จัดเป็นตัวท็อปในการเป็นแรงบันดาลใจของคนวัยเก๋า เพราะใจเจ๋งเกินจะอยู่บ้านเฉยๆ ป้าเจี๊ยบ -นงลักษณ์ ชัยฤทธิไชย นักกีฬาเอ็กซ์ตรีมทีมชาติไทย ประเภทดาวน์ฮิลล์ วัย 62 กะรัต แม้จะเป็นกีฬาที่ดูเหมือนจะสงวนสิทธิ์ให้คนหนุ่มสาว เพราะต้องพุ่งตัวลงมาจากเนินเขาลาดชันด้วยความเร็ว 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ไม่มีผลต่อใจ เพราะเธอเพิ่งมาเริ่มฝึกเมื่อวัยเฉียดหกสิบหลังหายจากมะเร็งนี่เอง ลบคำสบประมาท “แก่” ผ่านร้อนผ่านหนาว หอบความหวังคนไทยสู้ศึกซีเกมส์
จุดเริ่มต้น นักกีฬาทีมชาติวัยเก๋า
แม้จะมีผมสีดอกเลาแต่ด้วยใบหน้าที่สดใส อ่อนกว่าวัย แถมร่างกายเปี่ยมด้วยความกระชุ่มกระชวย การแต่งตัวที่สุดคูล พร้อมพลังความกระฉับกระเฉงที่พุ่งออกมาจากป้าเจี๊ยบจนสัมผัสได้ ทำให้ทีม MGR Live ไม่กล้าจะเรียก “คุณป้า” ตามอายุ การสัมภาษณ์ครั้งนี้จึงขอใช้สรรพนาม “พี่เจี๊ยบ” แทน
“ตอนพี่เจี๊ยบเป็นเด็กอายุประมาณ 7 ขวบ จะอยู่ที่ปากช่อง จ.นครราชสีมา แต่เวลาปิดเทอมจะเข้ามากรุงเทพฯ มาเล่นโรลเลอร์สเก็ตที่ลักษณะเป็นรองเท้ามีลูกล้อเหล็กสี่ล้อติดอยู่กับกับรองเท้า
เราก็ตามพี่ชายไปเล่น ตอนนั้นจะมีโรงสเก็ตชื่อโคลีเซียม ลักษณะจะเป็นลานกว้างๆกลมๆ แล้วเขาก็มีรองเท้าสเก็ตให้คนเช่า ก็ไม่ได้ทำอะไรมาก เราก็วิ่งวนกันอยู่แค่นั้น จากนั้นเราก็กลับบ้านปากช่อง ได้รองเท้าสเก็ตกลับบ้านก็ไปวิ่งเล่นอยู่ในตลาดที่ปากช่อง พอมันพังก็ไม่ได้เล่นอีกเลย
กระทั่งมีลูกชายคนโต มีห้างหนึ่งเขาเปิดให้เล่นลานสเก็ตน้ำแข็ง เราก็ได้พาลูกชายไปหัดเล่น ตอนเขา 3 - 4 ขวบ เราก็ไปเล่นด้วยกับเขา จากนั้นก็เริ่มห่างๆมา
จนอายุประมาณ 53 ปลายๆ เริ่มป่วย ค้นพบว่าตัวเองเป็นมะเร็งเต้านมก็หยุดกิจกรรมต่างๆ เพื่อพักรักษาตัวเองไป 3-4 ปี พอเริ่มแข็งแรง ลูกชายเขาพาเราไปเดินออกกำลังกายในสวนสาธารณะขณะที่เขาเล่นสเก็ตบอร์ดอยู่
เราก็หยิบสเก็ตบอร์ดของลูกมาลองเวลาที่เขาพัก ลองไถ เล่น ก็เริ่มจากตรงนั้น เล่นมานิดๆหน่อยๆ เล่นมาเรื่อยๆ จนมาถึงวันนี้เราก็ไม่ได้คาดหวังอะไร ไม่ได้คิดว่าจะมาถึงตรงนี้ เพราะเริ่มเล่นจากความรัก เล่นแล้วสนุก จนทำให้เกิดร้านสเก็ตบอร์ดเป็นของตัวเอง ในชื่อ ZazuSk8 Bangkok Longboard”
#สู้ๆ ทีมชาติไทย
หลังจากที่หัดเล่นลองบอร์ดมาเป็นเวลา 6 ปี โดยจับกลุ่มก๊วนกันไปเล่นตามสถานที่ต่างๆ ที่มีเนินสูง ความฝันก็เป็นจริง เมื่อซีเกมส์ที่กำลังจะเกิดขึ้นที่ฟิลิปปินส์บรรจุให้กีฬาเอ็กซ์ตรีมประเภทดาวน์ฮิลล์ที่ต้องใช้ลองบอร์ดเล่นร่วมลงแข่งขัน อายุไม่ใช่อุปสรรคเพราะป้าเจี๊ยบฝ่าฟันจนติดทีมชาติไทย เป็น 1 ใน 3 คน ของทีมหญิงที่อายุมากที่สุด
“จากนั้นเมื่อประมาณเดือนมีนาคม ประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นประเทศเขามีภูมิประเทศ คนของเขาเล่นกันเยอะมาก ผู้หญิงเล่นเป็นร้อยๆคน ผู้ชายหลายร้อยคน แล้วปีนี้เขาเป็นเจ้าภาพซีเกมส์ เขาก็ประกาศบรรจุกีฬาชนิดนี้เข้าไปในซีเกมส์ด้วย ทางสมาคมกีฬาเอ็กซ์สตรีมแห่งประเทศไทย ก็ประกาศรับสมัครนักกีฬาสเก็ตบอร์ดดาวน์ฮิลล์ เพื่อคัดตัวเข้าไปเป็นนักกีฬาทีมชาติ ไปแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ที่ประเทศฟิลิปปินส์ เดือนธันวาคมสิ้นปีนี้ พวกเราก็เฮเลย คือเรารอโอกาสนี้มานานแล้ว
เนื่องจากกีฬาดาวน์ฮิลล์สเก็ตบอร์ดบ้านเราไม่เป็นที่นิยมมาก คนเล่นยังกลุ่มเล็กๆไม่เยอะ เราก็พยายามจัดแข่งกัน ซึ่งมันก็ไม่ได้ขยายใหญ่ไปกว่านี้แล้ว แต่มาตอนนี้เราคิดว่ามันเป็นโอกาสที่กลุ่มก้อนของเราจะโตขึ้น จะขยายวงกว้างขึ้น คนจะเข้ามาเล่นเยอะขึ้น คนจะเข้าใจได้มากขึ้นเยอะว่า กีฬาแบบนี้แค่มองว่าน่ากลัว แต่จริงๆแล้ว มันมีวิธีป้องกันที่ดี
ทุกคนสามารถเล่นได้ จะเด็กเล็กๆคนแก่ๆ ก็เล่นได้ เพราะมีวิธีป้องกันตัวเองให้ปลอดภัยได้และทีมเด็กๆที่เล่นด้วยกัน เขาดูแลดี ดูแลกัน ทุกคนดูแลกัน
แม้เราจะเล่นบนถนนสาธารณะที่มักจะมีรถขับขึ้นลง แต่เราก็จะคอยระมัดระวัง ต้องมีคนนึงดูทางเสมอ รถมานะ ตะโกนบอกกันเป็นทอดๆว่า ก็คอยดูแลกัน
เราไม่ได้ไปเล่นคนเดียว ต้องไปกับทีม ประมาณ 3-4 คน ก็ไปเล่นกันแล้วนะ ต้องมีคนอื่นไปเล่นด้วย ไปเล่นคนเดียวไม่ได้ เพราะคนไปดูทาง ก็ผลัดกัน ตานี้เราลง อีกสองคนก็ไปดูทางหัวท้าย ตานี้เราไปดูทาง เราไปถ่ายรูป อีกสองคนก็ไปเล่น วิธีการสื่อสารก็ตะโกนบอกกัน เป็นทอดๆกัน
เวลาไปเล่นก็มีมุมที่ไม่เห็นรถ เคยมีอุบัติเหตุเหมือนกัน แต่เนื่องจากเรารู้ว่ากีฬาของเราเป็นกีฬาเสี่ยง ทุกคนจะต้องป้องกันตัวเองเป็นอย่างดี ทุกคนจะต้องใส่อุปกรณ์ป้องกัน ทุกคนจะต้องมีหมวกกันน็อก ตามพื้นฐานที่ควรจะมี ไม่งั้นเราก็จะไม่ให้ลงเล่นด้วย
อะไหล่รุ่นนี้หายาก อุปกรณ์เซฟตี้ต้องจัดเต็ม
“ความเร็วสุดที่เคยทำได้ ประมาณ 60-70 กี่กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ไม่เคยเกิดอุบัติเหตุร้ายแรง เพราะเราจะใส่อุปกรณ์ครบจัดเต็ม มีสนับเข่า สนับศอก เสื้อผ้าก็ใส่เสื้อแขนยาว กางเกงขายาวตลอด ใส่รองเท้าผ้าใบหุ้มข้อแน่นหนา กางเกงซ้อนบ้าง
เคยหกล้มมากก็แค่เคล็ดขัดยอก ไม่ค่อยมีแผลเยอะๆอย่างเขา อาจจะเป็นเพราะตัวเราอายุเยอะ เราก็เล่นได้เท่าที่เราจะปลอดภัย เล่นด้วยความระมัดระวัง ใส่อุปกรณ์ป้องกัน
เล่นลองบอร์ดมา ไม่เคยเจ็บอะไรแรงๆเลย ร่างกายเราเปลี่ยนแปลงไปหลังเล่นลองบอร์ด แข็งแรงมากขึ้น เมื่อก่อนเท้าพลิกนิดเดียวก็เข้าเฝือกแล้ว แต่พอมาเล่นลองบอร์ดหกล้มแรงๆยังไม่เคยกระดูกหักเลย
ในขณะที่ใช้ชีวิตประจำวันปกติ บางทีเดินๆอยู่ ขาพลิก เข้าเฝือกสองเดือน นี่ถ้าสังเกตที่จมูก เดินชนเสาประตูหน้าบ้าน บาดเจ็บเรื่องไร้สาระ ตกขอบฟุตปาธ สะดุดขาล้ม ประตูหนีบมือ แต่ถ้าเล่นลองบอร์ดสบายเลย ไม่เคยมีปัญหาอะไรเลย มีถลอกบ้างเล็กๆน้อยตามสภาพแต่ไม่เคยบาดเจ็บหนักเลย เพราะอุปกรณ์เซฟตี้ครบ สนับเข่า สนับศอก ถุงมือ เสื้อแขนยาวหนาๆ หมวกกันน็อกเต็มใบช่วยได้มาก เวลาล้มแล้วหน้าฟาดบางทีเวลาเราล้ม เราจะครูดไปกับถนนเลย กางเกงก็จะขาด กางเกงส่วนใหญ่ก็จะปะก้นทุกตัว
ส่วนการเป็นผู้หญิงจะต้องเซฟตี้กว่าผู้ชายมั้ย ได้ก็ดีค่ะ แล้วแต่ความรับผิดชอบส่วนตัวเลย เดี๋ยวนี้ก็มีสนับสำหรับใส่หน้า-หลัง อย่างฝรั่งเขาเล่นกันแรงๆ เขาเล่นกันร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมง เขาก็ใส่ อุปกรณ์ป้องกันขนาดนั้น แต่อย่างของเรา เนื่องจากความเร็วของเรายังไม่ถึงระดับนั้น เราก็ใส่แค่ที่บอก มันก็โอเคแล้ว เราก็ปลอดภัยได้ระดับหนึ่ง”
สนุกกับชีวิต ที่เป็นอิสระ
“ย้อนไปในวัยเด็กของเรา พ่อแม่ไม่ค่อยมีเวลาดู เขาก็ทำงาน ปล่อยเราเล่น นิสัยเราก็จะดื้อๆ เพื่อนผู้หญิงมีนะ แต่เนื่องจากถนนที่เราอยู่ผู้ชายเยอะ รุ่นพี่เกือบทั้งหมดเป็นผู้ชาย แทบจะไม่มีผู้หญิงเลย รุ่นพี่ผู้ชายก็จะเป็นหัวโจก ถึงเวลาเสาร์อาทิตย์ก็จะพาไปเล่นน้ำคลอง เดินเที่ยวตามรางรถไฟ ไปขึ้นเขา
ก๊วนเราก็จะมีแต่ผู้ชาย ว่ายน้ำ ปั่นจักรยานโลดโผน เที่ยวป่าเที่ยวเขา ตอนเป็นเด็กๆมีงานวัด ชอบมากเลยมอเตอร์ไซค์ไต่ถัง รู้สึกโลดโผนดี แล้วเราก็คิดว่า รถมอเตอร์ไซค์สามารถขี่ไปวนๆอยู่ในถังได้ยังไง อยากลอง ไม่ได้ลองไม่มีโอกาส แต่ได้ขับมอเตอร์ไซค์วิบาก เข้าป่า รถแข่ง ก็เคยลองมาหมด
พอเรียนจบจากอักษรศาสตร์จุฬาฯ เราก็ทำงานเป็นลูกจ้าง เป็นพนักงานโรงแรม ห้าวๆ ก็ออกมาทำทัวร์กับเพื่อน โตขึ้นมาหน่อยมีครอบครัวต้องดูแล ก็ย้ายกลับไปอยู่ปากช่อง ไปเปิดโรงงานซักผ้า รับจ้างซักผ้าโรงแรม เป็นเครื่องอุตสาหกรรม เป็นเครื่องซักผ้าตู้ใหญ่ๆร้อยกิโลฯ มีเครื่องอบ และเครื่องรีดผ้ายาวๆ ใหญ่ๆ
จริงๆ ก็ไม่ได้ชอบงานโรงแรมหรอก พี่สาวทำงานโรงแรมอยู่ ก็ตามไลน์กันเท่านั้นเอง ไม่ได้ชอบอะไร ก็สนุก เราไปทำงานโรงแรมที่พัทยา มันก็มีกิจกรรมให้เราทำ คือเราได้ออกทะเล ได้เล่นวินเซิร์ฟ ได้ตีกอล์ฟ ได้มีกิจกรรมทำ สนุกกับชีวิตก็เป็นอิสระ
จนวันนึงที่เราย้ายกลับมากรุงเทพฯ ด้วยพื้นฐานนิสัยท่ี่เป็นคนชอบเที่ยว ชอบอิสระ เราก็กลับมาทำทัวร์เล็กๆ กับเพื่อน รับจ้างพาคนเที่ยววัดวาอาราม สุดท้ายก็เลิกทำไป เริ่มไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่ ”
จงอยู่กับ “มะเร็ง” ให้ได้
“หมอบอกว่าในชีวิตทุกคนมีมะเร็งอยู่ในตัว แต่เราจะอยู่กับเขายังไงเท่านั้นเอง ไม่ให้เขาจู่โจมเราได้ จริงๆ ตอนนั้นก็แข็งแรงนะ ก่อนจะเป็นก็เล่นกีฬา ออกกำลังกาย แต่ด้วยวัย ด้วยฮอร์โมน ที่เปลี่ยนไป
ถามว่ามีสัญญาณเตือนอะไรมั้ย ก็ไม่มีนะ เขาก็ค่อยๆก่อตัวขึ้นมา เราก็ค่อยๆรับรู้ว่ามีก้อนอะไรอยู่ตรงนี้ เราคลำดู เราเจอ เอ๊ะ ก้อนอะไร บางทีก็เอ๊ะ ทำไมเราเจ็บตรงนี้
แรกๆเข้าใจว่าผลัดวัย ฮอร์โมนเปลี่ยน ก็ไม่ได้คิดอะไร สักพักเริ่มเจริญเติบโตมาเรื่อยๆ เราก็โอเค มีเพื่อนมาอาศัยอยู่กับเราแล้ว ตอนแรกก็คิดว่า ทำไมจะอยู่กับเขาให้เราปลอดภัย จนวันนึงเราก็คิดว่า เขาโตเกินไปแล้วนะ ต้องแยกกันอยู่แล้วนะ ถึงเอาตัวเองไปหาหมอ ไปเข้าสู่กระบวนการรักษา
ตอนนี้ก็ไม่แน่ใจว่าหายดีมั้ย น่าจะแค่สงบ แต่ก็ไม่มีโรคอะไร ใช้ชีวิตปกติ ไม่ได้ไปติดตามผลสักระยะแล้ว ตอนนี้ค่อนข้างมั่นใจว่าชีวิตปกติ อีกอย่างเท่าที่เราเข้าใจ ว่ามะเร็งเขาจะแพ้อากาศบริสุทธิ์
ถ้าร่างกายเราไม่มีน้ำตาล ไม่มีอะไรที่เป็นอาหารของเขา เขาก็จะอยู่ไม่ได้ไปเอง เราก็พยายามหลีกเลี่ยงตรงนั้น หลีกเลี่ยงอาหารที่เรากินเข้าไปแล้วเป็นอาหารของเขาด้วย เราก็เลี่ยงไปเลย ไม่ทานน้ำตาล ไม่ทานหวาน
ช่วงนี้เรามีโอกาสได้อยู่ จ.แพร่ เพราะเราต้องไปเก็บตัว อากาศดีมาก ก็น่าจะเป็นอะไรที่ทำให้มะเร็งสงบได้ แถมร่างกายเรายังแข็งแรงขึ้น มีความสุขมากขึ้น ได้เพื่อน ได้เที่ยวตามที่เราชอบ
ตอนเป็นมะเร็งก็ไม่ได้กลัวตายนะ แต่แค่คิดว่า ทำไมคนเป็นมะเร็งต้องตาย คนชอบพูด คนเป็นมะเร็งตายทุกคน ใช่มั้ย เราก็จริงเหรอ เราไม่เห็นอยากตายเลย หาวิธี ทำยังไงจะอยู่กับมันให้ได้ จะรักษาให้ได้ เราคิดอีกทางมากกว่า
อยากจะบอกทุกคนเลยว่า เจ็บไข้ได้ป่วยอย่าไปคิดท้อแท้ อย่าไปคิดว่าเป็นความซวย โชคไม่ดี อย่าไปคิดเรื่องเคราะห์กรรมที่เรามองไม่เห็น หาวิธีรักษาดีกว่า
อย่างแรกเลย จะเป็นอะไรก็แล้ว ต้องยอมรับให้ได้ เปิดใจตัวเอง เข้าสู่กระบวนการรักษาที่ถูกต้อง ฟื้นฟูตัวเองให้แข็งแรงมากขึ้น ให้มีชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุขมากขึ้น
ช่วงเป็นมะเร็งก็เป็นช่วงดาวน์ที่สุดในชีวิต ต้องให้คีโม แล้วทำอะไรไม่ได้ กินไม่ได้ ไม่สบายตัว เริ่มมีความกังวลเล็กๆว่าจะเป็นภาระคนอื่น ซึ่งตรงนั้นเราก็จัดการตัวเองไม่ให้เป็นภาระคนอื่น วันไหนที่หมอนัดไม่มีใครว่าง เราก็ขึ้นรถไฟฟ้าไปหาหมอเอง ช่วงนั้นก็จะไม่ขับรถ เพราะเดี๋ยวไปเป็นภาระสังคม เดี๋ยวเกิดไปเป็นลมกลางทาง
วิธีจัดการคือ จัดการใจตัวเอง ให้เลือกในวันนึง เรามีความทุกข์กับความสุขในเวลาเดียวกันอยู่แล้ว เลือกอยู่ฝั่งความสุข แล้วเราจะลืมความทุกข์ แล้วเราจะมีความสุข แค่นั้นเองง่ายๆ อย่าไปคิดเยอะ บางทีคิดไม่ออก จมปลักอยู่ตรงนั้น แก้ปัญหาไม่ได้"
ถ้าคุณรัก คุณจะทำมันได้!
“เคยคิดจะเลิกเล่นนะ แต่มันเลิกไม่ได้ เหมือนมันยังเล่นได้อยู่ก็เล่นไปเรื่อยๆ เราก็เล่นเท่าที่เราไหว
ช่วงเล่นแรกๆก็มีคนห้ามเยอะ อย่างเพื่อนๆ หรือแม่ ก็จะบ่นว่า อายุขนาดนี้แล้ว เล่นไปเกิดอุบัติเหตุ เกิดอะไรขึ้นมา มันซ่อมไม่ได้นะ มันไม่มีอะไหล่เปลี่ยนนะ เราก็ เออ เล่นอีกสักพักนึงแล้วก็เลิกเล่นแล้ว
เคยเห็นในคอมเมนต์ก็มีคนบอกว่า ไปเล่นอย่างอื่นดีกว่ามั้ย อายุเยอะเกินไปแล้ว ให้เด็กๆเขาเล่น เราก็คิดนะ อยากให้เด็กๆเล่น ในขณะเดียวกันเราก็อยากจะบอกทุกคนว่า ถ้านั่งมองเฉยๆน่ะ อันตราย ถ้ามาเล่นจะรู้จักวิธีป้องกันตัวเอง รู้จักวิธีเซฟ ทำให้ตัวเองปลอดภัย ทำให้ตัวเองไม่บาดเจ็บขนาดนั้นได้
ถ้าเอาแต่นั่งมองก็จะน่ากลัว อยู่ที่ใจ ใจรัก ใจอยากเล่น ถ้าคุณสนุกกับมัน คุณสนุกกับอะไรก็ได้ที่คุณสนุก ที่คุณรัก คุณก็จะทำมันได้ ไม่ว่าอะไรก็ตาม
ตอนนี้อยากให้มีคนรุ่นใหม่เข้ามาเล่นเยอะๆนะ เพราะผู้หญิงในเมืองไทยเล่นกันน้อยเกินไป ปัจจุบันนี้มีเล่นกันแค่ 3-4 คน ซึ่งกีฬาประเภทนี้เริ่มบรรจุเข้าเป็นเกมนานาชาติมากขึ้นก็ควรจะมีรุ่นผู้หญิงมามากขึ้น
อย่างฟิลิปปินส์ที่กำลังจะเป็นเจ้าภาพซีเกมส์ ผู้หญิงเล่นเป็นร้อยๆคนเลย แล้วของเมืองไทยเรามีแค่ 3-4 คน ก็เลยอยากชักชวนน้องๆผู้หญิงเข้ามาเล่นกันเยอะๆ จริงๆมันไม่ได้น่ากลัว แค่อาจจะผิวคล้ำลงนิดนึงเวลาออกแดด ก็ทาครีมกันแดดกันเยอะๆ
ตอนนี้ก็ไม่ได้คิดจะเลิกเล่นแล้ว พอได้แข่งกับเด็กๆ เราก็รู้สึก ก็ยังเล่นได้นะ ก็เล่นมาเรื่อยๆ ตอนนี้คิดว่าจะต้องทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว
มีคนมองว่าเราเป็นแรงบันดาลใจของเขา เราดีใจนะ อย่างน้อยการออกกำลังกายมันได้ตัวเอง ได้ความแข็งแรง ได้สังคม ได้เพื่อนฝูง มีแต่เรื่องดีๆ เราเข้ามาอยู่ตรงนี้ เรารู้สึกรักมากขึ้นทุกวัน น้องๆน่ารัก ลูกๆหลานๆทุกคน เคารพนับถือกัน ดูแลกัน มีมิตรภาพดีๆดูแลให้กัน
เคยมีเด็กๆมาแอบดูเราเล่น พอเขาเห็นเราเล่น จากที่เขาเคยคิดว่าน่ากลัวก็เลิกกลัวเลย เขาบอกว่าป้าเล่นได้ เราก็น่าจะเล่นได้นะ
เวลาอยู่กับเด็กๆมีความสุขนะ เขาไม่ได้คิดว่าเราต่างจากเขา เหมือนอยู่กันเป็นเพื่อนไปแล้ว”
เกิดมาเป็นคน ต้องทดแทนคุณแผ่นดิน
อย่างเมื่อก่อนเราเล่นลองบอร์ด เราแค่เล่นเพราะเราสนุก มีความสุข แต่พอตอนนี้มีคำว่าทีมชาติ เหมือนมีคำว่า “หน้าที่” เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตแล้ว เราก็ต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด
มีคำพูดป๋าเปรมที่เรายึดมั่นไว้ตลอด “เกิดเป็นคนต้องทดแทนบุญคุณแผ่นดิน” เราถือว่าตั้งแต่เกิดมาจนเราอายุ 62 ยังไม่เคยทำอะไรที่เป็นคุณประโยชน์ต่อแผ่นดินเลย อย่างเดียวที่เราทำคือเราเลี้ยงลูกให้เป็นคนไม่เป็นภาระคนอื่น ไม่เกเร ไม่เป็นภาระสังคม ถือว่าเป็นหน้าที่เดียวที่เราทำได้ดีที่สุด
แต่พอตอนนี้เรามามีหน้าที่นี้เรารู้สึก เออเราภูมิใจ อย่างน้อยเราได้ทำอะไรเพื่อสังคมไทย ถามว่า หวังเหรียญซีเกมส์มั้ยก็อยากจะหวังนะ แต่เราก็อยากจะบอกว่าจะทำให้ดีที่สุด ไม่รู้ว่าได้หรือไม่ได้ เต็มที่ เกินร้อย
ถ้าจะมีคนคิดว่าไปแข่งซีเกมส์ครั้งนี้เราไม่ได้เหรียญกลับมาหรอกเพราะอายุเยอะแล้ว เราต้องปล่อยให้เขาคิดเพราะคนส่วนหนึ่งคิดอย่างนั้นแหละ เห็นมั้ยล่ะ แก่ๆไปสู้เขาไม่ได้ แต่ถ้าแก่ไม่ไป ก็จะไม่มีเด็กรุ่นใหม่ตามขึ้นมานะ เพราะคนส่วนใหญ่ยังคิดว่าเป็นกีฬาน่ากลัวอยู่ เราก็ต้องยอมให้คนส่วนนั้นคิดของเขาไป ซึ่งวันนึงเขาอาจจะคิดอีกทางหนึ่งได้ หรือถ้าเขาคิดไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เราไม่นอยด์ อย่าไปกังวลตรงนั้น
ชีวิตคนเรามีทั้งเวลาสุข และเวลาทุกข์ เราต้องเลือกว่าจะอยู่ยังไงให้มีความสุข”
เลี้ยงลูกไม่ต้องให้เป็นคนเก่ง แค่เอาตัวรอดได้
ความเปรี้ยว ความเก๋าของพี่เจี๊ยบส่งผ่านดีเอ็นเอมายังลูกชาย ดี้-โสธีระ ชัยฤทธิไชย นักร้องนำแห่งวงมิราคูลัส เขาเล่าว่า แม่เจี๊ยบ ให้อิสระในการใช้ชีวิตอย่างที่สุด ไม่เคยบังคับลูก
“ก๋งผมมาจากเมืองจีนเป็นซินแสขายยาแผนโบราณ เป็นคนจีนที่หัวสมัยใหม่ เขาเลี้ยงแม่ผมมาแบบไม่ได้บังคับลูก จะเล่นดนตรีก็ได้ จะทำอะไรก็ได้ อย่างลุงผมก็เป็นฮิปปี้ หรือแม่จะไปเรียนภาษาต่างประเทศอะไรก็ไป เป็นดีเอ็นเอมาตั้งแต่ต้นตระกูล มารุ่นผม ก็สุด ทำอะไรทำเลย
ส่วนตัวผมเองแม่ก็จะซับพอร์ต ทำสิ พาไปเล่นนู้นเล่นนี้ ไม่ชอบก็ไม่ต้องเล่นต่อ จะเล่นเกมก็ไม่ว่าแต่ต้องแบ่งเวลา เรื่องเรียน กีฬา สันทนาการ ครอบครัว ส่วนหนึ่ง”
พี่เจี๊ยบ แนะเคล็ดลับเลี้ยงลูก ไม่จำเป็นต้องเป็นที่ “หนึ่ง” แค่ “ทันโลก” และ “เอาตัวรอด” ให้ได้ก็พอแล้ว
“เราสนับสนุนให้ลูกทำหน้าที่การงานของเขา ให้เขาได้เติบโตไปก็ถือว่าเป็นหน้าที่แม่
และใช้ชีวิตในความเป็นจริงที่ตัวเองจะอยู่รอดได้ เราถือว่าเรียนหนังสือไม่ต้องเป็นที่ 1 แน่นอนมีคนที่ได้ที่หนึ่งกับได้ที่โหล่ แต่บางทีอย่างที่เราเห็น คนที่สอบได้ที่ 1 ที่เรียนเก่งๆ เขาไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตก็มี เราก็เห็นมาแล้ว
ส่วนคนที่ได้ที่โหล่ได้เป็นเถ้าแก่ เราก็เลยคิดว่า ไม่จำเป็นต้องเป็นที่หนึ่ง เรื่องเรียนเป็นส่วนประกอบของชีวิตก็จริง แต่ที่สำคัญมากกว่านั้นคือการเรียนรู้ให้ทันโลก รู้จักเอาตัวรอดได้แค่นี้พอ”
โดยทีม MGR Live
เรื่อง : สวิชญา ชมพูพัชร
ภาพ : ปัญญพัฒน์ เข็มราช
ขอบคุณภาพเพิ่มเติมจากเฟซบุ๊ก JeabSae Chairidchai Miraculous Ninety-Nine
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **