xs
xsm
sm
md
lg

"เหล็กไหล 700 ล้าน!!" ยอดของขลังที่วิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์ไม่ได้

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


เปิดความเชื่อ “เหล็กไหล” แร่ธาตุกายสิทธิ์ ที่คนโบราณถือเป็นวัตถุที่มีความขลัง ฝังไว้ในร่างช่วยเสริมบารมี อยู่ยงคงกระพัน ฟันแทงไม่เข้า ผู้มีบุญ มีคุณธรรมเท่านั้นจึงจะได้ครอบครอง ด้านนักธรณีเผย ทางวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถพิสูจน์ทุกสิ่งบนโลกได้

มหัศจรรย์ “เหล็กไหล” สิ่งมีชีวิตที่เติบโตได้!?

“เหล็กไหลมันก็แล้วแต่ความเชื่อกัน มูลค่าเงินประเมินไม่ได้ ที่บอกแพงๆ แล้วมีใครซื้อ คือใครจะบอกเท่าไหร่ก็ได้ มันจะมีคนซื้อหรือเปล่า เขาจะพูดกี่พันล้านก็ได้ พูดถึงหายากก็หายากจริงๆ ก็อยู่ที่ความพอใจของคนที่ตั้งราคา ซึ่งเป็นมาตรฐานไม่ได้”

อ.บูรพา ผดุงไทย นักสะสมเหล็กไหล เปิดใจกับทีมข่าว MGR Live ผ่านปลายสาย หลังมีการเปิดเผยบัญชีทรัพย์สิน ส.ส. ซึ่งมีการแจ้งครอบครอง “เหล็กไหล” ไว้เป็นมูลค่าหลายร้อยล้านบาท ทำให้กระแสเหล็กไหลกลับมาโด่งดังอีกครั้ง

“มันก็เป็นธาตุที่มีอยู่เองแล้วในธรรมชาติของมัน คนที่มีความรู้ความสามารถตั้งแต่โบราณ เขาก็ไปหาธาตุเหล่านี้ในธรรมชาติมา บางทีก็เอามาประกอบใส่เป็นวัตถุมงคล ประกอบทำพระเครื่อง ก็เป็นความเชื่อ



แต่ก็ต้องย้อนลึกลงไปเพราะว่า เมืองไทยสมัยก่อนเราสู้รบกันด้วยการใช้หอกใช้ดาบ เราก็จำเป็นต้องมีพวกวัตถุมงคลที่มีพลังธรรมชาติของมัน เขาถึงไปแสวงหาธาตุกายสิทธิ์พวกนี้เอามาติดตัว บางครั้งก็ห้อยไว้ และฝังไว้ในร่างกาย

ตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว จะช่วยเรื่องคงกระพัน นักรบต่างๆ มีติดตัวไว้ มันก็จะช่วยเรื่องเกี่ยวกับคมหอกคมดาบ เพราะใช้พวกอาวุธต่างๆ เมื่อก่อนทหารต้องมีแร่ธาตุพวกนี้ เพราะทำศึกสงครามสู้เขาไม่ได้ มันก็ต้องมีวัตถุมงคล พวกหนังเหนียว คงกระพัน”

ส่วนคนที่สามารถมีเหล็กไหลไว้ครอบครองได้นั้นก็จะต้องมีคุณธรรม เหล็กไหลจึงอยู่ด้วย และธาตุกายสิทธิ์หากไปใช้เบียดเบียนคนอื่น ก็ส่งผลให้ธาตุอยู่ด้วยไม่นาน



“ถ้าใช้แล้วเราไม่ได้ไปเบียดเบียนใคร แร่พวกนี้มันก็เสริมสร้างบารมีเรา ให้คู่บารมีเรา ให้เรามีบารมีครับ จะไปไหนก็ไม่อันตราย คลาดแคล้ว เป็นที่รักของผู้คน

คนมีครอบครองจะต้องมีคุณธรรมพอสมควร ไม่งั้นแล้วเหล็กไหลแท้ๆ ก็คงไม่อยู่ด้วย เช่น เอาเขาไปแล้วก็เบียดเบียนคนอื่น อย่างพวกโจร เอาไปแล้วยิงไม่เข้า แต่ตัวเองไปปล้นเขา ของกายสิทธิ์มันก็ไม่อยู่ด้วย

บางที่เราจะเกิดอันตรายเหล็กที่ฝังอยู่ในตัวมันจะเต้น เราก็ต้องสังเกต ถ้ามันเต้นแบบนี้มันเป็นโชคหรือมันเป็นเคราะห์ แต่ก็ต้องสังเกตดู ว่าตรงตำแหน่งที่เราฝังมันเต้นแบบนี้ ก็ต้องเรียนรู้ ถ้าตอนขับรถเร็วๆ ถ้ามันเต้นต้องชะลอเลย ต้องมีอันตราย เหมือนกับเตือนเรา ยิ่งฝังไว้ในตัวเนี่ยชัดเลย มันจะเต้นได้”



ไม่เพียงแค่นี้ การบูชาแร่เหล็กไหลยังสัมพันธ์โดยตรงกับ น้ำผึ้งป่าและแสงพระจันทร์ ซึ่งทั่วไปเป็นวิธีบูชาที่ดีที่สุด โดยเอามาอาบแสงจันทร์ขณะที่พระจันทร์เต็มดวง หลังจากนั้น จะเอาน้ำผึ้งใส่ถ้วย เพื่อเสพบริโภคน้ำผึ้งเป็นอาหาร

“มันก็โตนะ ทุกวันนี้ก็มีที่เหล็กไหลโต ให้คนได้เลี่ยมกรอบไป เราเลี่ยมกรอบให้ มันดันจนกรอบพองออกมาต้องเปลี่ยนกรอบครั้งที่ 1 แล้วมันก็ดันอีก เป็นครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3 ก็แปลว่ามันโตได้ ซึ่งมันแปลกคือธาตุเป็นหินอย่างนี้ หินมันไม่ใช่ต้นไม้ เพราะฉะนั้น หินมันจะโตได้ไง แต่มันก็มีแร่เหล็กไหลที่มันโตได้ มันไม่ใช่พืชอ่ะ มันโตได้ไม่มาก แต่ก็โตจนต้องไปเลี่ยมกรอบใหม่”

แน่นอนว่า ถ้าไม่ได้ดูแลให้ดีจะส่งผลให้เหล็กไหลเกิดการเสื่อมได้ จนเหล็กไหลธรรมชาติเริ่มแห้ง จนในที่สุดต้องกลายเป็น “เหล็กไหลตายซาก” คือ ผุกร่อนไปเลย หรือใครที่ผิดศีล เหล็กไหลก็จะหาทางหนีไปด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งที่จะไปจากเจ้าของ และไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถตัดเหล็กไหลได้แต่จะต้องมีวิชาพอสมควร

“ธาตุกายสิทธิ์” ที่มีชีวิตจิตวิญญาณ!?

“คนเคยเห็นของแท้ ดูทีเดียวก็รู้ มันไม่ใช่พระเครื่องที่มีตำหนิอะไรให้ดูนะ แต่อาศัยการที่เราเคยเห็นของจริงกับของปลอม ถึงตัดมาแล้วดูก็รู้ว่าเป็นของจริงหรือเปล่า มันต่างกันตรงที่เนื้อ เนื้อที่เห็น ถ้าเราเคยเห็นของจริง พอของปลอมเราจะรู้เลยว่าทำปลอมขึ้นมา มันดูไม่ยาก ของธรรมชาติดูง่ายจะตาย”

สำหรับแหล่งที่มาของเหล็กไหลนักสะสมรายเดิมเล่าว่า จะอยู่ในถ้ำที่มีอากาศชื้นและเย็น ห่างไกลผู้คน และนักสะสมเหล็กไหลยังเล่าต่อว่า ความเจริญที่เข้ามาก็ทำให้ธาตุดังกล่าวหนีไปเรื่อยๆ ไม่ได้เจอกันทุกถ้ำ แต่ก็ยังมีหลายแห่งของแต่ละภูมิภาคในประเทศ ซึ่งจะอยู่กระจายไปทั่ว ตามความเหมาะสมของถ้ำ

ทั้งนี้ เหล็กชั้นดีอย่างเหล็กไหลน้ำหนึ่งนั้นมีอยู่ 2 ประเภทคือ ไม่แข็งตัวเองในธรรมชาติ จะมีลักษณะเหมือนของเหลว เหมือนยางไม้ ต้องใช้วิธีการตัด

ส่วนเหล็กไหลอีกประเภทคือ อยู่ๆ ก็แข็งตัวเองในธรรมชาติ กลายเป็นแข็งติดเคลือบตามผนังถ้ำ ทำให้คนที่ไปเจอว่ามันแข็งแล้วจึงหาทางไปงัดมา

“ประเภทยังไม่แข็งตัวเอง พวกนี้มันก็จะไปอยู่ตามถ้ำที่ลึกลับ แต่ว่ามันก็มีน้อยมาก ตั้งแต่ตัดมาได้แค่หยดลงมาเฉยๆ ยังไม่เคยตัดออกมาได้เป็นองค์พระ ยังไม่เคยทำให้ได้ คือตรงนั้นเราความสามารถไปไม่ถึง

ทางด้าน ดร.ประหยัด นันทศีล อาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์พื้นพิภพ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และหนึ่งในนักธรณีวิทยาไทยที่ได้รับเลือกเข้าร่วมทีมสำรวจทวีปแอนตาร์กติกของประเทศญี่ปุ่นรุ่น 58 ได้ชี้แจงกับทีมข่าวถึงมุมมองที่ตนเองได้ศึกษาพูดคุยกับนักธรณีด้วยกัน และผู้ที่อยู่ในวงการเล่นพระ ถึงความเชื่อเรื่องเหล็กไหล ซึ่งมีหลายชนิดแตกต่างกันออกไป





โดยตามตำนานความเชื่อเดิมนั้น เชื่อกันว่าเหล็กไหลเป็นสิ่งมีชีวิต เป็นเทพที่ลงมาจุติในธาตุนี้ เลยสามารถเคลื่อนที่ไปมา มีฤทธิ์อำนาจต่างๆ ตามที่เชื่อกัน แล้วผู้ที่ครอบครองก็จะได้รับผลดีหลายๆ อย่าง เช่น การดูดทรัพย์ เงินทองทรัพย์สิน

“ทั้งหมดทั้งปวงก็ต้องขึ้นอยู่กับบุญบารมีของคนที่ครอบครองด้วย ผมเองก็ไม่เคยเห็นด้วยว่าเหล็กไหลเป็นอย่างไร อย่างนักเล่นพระหลายคน เขาก็บอกว่าไม่เคยเห็นว่าเหล็กไหลจริงๆ เป็นอย่างไร เนื่องจากในตลาดมันก็มีการปลอม หรือหลอกหลวงหลายๆ ครั้ง ทำให้ความเชื่อถือเรื่องนี้ค่อนข้างน้อย

แต่ในมุมของนักธรณีวิทยา จากรูปทรงรูปร่างต่างๆ ที่เราเห็นออกตามสื่อ ไม่ว่าสื่อโซเชียลฯ หรือสื่อทางหนังสือ ทั้งหลายนะครับ มันคล้ายกับแร่ที่เราเรียกว่า แร่ฮีมาไทต์ ซึ่งเป็นหินแร่เหล็ก มันก็จะตะปุ่มตะปํ่า

ผมมองว่าเป็นเรื่องของความลี้ลับ แล้วความเชื่อซึ่งเราต้องยอมรับว่าทางวิทยาศาสตร์เองเราก็ยังไม่สามารถพิสูจน์ทั้งหมดทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ในโลกนี้”



นักธรณีเผยต่อว่า ตามตำนานเหล็กไหล เชื่อกันว่าเป็นเทพที่มาสิงอยู่ในโลหะธาตุเหล่านี้ สามารถบริโภคอาหารได้ ซึ่งอาหารของเขาคือน้ำผึ้ง ถ้าคนที่บูชาด้วยน้ำผึ้งบ่อยๆ ตัวเหล็กไหลก็จะสามารถขยายใหญ่ขึ้นได้ แม้กระทั่งขับถ่ายมูลได้เป็นขี้เหล็กไหล ตำนานที่เขาเล่าขานกันมา

“จริงๆ เรื่องเหล็กไหล หรือเรื่องของวัตถุมงคลเหล่านี้ มันเป็นความเชื่อส่วนหนึ่งด้วย เพราะฉะนั้นส่วนตัวผม ผมเชื่อพลังความดีนะครับ ไม่ว่าเราจะบูชาอะไรก็แล้วแต่ทุกๆ ของขลัง เขามักจะมีเงื่อนไขอยู่ว่าผู้ที่บูชาต้องเป็นคนดี ต้องมีเจตนาที่ดีครับ ของขลังเหล่านั้นถึงจะคุ้มครอง ถึงจะอวยพร

ผมมองว่าไม่ว่าท่านจะศรัทธา หรือเชื่ออย่างไรก็แล้วแต่ การคิดดีทำดีเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ไม่ว่าเราจะนับถือศาสนาอะไร มันก็เป็นสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานที่เราทุกคนอยู่ในสังคม การให้เกียรติในเรื่องพื้นฐานแบบนี้ เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้สังคมนี้น่าอยู่ ไม่ว่าใครจะมองยังไง จะเชื่อยังไง ก็เป็นสิทธิของเขาครับ

แต่ท้ายที่สุดถ้าหากทุกคนยึดถือความดี ปฏิบัติสิ่งดี คิดสิ่งดี นั่นก็เป็นเกราะคุ้มกันภัยที่ดีที่สุด ทั้งในภาพรวม และภาพบุคคลครับ”

ข่าวโดย MGR Live
ขอบคุณภาพบางส่วน : เพจเฟซบุ๊ก “อ.บูรพา ผดุงไทย”



** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **



กำลังโหลดความคิดเห็น