xs
xsm
sm
md
lg

“นักพากย์ฟีลกู๊ด” พลิกชีวิตซึมเศร้า สู่ยอดทะลุ 7 ล้านวิว

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ท่ามกลางภาวะวิกฤตทางจิตใจในชีวิต แต่เขากลับพบความสุข ในการใช้โซเชียลมีเดีย 10 ปีกับเส้นทางการเป็นนักครีเอทีฟ และการทำคลิปพากย์เสียงเลียนวงการบันเทิง-ตัดต่อนักแสดงทั้งไทย และต่างชาติ  สนุก-มีความสุข พร้อมสอดแทรกแนวคิด ปลูกจิตสำนึก หวังคนไทยตระหนักรู้ นำพาสังคมให้น่าอยู่ยิ่งขึ้น จนยอดคลิปทะลุ 7 ล้านวิว!!




“โรคซึมเศร้า” ทำให้พบความหมายของความสุข

“ผมเคยเป็นโรคซึมเศร้า เป็นโรคที่คนสมัยนี้เป็นเยอะ แต่ผมว่ามันหายได้ เป็นถึงขั้นฆ่าตัวตายเลย เป็นเรื่องที่เฟลที่สุดในชีวิต

คือมันเป็นจุดดาวน์ของคนที่เป็นโรคนี้ มันสามารถเกิดขึ้นได้ เราเหมือนเคว้ง เหมือนอารมณ์ของคนที่เป็นโรคนี้ มันจะซึม มันจะไม่คิดอะไรเลย มันจะซึมและไปเลย”

นี่คือคำบอกเล่าของ “ปาร์ตี้ -วัชรพล นนท์ภักดี” หรือ “นักพากย์ฟีลกู๊ด” ยูทูบเบอร์ผู้โด่งดังจากการทำคลิปพากย์เลียนภาพยนตร์ฮีโร่ชื่อดังของค่ายหนัง Marvel ถูกแชร์ส่งต่อกันอย่างล้นหลาม และเต็มไปด้วยสาระและข้อคิดแอบแฝงที่สำคัญต่อคนไทยให้ได้ตระหนักรู้และนำมาคิดต่อยอดในโลกสังคม
 

ใครจะรู้ล่ะว่าผู้ชายอารมณ์ดีรายนี้ เคยมีภาวะซึมเศร้าขั้นหนัก จะลุกขึ้นมาค้นหา “ความสุข” และทำตาม “ความฝัน” ด้วยการพากย์เสียงลงโซเชียลฯ หวังให้ตัวเองผ่อนคลายจากความทุกข์

“ถ้าเรายิ่งอยู่คนเดียว ยิ่งไม่มีที่ยึด เราต้องรีบหาที่ยึด ต้องรีบโฟกัสความสุขให้เร็ว เหมือนคนที่เป็นโรคนี้เขาลืมความสุข แต่จริงๆความสุขหนึ่ง มันอยู่รอบตัวเลย แค่เราเลือกที่จะทำอะไรก็ได้ ซึ่งผมโชคดีที่ผมหยิบมือถือเครื่องนั้นมา แล้วให้เป็นเพื่อนแก้เครียด แล้วก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ซึมเศร้ามันหาย ขอบคุณโซเชียลแคมมาจนถึงตอนนี้เลย”

 

จากการที่ต้องการหาความสุขให้กับตัวเอง กลายเป็นว่าวันนั้นเขากลับค้นพบว่าเขาชอบอะไร และได้สร้างสรรค์คลิปต่างๆออกมาในโซเชียลฯ ทั้ง Facebook และ Youtube นับไม่ถ้วน

“คือจริงๆ ผมเป็นคนที่เครียดง่าย ยิ่งทำงานพวกเบื้องหลังวงการบันเทิงมันจะแบบเครียดมาก กดดัน กลับบ้านมาเราก็อยู่คนเดียว เราก็จะฟุ้งซ่าน เครียด

รู้สึกว่าต้องหาอะไรมาคลายเครียด ผมเลยตัดสินใจหยิบมือถือขึ้นมาเล่นแอปฯ ตอนนั้นแอปฯที่ดังมากก็คือโซเชียลแคมดังมากๆ ผมก็ลองดูว่าถ้าเป็นเรา เราจะอัดคลิปอะไร แต่มันคงไม่ใช่คลิปแบบโชว์หน้า เพราะเราไม่ใช่ทางนั้นอยู่แล้ว

เราก็เลยลองพากย์เสียง แค่อยากคลายเครียด เหมือนหาอะไรทำ เหมือนคนเล่นกีฬา วาดรูป อะไรอย่างนี้ แต่ผมหยิบมือถือมา แล้วผมก็พากย์เสียงลงไป

กลายเป็นว่านั่นเป็นจุดเริ่มต้นให้ผมเจอตัวตน ว่าเราชอบพากย์เสียง และชอบออนไลน์ เริ่มต้นจากคนไม่ดูเลย คนกดไลก์ 1 ไลก์ 2 ไลก์ แต่เราไม่หยุดทำครับ พอไม่หยุดทำแล้ว มันทำเรื่อยๆ เป็น 10 ปี ก็มาพร้อมกับพัฒนาการของเรา และ content เราด้วย คนก็เริ่มรู้จักขึ้นเรื่อยๆ

ผมพากย์เสียงตั้งแต่ยุคไม่เห็นหน้า มาแค่เสียง ตอนตี 2 ก่อนนอน ก็นำไปลง Youtube โพสต์ตอนตี 3 ไม่มีคนกดไลก์ ไม่มีใครดู แล้วพัฒนาเป็นการเอาละครที่เราชอบ เอาพระเอก นางเอกที่เราชอบ จากซีรีส์ จากละครมาตัดต่อ คือพอผมชอบ ผมชอบในความสามารถของทุกๆคนด้วย แต่เรานำมาดัดแปลงเป็นตัวเรา มันเลยเป็น content ที่พัฒนามาเรื่อยๆ”

หลังจากที่เขาตัดสินใจทำช่องทาง และอัปโหลดคลิปไปยังแฟนเพจ “Papapartyvoice นักพากย์ฟีลกู๊ด” ที่มีผู้ติดตามเพจกว่า 3 แสนคนของตัวเองที่เคยเปิดทิ้งไว้ เพื่อโพสต์เรื่องราวต่างๆ ส่งให้คลิปพากย์เสียง “บุพเพนาสะลอง อันยองฮาเซโย” การตัดต่อรวมศิลปินจากละครเรื่องบุพเพสันนิวาส ศิลปินดาราประเทศเกาหลีมาเจอกัน บวกกับการพากย์เสียงในฉบับของเขา หรือเรียกว่าโอปป้า ด้วยความสนุก มีข้อคิด ทำให้คลิปมียอดไลก์สูงกว่า 7 ล้านวิว มากที่สุดตั้งแต่เคยเปิดแฟนเพจมา
 

“คือมันมาจากสถานการณ์ข่าว อย่างที่เราทราบว่าสมัยนี้มันเกิดการแบ่งแยก เกิดการแบ่งฝ่าย แบ่งพรรค แบ่งพวก เราลืมไปว่าจริงๆ เสน่ห์ของคนไทย คือการสามัคคีกัน รักกัน

ถ้าเราเกิดวิกฤต หรือเกิดปัญหา ทุกครั้งคนไทยจะร่วมมือกัน ช่วยเหลือกัน ผมอยากทำคลิปนี้เพื่อย้ำเตือนทุกคนอีกครั้งหนึ่งว่าอย่าลืม ไม่ว่าจะเกิดปัญหา สภาพบ้านเมืองเป็นอย่างไร เราอย่าลืมที่จะรักกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน

จริงๆ ก็มีที่รู้จักบ้างมาก่อนหน้านี้ คือตอนนั้นละครบุพเพสันนิวาสปีที่แล้วดังมาก แล้วผมชอบดูมาก ผมชอบ 2 ตัวละครคือพระเอก ที่เป็นพี่โป๊ป(ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ) และจ้อย (โมสต์ วิศรุต)ก็เลยลองคิดเล่นๆ ถ้าจับมาจิ้นกัน คือคิดแค่ขำๆ ทำคลิปเพื่อคลายเครียด กลายเป็นว่าคนดู 7 ล้านวิว

โอปป้า จริงๆ ผมทำมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ผมทำมาเรื่อยๆ จนมาปีนี้ชื่อคลิปบุพเพนาสะลอง อันยองฮาเซโย คือผมไปเห็นข่าวการรวมนางเอกช่อง3 คือญาญ่า เบลล่า และแต้ว ผมเกิดไอเดียว่า ถ้า 3 คน 3 ภาคมาเจอกับพระเอกเกาหลี มันน่าจะมีเรื่องราวที่น่าสนุก

ทำ plot เหมือนเอาพระเอกเกาหลี (กงยู) มาย้อนยุคในเมืองไทยสมัยก่อน แล้วเจอ 3 สาว มันเลยพัลวัน เละตุ้มเป๊ะ แต่คนชอบ และแชร์เร็วมาก จนผมตกใจเลย อันนี้น่าจะเกือบ 4 ล้านวิวแล้วครับ”



ลาออกจากงานประจำ มุ่งทำโซเชียลฯ!!
 

“จากจุดเริ่มต้นมาจากทำให้คลายเครียด แล้วมันมีเพื่อนมาช่วยคลาดเครียดด้วย เพื่อนเห็นคลิปเรา เขาก็แชร์ เพราะว่าเขาหายเครียด เขาก็กดแชร์ ส่งต่อ”

แน่นอนว่าการที่ได้ชมคลิปพากย์เสียงต่างๆ ต้องได้รับความสุขจากนักพากย์ฟีลกู๊ดคนนี้ และย้อนกลับไปก่อนช่วงที่จะค้นพบเส้นทางที่เหมาะกับตัวเองได้อย่างทุกวันนี้ ปาร์ตี้เคยเป็นครีเอทีฟให้กับค่ายเพลงต่างๆ ควบคู่กับการทำคลิปพากย์เสียงลงโซเชียลฯ เป็นการผ่อนคลาย จนล่าสุดเขาเพิ่งตัดสินใจยุติการทำงานประจำ ออกจาก save zone ของตัวเอง

“ผมทำงานประจำเป็นครีเอทีฟ 10 ปี เดินทางมุ่งหน้าเป็นครีเอทีฟตลอด เป็นครีเอทีฟให้กับค่ายเพลงหลายค่ายมาก ตอนนั้นผมเป็นโปรโมเตอร์ครับ เหมือนโปรโมตเพลงศิลปิน และทำออนไลน์ เลยทำให้ผมผูกพันกับออนไลน์

ตอนนี้ผมลาออกจากงานประจำแล้ว เพราะว่ามันทำคู่กันมากับโซเชียลฯ แล้วไม่โฟกัสสักอย่าง เราก็ตั้งใจทำทั้ง 2 ทาง แต่ว่าเหมือนมันยังไม่สุดสักทาง ก็เลยลองเด็ดขาดฟันธงกับตัวเอง ว่าลองซิ ถ้าโฟกัสมันจะเกิดอะไรขึ้น เลยลองตัดสินใจลาออกมา และทำแค่โซเชียลฯเลย กลายเป็นว่าโฟกัสจริงๆ

ตอนแรกกลัวมาก กลัวแบบสุดๆ พ่อและแม่ก็ไม่ได้เห็นด้วยนะครับ ยิ่งเศรษฐกิจ ยิ่งไม่มั่นคง แต่ผมรู้สึกว่ามันต้องออกจาก Save Zone บ้าง เพราะว่ามันจะได้มีความสุขขึ้น จะได้โฟกัสกับความเป็นตัวเองมากขึ้น”

สำหรับการเล่นโซเชียลฯ ใครต่างก็รู้ดีว่ามีทั้งข้อดี ข้อเสีย แต่สำหรับชายรายนี้ที่มุ่งทำความฝัน และความสุขของตัวเอง เขากลับเห็นการเล่นโซเชียลฯ ของเขา เป็นเรื่องที่ดี จากรายได้เสริม กลายเป็นรายได้หลัก และเลี้ยงชีวิตเขาได้
เปิดโอกาสให้ตัวเอง ออกจาก “Save Zone”

  

ไม่เพียงแค่นั้น ในฐานะที่เขาผ่านประสบการณ์การเป็นนักทำ Content มาร่วม 10 ปี การสร้างตัวตน มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง ถือเป็นเรื่องที่สำคัญในฐานะนัก Youtuber อย่างมาก

ถ้า“ตอนนี้ผมจะแนะนำให้เป็น 3 นาทีขึ้นไป เพราะตอนนี้เฟซบุ๊กกับยูทูบ สร้างรายได้จากคลิป 3 นาทีขึ้นไป จะกี่นาทีก็ได้ครับ แต่มันต้องทำให้น่าสนใจไปตลอด ในระยะเวลาโดยรวม
อย่างที่บอกว่าผมอยู่ตั้งแต่ยุคโซเชียลฯแรกๆ ใช้โซเชียลฯตั้งแต่ใช้ไม่เป็นเลย อย่างเฟซบุ๊กในตอนแรกเราก็ไม่รู้ว่าเฟซบุ๊กจะให้อะไรกับเรา การมีแฟนเพจมันจะเกิดอะไรขึ้น ตอนแรกจะใช้เฟซบุ๊กแค่ตั้งค่าสเตตัส อยากด่าใคร ผมด่า อยากด่าเจ้านาย นินทาเพื่อน เราก็คิดว่าเป็นที่ส่วนตัวของเรา คงไม่มีใครเห็น ก็ระบาย เอาความสะใจ อยากแชร์อะไรเราก็แชร์

ทุกวันนี้เฟซบุ๊ก มันสามารถจะย้อนไปสู่เรื่องที่เราลงไป ตั้งแต่แรกๆ เราก็ตกใจว่าเราโพสต์แบบนี้ด้วยเหรอ คือทำไมตอนนั้นเราโพสต์แบบนี้ ทำไมเรากล้าด่าคนอื่น ทำไมเราสาดเสียเทเสียคนอื่น ในโซเชียลฯ  ทำไมถึงมาทำอะไรแบบนี้ ใช้คำหยาบ คือมันเป็นพฤติกรรมที่ส่วนตัวจริง แต่ว่ามันไม่ได้ให้ประโยชน์อะไรเลย คือทั้งไม่ให้ประโยชน์กับตัวเราเอง และทั้งทำลายภาพลักษณ์ของเราด้วย
 
ตอนนั้นเราไม่ได้คิดถึงว่ามันจะมีเอฟเฟกต์ต่อคนอื่นยังไง คนอื่นจะมองมาแล้วเขาจะรู้สึกยังไงกับเรา สิ่งนั้นมันจะเกิดผลเสีย ผลประโยชน์ให้กับคนอื่นไหม แต่พอย้อนกลับไปคิดแล้ว มันไม่น่าทำเลย และถ้าเราพลิกจากแค่ว่าเราใช้เพื่อระบายอารมณ์ พลิกให้มันเป็นโอกาสใหม่ๆ มันก็จะพาโอกาสมาหาเรา”

พลิกโอกาสที่เขาพูดถึงนี้ ก็มีทั้งการเปิดโอกาสตัวเองให้เรียนรู้สิ่งใหม่ ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์สอนทำ content การผลิตคลิปพากย์เสียง ที่เต็มไปด้วยความสุข และแง่คิดที่คนดูจะได้รับกลับไป โดยใช้ความถนัดในฐานะที่เคยมีประสบการณ์มาก่อน และเคยผิดหวังกับสิ่งที่ได้ทำมาก่อน

“ผมอยากเป็นนักพากย์ ผมก็ลองไปสมัครพากย์เสียง ไปเทสเสียง ความเป็นจริงมันยากที่เป็นนักพากย์อาชีพ อย่างที่เราฝัน มันล้มเหลว ผมไม่สามารถเป็นนักพากย์ได้ ผมเลยใช้สื่อโซเชียลฯเป็นโอกาส แทนที่เราจะเล่นเฉยๆ ส่องหรือโพสต์อะไรก็ได้ ผมเลยเอามาเป็นเหมือนต่อยอดโอกาสของเรา จากการเป็นนักพากย์อาชีพไม่ได้ เราก็มาเป็นนักพากย์ที่มาอยู่ในพื้นที่ของเรา

ผมเลยหยุดด่าตอนที่โซเชียลฯ มันมีค่ากับเรา กับคนอื่น ผมเลยเลิกพฤติกรรม ไม่ได้ว่าตัวเองเป็นคนดี แต่เหมือนมันไม่ได้ให้ประโยชน์ ผมลองเปลี่ยนพฤติกรรมการโพสต์ ผมพยายามตั้งสเตตัสที่มันรู้สึกดี เหมือนคาแรกเตอร์เรา และพยายามแชร์ พยายามหาสิ่งดีๆ มาให้เพื่อนในเฟซได้เห็นด้วย พอเปลี่ยนไม่น่าเชื่อเหมือนกันว่าเหมือนตัวตนเรานิ่งขึ้น เหมือนเรามองเห็นอะไรมากขึ้น

และสิ่งที่ตามมาคือโอกาสที่เราคาดไม่ถึง เหมือนผู้ใหญ่เข้ามาเห็นเฟซบุ๊กเรา เขาจะมองว่าภาพลักษณ์เราโอเค มีทัศนคติ มีมุมมองที่ดี มีความสามารถแบบนี้ เขาเลยยื่นโอกาสใหม่ๆที่เราไม่เคยคิดเลย กลับได้ทำมัน"

บทเรียนจากการเคยด่า และสิ่งที่ไม่ควรทำลงโซเชียลฯ ทำให้เขาเข้าใจอย่างแท้จริงเลยว่าที่ทำไปนั้น ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรต่อเขาเลย ซึ่งเขายอมรับเลยว่าการปรับเปลี่ยนทัศนคติ โพสต์แต่สิ่งที่เต็มไปด้วยทัศนคติที่ดี ทำให้ผู้ใหญ่มอบโอกาสให้เขาทำงานที่ส่งต่อความสุข ให้กับคนดูเป็นจำนวนมาก

“ได้รับโอกาสมาพอสมควร แต่มันเป็นไปได้ยากเหมือนกัน คือเราต้องฝึกหนักมาก คนที่เป็นนักพากย์อาชีพได้ ผมเข้าไปเห็น มันจะต้องฝึกหนัดจริงๆ ต้องอดทน และต้องเก่งจริง ต้องใช่จริงๆ

เราจะคิดแค่ใช้เสียงก็ได้ตัวคาแลกเตอร์ แต่พอไปทำจริงๆ ตาเราต้องมองจอง ปากเราต้องพูดกับไมค์ และตาต้องสลับกับการดูบท ทุกอย่างมันประสาทสัมผัส ต้องลิงก์กันหมดเลย และที่สำคัญนักพากย์ไทย สิ่งที่สำคัญมากเลยคือต้องพูดไทยชัดมาก ต้องพูดถูกอักขระ จะต้องพูดสื่อสารถูก แต่ด้วยความที่เราพูดไม่ชัดถ้อยชัดคำ มันต้องฝึกอีก ต้องอาศัยประสบการณ์มากๆ เราต้องฝึกอีกเยอะ คือผมใจร้อนด้วย ผมเลยลองพากย์เล่นๆ หาพื้นที่ขอตัวเอง ลองพากย์ดู เราอาจจะไม่ได้มีผลงานที่มันยิ่งใหญ่ เป็นนักพากย์อาชีพ แต่เราก็มีพื้นที่ของเรา ที่เราแฮปปี้”

แน่นอนว่าการเป็นนักพากย์มืออาชีพไม่ใช่เรื่องที่ง่าย ต้องผ่านการฝึก การอดทน ความกดดันต่างๆ นักพากย์เสียงรายนี้ ยังทิ้งท้าย ด้วยรอยยิ้ม ให้ฟังอีกว่า การหาตัวเองเจอเป็นสิ่งที่ดี และการเป็นนักพากย์มืออาชีพสำหรับเขาแล้ว ไม่ไช่เรื่องง่าย ถึงจะไม่มีผลงานที่ยิ่งใหญ่ แต่ก็มีความสุขในพื้นที่ของตัวเองได้

“ขอบคุณครอบครัว เหมือนพ่อแม่เป็นอีกแรงผลักดันที่ทำให้ผมมาถึงทุกวันนี้ จริงๆผมเปลี่ยนความฝันเยอะมาก พ่อแม่ไม่เคยสนับสนุนทุกความฝันเลย โดยเฉพาะการเป็นนักพากย์ เราทำให้พ่อแม่เห็นชัดว่าเราอยากเป็นมาก คือครอบครัวเราไม่ใช่ครอบครัวคนรวย แต่พ่อแม่ตัดสินใจซื้อคอมพ์ ซื้อไมค์มาให้เราฝึกพากย์ตั้งแต่แรกๆเลย แล้วเราก็ฝึก เขาก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่าถ้าเรามาถึงฝัน และความสำเร็จได้ เขาน่าจะภูมิใจมาก เป็นอีกหนึ่งแรงผลักดันของผมเลย

และต้องขอบคุณตัวเองที่กล้าออกมาจาก Save zone และพาตัวเองเจอความสุข คือมันแค่เปลี่ยนมุมมองครับ คือผมก็เป็นคนปกติธรรมดา ที่ใช้ชีวิตแบบดาร์ก คือคนส่วนใหญ่จะใช้ชีวิตดาร์กๆ คิดแง่ลบก่อน ยิ่งเจออะไรมา สังคมรอบนอกมาบิ่ลต์ เราก็รู้สึกแย่ แต่มันอยู่ที่มุมมองว่าเราจะเลือกให้สิ่งนั้นเป็นความสุข หรือเป็นความทุกข์ต่อ”
 





สัมภาษณ์ : รายการ “พระอาทิตย์ Live” 
เรียบเรียง : ทีมข่าว MGR Live 
เรื่อง : ภูริฉัตร ปริยเมธานัยน์



** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **
 
กำลังโหลดความคิดเห็น