษาไทย ที่มีผลการสอบเป็นตัววัดระดับความสำเร็จของนักเรียน ส่งให้เกิดการแข่งขันกันสูง
“มันคือ social norm ที่ถูกสร้างขึ้นมาให้เด็กต้องมีการแข่งขันกัน จะต้องเรียนให้เก่ง ต้องทำให้ดีที่สุด
เน่เชื่อจริงๆ ระบบศึกษาเราไม่ได้แย่ มันมีกระบวนการที่ถูกคิดมาแล้ว ว่าอันนี้คือสิ่งที่เหมาะสมกับวัยนี้ แต่เน่จะมองเป็นเรื่องวิธีการสอนมากกว่า วิธีการอธิบายเด็กให้เข้าใจ มันจะสร้างเยาวชนคุณภาพออกมาได้หลากหลายเลย
ถ้าเราสอนเหมือนในวิธีที่เข้าใจและทำได้จริง แล้วเด็กเข้าถึงได้จริงๆ ในเรื่องที่จำเป็นต้องใช้ตอนเราโตจริงๆ ตัวเราเองโชคดีที่เราได้เรียนมัธยมที่เป็น 2 ภาษา และเป็นโรงเรียนใหม่ ซึ่งเขาจะมีการเรียนการสอนที่อาจจะไม่เหมือน
โรงเรียนไทยจ๋าเขาจะเน้นให้เราทำ The experiment คือ การทดลอง ไม่ใช่แค่การทำในห้องแล็บ แต่คุณออกมาทำเลยในชีวิตจริงๆ และสอนในเรื่องที่สามารถเอามาเชื่อมโยงในชีวิตจริงเราได้
เน่ว่าถ้าสิ่งที่ inprove (ทำให้ดีขึ้น) ให้มันดีได้ก็อาจจะเป็นวิธีการสอน เพราะว่าสุดท้ายแล้วเรื่องเราเรียน หนูโตมาหนูก็ดีใจที่หนูได้เรียน ประถม มัธยม ในไทย เพราะว่าจริงๆ ด้วยเนื้อหาที่ดีมาก และเราก็คิดว่าเป็นสิ่งที่สนุกมาก
พอเราโตขึ้นมันก็สามารถเอามาใช้ได้จริง แต่มันอยู่ที่วิธีการสอนที่เราจะเข้าใจไหมว่า เราจะเอามาใช้ยังไง”
ส่วนระบบเงินกินเปล่า หรือการเก็บแป๊ะเจี๊ยะ ที่ใครหลายคนมองว่าถูกฝังลึกอยู่ในระบบการศึกษา เธอให้คำตอบว่าเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ที่โรงเรียนจะนำเอาไปใช้บำรุงรักษา
“หนูรู้สึกว่ามันกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว เน่เกิดมาเน่ก็เข้าใจว่ามันก็ปกติ ที่สมมติอยากจะเข้าโรงเรียนที่ไม่ว่าจะมีชื่อเสียงมากหรือไม่มากนัก หลายโรงเรียนก็เลือกที่จะเก็บส่วนนี้ ซึ่งเขาบอกว่าเป็นส่วนค่าบำรุงรักษาต่างๆ เอาจริงๆ เน่เชื่อว่ามันได้เอาไปถูกใช้จริงๆ ในแง่มุมใดแง่มุมหนึ่งมันได้เอาไปถูกใช้
ยกเว้นว่าโรงเรียนนั้นจะมีข่าวฉ้อโกงอันนี้เราก็ไม่ยุ่ง แต่เน่เชื่อว่ามันถูกออกนำไปใช้ อย่างน้อยเราอาจจะไปเปลี่ยนระบบนี้ไม่ได้ แต่อย่างน้อยเราเลือกได้ว่าเราจะไปอยู่ในโรงเรียนที่ผอ.เขาเป็นคนยังไง หรือโรงเรียนมีมุมมองยังไงบ้าง
เราเลือกได้ว่าเราจะไปเลือกจะไปอยู่กับคนที่เขาดี และเขามี empathy (การเอาใจใส่) และเขาคงเอาเงินนั้นของเราไปใช้ให้เป็นประโยชน์”
ในละครสะท้อนให้เห็นปัญหาของระบบการศึกษาไทย ที่มีความเหลื่อมล้ำค่อนข้างมาก สำหรับเธอแล้วการได้แสดงละครที่ตีแผ่สังคมเช่นนี้ได้สร้างการเปลี่ยนแปลง และมุมมองที่เห็นเป็นช่องโหว่ของการศึกษาไทย
โดยกรณีที่เห็นได้อย่างชัดเจน คือ ครูโสภณ ครูที่เปิดสอนโรงเรียนกวดวิชาในโรงเรียน ซึ่งลินได้พบว่าข้อสอบที่ใช้ติวในโรงเรียนนั้นตรงกับข้อสอบที่ใช้สอบ และฉบับเดียวกัน
“ตอนที่เน่เล่นไม่รู้สึกค่ะ เน่เป็นคนหนึ่งที่เรามีความคิดเห็น มีมุมมองของตัวเองด้านการศึกษา ที่เราถูก experience มาเหมือนกัน เราไม่ได้รู้สึกมาก เพราะเราเอง หลายๆ คนก็มองเห็นถึงปัญหาต่างๆ อยู่เสมอ
แต่ว่าเราจะมาเห็นชัดเลยๆ คือ ตอนที่ทุกคนดูตอนที่มันออนแอร์ แล้วทุกคนเริ่มแสดงความคิดเห็น ในมุมของโรงเรียนตัวเองบ้าง ในสิ่งที่ตัวเองเจอบ้าง
เราตกใจ มันมีคนที่เจอเหตุการณ์ที่รู้สึกว่ามันมีอย่างนี้ด้วยเหรอ มันมีเยอะมากเลย อย่างตอนของครูโสภณตอนแรก
คนก็จะมาพูดว่าใช่มันมีอย่างนี้ในชีวิตจริง คือ ครูแบบครูโสภณมีจริงในชีวิตจริง หนูแบบไม่น่าเชื่อ (ทำหน้าแบบไม่น่าเชื่อจริงๆ) แต่หนูไม่เคยเจอขนาดนั้นในชีวิต
มันคงจะยากลำบากพอสมควร และมันทำให้เห็นความหลากหลาย อย่างโรงเรียนก็มีหลายประเภทที่มีครูประเภทนี้ มีอะไรประเภทนั้น ก็ทำให้เราได้รับรู้มากกว่า
เราไม่ได้เซอร์ไพร์สกับมันมากขนาดนั้น เพราะว่าสุดท้ายแล้วถ้าเรามองไปถึงวิธีการแก้ปัญหา เราก็ไปเปลี่ยนใครขนาดนั้นไม่ได้ค่ะ
มันเหมือนเวลาเราทำผิด เราจะสำนึกผิดและเราจะเปลี่ยนแปลงได้ มันก็อยู่ที่ตัวเรา คนอื่นมาพูดกับเราเป็น 10 ครั้ง เราอาจจะไม่รู้สึกว่าไม่อยากเปลี่ยนเท่าตัวเองฮึบเดียว
ดังนั้น ถ้าเราไปพูดกับคนอื่นว่า ให้คุณเปลี่ยนในนิสัยที่ย่ำแย่ของคุณหน่อย เขาอาจจะไม่ได้เปลี่ยนให้เราได้เลย มันอยู่ที่ตัวบุคคล เราก็แค่เป็นเราที่รู้ตัวเองดีที่สุด ว่าเราทำในสิ่งที่ถูกต้องและสบายใจ”
ลิน VS จูเน่ ชีวิตจริงที่ต่างกัน “ถ้าเรื่องความผิดชอบคือ สู้ลินไม่ค่อยได้ และความรอบคอบคงสู้ลินไม่ได้ แต่ว่าถ้าเรื่องที่คล้าย ก็จะบอกเสมอว่าเป็นเรื่องที่บ้าน เป็นเรื่อง backgroundที่บ้าน คาแรกเตอร์ของคุณพ่อคุณแม่ของลิน คล้ายกับคาแรกเตอร์คุณพ่อคุณแม่ชีวิตจริงของเน่ มันก็ทำให้เอาความเป็นจูเน่เข้าไปใช้ในบทบาทลินด้วยค่ะ เพราะว่าด้วย background ที่มันเหมือนกัน มันก็มองมาจากมุมมองของเรา ก็คือเป็นคนเดียวกันนั่นแหละ ก็เลยเหมือนหยิบเอาความเข้าใจตรงนั้นไปใช้ในฐานะลินด้วยค่ะ มันคงมีคน question หนูเหมือนกัน ด้วยที่หนูรับบทเป็นลิน มันจะทำให้คน question ว่าแล้วเราในชีวิตเราเรียนเก่งไหม หนูบอกว่าสังคมมันเป็นแบบนี้ มันเลยกลายเป็นว่ารู้สึกเหมือนปลูกฝัง ความที่ทุกคนต้องมาวัดกันที่ความเก่งยังไงไม่รู้ แต่มันก็แล้วแต่นะคะ มันหลากหลายมากเลย เน่ว่าเน่ไม่เหมือนลิน เพราะเราไม่ได้วิชาการขนาดนั้น ถ้าลินจะคล้ายพี่สาวมากกว่าพี่สาวจะเรียนเป็นนักศึกษาแพทย์อยู่ เขาก็จะเก่งเลข เก่งวิทย์” |
การโกหก = โกงความรู้สึก
“ถ้าโกงสำหรับเน่ คือ โกหก มันคือการโกงความรู้สึกของตัวเอง และของคนใดคนหนึ่งที่เราโกหกไป
จริงๆ เน่พูดได้ตรงนี้เลยว่าเราโกงมานับครั้งไม่ถ้วน เพราะเราไม่เคยนับไง มันก็ไม่เยอะขนาดนั้นหรอ แต่ก็เยอะอยู่ (หัวเราะ)”
ถามเธอว่า “เคยโกงในชีวิตบ้างหรือไม่” เธอรีบให้คำตอบไว้ว่า ไม่มีใครไม่เคยโกง สำหรับเธอเคยโกงความรู้สึก เพื่อเลือกที่จะปิดบังความจริงบางส่วน
“โกหกยิบๆ ย่อยๆ ตอนเด็กๆ คนเราโกงมากกว่าตัวเองคิดนะ หนูว่าไม่มีใครไม่เคยโกงเชื่อหนู แค่บอกว่าใกล้ถึงแล้ว แต่เพิ่งออกจากบ้าน แบบนี้ก็โกง หรือว่าบอกว่าจะนอนแล้ว แต่เล่นมือถือต่อ นี่คือโกงเหมือนกัน ซึ่งมันไม่ได้ผิดอะไร
แต่สุดท้ายแล้ว เน่ว่าอาจจะโชคดีที่เราโตขึ้น แล้วเราโชคดีที่มาอยู่กับฉลาดเกมส์โกง ได้มีโอกาสเป็นคนแชร์เรื่องราวของการโกงนี้ พอเราแชร์ออกไป มีคนมาแชร์เรื่องราวของตัวเองเยอะเหมือนกัน
แต่พอได้รับฟังเรื่องราวต่างๆ มันก็ยิ่งชัดเจน กับจิตใต้สำนึกของตัวเอง สุดท้ายเราก็รู้ว่าต้องทำอะไร แล้วมันสบายใจกว่า”
ด้วยประสบการณ์ที่เธอเคยผ่านมา เธอมองว่าการโกงเล็กๆ อาจจะกลายเป็นการปลูกฝังนิสัยโกงใหญ่ๆ ขึ้นได้ หากไม่รู้จักเปลี่ยนแปลง และเลิกนิสัยเหล่านี้
สำหรับผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างหน้ารายนี้ เปรยออกมาว่าเคยผ่านประสบเหตุการณ์ จนทำให้เธอเริ่มติดนิสัยการโกงความรู้สึกของตนเองโดยไม่รู้ตัว
“เล่าประสบการณ์ตรงที่ไม่เคยเล่าให้ใครฟังเหมือนกัน คือ ตอนเด็กๆ หนูเป็นเด็กคนหนึ่ง ที่เรากลัวที่บ้าน เราอยากไปเที่ยวกับเพื่อน แล้วเราไม่กล้าที่จะบอกเขาว่า เราไป กลับดึก เพราะเรารู้อยู่แล้วว่าเขาจะไม่ให้ เราก็เริ่มต้นด้วยการบิดเบือนความจริง อย่างถ้าจะกลับ 2 ทุ่ม ก็บอกพ่อว่ากลับ 6 โมง แล้วกลับ 2 ทุ่ม
คือ เราแพลนไว้แล้ว คิดไว้เหมือนกันว่าเราจะพูดกับพ่อว่าอะไร เราจะบอกว่าพอดีรถมันติดพ่อ แล้ววนไปส่งเพื่อนด้วย มันก็เลย 2 ทุ่ม ซึ่งในช่วงแรกๆ เรารู้สึกว่าไม่เป็นไร เราไม่ได้โกหก ไม่ได้โกง ไม่ได้ทำอะไรผิดมาก
แต่พอไปเรื่อยๆ เราไม่รู้ตัวเหมือนกัน คนทำไม่ค่อยรู้หรอกว่าสิ่งที่เราทำมันผิด จนกระทั่งมันเตลิดไปไกลแล้ว ก็มีคนมาเตือน บวกกับถ้าเราเป็นคนที่โกหกไปมากๆ มันจะมีสถานการณ์ที่โป๊ะแตกเหมือนกัน
ไม่ใช่ใครจับเราได้หรอก แต่เราพูดไม่เหมือนเดิม คือ ความจำไม่ดี จึงพูดโกหกไม่เหมือนเดิม เลยโป๊ะแตกเสียเอง
มันก็รู้สึกได้คนที่ไม่พูดความจริงคนที่ตั้งใจปกปิดความจริง เราจะรู้สึกว่าเราต้องกุมความลับอะไรไว้ เราต้องเหมือนจำให้ได้ด้วย ว่าเราพูดอะไรกับคนนี้ว่าไง เดี๋ยวเราต้องไปพูดกับคนอื่นเหมือนเดิม”
เธอบอกเล่าความรู้สึกของเธอให้ชัดยิ่งขึ้นว่า เหตุการณ์ในตอนนั้น การเลือกที่จะปิดบังข้อมูลออกไป ทำให้เธอสบายใจ เพราะต้องกุมความลับข้อมูลที่พูดออกไปไว้เสมอๆ
“จะมีความไม่สบายใจ ซึ่งมาคิดดูแล้วเราพยายามจะเป็นคน open ชิลชิล แสดงคนอื่นเห็นว่าเป็นกันเองมาตลอด แต่เรามีความกุมความลับไว้เสมอๆ เลย โตมาจนถึงมัธยมเรายังโกหกพ่ออยู่ ว่าเราขออย่างอย่างนี้อย่างนั้น แต่ความจริงมันไม่ใช่เลย
ดังนั้น มันติดเป็นนิสัยเป็นสิ่งที่ไม่ดี เราไม่ค่อยสนับสนุน เพราะว่าเราอาจจะเกิดอย่างนี้ได้กับหลายๆ คน แต่ว่าเน่เชื่อว่าเด็กทุกคนที่โกหก หรือเลือกจะใช้วิธีนี้มันเกิดจากการที่เขากลัวอะไรบางอย่าง
เหมือนเน่เองที่เรากลัวเหมือนกันเราไม่กล้าพูดความจริง เรากลัวเขาว่า เรากลัวเขาไม่ให้ไป ดังนั้น มันอาจจะสะท้อนได้เหมือนกันนะคะ ถ้าสมมติว่าที่บ้านคุณมีเด็กที่โกหก ไม่พูดความจริง หรือคนรอบตัวไม่พูดความจริง เขาอาจจะกลัวอะไรบางอย่าง กลัวการไม่ถูกรัก กลัวไม่เป็นที่รัก ซึ่งเราอาจจะไปแก้ปมนั้น อาจจะทำให้เขากลายเป็นคนใหม่เลยก็ได้”
ทว่า หลายคนกลับมองว่า “เด็กทุกคนต้องเคยแอบลอกข้อสอบ” ในฐานะของเด็กที่อยู่ในระบบการศึกษาคนหนึ่ง จูเน่ได้ถ่ายทอดประสบการณ์ในชีวิตรั้วโรงเรียนให้ฟังอีกครั้งอย่างตรงไปตรงมา
“สำหรับหนู หนูจะบอกให้ทุกคนลองดูค่ะ แล้วจะรู้เองในสักวันหนึ่ง อีกใจก็รู้ว่าไม่ควรสนับสนุนให้เขาทำ แต่หนูก็ไม่อยากห้าม เพราะว่าการห้ามอาจจะไปทำให้เขาอยากที่จะไปทำ ไปแอบทำมากกว่ากับหลายๆ เรื่อง ก็รู้สึกเรามองเป็นแบบนั้น
อย่างล่าสุดประสบการณ์ตรงน้องสาว เหมือนเราเป็นห่วงเขามาก แล้วเราไปเหมือนพยายามคิดว่าตัวเองจริงใจกับน้อง แต่น้องก็แอบไปทำอะไรที่เราไม่รู้ หนูก็รู้สึกว่าเราคง stick (เข้มงวด) กับเขามากไป ก็เลยพยายามใจเย็น แล้วจะไปไหนก็ไปด้วย”
อีกหนึ่งสิ่งที่มักพบในสังคมในกลายเป็นเรื่องธรรมดาๆ ของหลายคน คือ การที่พื้นฐานเป็นเด็กเรียนเก่ง แต่กลับโดนเพื่อนต่อต้าน เพียงไม่ให้ลอกข้อสอบหรืองาน เพราะมองว่าเป็นเป็นเรื่องปัญหาการทุจริต
“เราเข้าใจโรงเรียนหนูก็มี เพราะว่าเราก็จะมีอยู่วิชาหนึ่งที่อาจารย์ให้ทำ ไม่ใช่ข้อสอบ แต่เป็นการบ้าน ก็จะสร้างกลุ่มกัน แล้วเอาบุคคลเรียนเก่งมา ถ่ายรูปลงตอนเช้า แล้วนั่งลอกกัน
มันก็มีคนที่เขาไม่ได้สนใจ ไม่ได้รู้สึกสบายใจที่จะมาร่วมกระบวนการตรงนี้ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ดีแล้ว ที่บ้านเขาคงสอนมาดี
อย่างเน่เป็นเด็กที่ไม่ได้เรียนเก่งและเป็นเด็กเกเรคนหนึ่ง แต่ว่าอย่างน้อยเราเข้าใจไม่จำเป็นจะต้องเรียนให้ดี หรือเรียนให้เก่งมากเพราะว่าเรามีอย่างอื่นที่เราชอบ แล้วเราอยากจะทำมันมากกว่า”
กล้าตีแผ่ละคร-เสียดสีสังคม เพราะคือชีวิตในสังคมไทย!!?
“ตอนแรกหนูไม่คิดเลย เน่ว่าด้วยสถานการณ์บ้านเมืองเราในตอนนี้ มันก็มีหลายๆ ประเด็น ซึ่งมันดูพอดิบพอดีกับละครเราที่ออกมาตีแผ่สังคม
เราเองรู้สึกสัมผัสได้ว่า เป็นช่วงของการเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนผ่านอะไรบางอย่างเหมือนกันไม่รู้ว่าละครจะเป็นส่วนหนึ่งรึเปล่า หรือว่าด้วยสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
แต่ว่าสุดท้ายมันคือการตีแผ่สังคม ที่เราแค่เอาเรื่องจริงบ้าง ไม่จริงบ้าง เอามารวมให้มันมาสอนใจคน มาเตือนคน แล้วมาเป็น Entertainment”
คงมีละครไทยไม่กี่เรื่องที่กล้าสะท้อนเรื่องสังคม ความเหลื่อมล้ำระหว่างคนจน และคนที่มีฐานะ รวมทั้งมุมมืดสิ่งที่พบในระบบการศึกษาของโรงเรียน สำหรับละครที่ได้อวสานไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วอย่าง “ฉลาดเกมส์โกง (Bad Genius)” ซึ่งเธอให้คำตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า ไม่คิดว่าจะได้รับกระแสตอบรับที่ดี
“ตอนนี้หนูรู้สึกปกติมากเลยค่ะ แต่พอทุกคนตื่นเต้นกับมันมาก หนูรู้สึกว่า OMG มัน Mass เหมือนกัน คือ ด้วยความที่ตอนแรก อย่างที่บอกหนูไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง ตอนนั้นอาจจะกังวลกับตัวเองมากไปหน่อย
ด้วยความที่มันเป็นหนังมาก่อน เราก็เข้าใจว่า คือ ยังไงหนังก็ดีมาก คนแบบครึ่งโลกดูหนังไปหมดแล้ว คนน่าจะไม่เซอร์ไพร์สกับเรามาก แต่หารู้ไม่ จริงๆ แล้วหนังไม่ได้ครอบคลุม Target คนทุกสัดส่วนในประเทศของเรา เพิ่งมารู้จริงๆ แล้วละครได้เข้าไปสู่ผู้ใหญ่ที่เขาดูละคร ดูทีวีอยู่สม่ำเสมอ ก็ทำให้เขารู้จักมากขึ้น ได้รู้เรื่องนี้ ซึ่งมันใหม่กับเขาด้วย เราดีใจที่มันเข้าถึงคนได้เยอะกว่าที่เราคิด”
อย่างไรก็ดี เสียงวิพากษ์วิจารณ์จนเกิดกระแสทั้งแง่ดี และแง่ลบ ของจุดที่กล้าในละครเรื่องนี้ กลับทำให้หลายคนตั้งข้อสงสัยของตีแผ่ชีวิตผ่านละครไทย โดยไม่เกรงกลัวการถูกแบนในสิ่งที่เสนอออกไป
“มันก็ถือว่าใหม่ค่ะ แต่ว่ามันไม่ได้ใหม่ครั้งแรก คือ ตอนที่เป็นเวอร์ชันหนัง หนูว่าตอนนั้นคนก็เริ่มว้าวแล้วกับไอเดียที่ถูกเล่าออกมา มันเหมือนใหม่มากสำหรับวงการภาพยนตร์ไทยวงการสื่อต่างๆ
แต่ว่าครั้งนี้เหมือนเป็นการถูกเล่าซ้ำ แต่ก็ได้ให้กับคนที่เคยดูแล้วอย่างเดียว ให้กับ Target ใหม่ๆ ด้วย ให้กับคนดูใหม่ๆ ด้วย เป็นการเล่าซ้ำที่ขยายมากกว่าเดิม ที่คนอาจจะได้รู้รายละเอียดมันมากขึ้น คงเป็นอีกหนึ่งกระแสสังคมที่หนูว่าอาจจะให้อะไรกับคนดูไม่มากก็น้อย”
โดยสิ่งที่ละครถ่ายทอดออกไป นักแสดงที่มักให้คำตอบผ่านรอยยิ้ม และทัศนคติบวกๆ รายนี้ มองว่าจะสร้างความเปลี่ยนแปลงไปทางที่ดีเกิดขึ้นได้
“เน่รู้สึกดี ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของละครเรื่องนี้ เพราะว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้น เราเล่าความเป็นจริงในมุมใดมุมหนึ่ง มันไม่ได้เหมือนเพลง มันไม่ใช่เทรนด์ที่มาแล้วก็จะหายไป แต่ว่าสิ่งนี้มันอาจจะมาแล้วหายไปจริงๆ ค่ะ แต่เน่เชื่อว่าคนดูจะได้อะไรเล็กๆ น้อยๆ จากละครเรื่องนี้ไป อาจจะไปคอยเตือนใจ หรืออยู่ในใจไม่มากก็น้อย”
“กอดพ่อนานๆ นะลูก…” “คุณพ่อหนูดูตลอดเลยค่ะ อย่างล่าสุดคุณพ่อส่งมาว่ากอดพ่อนานๆ นะลูก ก่อนที่จะไม่กอดกัน บทเดียวกับพ่อลิน ...พ่ออิน หนูก็แบบได้พ่อ (หัวเราะ) พ่อก็ดูทุกตอน หนูก็ตกใจที่ดูด้วย เพราะว่าอย่างตอนนั้น เป็นตอนที่หนูอินมาก คิดถึงพ่อเลย พอดูตัวเองเล่นเสร็จจะโทร.หาพ่อ จะโทร.ถามว่าดูหรือยัง เขาก็ส่งมาพอดีดูอยู่ จริงๆ ครอบครัวหนูค่อนข้างจะยืดหยุ่นนะคะ เขาก็มีมุมที่เขา stick มากๆ เหมือนกัน แต่ว่าเขาไม่ได้ stick ขนาดนั้น อย่างที่หนูเล่าให้ฟังว่าหนูมีช่วงที่โกหก แต่เขาสอนมากๆ ถ้าเขาจับได้ว่าเราโกหก พ่อแม่ที่ไหนก็ไม่อยากให้ลูกโกหก แล้วต้องมาปิดบังความลับอะไรกันอยู่แล้ว เขาก็เป็นคนหนึ่งที่พยายามสอนเรามาเสมอในสิ่งที่ถูกต้องที่เขาได้อาบน้ำร้อนมาแล้ว เขาก็รู้ว่าทำไปผลสุดท้ายจะไม่ดีหรอกลูก แต่เขาก็ให้อภัย อย่างคุณพ่อเป็นคนที่จะเป็นพ่อพระ จะคอยให้กำลังใจมาเสมอ และเชื่อในตัวเราเสมอว่าลูกของพ่อทุกคนเป็นเด็กที่ดี ซึ่งหนูว่าเป็น mindset ที่ดีมากเลยนะ สุดท้ายมันทำให้หนูไม่กล้าเป็นลูกที่ดื้อให้เขา เพราะว่าเราไม่อยากทำร้ายความเชื่อใจที่เขามีให้เรา” |
ตั้งคำถามกับตัวเอง เหมาะสวมบท…ครูพี่ลิน!!?
”ตอนที่ประกาศออกไปว่าเป็นเราที่เล่นเป็นครูพี่ลิน คนก็ question กับตัวเราเยอะ ว่าจูเน่เหรอ BNK48 ทำได้รึเปล่า แสดงเป็นเหรอ ซึ่งตอนนั้นเอาตรงๆ ด้วยความที่เราก็ใหม่มากๆ ใน feel ของการแสดง
เน่ก็ question ตัวเองเหมือนกัน ก็ไม่แน่ใจ ไม่มั่นใจเหมือนกัน แต่ว่ามันเป็นช่วงที่เราก็ค้นหา จนสุดท้ายเราเจอความมั่นคงของเรา ในการเป็นลิน เราก็ทำเต็มที่ในส่วนที่เราทำได้ แล้วใครจะชอบหรือไม่ชอบ มันคงเป็นเรื่องของรสนิยม”
แน่นอนว่าการมีคนที่แสดงบท ลิน ในเวอร์ชันภาพยนตร์ ที่นำแสดงโดย “ออกแบบ-ชุติมณฑน์ จึงเจริญสุขยิ่ง” ที่ประสบความสำเร็จมาก่อนแล้ว สร้างการเปรียบเทียบ และมองว่าคงไม่มีใครกล้า นำเรื่องนี้มาทำอีกแล้ว
“ตอนอยู่ในกองเราไม่ค่อยแสดงออก เราไม่ค่อยบอกใครว่า เราไม่มั่นใจ คือ มันทำไม่ได้ คือ เอาจริงๆ หนูสารภาพตรงนี้ตอนที่เปิดกล้องครั้งแรก หนูไม่พร้อมเลย แต่ต้องเล่นไป
แต่คิดว่าผู้กำกับให้ทำอะไร ฉันจะทำให้แล้วกัน ก็ทำเต็มที่ที่สุด พอไปเรื่อยๆ มันถึงค่อยๆ จับทางได้ จากจากสไตล์การทำงานของทีมงาน ของผู้กำกับ เราค่อยรู้ว่าเราต้องเล่นประมาณนี้นะ
ที่เห็นว่าดูเล่นเครียดมาก ของจริงเครียดกว่านั้นอีก 10 เท่า ซึ่งตอนแรกหนูดูในหนัง หนูรู้สึกว่า มันเครียด แต่ว่าพอมาเป็นในฐานะนักแสดงจริงๆ มันต้องเล่นให้แบบรู้สึกเครียดมากๆ (หน้าจริงจังให้รู้ว่าตอนนั้นเครียดจริงๆ) กว่าคนดูอีกค่ะ”
ถึงแม้ปัจจุบันจะสิ้นสุดของการโกงแล้ว แต่ก็ยังมีการติดตามโดยเฉพาะบทบาทของเธอที่ได้รับเสียงสะท้อนกลับมาว่า เป็นนักแสดงที่มีพัฒนาการด้านการแสดงที่น่าจับตามองอีกคนหนึ่ง เธอยอมรับว่ากว่าจะผ่านมาถึงจุดนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย
“เข้าไปฉากแรกที่ถ่าย คือ เป็นฉากฝนข้อสอบ พี่พัฒน์ผู้กำกับเขาจะแบบอีก…เครียดอีกๆ มันยังไง มันยังทำไมได้เลย (พูดเค้นอารมณ์ให้เครียด) เปลี่ยนหน้าข้อสอบ ทำๆ ซึ่งเอาจริงๆ ก็เป็นประสบการณ์ใหม่มากๆ คือ มันต่างมากๆ จากที่เราทำมา
คือ หนูก็ทึ่งนะ ในมุมของคนดูมาตลอด เราเข้าใจว่านักแสดงก็ไม่ต้องเล่นใหญ่ขนาดนั้น แต่พอเรามาเป็นนักแสดงเองจริงๆ เรารู้ถึงเบื้องหลัง รู้ถึงความเป็นมามากขึ้นว่า shot แบบนี้เขาถ่ายยังไง หรือบางทีมันมีฉากที่กล้องมารับหน้าเราใกล้มากๆ
เราต้องทำในฐานะนักแสดง ห้ามทำเหมือนว่ากล้องอยู่ตรงนี้ แล้วมันต้องทำยังไงก็มันอยู่ตรงนี้ มันจะยังไง ก็ใช้สมาธิใช้ประสบการณ์เยอะมาก หนูก็เลยนับถือนักแสดงที่ได้ทำงานด้วยมากๆ ที่เขามีประสบการณ์”
แน่นอนจูเน่พยายามปรับตัวเพื่อหาจุดที่พอดี รวมทั้งการรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นคำวิจารณ์ว่าเธอไม่เหมาะกับการเป็นครูพี่ลิน
เพราะบทบาทที่เธอได้รับนั้นมีความยาก ซึ่งการสื่อสารการทำงานกับทาง พัฒน์ บุญนิธิพัฒน์ (ผู้กำกับ) เป็นสิ่งที่สำคัญ
“ยากทุกฉากเลยค่ะ ยากมาก ไม่มีคำว่าง่ายเลย จริงๆ ในฐานะนักแสดงหลัก 4 คน พี่ไอซ์ เจ้านาย นาน่า
นาน่าไม่เท่าไหร่ แต่พี่ไอซ์กับเจ้านายจะชอบแซวผู้กำกับ คือ เขาจะมีท่าประจำเขา เขาจะมีคำถามประจำตัว
สมมติว่าเวลาเล่นเราเล่นไม่โอเค งงๆ เขาจะ cut แล้วถามตอนที่เล่นคิดอะไรอยู่ ทำไมถึงคิดอย่างนั้น พี่ว่ามันไม่ได้เลย (ทำท่าทางประจำของผู้กำกับ) แล้วหนูก็จะโดนเหมือนกัน
แต่พอไปเรื่อยๆ พี่พัฒน์เล่าให้ฟังว่า ในฐานะผู้กำกับที่มี treat นักแสดง จะมาทำเหมือนให้คนคนนี้ฮึดขึ้น มันก็ใช้วิธีต่างกัน
อย่างของเจ้านาย และพี่ไอซ์ ก็จะเป็นการกดดันมากๆ ต้อง push ต้องด่าได้ แต่ของหนูจะเป็นคนที่ไม่ชอบให้โดนด่า
พอด่าจะรู้สึก…อ้าวฉันทำไม่ดีเหรอ ก็จะเฟลมากกับตัวเอง จะชอบในการพูดให้เราเข้าใจ เราอ๋อ เราจะทำได้มากกว่า
ดังนั้น พอโดนผู้กำกับทำแบบ ไม่ได้เลย หนูจะขาดความมั่นใจมาก เหมือนตอนนั้นเราเอาสมาธิเราไปตั้งอยู่กับจูเน่ ไม่ได้ตั้งอยู่กับลินแล้ว มันจะไปตั้งอยู่กับตัวเอง ในฐานะนักแสดงว่า ฉันทำไม่ดีเลย แทนที่จะไปตั้งว่า ลินเข้าใจผิดตรงไหน มันจะมีปัญหามาอย่างนี้ที่ต้องใช้เวลา”
กว่าเธอคนนี้จะฉายชัดในฐานะนักแสดงที่มีดีเรื่องคุณภาพ จะต้องรอการพิสูจน์ตัวเอง และเชื่ออย่างยิ่งว่า หากใครได้เปิดใจดูผลงานของเธอที่ผ่านมาแล้วนั้น คงจะไม่มีข้อกังขาที่เธอเข้ามารับไม้ต่อ สวมบทบาทลิน ในฉบับละคร ที่เธอได้ถ่ายทอดเอาไว้
“จริงๆ ตอนที่หนูเล่นเสร็จแล้วเมื่อปีที่แล้ว อย่างหนึ่งปีที่ผ่าน ที่เรารอกระบวนการ post production ต่างๆ เรามีโอกาสได้ดูบาง scene เพราะเราต้องไปลงเสียง
เราได้มีโอกาสได้ดูบาง scene ที่เราเล่นไป เราคิดว่าเล่นอะไรไปวะ คือ กลับมาดูอีกทีตอนนั้น รอบแรกคือเราไม่ชอบเลย หมายถึงว่าเราไม่มั่นใจเลย แล้วนับวันที่ยิ่งใกล้ที่จะออนแอร์แล้ว เรายิ่งรู้สึกความมั่นใจเรื่อยๆ เพราะว่าเราไม่แน่ใจว่าทำได้ดีจริงๆ รึเปล่า
เพราะในฐานะนักแสดงเราแทบจะได้ดูเต็มๆ พร้อมกับคนดูเลยค่ะ มันไม่ได้มีโอกาสดูต่อและไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผู้กำกับเลือก
Take ไหนที่เราเล่น และเอาไปใช้จริงๆ ด้วย พอเรากลับมาย้อนดูมันจะมีหลายๆ senses ที่มันนึกถึงตอนถ่ายเลยว่า ตอนนั้นเราน่าจะฮึบอีกนิดนึง
เราไม่ค่อยมั่นใจตัวเอง ในช่วงแรกๆ จนพอมันออนแอร์มาแล้ว มันเลยดีใจมากๆ เวลามีคนมาแสดงกับเราเหมือนมาบอกเราตรงๆ ว่าเขาชอบมากในตัวละครลินที่เราเล่น ซึ่งไม่แค่ชอบแต่ใส่ใจรายละเอียดต่างๆ ที่เราเล่น และหลายๆ คนก็ติดตามมาจาก one year 365 วันบ้านฉัน บ้านเธอ
เขาก็บอกว่าเห็นการพัฒนาของเรา และช่วยแนะนำเรา เรารู้สึกว่าดีใจ ที่อย่างน้อยก็ยังมีคนชอบ ในเวอร์ชันนี้”
เพราะ “การแสดง”ทำให้เราเข้าใจมนุษย์ “เราชอบการแสดงมากตั้งแต่เด็ก เราอยากเป็นนักแสดง ในวันที่เราได้ลองแล้วและยังติดใจมันอยู่ เราก็อยากจะทำมันต่อไปค่ะ อยากจะให้อยู่กับเราไปก่อน และถ้ามีโอกาสในอนาคตก็อาจจะรับงานแสดง แต่ก็ต้องดูด้วย อาจจะมีเรื่องเรียนเข้ามาด้วยที่ต้องดูให้มันลงตัว สิ่งที่รู้สึกว่าชอบในการแสดง คือ อย่างที่บอกว่ามันทำให้เข้าใจมนุษย์มากขึ้น และทำให้เราได้ไปทำสิ่งที่ในชีวิตจริงเราไม่ได้ทำ ได้ไปอยู่ในสถานการณ์ที่เราอาจจะไม่ได้เจอในชีวิตจริง ไปเป็นบุคคลที่เราอาจจะไม่ได้เป็น ก็ทำให้เราลองหลายๆ อย่างมากในชีวิต จนเราเรียกว่าเรามีความชอบในตอนนี้ และมันน่าค้นหาในตอนนี้ เพราะว่าเราเพิ่งลอง เพิ่งได้ 2 คาแรกเตอร์เอง แล้วเรารู้สึกว่าอยากลองคาแรกเตอร์อีกหลายๆ คาแรกเตอร์เลย ก็อยากจะ keep สิ่งนี้ในชีวิต อยากทำต่อ” |
สัมภาษณ์: ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง: ภูริฉัตร ปริยเมธานัยน์
คลิป: อิสสริยา อาชวานันทกุล
ภาพเคลื่อนไหว: พัชรินทร์ ชัยสิงห์
ภาพ: กัมพล เสนสอน
ขอบคุณภาพ: แฟนเพจ “June BNK48” , “GDH”
ขอบคุณสถานที่: Hookrajongcafe -หูกระจงคาเฟ่-
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **