xs
xsm
sm
md
lg

โขลกแจ่วบองสู้โชคชะตา!! ลูกคนโตเสีย-สามีฟั่นเฟือน-ลูกคนเล็กพิการ [มีคลิป]

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ชีวิตจริงยิ่งกว่านิยาย! เปิดเรื่องราว “เปิ้ล สุกัญญา” อุบัติเหตุพรากลูกคนโต - สามีถูกทำร้ายจนสติฟั่นเฟือน - ลูกคนเล็กป่วยพิการต้องดูแลตลอด 24 ชั่วโมง อาศัยขายแจ่วบองเลี้ยงชีวิต มรสุมซัดหนัก จนครั้งหนึ่งเธอเคยคิดฆ่าตัวตาย แต่ลูกสาวช่วยดึงสติไว้ “ถ้าเขาไม่มีเรา เขาก็อยู่ไม่ได้”

เคราะห์ซ้ำ ลูกสาวตาย -สามีฟั่นเฟือน

“น้องขี่มอเตอร์ไซค์ไปกับเพื่อนๆ แล้วก็มีน้องชายแท้ๆ ไปด้วย ก็ไปกันเป็นกลุ่ม แล้ววันที่น้องเสียเหมือนสวนทางกัน แม่กำลังมากรุงเทพฯ พอดี เราสังหรณ์ใจกลัวลูกจะไป ถ้ายังไงเดี๋ยวไปเที่ยวกับครอบครัวเองดีกว่ามั้ย พอเลี้ยวรถเข้าปากซอยประตูวัดปุ๊บ คนที่นี่โทรมาบอกว่า “พี่เปิ้ลๆ ทำใจดีๆ ไว้นะ มีนตายแล้ว””

ชีวิตของคนคนหนึ่งอาจเกิดวิกฤติได้หลายครั้ง แต่สำหรับ “เปิ้ล - สุกัญญา คล้ายสอน” คุณแม่วัย 43 ปีผู้นี้ ช่างโชคร้ายยิ่งนัก เธอต้องเจอกับเรื่องราวความเจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะไม่เพียงสูญเสียลูกสาวที่หวังว่าจะเป็นกำลังหลักของครอบครัวเท่านั้น สามีที่ขับรถแท็กซี่ ยังถูกจี้และทำร้ายจนกลายเป็นคนสติฟั่นเฟือน ซ้ำร้ายลูกคนเล็กยังพิการและป่วย จนเธอต้องรับภาระดูแลลูกตลอด 24 ชั่วโมง



เธอย้อนเล่าวินาทีแห่งความสูญเสียลูกสาวคนโตเมื่อปี 58 ให้แก่ผู้สัมภาษณ์ฟังด้วยเสียงสั่นเครือว่า “น้องอายุ 18 ปี เพิ่งเรียนจบ เรียนเก่งมาก เป็นที่รักของเพื่อนๆ และครู มาขออนุญาตว่าจะไปเที่ยวกับเพื่อน จะขี่มอเตอร์ไซค์ไปกันเอง ซึ่งแม่ไม่อนุญาตเพราะกลัว มันอันตราย ไม่อยากให้ไป

เหมือนเรามีลางสังหรณ์ รู้สึกยังไงไม่รู้กับมอเตอร์ไซค์คันนี้ที่เขาจะใช้ไป เขาเลยไปขออนุญาตยายแทน ยายก็อนุญาต เขาบอกว่าจะไปบางแสน หนูอยากไปบางแสน เขาบ่นมาเป็นเดือนๆ ตั้งแต่ก่อนที่จะเรียนจบอีกค่ะ น้องอยู่บ้านที่กรุงเทพฯ ส่วนแม่ทำงานอยู่ชลบุรี”
วันเกิดเหตุ ผู้เป็นแม่กลับจาก จ.ชลบุรี เป็นวันเดียวกับที่ลูกสาวและเพื่อนๆ เดินทางออกจากกรุงเทพฯ เพื่อไปเที่ยวฉลองหลังเรียนจบ และเป็นวันสุดท้ายที่เปิ้ลได้เจอกับลูกสาว เพราะอุบัติเหตุระหว่างการเดินทางได้พรากเธอไปตลอดกาล...

“เขาเหมือนเป็นความหวังของครอบครัว การเรียนดีมากค่ะ จบด้วยเกรดเฉลี่ย 3.9 แล้วเป็นเด็กกิจกรรมค่ะ อุบัติเหตุคือตกรถมอเตอร์ไซค์ค่ะ น้องขับมาตรงๆ แล้วรถฟอร์จูนเนอร์เขาจะเบี่ยงออกขวาเพื่อจะไปบางแสน เขาก็ปาดเลย พอปาดปุ๊บมันเฉี่ยว แล้วรถน้องก็สะบัด แต่มอเตอร์ไซค์ไม่ล้มนะคะ แฟนเขาก็อยู่บนรถ แต่น้องตกลงแล้วรถพ่วงตามหลังมาพอดีทับร่างน้อง

ส่วนคนก่อเหตุมันจับใครไม่ได้ ทั้งรถที่เฉี่ยว ทั้งรถพ่วงที่ทับ ตอนนั้นโกรธนะคะ แต่ตอนนี้ไม่แล้วเพราะเขาก็คงไม่เจตนาด้วย ลูกเราตกลงไปแล้วกลิ้ง เขาก็คงเบรกไม่ทัน แต่ถ้าจะโกรธ โกรธรถที่มาเฉี่ยวมากกว่า


“น้องมีน” ลูกสาวคนโตจากไปเพราะอุบัติเหตุ

ความรู้สึกตอนนั้น ช็อกค่ะ ตกใจมากทำอะไรไม่ถูก มันเหมือนไม่จริง ไปถึงที่เกิดเหตุก็เห็นรอยเลือด เห็นรถที่ลูกขี่ เจอแต่ตำรวจ แต่น้องไปอยู่โรงพยาบาลแล้ว พอไปถึงโรงพยาบาลก็ร้องไห้อย่างเดียว มันพูดอะไรไม่ออก จนทุกคนออกไปจากห้อง แม่ก็นั่งอยู่กับเขาแล้วพูดกับเขา เพราะก่อนหน้านี้ เราเคยเตือนเขาแล้ว ก็พูดแต่ว่า “แม่บอกหนูแล้ว บอกแล้วใช่มั้ย ทำไมไม่ฟัง ถ้าฟังก็ไม่เป็นแบบนี้(ร้องไห้)"

นอกจากจะสูญเสียลูกสาวคนโตจากอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดแล้ว แต่ดูเหมือนวิกฤติชีวิตของ เปิ้ล จะยังไม่หมดลงแค่นั้น เมื่อสามีที่มีอาชีพขับแท็กซี่ มาถูกจี้และทำร้ายจนกลายเป็นโรคจิตเวชตามมา เมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว

“แม่ก็ไม่เห็นนะคะว่าเหตุการณ์มันเป็นยังไง มารู้อีกทีตอนที่เจ้าของอู่เขาโทร.มาบอกให้เด็กอีกคนที่อู่ไปเอารถ เพราะแฟนเราถูกตี นอนอยู่ที่โรงพยาบาล โดนจี้ ไม่มีอะไรเหลือเลย ข้าวของ โทรศัพท์ เงิน หายหมด เขาไปขับรถตอนกลางคืน คนทำน่าจะเป็นผู้โดยสาร

เราไปเยี่ยม เขาก็พูดแค่ “เจ็บ” ไม่มีเลือดนะคะ มีแค่รอยเย็บซึ่งก็ไม่เยอะ โดนทุบที่หัว หมอบอกว่ามีแผลแตกต้องเย็บ ต้องมาตรวจอีกทีนึง จับคนทำไม่ได้ พอรักษาตัวแล้วก็มาพักก็ได้กลับไปขับรถอีกนะคะ แต่หลังจากนั้นก็สามารถขับรถได้แล้ว กลัวจะพาผู้โดยสารเป็นอันตรายไปด้วย เพราะเขาพูดจับต้นชนปลายไม่ถูก เวลาถามอะไรพูดไม่รู้เรื่อง เหม่อลอย จะพาไปหาหมอเขาไม่ยอมไป ต้องพาหมอมา พอดีมีคนแนะนำว่า ให้หมอจิตเวชมาที่บ้านได้”

หมอให้ทำใจ แต่แม่จะดูแลให้ดีที่สุด

ปัจจุบัน สามีของเปิ้ล รักษาตัวอยู่ต่างจังหวัด โดยมีแม่สามีและลูกชายที่อยู่ในวัยเรียนอีก 1 คนคอยเฝ้า เหตุที่ต้องแยกกันดูแล เพราะเปิ้ลเองก็ต้องดูแล “น้องวัน” ลูกสาวคนเล็กวัย 8 ขวบ ที่ป่วยและพิการเช่นกัน เธอเล่าว่า แรกเกิด น้องวันแข็งแรงเหมือนกับเด็กทั่วไป แต่เมื่อลูกน้อยอายุได้ 8 เดือนความผิดปกติก็เริ่มปรากฏออกมา

“ลูกไม่จ้องหน้าเรา มันแปลกเพราะเด็กต้องจ้องหน้า ก็พาไปหาหมอตา หมอตาส่องตาปุ๊บแล้วบอกว่า “มองไม่เห็นหรอก” เราก็ตกใจทำไมลูกมองไม่เห็น จนเราไปถามขอให้เขาบอก เขาบอกว่า ขั้วจอประสาทตา เส้นประสาทฝ่อ แล้วก็แนะนำเราให้ไปทำ MRI ไปหาหมอสมอง

หมอไม่ได้บอกค่ะว่าเส้นประสาทตาฝ่อเกิดจากอะไร ตอนนั้นแม่ก็ไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร หมอก็บอกว่า จริงๆ แล้วตาของน้องสมบูรณ์นะ ตาก็เหมือนกับกล้องจับภาพ แต่การมองเห็นอยู่ที่สมอง มันจะมีเส้นประสาทตาที่เชื่อมระหว่างขั้วจอประสาทตาไปถึงสมอง สมองก็จะแปลภาพ แต่ว่าเส้นประสาทตรงนี้มันฝ่อไป แทนที่จะมีการพัฒนาไปเรื่อยๆ มันก็เลยทำให้น้องมองไม่เห็น เขาจะไม่มองเห็นเป็นภาพ ถ้าจะเห็นก็เห็นเป็นแสงวูบวาบ”



นอกจากดวงตาทั้ง 2 ข้างของน้องวันจะมองไม่เห็นแล้ว เธอยังมีโรคประจำตัวอื่น ทั้งสมองส่วนหน้าฝ่อ ไทรอยด์ บางครั้งก็มีอาการชักเกร็งและช็อกร่วมด้วย

“เขาทำใบส่งตัวมาให้ไปตรวจที่โรงพยาบาลเด็ก พอไปปุ๊บ คุณหมอสนใจ เลยทำใบขอให้ไปอยู่ที่โรงพยาบาลเขา น้องก็รักษาตัวตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เพราะว่าน้องเป็นโรคที่เด็กไม่ค่อยเป็นกัน สมองส่วนหน้าฝ่อ ไม่สามารถผลิตฮอร์โมนไทรอยด์ ถ้าตัวร้อนปุ๊บ ไทรอยด์ขึ้น ผมร่วงเป็นกระจุกเลยค่ะ เพราะเขาไม่มีไทรอยด์ที่เป็นตัวปรับอุณหภูมิ

ส่วนอาการอื่นๆ พอเส้นประสาทมันฝ่อ ลำไส้เล็กที่ดูดซึมสารอาหารมันก็ฝ่อด้วย ไม่สามารถที่จะดูดวิตามินเข้าไปเลี้ยงร่างกาย ทำให้น้องขาดสารอาหาร ซึ่งจะต้องให้สารอาหารทางหลอดเลือดดำ ส่วนการขับถ่ายของเสีย น้องไม่สามารถถ่ายเองได้ เราต้องสวน 2 วันต่อ 1 ครั้ง ต้องดูอาการของน้องตลอด มันก็จะมีอาการของโรคลมชักด้วย”

เมื่อถามถึงการดูแล ด้วยอาการของลูกสาวที่เป็นอยู่ แม่เปิ้ล ต้องคอยเฝ้าอย่างใกล้ชิดไม่ให้คลาดสายตา ไม่เช่นนั้นอาจเกิดภาวะวิกฤติ จนนำไปสู่การเสียชีวิตได้



“แม่ทำเป็นทุกอย่างเลยค่ะ ต้องใส่สายเอง มันต้องเปลี่ยนสายทุกอาทิตย์ อันดับแรก เช้าตื่นมาปุ๊บ 7.00น. ต้องให้ยาไทรอยด์ฮอร์โมน หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมงต้องป้อนอาหารทางสายยาง เสร็จก็จะมียากันชัก แล้วก็พ่นจมูกเพื่อที่จะไม่ให้ฉี่ ยาตัวนี่ต้องสั่งมาจากนอก ค่อนข้างแพง น้องได้สิทธิคนพิการค่ะ จะไม่เสียเรื่องค่าใช้จ่ายในส่วนของยา

แต่ว่าจะมีพวกอุปกรณ์สิ้นเปลืองหรือยานอกบัญชี เราต้องรับผิดชอบเอง ค่าใช้จ่ายแต่ละครั้งก็สูง เฉพาะโปรตีนไข่ขาว 900 บาทนะคะ ส่วนของที่จำเป็นต้องใช้ของน้อง มีพวกอาหารทางสายยาง ทิชชูเปียก แพมเพิร์ส พวกยาสวนทวาร สายยาง พวกอุปกรณ์สิ้นเปลืองต่างๆ เพราะใช้แล้วต้องทิ้งเลย ลูกต้องไปพบหมออย่างน้อยเดือนละครั้ง เพราะเขาต้องไปเอายาโรคประจำตัว ซึ่งต้องใช้ตลอดชีวิต ไม่มีไม่ได้

เรื่องการขับถ่าย เขาไม่มีฮอร์โมนกักเก็บน้ำ เขาเคยฉี่เอาน้ำในร่างกายออกจนหมด เหลือแต่เลือดข้นๆ เกลือแร่ในกระแสเลือดผิดปกติก็ช็อกได้ เขาก็จะกระอักออกมาเป็นเลือดเลยค่ะ ต้องให้สารน้ำกับน้องทุกๆ 30 นาที แม่ถึงไปไหนไกลไม่ได้ ตอนแรกไม่รู้ว่าลูกเป็น จนเขาฉี่เอาน้ำในตัวออกหมด แล้วน้องช็อกค่ะ พอไปถึงโรงพยาบาลหมอก็ช่วยกัน ปั๊มหัวใจไป 3 ครั้ง ครั้งที่ 3 ซี่โครงยุบ ปอดด้านซ้ายฉีก จนหมอไม่ไหวแล้วให้แม่ทำใจ ตอนนั้นแม่กราบหมอเลย ไม่ได้คิดว่าจะปล่อยลูก เรารักมาก”

ส่วนโอกาสที่สาวน้อยคนนี้จะหายนั้น แม่เปิ้ลกล่าวว่า คุณหมอบอกให้ทำใจ เพราะอาการของลูกสาวจะแย่ลงเรื่อยๆ แต่สำหรับแม่เปิ้ลแล้ว ถึงอย่างไรก็จะขอดูแลแก้วตาดวงใจคนนี้ให้ดีที่สุด



“เด็กที่เป็นแบบนี้ ถ้าเขาไม่เจ็บเขาจะไม่ร้อง เขาไม่สามารถทำอะไรเองได้ เราต้องคำนวณเอง วิธีสื่อสารกับเขา เขาจะจำเสียงเราได้ จำเสียงยายได้ ได้ยินเสียงยายปุ๊บเขาจะดีใจ ถ้าเป็นเสียงคนแปลกๆ เขาจะเหมือนกับใช้ความคิด ถ้าอารมณ์ดีเวลาได้ยินเสียงเพลงก็จะนอนเต้น ตามองไม่เห็นแต่เต้นเป็นนะ ก็หัวเราะกัน

หมอเขาบอกว่าให้ทำใจเพราะน้องจะถอยลงเรื่อยๆ แม่ก็จะดูแลเขาให้ดีที่สุด รักษาตามอาการ เราพยายามทำให้ลูกเราสวย น่ารัก ทำให้เขาเหมือนเด็กปกติ ตอนที่เขาป่วยแม่ยังจับถักเปีย พยาบาลเขายังบอกไม่เหมือนเด็กป่วย ไม่อยากให้เขาโทรม แต่ว่ายังไงเขาต้องผอมลงเพราะลำไส้เล็กไม่สามารถดูดซึมสารอาหาร

แม่เลยทำสมุดบันทึกไว้เล่มนึง จะเขียนรายละเอียดทุกอย่างเกี่ยวกับตัวน้อง ว่าน้องเป็นโรคอะไร เผื่อน้องเป็นอะไรแล้วไปโรงพยาบาล ก็ให้เอาสมุดเล่มนี้ไปให้หมอดูด้วย ถ้าพูดตามความจริง เขาจะอายุสั้น แต่แม่ก็จะดูแลเขาให้ดีที่สุด”

ยอมรับ ท้อจนเคยคิดสั้น!!

“มันจะมีอยู่ครั้งนึงนะคะที่ตอนลูกคนโตเสีย เหมือนเขาเป็นทุกอย่าง เป็นความหวัง เป็นอะไรที่เราจะฝากเขาไว้ วันหนึ่งเราเป็นอะไร เขาจะเป็นคนเดียวที่สามารถดูแลน้องได้ สามารถแบ่งเบาภาระในครอบครัวได้ พอไม่มีเขามันไม่เหลืออะไรแล้ว”

คุณแม่ผู้ต่อสู้กับโชคะตาคนนี้ ยอมรับกับผู้สัมภาษณ์ว่า ช่วงหนึ่งของชีวิต เคยท้อแท้จนคิดอยากกระโดดตึกจากชั้น 9 ณ โรงพยาบาลที่ลูกสาวคนเล็กรักษาตัวอยู่ โดยหวังให้ปัญหาทุกอย่างจบลงไปพร้อมกับเธอ…



“ตอนนั้นอยู่โรงพยาบาลด้วย น้องก็ป่วยด้วย แม่ก็ออกไปยืนตรงระเบียงตึกโรงพยาบาลชั้น 9 ก็คิดนะคะว่าไม่ได้กลัวเจ็บกลัวตาย คือทำยังไงก็ได้ให้มันทีเดียว จำได้เลย พยาบาลเรียกแม่กลับไปที่เตียงของน้อง เพราะน้องออกซิเจนหลุด เราก็รีบเข้าไป น้องก็หายใจพะงาบๆ ตอนนั้นยังไม่ได้คิดอะไร คิดแต่ว่าตกใจ

พอตกกลางคืนเราก็นั่งเฝ้าลูก ทีนี้มานั่งคิดว่า ลมหายใจของเรามันก็คือลมหายใจของลูก ถ้าเขาไม่มีเรา เขาก็อยู่ไม่ได้ ถ้าเราเป็นอะไรไปเขาก็อยู่ไม่ได้ มันเป็นลมหายใจเดียวกัน ถ้าเราคิดสั้นหรือทำอะไรไป แค่เราไม่อยู่กับเขาแป๊บเดียว ออกซิเจนยังหลุด แล้วถ้าวันนั้นเราทำอะไรลงไป แล้วไม่มีใครมาเห็น ลูกเราก็คงตายเหมือนกัน”

เมื่อคิดได้ดังนั้น หลังจากนั้นเป็นต้นมา แม่เปิ้ล ก็ตั้งหน้าตั้งตาทำงานทุกอย่าง เพื่อหาเงินดูแลและรักษาลูกสาวที่ป่วยและพิการ ซึ่งงานที่สามารถทำได้ ต้องทำที่บ้านเท่านั้น เพราะต้องดูแล “น้องวัน” เกือบตลอดเวลา


ปลาร้าบองแม่น้องวัน ทำสุกและไม่ใส่สารกันเสีย

“บ้านที่อยู่เป็นที่วัดมหาบุศย์ค่ะ เพราะพ่อกับแม่ทำงานที่วัด เป็นคนงานของวัด อยู่มาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายาย เจ้าอาวาสท่านก็เมตตา ให้ที่อยู่ บ้านหลังนี้อยู่กันทั้งครอบครัว มีพ่อ มีแม่ แล้วก็มีเรา มีน้องสะใภ้กับลูกเขา

รายได้มาจากการขายของออนไลน์คือ ปลาร้าบองสมุนไพรแม่น้องวัน ทำเองทุกชั้นตอนค่ะ เราทำแบบสุก พวกสมุนไพรจะมีข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด กระชาย เอามาทำให้สุกก่อนแล้วค่อยเอาไปโขลก ทำนานเหมือนกัน ต้องผัดให้แห้ง ไม่ได้ใส่สารกันเสีย ถามว่าได้เยอะมั้ย แต่ละรอบมันก็ไม่เยอะนะคะ ถ้าหักกำไรแล้ว ส่วนคนไปส่งต้องดูจำนวนของ ถ้าไม่เรียกไลน์แมนน ก็จะวานน้องข้างบ้านไปส่ง ขายอยู่กระปุกละ 35 บาท 3 กระปุก 100 บาท ผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัว ชื่อ “วรรณภร น้องวัน”

จริงๆ มีขายหลายอย่าง ทั้งมะขามคลุก กล้วยตาก ถ้าฝนตกก็จะตากกล้วยไม่ได้ อย่างปีที่แล้วที่ได้เยอะคือทำกระทงประทีปประจำวันเกิด ทำงานใบลาน อุปกรณ์ทุกอย่างเป็นธรรมชาติทั้งหมด ต้องทำอะไรที่ทำที่บ้านแล้วสามารถดูแลลูกได้

แม่ไม่ได้ขายของอย่างเดียว มันแล้วแต่โอกาส แม่ก็จะพยายามหาให้พอ รับจ้างซักผ้า รีดผ้า ใครให้ทำอะไรทำหมด บางทีตี 1 ตี 2 นั่งสัปหงกพับซองผ้าป่า ร้อยซองก็จะได้ 50 บาท แม่ต้องทำทุกอย่างที่ได้เงิน”


สามารถส่งความช่วยเหลือให้แม่เปิ้ล ได้ตามเลขบัญชีนี้

สุดท้าย เมื่อให้แม่เปิ้ล วาดภาพอนาคตข้างหน้า ทั้งของตนเอง ของลูก และครอบครัว ว่าจะออกมาในทิศทางใด เธอกล่าวว่า ไม่อยากคิดไปในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง เอาแค่ปัจจุบันให้มันดีที่สุดแค่นั้นพอ

“แม่จะไม่มองอะไรไกลๆ เอาแค่ปัจจุบันให้มันดีที่สุด เอาให้วันนี้มันรอด รู้ว่าอีกอาทิตย์นึงจะต้องมีนัด เราจะต้องใช้เงินเท่านี้ ทำยังไงเราถึงจะหาเงินจำนวนนั้นมาได้ แต่แม่ยังโชคดีนิดนึงที่ว่า มันมีคนช่วยสนับสนุน เราขายของเขาก็เหมือนสงสารน้องด้วย ก็ช่วยอุดหนุน ทำให้แม่มีกำลังใจค่ะ”

นี่คงเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของคุณแม่สู้ชีวิต ที่ไม่เพียงต้องเจ็บปวดจาการสูญเสียลูกสาวคนโตผู้เป็นความหวังของครอบครัวไปก่อนวัยอันควร ขณะที่สามีก็มาถูกทำร้ายจนกลายเป็นโรคจิตเวช เธอจึงต้องเป็นกำลังหลักในการหารายได้ ไปพร้อมๆ กับดูแลลูกสาวคนเล็กที่ป่วยและพิการ แม้จะมีความหวังอันน้อยนิดที่อาการของลูกน้อยจะดีขึ้น แต่ด้วยกำลังใจที่มีอยู่ แม่เปิ้ล จึงขอดูแลลูกสาวคนนี้ให้ดีที่สุดต่อไป



สัมภาษณ์ : รายการ “ฅนจริง ใจไม่ท้อ”
เรียบเรียง : MGR Live
เรื่อง : กีรติ เอี่ยมโสภณ
ขอบคุณภาพ : เฟซบุ๊ก “วรรณภร น้องวัน”




** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **



กำลังโหลดความคิดเห็น