“มันไม่มีใครออกมาพูดหรอกค่ะว่า ตัวเองรับงานเอนฯ แต่ที่หนูออกมาพูด เพราะอยากให้เข้าใจว่า มันไม่ได้แย่ขนาดนั้น ไม่อยากให้เหมารวมพริตตี้ไปหมด”
และบทสัมภาษณ์นี้เองที่จะทำให้ใครหลายๆ คน ซึ่งกำลังส่ายหน้าให้กับคำว่า “พริตตี้” และ “งานเอนฯ” จากกรณีการเสียชีวิตของ “ลันลาเบล” ได้มองเห็นความจริงจากโลกอีกใบ ผ่านสายตาหนึ่งในเพื่อนสนิทของผู้ตาย “บันนี่สตรอง” เจ้าของตำแหน่ง Brand Ambassador 2019 ของ Playboy Thailand
“งานเอนฯ” ไม่ได้เลวร้าย เลือกได้แบบ “ไม่ล้วง-ไม่ขาย”
“ตอนนี้คนภายนอกเขาไม่รู้ไงคะว่ามันเป็นยังไง เพราะฉะนั้น ถ้าหนูไม่ออกมาพูด ทุกคนก็จะต้องเข้าใจว่ามันดาร์ก มันไม่ดี มันนู่นนี่ ทำให้คนที่เขาตั้งใจทำงานจริงๆ เขาหมดกำลังใจได้ นึกออกไหมคะ
คือหนูเป็นคนหวงตัวนะ ถึงจะ friendly แต่ก็เข้าถึงยาก แต่ที่หนูเคยรับงานแบบนี้ ก็เพราะมันไม่ได้โดนตัวค่ะ คำว่า “งานเอนฯ” ก็คือ “เอนเตอร์เทน (entertain)” มันก็แค่เพื่อนกินข้าวในร้านเหล้า มันไม่ใช่ไปทำอะไรไม่ดี
แค่ไปเป็นเพื่อนกินข้าว เป็นเพื่อนเที่ยว ไม่ได้โดนตัว หนูอยากให้รู้ว่า คำว่า “เอนเตอร์เทน” มันไม่ได้แย่ขนาดนั้น มันไม่ได้ต้องไป something กับใคร มันไม่ได้ต้องไปนัว หรือไปล้วงกับใคร อันนี้หมายถึงแค่ในกลุ่มเอนฯ เฉยๆ นะคะ”
สตรอง-กนกทิพย์ ทุมมานนท์ พริตตี้สาวสวยและนางแบบสายเซ็กซี่วัย 25 เจ้าของฉายา “บันนี่สตรอง” ยอม เปิดประตูพาเราเข้าไปสู่โลกอีกใบของ “สาวสายมอบความบันเทิงให้ลูกค้า” หลังการเสียชีวิตแบบกะทันหันของเพื่อนสนิทในกลุ่มอย่าง “ลันลาเบล” ธิติมา นรพันธ์พิพัฒน์
["สตรอง" เพื่อนสนิทในกลุ่มของ "ลันลาเบล" (ขวา) มานาน 3 ปี]
ด้วยการจากไปอย่างเป็นปริศนาของพริตตี้ชื่อดังวัย 25 หลังรับงานเอนฯ ซึ่งเป็นปาร์ตี้ปิด ณ บ้านพักหลังหนึ่งย่านบางบัวทอง จนเป็นเหตุให้ถูก “น้ำอุ่น-รัชเดช วงศ์ทะบุตร” หิ้วไปขึ้นคอนโดฯ ย่านรัชดา-ราชพฤกษ์ กทม. เพื่อกระทำอนาจาร
และด้วยคลิปต่างๆ ที่หลุดออกมาเป็นระยะ ส่งให้ตอนนี้คนในสังคมมองคำว่า “พริตตี้” และ “งานเอนฯ” แทบไม่เหลือชิ้นดี ถึงกับมีแฟนเพจ “บิ๊กเกรียน” ออกมาเจาะเบื้องหลังอาชีพนี้อย่างละเอียด โดยแบ่งสายงานได้เป็น 5 แบบ ตามนี้
1.งานเอนฯ ธรรมดา (En) คือรับงานดูแลลูกค้าด้วยการชงเหล้า, ดูหนัง, กินข้าว, พาเที่ยว สนนราคาอยู่ที่ 2,500-5,000 บาท
2.งานเอนฯ-อัป (En-Up) คือรับงานดูแลลูกค้าในปาร์ตี้เฉพาะกลุ่ม ซึ่งจะทราบกันดีว่างานนี้มี “ยา” ให้เล่นให้อัป สนนราคาอยู่ที่ 3,000-10,000 บาท
3.งานเอนฯ บิกินี่ (En-Bikini) คือรับงานดูแลลูกค้าด้วยการชงเหล้า แต่เด็กจะใส่ชุดบิกินี่ และดื่มกินกันในสระปาร์ตี้ สนนราคาอยู่ที่ 4,500-10,000 บาท
4.งานเอนฯ แรง คือรับงานดูแลลูกค้าด้วยการแลกด้วยสัมผัส คือมีถึงเนื้อถึงตัว ให้ควัก ให้ล้วงได้ แต่ไม่มีการขึ้นเตียงกัน แต่เด็กที่รับงานนี้ต้องใจถึง และรับได้ทุกสถานการณ์ สนนราคาอยู่ที่ 5,000-10,000 บาท
5.งานเอนฯ วี (En-VIP) คือรับงานดูแลลูกค้าด้วยการจบลงบนเตียง สนนราคาอยู่ที่ 7,000-100,000 บาท แล้วแต่เกรดของตัวเด็ก ถ้าโปรไฟล์เป็นถึงระดับดารา, นางแบบ, ตัวประกอบผ่านกล้อง ราคาจะสูงกว่าเด็กทั่วๆ ไป
เมื่อลองถามจากปากคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพริตตี้ และเคยรับ “งานเอนฯ ธรรมดา” อย่างสตรองดู เธอจึงช่วยคอนเฟิร์มอีกแรงว่า มีการจ้างและจ่ายงานตามประเภทเหล่านั้นจริงๆ โดยย้ำว่าเด็กแต่ละกลุ่มจะแยกออกจากกันอย่างชัดเจน
“งานเอนเตอร์เทน ก็คือกินเหล้าธรรมดา เป็นเพื่อนเที่ยว, เอนฯ อัปก็คือมีอัปยา, เอนเตอร์เทน VIP ก็คือจบด้วยการนอนกัน แต่ถ้าเป็นพริตตี้จริงๆ ที่เขารับงานที่มันขาว เขาก็จะแบ่งกันชัดเจนนะพี่
อย่างหนูเคยรับเอนฯ ธรรมดา หนูก็จะไม่เข้าไปอยู่ในกลุ่มหลัง มันจะมีกลุ่มเฉพาะรับงาน ก็ค่อนข้างแบ่งพรรคพวก และเขาจะไม่ค่อยรู้จักกัน
สมมติว่าเป็นสายพริตตี้ ทำงาน MC ตามห้างฯ เขาก็จะมีสไตล์นั้นเลยกลุ่มเดียว หรือถ้าเป็นพริตตี้สายเอนฯ ก็จะมีอีกกลุ่มนึง จะแบ่งแยกกันชัดเจนค่ะ หนูถึงบอกไงคะว่าไม่อยากให้เหมารวม
แต่ขึ้นชื่อว่า “พริตตี้” มันเป็นคำสั้นๆ มันไม่แปลกที่จะโดนเหมา เพราะคนก็เข้าใจว่าเป็นพริตตี้เหมือนกันหมด ไม่ได้มาเจาะลึกลงไปว่า พริตตี้แบ่งได้หลายกลุ่ม และทุกกลุ่มก็จะแบ่งแยกกันชัดเจน เขาจะไม่มาปนกัน
และหนูก็ไม่ได้มองว่า คนรับงานเอนฯ ประเภทถึงขั้น something กัน เขาทำผิดอะไรนะ หนูรู้สึกว่ามันก็เรื่องของเขา คือใครจะรับยังไง มันก็เป็นเรื่องของตัวบุคคลไปมากกว่า”
เสนอครึ่งแสน เพื่อแลก “นัว-นอน”
“3,000-5,000 บาท ต่อชั่วโมง” คือเรตราคา “งานเอนฯ” ที่สตรองเคยได้ ในสมัยที่ยังรับงานประเภทนี้อยู่ แต่หลังจากคว้าตำแหน่ง “Brand Ambassador 2019” เป็น 1 ใน 10 กระต่ายสาวสุดฮอตประจำแบรนด์ Playboy Thailand ไปครอง เธอก็ผันตัวจาก “พริตตี้” ไปเป็น “นางแบบ” อย่างจริงจัง และไม่รับการบริการประเภทนี้อีกเลย
“บางทีเราไม่อยากคุย พี่นึกออกไหมคะ แต่เราก็ต้องไปคุยกับเขา หนูเลยไม่ได้รับมานานแล้วค่ะ ถ้าจำเป็นต้องไปจริงๆ ก็อาจจะเป็นเพราะพี่ๆ ที่รู้จักขอร้องให้ไป เราก็ต้องดูเป็นกรณีไปค่ะว่า ได้คุ้มเสียไหม ควรไปไหม”
ที่สำคัญและขาดไม่ได้เลย ไม่ว่าจะรับงานเอนฯ หรืองานถ่ายเซ็กซี่ ก็คือเรื่อง “ความปลอดภัย” เพราะสาวหมวยสูง 175 รายนี้ ถือเรื่องการ “เซฟตัวเอง” เป็นเรื่องสำคัญที่สุด!!
“หนูจะไม่รับงานที่มันดูสุ่มเสี่ยงเลย อย่างตอนรับงานเอนฯ หนูจะไม่รับงานที่ต้องไปบ้าน ไปคอนโดฯ หรือไปในสถานที่ปิด จะรับแค่ในร้านอาหาร หรือร้านเหล้าอย่างเดียวค่ะ หรือไม่ถ้าไปถึงแล้ว ปิดไฟหมด เปิดไฟเธคอะไรสไตล์นั้น หนูก็ไม่เอาเลย หนูไม่ชอบ หนูอยู่ไม่ได้
ยิ่งถ้าเป็นงานที่ให้อยู่กันแค่ 2 คน ยิ่งไม่ไปเลยค่ะ และเพื่อนๆ ในกลุ่มก็คงไม่ไปเหมือนกัน เพราะมันเสี่ยง และถ้าไปถึงแล้ว ดูทรงไม่ดี หนูกลับเลย (น้ำเสียงมั่นใจ) หนูไม่ง้อเลย คือถ้าเจอแบบรุ่มร่าม หรือพูดจาไม่ให้เกียรติ ก็กลับเลย
เคยเจอเหมือนกันที่พูดว่า “น้อง..พี่จ่ายค่าตัวน้องมาแบบนี้ งานได้แค่นี้เหรอ” ทั้งที่รายละเอียดงาน เราก็ต้องตกลงกันตั้งแต่แรกอยู่แล้วค่ะว่า มันได้แค่ไหน หรือจะต้องเป็นยังไง”
ถ้ารับงานแล้วยกเลิกแบบนี้ ไม่ต้องจ่ายค่าเสียเวลาให้ลูกค้าเหรอ? ผู้สัมภาษณ์ถามออกไปตรงๆ ด้วยความสงสัย จึงได้รับคำตอบแบบไม่อ้อมค้อมกลับมาเหมือนกันว่า “ไม่ต้องจ่าย เพราะมันเป็นความพอใจของทั้งสองฝ่ายค่ะว่า เราพอใจจะอยู่ไหม”
ก่อนวกกลับมาที่กรณีของเพื่อนสนิทอย่าง “ลันลาเบล” ว่า สาเหตุที่เพื่อนผู้เคราะห์ร้ายเห็นสภาพงาน แล้วตัดสินใจยังไม่ยกเลิกนั้น น่าจะเป็นเพราะคิดว่าแค่ดื่มเหล้า ไม่น่ามีอะไรหนักหนาไปกว่าจะรับมือไหว
“หนูเชื่อว่าตอนที่เพื่อนไป เพื่อนก็คงเห็นแค่ว่า กินแค่เหล้ากันอย่างเดียว เขาก็เลยอยู่ เพราะส่วนตัวที่หนูรู้จักกันมา คือเพื่อนไม่เล่นยาเลย และพวกหนูก็ไม่เคยพากันไปเล่นยา”
ส่วนเรื่องวิธีรับมือลูกค้าในงานเอนฯ สำหรับสตรองก็คือ ต้องคอยระวังตัวเองอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะที่หนักกว่า “เป็นเพื่อนกินข้าว” อย่าง “เป็นเพื่อนกินเหล้า” ที่ต้องมั่นใจในระดับนึงว่าตัวเองคอแข็งพอ นอกนั้นก็อยู่ที่ดวงแล้วว่า โชคชะตาจะพัดพาให้ไปเจอคนแบบไหน
“การที่เราต้องไปเจอคนแปลกหน้า และไปนั่งกินเหล้ากับคนแปลกหน้า มันก็เสี่ยงในระดับนึงอยู่แล้ว มันเหมือนหวยมั้งคะพี่ ลุ้นเอาว่าจะเจอดีหรือไม่ดี (หัวเราะ)
แต่บางทีเวลาเราไปงาน budget มันก็ไม่ใช่ถูกๆ มันเป็น budget ที่สูง เพราะฉะนั้น คนที่จะเข้ามาหาเรา มันก็ต้องคัดมาแล้วระดับนึง เขาจะไม่เอาตัวเองเข้ามา ให้มันเสียอะไรกับเรื่องแบบนี้อยู่แล้วค่ะ คนระดับนั้น”
ส่วนใหญ่คนที่เคยเข้ามาหวังเคลมเรื่องพรรค์นั้นกับสตรอง จะเข้ามาแบบชัดเจน ชนิดที่ว่า “เสนอราคา” กันมาเลยมากกว่า ยิ่งภาพลักษณ์ “นางแบบสายเซ็กซี่” ที่วางเอาไว้ ยิ่งทำให้มีคนอยากจ่ายมากขึ้นไปอีก
“ด้วยความที่เราเป็นคนถ่ายเซ็กซี่ คนก็จะเข้ามา ส่วนใหญ่จะเป็นคนแนวขอมี something มากกว่าแนวมาชวนกินข้าว แต่เราก็ไม่เอา
ก็จะมี modeling ติดต่อมาค่ะว่า “น้องตองเท่านี้ๆ ไหวไหม นัวได้ไหม นอนด้วยได้ไหม” หนูก็บอกว่า เฮ้ย..พี่หนูไม่รับค่ะ
เสนอราคามา 50,000 ก็มี หรือเท่าไหร่ก็ให้เราเรียกไป แต่หนูไม่รับไงคะ จ่ายเป็นแสนหนูก็ไม่รับ และเพื่อนในกลุ่มหนู ก็ไม่มีใครรับงานแบบนี้เลย ยิ่งเบล (ลันลาเบล) ยิ่งไม่รับเลย และนอกจากจะไม่รับสายนี้กันแล้ว อะไรที่มันไม่ดีก็ไม่รับค่ะ
อย่างที่บอกว่ารายละเอียดงานที่เพื่อนไป ทุกคนน่าจะเห็นแล้วว่า มันแค่กินเหล้า แล้วอีกอย่างคนมันอยู่กันเยอะ เพื่อนก็คงคิดว่าไม่มีอะไร ถึงได้ไป”
ช็อก!! กะไปรับ “ร่างคนเมา” แต่กลับเจอ “ร่างไร้วิญญาณ”
“ทุกวันนี้หนูยังไม่อยากเชื่อเลยว่า เพื่อนไม่อยู่แล้ว...” เสียงสั่นๆ กับหยาดความรู้สึกบางๆ ในดวงตา บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่า คนที่กำลังพูดหัวใจสลายแค่ไหน เมื่อขาดเพื่อนร่วมแก๊งคนสำคัญคนนึงไป สมาชิกที่เหลืออีก 5 ชีวิตต่างก็หดหู่ไปตามๆ กัน
ย้อนกลับไปในวันที่ ยังไม่มีเรื่องร้ายมาพราก “มิตรภาพ” ของพวกเธอไป ประมาณ 3 ปีก่อนหน้านี้ สตรองและเบลรู้จักกันครั้งแรกผ่านการทำงาน รวมถึงเพื่อนพริตตี้คนอื่นๆ ที่เจอกันบ่อยๆ จนเปลี่ยนให้ “เพื่อนร่วมงาน” ได้กลายเป็น “เพื่อนสนิท”
[อาลัย “ลันลาเบล” จากแต่ตัว หัวใจยังผูกพัน]
“ในกลุ่มจะมี เก้า, แอ๋ม, น้ำหอม, จอย, หนู แล้วก็มีเบล ทุกคนเป็นพริตตี้หมดค่ะ ยกเว้นเก้า เพราะเก้าเป็นเกย์ (ยิ้ม) เราทำงานด้วยกันบ่อย จนจับกลุ่มกันไปเที่ยว ทีนี้ก็ตั้งกลุ่มเมาท์กันใหญ่ แล้วก็สนิทกันตั้งแต่นั้นมา
เบลเขาจะเป็นคนมีเพื่อนเยอะค่ะ เพราะทำงานในวงการนี้มานาน ด้วยความที่เขาเป็นคนอัธยาศัยดี นางเป็นคนที่บ้าๆ บอๆ แล้วก็ติงต๊องหน่อยๆ มันไม่ใช่คนที่จะโกรธใครเลย โกรธใครไม่เป็นเลย เวลาอยู่ในกลุ่ม ก็มีแต่หนูนี่แหละค่ะที่ชอบงอนเพื่อน”
แต่ถ้าวันนี้สตรองจะงอนเรื่องอะไรขึ้นมาอีก คนที่จะมีโอกาสได้ช่วยง้อ คงไม่ใช่เบลอีกต่อไปแล้ว หลังเหตุการณ์ในคืนที่ 17 ก.ย.ที่ผ่านมา คืนที่เพื่อนๆ และแฟนหนุ่มตั้งใจไปรับเจ้าตัวที่คอนโดฯ ย่านตลาดพลู เพื่อให้หลุดพ้นจากการกักขังหน่วงเหนี่ยวโดยพลการ ของพริตตี้บอยนาม “น้ำอุ่น” แต่กลับพบเพียงร่างไร้วิญญาณ นอนอยู่บนโซฟาในล็อบบี้เท่านั้น
“ตอนจอยโทร.มาบอกตอนตี 4 ตี 5 ว่าเบลเสียแล้ว หนูช็อกไปเลย 2 วัน ช็อกแบบสตั๊นต์ ไม่อยากเชื่อเลยว่าเพื่อนไม่อยู่แล้ว เหมือนเราเพิ่งเจอกันร้านเหล้าเมื่อมะรืนนี้เอง (ยิ้มเศร้าๆ)
ตอนแรกจอยก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน เพราะเขาเป็นคนไปตามเบลกับเพื่อนอีกคนนึง เหมือนตอนแรกนางก็จะกลับบ้านแล้ว เพราะเห็นบอกว่าเจอเบลแล้ว
พอเขาบอกผู้ชายติดต่อมา ให้ไปรับเพื่อน เราก็บอกว่าเดี๋ยวไปรับนะ อย่าทำอะไรเพื่อนเรานะ (เสียงสั่น) ตอนแรกก็คิดแค่ว่าไปอยู่ตรงนั้นแล้ว คงต้องรอลุ้นเอาว่ามันจะโดนหรือไม่โดน เพราะว่าหายไปกับผู้ชายในงาน
แต่โดยนิสัยส่วนตัวของเพื่อน เพื่อนไม่ใช่คนที่แบบว่า เจอใครแล้วจะเข้าไปหาเขาเลย หรือจะไปคอนโดเขา หรือไปกับเขาเลย มันไม่ใช่ มันไม่สมเหตุสมผลน่ะค่ะ
คือหนูค่อนข้างรู้นิสัยเพื่อน และที่สำคัญ เขาก็มีแฟนแล้ว มีลูกแล้วด้วย พ่อแม่เขาเวลาทุกครั้งที่ไปกินเหล้า แม่เขาจะเช็กตลอดว่า อยู่ไหนแล้วลูก กลับยัง ถึงไหนแล้ว เช็กแบบถี่มากค่ะ หนูย้ำเลยว่าถี่มาก
เพราะฉะนั้น ไม่มีแน่นอนที่นางจะเถลไถล เพราะว่าแม่นางโทร.เช็กตลอดเวลา แฟนนางก็โทร.ตลอด แต่ว่าวันนั้นที่ผิดสังเกตก็คือ นางไม่รับสายเลย
ในความรู้สึกของที่บ้าน เขาไม่เข้าใจว่าทำไมไม่รับสาย คือถ้าหากว่าคนนั้นเขาคิดดีกับเพื่อนจริงๆ ที่บ้านโทร.ไปก็น่าจะรับสาย เพราะโทร.ตั้งแต่ตอนเย็น จนโทรศัพท์แบตหมดไปเลย แต่เขาก็ไม่รับเลย ทั้งๆ ที่โทรศัพท์ก็อยู่กับตัวผู้ชายเอง
แล้วพอไปถึง มันไม่ได้เจอแบบเป็นๆ แล้วน่ะค่ะ แต่ไปเจอเพื่อนในสภาพแบบนั้น...”
สตรองกลืนน้ำลายลงคออย่างช้าๆ คล้ายต้องการฝืนกลืนน้ำตา ที่หลั่งอยู่ข้างในลงไปพร้อมๆ กัน ก่อนเผยเบื้องหลังแรงผลักลึกๆ ที่ทำให้เธอตัดสินใจโพสต์เรื่องราวการเสียชีวิตอย่างเป็นปริศนาของเพื่อนสนิท ลงเฟซบุ๊กส่วนตัว “Kanoktip Tummanon” ที่มีคนกดติดตามอยู่ทะลุแสน จนส่งให้คดีนี้ดังขึ้นมาชั่วข้ามคืน!!
“ตอนแรกที่ทุกคนเจอเบล เขาก็เข้าใจกันว่าเพื่อนอาจจะเมา น็อกไปเอง พูดจริงๆ ว่าทุกคนไม่มีใครโทษใครเลย
แต่พอที่บ้านหรือเพื่อนๆ มาเห็นคลิป ก็แบบรับไม่ได้ค่ะ รับไม่ได้จริงๆ (เน้นเสียงด้วยสีหน้าโมโห) หนูเองก็รับไม่ได้ และหลายๆ ข้อสันนิษฐาน ตัวผู้ชายเองก็ยังตอบไม่ได้ คือต้องคิดไม่ดีอยู่แล้วอะค่ะ ถึงเอาผู้หญิงกลับไป
แม่หนูก็บอกว่า อย่าเพิ่งไปออกตัวแรงนะลูก ให้มันเป็นหน้าที่ของตำรวจ แต่หนูก็บอกม๊าว่า เอาจริงๆ ถ้าหนูไม่ลงเฟซบุ๊ก เรื่องก็ไม่ดังนะ หนูไม่รู้เลยว่าป่านนี้ เรื่องจะเป็นยังไง หนูคิดว่าถ้าเกิดมันไม่เป็นข่าว เรื่องอาจจะเงียบไปแล้วก็ได้”
“โมเดลลิ่ง” ตัวกลางที่ต้องรับผิดชอบ!!
ไม่ใช่แค่ “น้ำอุ่น” ผู้ชายล่าแต้ม กับ “บ้านเจ้าของปาร์ตี้” เท่านั้น ที่ควรได้รับการตรวจสอบอย่างละเอียด แต่สตรองมองว่า “โมเดลลิ่ง (modeling)” หรือคนที่มาจ่ายงานให้พริตตี้ผ่านไลน์กลุ่ม ซึ่งเรียกตามศัพท์ในวงการว่า “บอร์ดงาน” ให้เหล่าเด็กสายเอนฯ ก็ควรจะเป็นหนึ่งในคนที่ร่วมรับผิดชอบด้วยเหมือนกัน
“ตอนที่ทุกคนโทร.ไปตาม โมฯ เป็นคนบอกว่าเบลหลับ คือตอนเย็นนะ แต่บอกว่าเบลหลับ (ทำหน้าเซ็ง) มันไม่ใช่อะค่ะ เพื่อนไม่ได้อยู่ที่นั่น
ไม่ว่าจะยังไงก็แล้วแต่ เขาต้องมีส่วนรับผิดชอบนะ เพราะยังไงเพื่อนก็เสียไปแล้ว และเขาก็ไม่ใช่ว่าดีลงานฟรี คือถ้าเขาเป็นคนพามา แล้วไม่ได้หักค่าหัว อาจจะเป็นอีกเรื่องนึง แต่นี่เขาเป็นคนมีส่วนได้ส่วนเสีย
สมมติค่าแรงเรามา 5,000 แต่เราได้ไม่เต็มเม็ดเต็มเหนี่ยว เพราะว่าเขาหักไป คือคนหักเท่ากับว่าเขามีส่วนได้ส่วนเสียในงานนี้ เพราะฉะนั้น เขาต้องมีส่วนรับผิดชอบ”
[ตรวจเข้ม “บ้านปาร์ตี้” สถานที่ว่าจ้าง "ลันลาเบล" ไปพบจุดจบ]
ช่องโหว่สำคัญที่ทำให้การรับงานครั้งนี้ กลายเป็น “งานเอนฯ มรณะ” ครั้งประวัติศาสตร์ ก็คือการที่โมเดลลิ่งไม่ยอมตามเช็กความปลอดภัยของพริตตี้ ไม่แม้แต่จะพยายามช่วยตามหาตัว ซึ่งในทางคดีแล้ว ยังไม่ทราบแน่ชัดว่ามีเหตุผลเบื้องหลังอะไรอีกหรือเปล่า
เทียบกับโมเดลลิ่งอื่นๆ ที่สตรองเคยเจอมาทั้งชีวิต บอกได้เลยว่าเป็นการทำงานแบบ “ไม่มีความรับผิดชอบ” เพราะโดยปกติแล้ว ถ้าเกิดปัญหาอะไรก็ตามระหว่างพริตตี้กับลูกค้า โมเดิลลิ่งต้องเป็นฝ่ายคอยประสานงานให้
“โมฯ ไม่จำเป็นต้องไปทำงานด้วย หรืออยู่ด้วยต้องจบงานก็ได้ค่ะ แต่อยากให้เช็กคนทำงานบ้างว่า โอเคไหม เป็นยังไง ส่วนใหญ่ที่หนูเจอ เขาจะคอยมาถามตลอดค่ะว่าน้องตองโอเคไหม
ถ้าไม่สะดวกโทร. ก็ไลน์มาก็ได้ค่ะ เช็กมา ดีกว่าหายไปเลย เพราะโมฯ ควรต้องจัดการ และแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ทุกอย่าง ถ้ามันเกิดปัญหาอะไรขึ้นระหว่างลูกค้ากับเด็ก
สมมติว่าพี่เป็นคนจ้างหนูมา พี่จ้างผ่านพี่เขา งานไม่ดี พี่สามารถต่อว่าโมฯ ได้ หรือหนูไม่โอเคกับลูกค้า คนจ้างงาน หนูก็ต้องคุยกับโมฯ โมฯคือตัวกลางเลยค่ะ เพราะเขามีส่วนได้ส่วนเสีย
ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นงานเอนฯ ก็ได้ค่ะ จะเป็นงานอะไรก็แล้วแต่ ทั้งงานพริตตี้, MC, หรืองานอะไรที่ต้องใช้ modeling เป็นตัวกลาง และคุณหักค่าหัวคิว หักค่าแรงเราไปแล้ว”
การจากไปขณะปฏิบัติหน้าที่ของลันลาเบลในครั้งนี้ ถือเป็น “บทเรียนแห่งความตาย” ให้แก่พริตตี้สายเอนฯ ได้ทั้งวงการ เพราะแม้แต่คนที่มีประสบการณ์ในสายงานนี้มานาน ยังเสียรู้จนต้องเสียชีวิต
“เพื่อนๆ ในวงการก็ระวังตัวกันมากขึ้นค่ะ รับอะไรก็ดูกันดีๆ มากขึ้น แต่หนูเชื่อว่าทุกคนก็ทำงานกันมานานแล้ว ไม่มีใครประมาทค่ะ ทุกคนต้องเซฟตัวเองอยู่แล้ว แต่อย่างที่บอกค่ะ เราไปแล้วบางที เราก็มองสถานการณ์แล้ว มันไม่น่ามีอะไร แต่มันก็มี
อย่างเบล น่าจะทำงานตั้งแต่หนูยังเรียนมหาวิทยาลัยปี 3 ปี 4 อยู่เลย มันก็เจอคนมาเยอะอะนะพี่ แต่ครั้งนี้เป็นอะไรที่มันคาดไม่ถึงจริงๆ คาดไม่ถึงเลยว่ามันจะเกิดกับเพื่อนเรา พอมันเกิดขึ้นมาแบบนี้ หนูพูดตรงๆ ว่าหนูก็ไม่รู้ว่าจะเตือนกันยังไง ได้แต่บอกว่าดูให้ดีๆ
อยากให้ทุกคนมองเป็นอุทาหรณ์ และอยากให้ทุกคนเห็นใจครอบครัวเบล มากกว่าที่จะไปซ้ำเติมเขา เพราะแค่นี้ครอบครัวเขาก็เจออะไรที่หนักพอแล้ว อย่าไปซ้ำเติมเขาอีกเลย
[“น้ำอุ่น” ถูกจับกุม 3 ข้อหา เกี่ยวข้องการตายของ "ลันลาเบล"]
สำหรับเรื่องอาชีพ อยากให้ทุกคนมองในเรื่องตัวบุคคล ไม่อยากให้มาเหมารวมว่าพริตตี้ต้องเป็นแบบไหน ส่วนผู้ชายที่คิดจะหาประโยชน์จากผู้หญิงที่ทำงานแบบนี้ มันไม่แปลกค่ะที่เขาจะคิดอย่างนั้น เราห้ามความคิดใครไม่ได้
แต่ก็ขอให้ให้เกียรติผู้หญิงเถอะค่ะ เพราะอย่างน้อยเขาก็เป็นเพศที่อ่อนแอกว่า และถ้าวันนึงมันเกิดกับคนในครอบครัวของเรา ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่พี่น้องหรืออะไรอย่างนี้ เราก็คงไม่โอเค เพราะฉะนั้น เราทำอะไร เราก็ควรนึกถึง ใจเขา-ใจเรา ให้มันมากกว่านี้”
ไม่สนคำดูถูก เดินหน้าเลี้ยงดูครอบครัว
แม้จะไม่ใช่อาชีพขายเซ็กซ์ แต่การขายเนื้อหนังผ่านการโชว์ตัว หรือขายเรือนร่างผ่านเลนส์กล้อง ก็เป็นวิถีที่ทำให้ “คำดูถูก” ต่างๆ นานา ลอยมากระทบหู ให้คนทำงานสายนี้ได้สะเทือนใจเป็นธรรมดา เช่นเดียวกับสตรองที่ทำใจให้ชินกับคำวิจารณ์เหล่านั้นไปเสียแล้ว
“สังคมไทยเรา คนบางกลุ่มเขาก็ยังไม่ได้เปิดขนาดนั้น กับการที่บางทีเราแต่งตัวไปทำงาน แบบค่อนข้างเซ็กซี่และโป๊ หรือการที่หนูถ่ายเซ็กซี่ บางกลุ่มก็มองว่าเป็นศิลปะดี ดูไม่อนาจาร แต่บางกลุ่มก็มองว่า อู้หู..ทำไมโป๊ขนาดนี้ ซึ่งมันก็แล้วแต่มุมมองคน
เชื่อหนูเถอะค่ะ ตอนนี้หนูถ่ายเซ็กซี่เยอะๆ ก็ดูไปเถอะ เพราะพอหนูแก่มา หนูก็ถ่ายไม่ได้แล้ว (ยิ้ม) ตอนนี้ของฟรีมีให้ดู ก็ดูๆ ไป อย่าไปซีเรียส อย่าไปคอมเมนต์เลย ไม่ชอบก็ต่างคนต่างอยู่ดีกว่า”
บอกตามตรงว่าเธอไม่เคยสน “ลมปากคน” เพราะรู้ตัวดีว่ากำลังทำอะไรอยู่ และที่สำคัญคือเธอมีภาระอันหนักหน่วง และความฝันอันยิ่งใหญ่ ที่ต้องไปทำให้ได้และไปให้ถึง จึงไม่อยากเสียเวลามานั่งคิดเรื่องอะไรแบบนี้
“วันๆ นึงหนูตื่นมา ต้องคิดแล้วว่า ทำงานถ่ายแบบเสร็จ ต้องไปเรียนภาษาต่อนะ เสร็จแล้วก็กลับมาทำงานอีก งานมันเยอะมาก พริตตี้หลายๆ คนเขาก็ทำงาน เก็บตังค์ สร้างบ้านกัน หนูเองก็เป็นอย่างนั้นค่ะ
[เป็นเสาหลักเลี้ยง “คุณแม่-คุณพ่อ”]
ทุกวันนี้หนูต้องส่งเงินให้พ่อ ให้แม่ ให้น้องชายเรียน น้องชายเรียนวิศวะ อยู่พระนครเหนือ ค่าเทอม 30,000 พี่คิดดูดิ สมมติเรารับงานยืนบูท 3,500 คิดดูดิเราต้องยืนกี่งาน ถึงจะได้ค่าเทอมน้อง 10 งานเลยนะคะ แล้วงานมันไม่ได้ตายตัว เพราะเป็น freelance มันก็กดดันนะ
หนูทำงานตั้งแต่ตอนเรียนมหาวิทยาลัย พอหนูเรียนจบมา หนูก็ให้พ่อแม่พักเลยค่ะ พ่อแม่หนูก็ไม่ได้แก่นะ อายุ 50 ก็ยังไม่แก่นะ แต่หนูอยากให้เขาสบาย
คืออาชีพนี้ มันเป็นอาชีพที่ทำให้หนูมีทุกวันนี้เลยนะ อาชีพพริตตี้อะ หนูถึงไม่อยากให้ใครมาว่า ไม่อยากให้ใครมาเหมารวม
คือใครจะทำอะไรไม่ดี อันนั้นก็เป็นเรื่องส่วนบุคคลเขา แต่สำหรับหนู อาชีพนี้เป็นอาชีพที่ทำให้หนูส่งพ่อแม่ได้ทุกเดือน ส่งรถ ส่งคอนโดฯ ส่งน้องเรียนได้ ค่าบ้านอีก 3 หลัง เพราะทั้งพ่อแม่ หนู น้อง อยู่คนละที่กันเลย
สำหรับคนอื่น ใช้ชีวิตยังไงหนูไม่รู้ แต่สำหรับหนู ทุกอย่างที่หนูมี หนูหามาจากน้ำพักน้ำแรงตัวเอง โดยที่หนูไม่ได้เบียดเบียนใคร เพราะฉะนั้น หนูจะเห็นคุณค่าของเงินมาก เพราะกว่าจะได้มาแต่ละบาท หนูเหนื่อยมากจริงๆ เพราะค่าใช้จ่ายหนักมาก
หนูกลับห้องมา บางทีหนูปวดหลังมากเพราะถ่ายแบบ เหนื่อยมากจนไม่มีแรงแม้แต่จะพูดกับใครเลย หนูถึงบอกไงคะว่ามันไม่ง่าย
ถามว่าหนูมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าคนอื่นไหม ใช่ แต่กว่าที่หนูจะมีคุณภาพชีวิตที่ดี ทุกวันนี้หนูก็ต้องแลกมาด้วยการทำงานหนักกว่าคนอื่นด้วย ไม่ใช่ว่าหนูนอนอยู่บ้านเฉยๆ
บางทีถ่ายแบบตรงนี้เสร็จ ไปถ่ายตรงนั้นอีก วันนึงถ่าย 2-3 งานก็มี บางทีกลับถึงห้อง นอยด์แบบไม่พูดไม่จาอะไรเลย อยู่คนเดียว ม๊าโทร.มาถามเป็นไงบ้างลูก บอกเดี๋ยวค่อยคุยม๊า ไม่ไหวจริงๆ”
เหนื่อยจนต้องนอนร้องไห้คนเดียวก็เคยมาแล้ว แต่พอได้พักหลับตาหนึ่งตื่น วันรุ่งขึ้นสตรองก็เดินหน้าสู้ต่อ เพราะเธอยังมีความฝันเรื่อง “การทำธุรกิจระหว่างประเทศ” ซึ่งตอนนี้มองไว้ว่าน่าจะเป็น “ไต้หวัน” ไม่ก็ “ฮ่องกง” สตรองเลยเริ่มเรียนภาษาจีนมาได้ 1 เดือนแล้ว แถมยังตั้งหน้าตั้งตาเรียนแบบวันเว้นวันอีกต่างหาก
“อาชีพนี้บางคน 30 ขึ้นก็ยังอยู่ได้ แต่สำหรับหนู 28-29 ก็น่าจะสุดแล้วค่ะ นึกออกไหมพี่ อย่างหนูเขารู้จักหนูในนาม “บันนี่สตรอง” ไปงานไหนก็บันนี่สตรอง พอเราโตขึ้น เขาก็ต้องเบื่อหน้าเราแล้ว เด็กเกิดใหม่เยอะมาก
คือมันเป็นอาชีพที่ได้เงินเยอะจริง แต่มันก็มีช่วงเวลาของมัน และถือว่าสั้นมากค่ะ 30 ถ้าดูแลตัวเองไม่ดี ก็ไม่ค่อยมีใครจะจ้างแล้ว เขาก็จ้างเด็กหน้าใหม่ดีกว่า
หนูเลยคิดว่าเราต้องทำต้นทุนให้มันมากกว่าเดิม อย่างตอนนี้ เรามีหน้าตาที่มันพอใช้ได้เป็นทุนอยู่แล้ว เราก็หาภาษามาเพิ่ม เวลาไปทำงาน หรือว่าจับธุรกิจ มันจะได้ดูยั่งยืนกว่าต้องมารอลุ้นงาน เป็น freelance แบบทุกวันนี้
เอาจริงๆ หนูไม่มีแฟนนะเนี่ย (ยิ้มเนือยๆ) เพราะหนูรู้สึกว่าพอเราดูแลตัวเอง เราก็ดูเป็นคนที่แข็งกระด้างไปเลย เพราะหนูต้องอยู่คนเดียว ใช้ชีวิตคนเดียว หาเงินเลี้ยงครอบครัว เพราะฉะนั้น ผู้ชายที่เข้ามาแล้วทำให้เราวุ่นวายใจ หนูจะรู้สึกว่าพักก่อน
ตอนนี้หนูยังเด็ก หนูอยากตั้งตัวให้เร็วกว่าคนอื่น จนเหมือนเราเป็นคนไม่ง้อผู้ชายไปเลย คือเราก็ไม่ได้คิดว่าเราต้องเก่งหรือแกร่งอะไรขนาดนั้นนะ แต่รู้สึกว่าเรามีอีกหลายชีวิตที่ต้องจัดการ”
ขาว-สวย-หมวย-เอ็กซ์ ขนาดนี้ ทำไมต้องเหนื่อยทำทุกอย่างเอง ไม่คิดจะใช้เรือนร่างจับผู้ชายรวยๆ บ้างเหรอ? เห็นปูทางเรื่องนี้มาขนาดนั้นแล้ว ผู้สัมภาษณ์จึงอดสงสัยในประเด็นนี้ไม่ได้ ส่วนคนที่ถูกถามก็ได้แต่ส่ายหน้า พร้อมหัวเราะเบาๆ กลับมา ก่อนตอบว่า
“หนูจะบอกให้นะพี่ ทุกคนคิดว่าจับผู้ชายรวยๆ ไฮโซ พี่คิดว่าผู้ชายที่เขาทำงานตัวเป็นเกลียว เขาจะอยากได้ผู้หญิงที่ไม่ทำอะไรเลยเหรอ เขาจะอยากได้ผู้หญิงที่นั่งกินนอนกินเหรอ มันน้อยอะ ถ้าคุณเจอผู้ชายอย่างนั้นจริงๆ มันก็อยู่ที่บุญของคุณแล้ว แต่มันน้อยมาก
หนูเคยมีแฟนแบบที่รวย รวยมากเลยนะ ตอนคบเขาก็บอกไม่ต้องทำงาน แต่หนูก็ทำนะ เพราะว่าหนูเคยลองไม่ทำ ลองมีแฟนแล้วไม่ทำงาน เพราะว่าแฟน support แต่พอเราหายไปจากวงการแป๊บเดียว เหมือนเราเริ่มต้นไม่ถูกแล้วทีนี้ เพราะเราหายออกมาแล้ว
เหมือนเรารักสบายจนเกินไป จนหนูรู้สึกว่าไม่ได้ละ ต่อไปถึงหนูจะมีแฟน ไม่ว่ารวยหรือว่าจน ยังไงหนูก็ต้องทำงาน หนูต้องยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง เพราะมันไม่มีใครเลี้ยงเราไปตลอดหรอก ขนาดพ่อแม่เรา เห็นไหมเขายังต้องหยุดทำงาน
และหนูก็อยากทำตัวเองให้มีค่า อยากยืนได้ด้วยตัวเอง เป็นเสาหลักครอบครัวได้ โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาคนอื่น สมมติถ้าหนูมีแฟน แล้ววันนึงไม่มีเขาขึ้นมา หนูต้องอยู่ได้ด้วยตัวเอง”
ใครว่างานสบาย อาชีพนี้ต้อง “มีต้นทุนสูง!!” ใครเข้าใจว่างานพริตตี้สบาย อยากให้คิดใหม่ เพราะเป็นอาชีพที่ต้องมีต้นทุนสูงมากค่ะ ทุกคนเห็นว่าพริตตี้รายได้เยอะ แต่คุณลองย้อนกลับมาดูทุกอย่างสิ วันนี้บูทที่จะไปยืนสีขาว รองเท้าบูต, ชุด, เสื้อผ้า, เครื่องประดับ ฯลฯ ทุกอย่างมันต้องไปในทางเดียวกัน เราต้องเตรียม บางทีค่าแรง 4,000 รองเท้าบูตคู่นึงก็ 1,500 แล้ว หรืออย่างเครื่องสำอางก็จะต้องค่อนข้างมีราคานิดนึง เพราะไปยืนตากแดดทั้งวัน ถ้ามันไม่ดี มันก็จะเยิ้ม ไม่สวย เพราะคำว่าพริตตี้ คุณต้องสวยตลอดเวลาที่ทำงาน ต้องสะพรึง ไหนจะต้องเอาเงินไปฉีดผิวอีก พี่คิดดู ทำงานไปยืนรถ ตากแดดดำๆ เป็นกระ ต้องมีค่าเลเซอร์อีก คอร์สละ 20,000-30,000 ทำงานมา ก็ต้องเอามาประโคมผิวหมด [สมัยละอ่อน ก่อนทำศัลยกรรม] แล้วคำว่า “ต้นทุนของพริตตี้” ก็มันไม่ใช่แค่เรื่อง “เครื่องสำอาง” นะคะ มีเรื่อง “ศัลยกรรม” ด้วย พี่คิดดูดิ หนูนี่ทั้งทำนม, ทำจมูก, ดัดฟัน ฯลฯ คือเยอะมากค่ะ (หัวเราะ) อันนี้ (ชี้ไปที่หน้าอก) นม 70,000 จมูกอีก 30,000 ตอนแรกทำคางด้วย แต่เอาออกไปแล้ว เพราะพอทำแล้ว หน้ามันยาวมาก ก็เลยเอาออกค่ะ เพราะฉะนั้น ใครบอกว่าอาชีพพริตตี้สบาย ไม่สบายเลยค่ะ ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ ต้องมีไหวพริบ มีความอดทนสูง คุณไปยืนรถ ไปยืนตากแดดเปรี้ยงๆ กลางสนามบนส้นสูง รองเท้ากัดเท้าบ้าง อย่างหนูเวลาไปยืนรถ พอเลิกงานหนูจะเหี่ยวมากเลยค่ะ เหี่ยวแบบไม่มีแรงจะพูดกับใครเลย เพราะมันเหนื่อยมากจริงๆ |
อัปเลเวลจาก “พริตตี้” ผันสู่เส้นทาง “นางแบบ” หนูถ่ายเซ็กซี่ แต่หนูยังไม่เคยโดนเฟซบุ๊กเตือนเลยนะ “เซ็กซี่ดูแพง” คือสโลแกนหนู “เซ็กซี่แบบไม่พยายาม” เดือนนึงอาจจะได้ 2-3 แสนบ้าง เพราะเรามีตำแหน่งในวงการด้วยไงคะ คนที่ติดต่อเข้ามา เขาก็จะสนใจที่ตำแหน่ง แล้วก็ดูผลงานในเฟซบุ๊กว่าถ่ายสวย อินเนอร์ดี ท่าได้ เขาก็อยากถ่ายเรา เพราะเขาไม่ต้องมาสอนอีก ค่าตัวเราก็จะได้อัปขึ้น [สมัยยังเน้นรับงาน "พริตตี้" เป็นหลัก] ก็ต้องขอบคุณบอสค่ะ ที่เลือกหนูให้เป็น Brand Ambassador 2019 ของ Playboy Thailand เพราะพอได้เข้าไปแล้ว ชีวิตเราเปลี่ยนไปเยอะจริงๆ จากลุคพริตตี้ หนูสลัดทุกอย่างหมด แล้วเข้ามาสายนางแบบ ทั้งเรียนแต่งหน้า ทำผม ปรับบุคลิกภาพ หนูเรียนทุกอย่างเลยค่ะ ออกกำลังกายด้วย และพอหนูเข้ามาเป็นนางแบบไปนานๆ แล้วลองกลับไปยืนบูท ยืนรถ เหมือนตอนเป็นพริตตี้ หนูรู้สึกว่ามันเหนื่อยนะ คือมันเหนื่อยคนละแบบแหละ เป็นพริตตี้ต้องยืนจริงจังทั้งงาน ส่วนเป็นนางแบบ เราต้องถ่าย 3 ชั่วโมง มันค่อนข้างเหนื่อย ต้องจิกกล้อง อินเนอร์ต้องได้ ต้องกระดกตูดบ้าง เกร็งนู่นเกร็งนี่บ้าง คือถ้าถ่ายแบบแล้วปวดหลัง ปวดเอว คือเป็นการถ่ายท่าที่ถูกต้องแล้วค่ะ |
ต้องเซฟตัวเอง!! เช็กประวัติ-ไม่รับงานปิด เวลาเรารับงาน เราก็ต้องดูโมฯ ด้วยว่า เขาเชื่อใจได้แค่ไหน หรือว่าดูทรงแล้ว ดูมีตัวตนไหม บางโมฯ เขาก็ไม่เอารูปจริงขึ้น หรือเอาเป็นรูปตัวการ์ตูนขึ้น หนูก็จะไม่รับเลยค่ะ หรือไม่คุยด้วย เพราะดูไม่จริง ดูปลอม ดูตรวจสอบไม่ได้ ก็จะไม่เอาเลย หนูเคยเจอนะคะว่า มีโมฯ ติดต่อให้ไปแสดงละคร ให้ไป cast ละคร cast หนังของต่างประเทศ ซึ่งตอนนั้นหนูรู้สึกว่า เฮ้ย..เราไม่ได้ความสามารถไปทางนั้นขนาดนั้น แต่เขาก็พยายามจ้ำจี้จ้ำไช น้องต้องเข้าสังกัดพี่นะ ต้องอะไรแบบนี้ บางทีการที่เขามาคะยั้นคะยอเรามากๆ จะทำให้เรารู้สึกว่ามันผิดสังเกต (ยิ้มอย่างรู้ทัน) ทำไมต้องมาคะยั้นคะยอขนาดนี้ ทั้งๆ ที่มีคนเยอะแยะ บางรายมีนัดไป cast ในที่ส่วนตัว แต่หนูไม่ไปค่ะ บางทีนัดไป cast งานที่รีสอร์ต หรือนัด cast ที่คอนโดฯ โรงแรม มันตลกไหมอะพี่ ร้านอาหารก็มี ถ้าจะเจอกัน หมุนตัวได้รอบอยู่แล้ว เพราะถ้าจะให้เข้าคอนโดฯ เข้ารีสอร์ตก็ไม่ไหวอะค่ะ มันเสี่ยงเรา หรืออย่างการรับงานถ่ายแบบ เราต้องขอดูผลงานเขาก่อนค่ะว่า อยากถ่ายแบบไหน รายละเอียดงานเป็นยังไง ขอดูเรฟ (reference) เลย แล้วหนูก็เป็นคนตัดสินใจว่าจะรับหรือไม่รับ เรามีสิทธิ์เลือกงาน แต่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยเจอปัญหานะคะ เราต้องมองก่อนว่า ดูแล้วมันใช่ไหม ตากล้องมีตัวตนไหม ตรวจสอบได้ไหม ดังไหม หรือถ้าเพิ่งผุดขึ้นมาใหม่ เราก็จะไม่ค่อยรับค่ะ เพราะการจะถ่ายเซ็กซี่มันโป๊ เราต้องระวังตัวเอง อย่างตอนถ่ายแบบ มีบางรายไปถึงแล้วเขาบอกว่า แปะจุกนมทำไม ทำไมไม่เปิด เปิดแล้วสวยกว่าเชื่อพี่ เราก็แบบ... (ยิ้มแหยๆ) อะไรอะ เราดีลกันมาว่าต้องมีเซฟ แต่มาถึงจะให้เราแบบนี้ มันไม่ได้ หนูก็กลับเลย และทางโมฯ ก็ต้องเข้าใจเรา มากกว่าคนจ้างอยู่แล้วค่ะ เพราะเราเป็นผู้หญิง ยังไงเราเสียมากกว่าคนจ้างอยู่แล้ว |
อย่ามาแหยม “เทควันโดสายน้ำตาล” ป๊ากับม๊าจะรู้ค่ะว่า หนูเป็นผู้หญิงห้าวๆ หน่อย ไม่ใช่ผู้หญิงจ๊ะจ๋าหวานๆ ออกแนวบู๊ๆ หน่อย เขาเลยไม่ได้กังวลอะไรมาก และหนูก็เคยเป็นนักกีฬาเทควันโดด้วย ได้สายน้ำตาลแล้วค่ะ แต่นานแล้วนะพี่ ตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว อะไรที่มันบู๊ๆ หนูทำหมดเลยค่ะ หนูชอบ ทุกวันนี้หนูว่า ผู้ชายต้องกลัวหนูนะ (หัวเราะ) เพราะหนูไม่ใช่ผู้หญิงอ่อนหวาน จะออกแนวกระโชกโฮกฮากหน่อย ถ้าใครเริ่มพูดอะไร ฟังแล้วไม่ค่อยเข้าหู หนูจะพูดเลย “พี่อะไรเนี่ย” จะไม่นั่งเฉยๆ เพราะฉะนั้น ผู้ชายต้องกลัวหนูค่ะ อย่างตอนที่รับงานเอนฯ ถ้าเจอคนเริ่มรุ่มร่าม หนูจะแก้ปัญหาด้วยการพูดติดตลกก่อน “เฮ้ย..พี่อะไรเนี่ย โดนตัวทำไม แหย่เหรอ อย่ามาแกล้งหนูดิ ห้ามโดนตัวหนูนะ” เราจะพูดให้มันติดตลก ให้มันซอฟต์ๆ ก่อน เขาก็จะรู้แล้วว่าโดนไม่ได้ แต่ถ้าหลังจากนั้น ยังไม่หยุดอีก หนูก็กลับบ้านเลยค่ะ |
สัมภาษณ์: ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง: อิสสริยา อาชวานันทกุล
ภาพ: พลภัทร วรรณดี
ขอบคุณภาพ: เฟซบุ๊ก “Kanoktip Tummanon” และอินสตาแกรม @bunny.strongz
ขอบคุณสถานที่: ร้าน "Hey! Coffee" | fb.com/heycoffee
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **