"คำที่หมอบอกเป็นเหมือนโฆษณาชวนเชื่อ" เปิดใจ ผู้มีเชื้อ HIV อยู่ในตัว กับความคิดบวกที่พาตัวเองผ่านเรื่องเลวร้ายในชีวิตสารพัดอย่าง พร้อมเล่าจุดเปลี่ยนของชีวิตที่สำคัญ เพื่อสื่อสารให้คนในสังคมเข้าใจคนเลือดบวกมากขึ้น
จุดพลิกผันชีวิต "ตรวจเลือดแลกตั๋วหนัง"
"เคยถึงขั้นคิดว่าจะสร้างกระท่อมหลังหนึ่งไว้ท้ายหมู่บ้าน ไว้เป็นที่ให้ตัวเองตาย หรือไม่ก็จะพาตัวเองไปอยู่ที่วัดพระบาทน้ำพุแล้วก็ตาย สุดท้ายเราก็ต้องตายจากโรคเอดส์อยู่ดี ทั้งๆ ที่รู้ว่าคำที่หมอบอกเป็นเหมือนโฆษณาชวนเชื่อ แต่ก็ยังพาตัวเองเข้าสู่ระบบการรักษาก็ยังมีวินัย กินยาตลอด จนตอนนี้ร่างกายปกติแข็งแรงดี"
พีท-ฐิฏิวัสส์ ศิรเศรษฐกร เจ้าของเพจ "พีทคนเลือดบวก" เปิดใจกับทีมข่าว MGR Live ผ่านประสบการณ์จริงถ่ายทอดชีวิตคนเลือดบวก เพื่อสื่อสารให้สังคมเข้าใจมากขึ้น พร้อมเล่าย้อนกลับไปถึงจุดเปลี่ยนของชีวิตไปตลอดกาล
ใครจะรู้ว่าการตัดสินใจไปตรวจเลือดครั้งแรกเปลี่ยนชีวิตไปตลอดกาล เล่าย้อนกลับไปเมื่อการตรวจเลือดครั้งนี้เกิดขึ้นมาจากความไม่ตั้งใจ เมื่อแฟนชวนไปตรวจเลือดเพราะอยากได้ตั๋วหนังฟรี 2 ใบ สุดท้ายพบว่าตัวเองติดเชื้อเอชไอวี
"ตอนนั้นเขาตั้งแคมเปญชวนคู่รักเกย์มาตรวจเลือด เพื่อจะไปเปลี่ยนเป็นตั๋วหนัง 2 ใบ ความรู้สึกแรก คือ คิดว่าติดจากแฟนแน่นอน เพราะเขาชวนเราไปตรวจ แล้วคบกันมา 1 เดือนเวลามีเพศสัมพันธ์ก็ไม่เคยป้องกันเลย คิดเพียงว่าถ้าเราติดเอชไอวีแล้วได้แฟนมาคนหนึ่งถือว่าคุ้ม คิดอย่างนี้เลย
แต่ตอนนั้นไม่ได้รู้สึกเสียใจอะไร เพราะคิดว่าถ้าเราติดจากแฟน แต่ตอนนั้นแฟนไม่ได้ไปตรวจด้วย เพราะเขาบอกว่าเพิ่งตรวจเดือนที่แล้วเลือดเขาก็เป็นลบ เราก็ไม่เชื่อถามว่ามีผลยืนยันไหม ปรากฏว่าไปดูผลเลือดของแฟนเป็นลบจริงๆ ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนกับโลกพัง ทุกอย่างประเดประดังเข้ามา"
แม้จะรู้สึกอายมากว่าตัวเองมีเลือดเป็นบวก จนมีเหตุการณ์หนึ่งที่เข้ามาเปลี่ยนคนที่เป็นเลือดบวกให้หันกลับมาคิดบวก มีวินัยเข้ารับการรักษาถึงแม้โรคนี้จะยังไม่สามารถหายขาดได้ แต่ก็ยังสามารถอยู่ร่วมกันกับสังคมได้อย่างคนปกติ เพียงแค่คิดบวก
"มีเหตุการณ์หนึ่งเปลี่ยนชีวิตพีท ตอนนั้นพีทไปรับยาที่โรงพยาบาลแล้วมีพี่คนหนึ่งมาต่อคิวรับยาหลังพีท เขาก็ถามว่าน้องมารับยาต้านเหรอคะ ตอนนั้นพีทอายมาก ไม่ชอบเลย อยากจะหันหน้าไปแล้วด่ามากเลย แต่ทำไม่ได้ ได้แต่หันหน้าไปตอบว่าครับ
พี่เขาคงดูอาการออกว่าเป็นอะไร เขาก็เลยถามอีกรอบว่า น้องมารับยาต้านเหมือนกันเหรอคะ เราก็หันหน้าไปมองเขาแล้วบอกว่า พี่เดี๋ยวผมรับยาแป๊บนึงแล้วขอปรึกษาหน่อย หลังรับยาเสร็จเราก็ไปคุยกับเขา
ผมก็ถามว่าพี่เป็นคนเลือดบวกเหรอครับ พี่อยู่กับเอชไอวีมากี่ปี เขาบอกว่าอยู่มา 22 ปีแล้ว เราก็ตกใจว่าอยู่มาถึง 22 ปีจริงดิ เราแทบไม่เชื่อเลยนะว่าคำพูดที่หมอบอกว่าอยู่ได้ถึง 10-20 ปี คือเรื่องจริง
เราก็คิดได้ว่าถ้าจะอยู่กับเอชไอวี กินยาให้ตรงเวลา เรื่องเดียวอยู่ได้ถึง 20 ปี แล้วอยู่ได้ด้วยสุขภาพแข็งแรงผิวพรรณดีก็โอเคเลย หลังจากนั้น พีทก็ตั้งใจกินยา มีวินัยในการกินยา อยู่ในระะบบรักษา 1 ปี พีทก็สามารถเพิ่มระดับภูมิคุ้มกันของร่างกายที่เรียกว่า CD4 ให้เท่ากับคนปกติทั่วไป แล้วก็กดปริมาณไวรัสในเลือดของตัวเองลงได้อยู่ในระบบได้
อันนั้นถือว่าเป็นผลที่ดีที่สุดของคนเลือดบวกแล้ว มันก็จะมีค่าของภูมิคุ้มกันของร่างกาย หรือ CD4 ถ้าให้ดีต้องมากกว่า 600 แล้ว ถ้าใครมีค่าไวรัสในเลือดน้อยกว่า 40 ตัวต่อเลือด 1 CC คนนี้จะอยู่ในระยะที่ไม่ส่งต่อเอชไอวีให้ใครอีกต่อไปแล้ว
ตอนนี้ร่างกายของพีทปกติแข็งแรงดีเหมือนคนเลือดลบมาตั้งแต่ปีแรกแลย สุขภาพไม่มีไรผิดแปลกไปจากคนทั่วไปเลยครับ แข็งแรง ไม่มีอาการอะไรที่จะต้องระมัดระวัง แค่ต้องกินยาทุกวันวันละ 1 ครั้งแค่นั้นเอง โรคนี้ยังไม่มีการหายขาด แต่ใช้ชีวิตได้ปกติเหมือนคนทั่วไป และไม่สามารถส่งตัวเอชไอวีให้แก่คนอื่นได้ สำหรับพีทมองว่ามันดีพอที่จะทำให้เราใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้แล้ว"
มองว่าคนเลือดบวกจะใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างเปิดเผย และให้สังคมเข้าใจต้องมีความเข้าใจ ต้องพาตัวเองเข้าสู่การรักษาตามระบบ อาจจะรู้สึกอึดอัดบ้างที่ต้องกินยาทุกวัน ต้องกินให้ตรงเวลา ขอให้มีวินัย และเชื่อว่าคนเลือดบวกไม่ได้เป็นเอดส์ทุกคน
"ทุกวันนี้เวลาเราเดินไปไหนมาไหน ทุกวันนี้คนเลือดบวกจะถูกสังคมเรียกว่าเป็นเอดส์ แต่จริงๆ แล้วเราไม่ได้เป็นเอดส์ เราต้องแยกให้ออกว่าใครเป็นเอดส์หรือไม่เป็นเอดส์ ใครที่มีค่า CD4 หรือค่าภูมิคุ้มกันน้อยกว่า 200 และโรคฉวยโอกาสและโรคแทรกซ้อนต่างๆ นั้นเรียกว่าผู้ป่วยเอดส์ แต่พีทมีค่า CD4 600 พีทไม่ได้อยู่ในภาวะเอดส์
พีทเรียกว่าผู้อยู่ร่วมกับเอชไอวี ไม่ใช่เรียกว่าผู้ติดเชื้อเลยนะ ไม่ได้เรียกว่าผู้ป่วยเอดส์ด้วย ไม่ใช่ผู้ป่วยเอชไอวีด้วย เรียกว่าผู้อยู่ร่วมกับเอชไอวี คำนี้คือคำที่ถูกต้องที่สุด ชื่อเล่นของมันคือ คนเลือดบวก ฉะนั้นถ้ามีคนถามว่าพีทเป็นเอดส์เหรอ พีทจะบอกว่าพีทไม่ได้เป็นเอดส์ พีทเป็นแค่คนเลือดบวก"
ไม่ได้มองว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตคือความผิดพลาด แต่ค้นพบว่าคุณค่าการใช้ชีวิตเกิดมาจากการที่ตัวเองทำประโยชน์ต่อผู้อื่นมากกว่า
“ถ้าจะบอกว่าการอยู่กับเอชไอวีเป็นความผิดพลาดไหม ก็ขึ้นอยู่กับคนมอง ถ้าคนไม่ได้ภูมิใจ ไม่ได้มองหาประโยชน์ว่าเราเป็นคนเลือดบวกเราทำอะไรได้บ้าง มีคุณค่าต่อตนเองและต่อผู้อื่นอย่างไรได้บ้าง ถ้าเขาหาไม่เจอก็อาจจะมองเป็นความโชคร้าย
แต่ถ้าพีทหาเจอ พีทรู้ว่าทุกวันนี้การใช้ชีวิตของพีท การเล่าเรื่องราว ปรากฏการณ์ หรือแชร์มุมมองในแบบของพีท และพิสูจน์ให้คนอื่นได้เห็นว่าคนเลือดบวกก็อยู่ในสังคมได้ อยู่อย่างเปิดเผยได้ มีความสุขในชีวิต เป็นที่ยอมรับได้ สามารถลุกขึ้นมาให้ความรู้และเปลี่ยนแปลงสังคมได้
ถ้าอันนี้เรียกว่าความผิดพลาดพีทจะกล้าพูด แต่ก็ไม่ได้เชื้อเชิญว่าไม่ต้องป้องกันแล้ว อันนี้เป็นเรื่องสภาพของจิตใจที่เราจะมองหาจุดยืนในการยืนอยู่บนโลกของตัวเองได้อย่างมีความสุข"
เคยเล่นยา-คิดฆ่าตัวตาย รอดมาได้เพราะความรักจากพ่อแม่
"หลังจากที่พีทเปิดเผยตัวเอง เป็นจุดที่มีความสมบรูณ์ในตัวแล้ว พีทไม่ได้มีความสำเร็จในชีวิตมากกมาย แต่พีทมีความสุขกับชีวิตมากๆ พีทไม่คิดฆ่าตัวตายแล้ว พีทลืมไปแล้วว่าคิดครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ พีทรู้สึกว่าไม่มีใครสามารถมาทำลายจิตใจพีทได้ เพราะอาจจะผ่านสูญเสียความความเป็นตัวตน สูญเสียคุณค่า สูญเสียทุกอย่างในชีวิตหมดแล้ว"
พีทเล่าว่า เมื่อก่อนยอมรับว่าหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ว่าการหายใจของตัวเองในแต่ละวันมีประโยชน์อะไรบ้าง รู้สึกมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง รู้สึกว่าตัวเองเป็นเพียงก้อนขี้หมาก้อนหนึ่ง ที่ไม่มีประโยชน์บนโลกใบนี้เท่านั้น
"ช่วงนั้นเป็นช่วงที่แย่ที่สุดในชีวิตก่อนที่จะมายอมเปิดเผยตัวเอง ตอนนั้นรู้สึกไม่เหลือคุณค่าในตัวเองเลย ช่วงก่อนที่จะใช้ยาเสพติด เล่นมั่วเซ็กซ์ช่วงนั้นพีททำธุรกิจมีบริษัทเป็นของตัวเอง มีที่ไทยกับมาเลเซีย อย่าว่าแต่เล่นยาเลยครับ กินเหล้า สูบบุหรี่พีทยังไม่กินเลย ทุกวันนี้พีทก็ไม่ได้ดูดบุหรี่ไม่กินเหล้านะครับ"
แม้ว่าความตายจะเป็นสิ่งที่น่ากลัวสำหรับใครหลายๆ คน แต่เชื่อไหมว่าชายคนนี้กลับรู้สึกว่าตัวเองในตอนนั้น เจ็บปวด ทรมานยิ่งกว่าการตาย จึงมีความคิดที่หลงผิดไปว่าไหนๆ จะตายแล้วจึงตัดสินใจหลงผิดเป็นยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด
"คิดอยากฆ่าตัวตายนับครั้งไม่ถ้วน ทุกครั้งที่คิดจะฆ่าตัวตายมีคำถามเดียวที่คิดได้คือ จะตายแล้วมีอะไรที่อยากจะทำแล้วยังไม่ทำอีกไหม ทุกๆ ครั้งที่คิดจะฆ่าตัวตายทุกๆ ครั้งก็จะถามคำถามนี้ขึ้นมา ก็มีความต้องการที่อยากจะทำอะไรบางอย่างเกิดขึ้นเสมอ จึงทำให้เราชะลอการฆ่าตัวตายของตัวเองออกไปเสมอ ไม่ต้องรีบก็ได้เดี๋ยวเราได้ตายอยู่แล้ว แต่ขอทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำก่อน
ขนาดความตายยังไม่กลัวจึงไม่มีอะไรอีกแล้วที่ทำให้พีทต้องกลัว จึงตัดสินไปเล่นยา ไหนๆ จะตายแล้ว อยากลองก็ลองเลย ก็ปล่อยชีวิตล่องลอยไปจนเริ่มเห็นตัวเองมากขึ้น มีเหตุการณ์ที่เราได้รับความรักจากครอบครัวว่า ตอนที่เราเล่นยามั่วเซ็กซ์อยู่ไปเจอเหตุการณ์เกือบถูกฆ่าในวงการยาเสพติด
ในวันที่ต้องเผชิญหน้ากับความตายอีกรอบ สิ่งที่ทำให้ชายเลือดบวกคนนี้นึกถึงคนแรก นั่นก็คือครอบครัวอันเป็นที่รัก จึงทำให้เขาคิดได้และหลุดออกมาจากขุมนรกที่ใครหลายคนหลงผิดเข้าไป
"วันที่กำลังเผชิญหน้ากับความตายอีกรอบ ปรากฏว่าเราโทร.หาแม่ แม่ไม่ได้ว่าอะไรเลยถึงเราจะเล่นยามั่วเซ็กซ์ก็ตาม ทำให้เรารู้สึกว่าเราวิ่งหาความสุขนอกบ้านมาตลอดชีวิตแต่เราไม่เคยกลับไปหาความสุขในบ้านเลย เราไม่เคยกลับไปให้ความสุขกับคนในบ้านเลย
เราทำมาทุกอย่างเป็นมาทุกอย่าง เหลืออีกอย่างที่ยังไม่ได้เป็นคือลูกที่ดีของพ่อแม่ คิดเพียงว่าถ้ารอดกลับไปได้จะไปเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ พ่อกับแม่ก็บอกแค่ว่าให้กลับมาอยู่ที่บ้าน จะเป็นยังไงก็แล้วแต่เพียงแค่ได้เห็นอยู่ที่บ้านยังจะสบายใจมากกว่าที่ออกไปนอกบ้านแล้วไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดียังไง
เพราะตอนนั้นเกือบจะโดนฆ่าจากเอเยนต์ค้ายา สุดท้ายก็รอดมาได้ด้วยเหตุการณ์ปาฏิหาริย์อะไรบางอย่าง ก็งงเหมือนกัน พอรอดมาได้ก็ดิ่งกลับบ้านเลย รู้ว่าพ่อแม่รักเราแต่บางทีท่านแสดงออกไม่เป็น บอกรักไม่เป็น กอดหอมเหมือนคนอื่นไม่เป็น แต่ท่านทำให้เราเห็นในวันที่เรากำลังจะโดนฆ่า เราคือหัวแก้วหัวแหวนของเขาแค่ไหน"
หลังจากนั้น จึงค้นพบคุณค่าในตัวเอง ยอมรับที่จะอยู่บนโลกใบนี้ให้ได้อย่างมีความสุข อีกทั้งยังนำสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่ตอนนี้มาให้ความรู้แก่คนในสังคมเพื่อเป็นประโยชน์ให้ได้มากที่สุด
"ในตอนที่เรายังไม่เข้าใจ เรามองว่าเป็นความผิดพลาดอย่างมาก แต่ในจุดจุดนี้ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองมีความผิดพลาดอะไรเลย ถ้าย้อนอดีตกลับไปได้พีทก็ไม่ได้อยากกลับไปแก้ไขอะไรเลย ถ้าไม่มีพีทคนเลือดบวกทุกวันนี้คงไม่มีโอกาสมาให้ความรู้คนในสังคม
พีทคงไม่มีโอกาสมาพูดแทนคนเลือดบวกที่เขาหลบตามมุมต่างๆ ที่เขาไม่มีปากมีเสียงในสังคม บางทีโดนกดขี่ข่มแหง โดนเลือกปฏิบัติ โดนปิดตา โดนกรีดกัน พีทรู้สึกว่าพีทเป็นแบบนี้รู้สึกภาคภูมิใจทุกอย่างในชีวิตมากกว่าที่เคยเป็น"
สุดท้ายหนุ่มเลือดบวกที่คิดบวกคนนี้อยากให้สังคมเปิดใจที่จะเรียนรู้สังคมคนเลือดบวกมากขึ้น ให้กำลังใจให้มากขึ้น ถ้าวันหนึ่งมีเหตุจำเป็นต้องเจอกัน เพราะทุกวันนี้ทั้งความรู้ วิธีการต่างๆ มากมายในปัจจุบันที่เข้าใจมาอาจจะไม่ถูกต้อง อาจจะเป็นความเชื่อเรื่องเก่าๆ อาจจะเป็นความรู้เก่าๆ ก็เป็นได้
ขอบคุณภาพ : เฟซบุ๊ก "พีทคนเลือดบวก"
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **