xs
xsm
sm
md
lg

วิ่งเปลี่ยนชีวิต!! ไขมันพอก-ไตอักเสบ-เบาหวานหายเกลี้ยง "120 วัน ลด 40 กก."

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


“หมอบอกว่าผมอยู่ได้ไม่เกิน 5 ปี” เปิดใจ “โหน่ง - ชลาธิป” อดีตหนุ่มอ้วนร้อยโล ป่วยเบาหวานน้ำตาลในเลือดสูงถึง 659 พ่วง “ไขมันเกาะตับ - ไตอักเสบ - ตามัว” แต่ตอนนี้กลับหายขาด เพราะยาธรรมชาติที่ชื่อว่า “การวิ่ง”

120 วันกับ 40 กิโลกรัมที่หายไป!!

“ตอนที่หมอบอกว่าผมเป็นเบาหวานขั้นวิกฤต มันเหมือนฟ้าผ่าเลยนะ ตัวชา หมอบอกว่าถ้าคุณไม่เปลี่ยนแปลงตัวเอง ยังใช้ชีวิตเหมือนเดิม คุณอยู่ได้ไม่เกิน 5 ปี ผมก็คิดว่าชีวิตเรามันกำลังไปได้สวย ผมทำงานเป็นระดับผู้จัดการฝ่าย แต่ถ้า 5 ปีเราต้องตายก็เท่ากับว่าที่เราสร้างมาทั้งชีวิตกลายเป็นศูนย์ พอกลับบ้านปุ๊บผมหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต ผมเชื่อว่ามันต้องมีคนหายและผมก็ต้องเป็นหนึ่งในนั้นให้ได้ แล้วก็เจอว่ามันมีคนที่หายจากเบาหวานด้วยการวิ่ง”

“โหน่ง - ชลาธิป อินทรมารุต” หนุ่มวัย 39 ปี เจ้าของเพจ “Health & Safety 360” เพจที่ให้ความรู้ด้านสุขภาพ ที่มีผู้ติดตามกว่า 40,000 คน เปิดใจผ่านปลายสายกับทีมข่าว MGR Live หลังจากที่โลกออนไลน์ได้มีการแชร์เรื่องราวของเขา จากอดีตหนุ่มร่างใหญ่ที่มีน้ำหนักถึง 125 กิโลกรัม ซ้ำยังมีโรคเบาหวานขั้นวิกฤตรุมเร้า แต่เขาเอาชนะโรคร้ายจนหายขาดด้วยการ “วิ่ง” และเอาชนะตนเองด้วยการลดน้ำหนักไปถึง 40 กิโลกรัม



“ตอนแรกผมหนักประมาณ 125 กิโลครับ ไม่สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์บ้างบางโอกาส แต่ผมชอบดื่มน้ำอัดลมมากๆ ชานมไข่มุก ของหวาน ชอบกินจุบจิบ หยิบอะไรเข้าปากตลอด แล้วก็ไม่ได้ออกกำลังกาย เมื่อประมาณเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว ผมรู้สึกว่ามีอาการเหนื่อยหอบ ไม่ค่อยมีแรง ตาเริ่มมองไม่ค่อยเห็น กระหายน้ำ เข้าห้องน้ำบ่อย แรกๆ ผมคิดว่าสงสัยเราจะทำงานหนัก นอนพักก็คงหาย

จนกระทั่งวันหนึ่งผมขับรถไปต่างจังหวัดแล้วรู้สึกว่าเหนื่อยมากๆ ต้องแวะเข้าห้องน้ำตลอด เลยแข็งใจขับต่อ เช้าวันรุ่งขึ้นก็ไปโรงพยาบาล หมอบอกว่าอาการแบบนี้ให้ตรวจเลือด พอได้ผลเลือดมาหมอก็บอกว่า น้ำตาลในเลือดคุณสูงมาก 659 mg/dL คนปกติไม่ควรเกิน 100 mg/dL ถ้าเกิน 400 mg/dL คือช็อกแล้วนะ ของคุณอยู่ได้ยังไง และมีอาการที่พ่วงมาด้วยคือ ความดันสูง ไขมันเกาะตับ ไตเริ่มอักเสบ ตาเริ่มมองไม่เห็น เหมือนคนสายตาสั้นแต่ใส่แว่นยังไงก็ไม่ชัด หมอบอกว่าถ้าไม่เปลี่ยนแปลงตัวเอง ยังใช้ชีวิตเหมือนเดิม คุณอยู่ได้ไม่เกิน 5 ปี”


ตรวจพบระดับน้ำตาลในเลือดสูงถึง 659 mg/dL

กรณีของโหน่ง อาจเข้าสำนวน “ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา” เพราะหากเขาไม่เป็นเบาหวานขั้นวิกฤต ก็คงไม่ลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเอง เมื่อทราบถึงความตายที่กำลังก่อตัวในร่างกายจากปากหมอแล้ว เขาจึงหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตทั้งในไทยทั้งต่างประเทศ และพบว่ามีคนที่ "วิ่ง" แล้วหายจากเบาหวานได้จริง จึงเลือกที่จะลองดู

“เราทุกคนรู้วันเกิดแต่ไม่รู้วันตาย ถ้าวันหนึ่งหมอบอกคุณว่า จะอยู่ได้อีก 5 ปี มันมี 2 ทาง อันแรกคือ ปล่อยเลยตามเลย อันที่สองคือ ลุกขึ้นสู้ ผมเลือกอย่างหลัง พอรู้ผลวันรุ่งขึ้นออกไปวิ่งที่สวนลุมฯ เลย แต่วิ่งได้แค่โลเดียวก็เป็นตะคริว แล้วทุกเช้าจะเป็นประมาณครึ่งชั่วโมง ต้องเดินกลับมาที่รถอีกไกลพอสมควร ตะคริวก็ไม่หาย ฝนก็ตก ผมก็คิดกับตัวเองว่า "เรากำลังทำอะไรอยู่" ก็ท้อครับ แต่ไม่เป็นไร แข็งใจ พรุ่งนี้มาใหม่ ครอบครัวกับเพื่อนๆ ก็ให้กำลังใจครับ



ผมหนัก 125 กิโลกรัม สมมติผู้ชายปกติหนัก 75 กิโลกรัม เปรียบเทียบง่ายๆ ว่าเหมือนต้องแบกข้าวสาร 50 กิโลวิ่งไปด้วย มันยากนะกว่าที่เราจะลดน้ำหนักลงมา มันยากจริงๆ แต่ผมยังไม่อยากตาย ในช่วงสัปดาห์แรกผมวิ่งไปได้ 10 กิโลเมตร ส่วนใหญ่เป็นเดิน ต่อมาก็ค่อยๆ ลดการเดินและวิ่งมากขึ้น ก็วิ่งอยู่แบบนี้ทุกวัน เฉลี่ยประมาณ 300 กิโลเมตรต่อเดือน ติดต่อกัน 4 เดือนก็ 1,200 กิโลเมตร พอเดือนที่ 2 ก็เห็นความเปลี่ยนแปลง ค่าน้ำตาลลดลง แล้วเดือนที่ 4 ค่าทุกอย่างมันปกติหมดเลย

ส่วนการแข่งวิ่ง เวลา 1 ปี ผมวิ่ง 300 วันได้ 2,400 กิโลเมตร เมื่อก่อนผมจะวิ่งเฉลี่ย 10 กิโลเมตรทุกวัน แต่ช่วงหลังๆ ผมจะวิ่งระยะแตกต่างกันเพราะเริ่มลงแข่ง เลยเริ่มที่จะฝึกวิ่งทำเวลา ทำระยะทางครับ ไม่ได้ลดน้ำหนักหรือน้ำตาลแล้ว ผมลงแข่งรายการวิ่งต่างๆ มาไม่ต่ำกว่า 20 สนามครับ เฉลี่ยเดือนละ 2 ครั้ง แต่ตอนนี้เริ่มลงในระยะทางที่ไกลขึ้น เป้าหมายคือปลายปีนี้ผมลงฮาร์ฟมาราธอนระยะทาง 21 กิโลเมตรไว้ 2 รายการ และปีหน้าผมตั้งเป้าลงฟูลมาราธอน 42 กิโลเมตรครับ”


รางวัลแห่งการเอาชนะใจตัวเอง

เมื่อทีมข่าวถามว่า หากไม่เป็นเบาหวานก็คงไม่ได้ออกมาวิ่งอย่างทุกวันนี้ใช่หรือไม่ โหน่งก็ตอบกลับมาเคล้าเสียงหัวเราะว่า “ใช่”

“ใช่ครับ ผมก็ปล่อยให้ตัวอ้วนไปเรื่อยๆ (หัวเราะ) คงไม่ออกมาวิ่ง มันไม่มีจุดสตาร์ท”

เข้าใจใหม่ “เบาหวาน” หายขาดได้

นอกจาก โหน่ง จะน้ำหนักลดลงและได้รูปร่างที่ดีกลับมาหลังจากการวิ่ง แต่ที่สำคัญไปกว่านั้น อาการของโรคที่รุมเร้าได้หายไปด้วยจนไม่จำเป็นต้องใช้ยาอีกต่อไป และอาจกล่าวได้ว่า ชายผู้นี้หายขาดจากเบาหวานแล้ว

“พูดตรงๆ ตอนแรกผมก็เชื่อนะเบาหวานเป็นแล้วไม่หาย แม้แต่แพทย์เองก็ยังเสียงแตก ซึ่งเบาหวานประเภท 1 คือ คนที่อินซูลินไม่สร้างมาตั้งแต่เกิด แต่ประเภท 2 เกิดจากพฤติกรรมที่กินหวาน กินจุบจิบ ผมอยู่ในประเภท 2 คนส่วนใหญ่เป็นประเภทนี้ แทบจะ 90 เปอร์เซ็นต์ แต่ดูจากผลการปฏิบัติ มันเป็นโรคของพฤติกรรมล้วนๆ เพียงแต่พันธุกรรมเป็นตัวเพิ่มความเสี่ยง แต่ถ้าคุณเปลี่ยนพฤติกรรม เบาหวานมันหายได้จริงๆ


ผลเลือดเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ค่าน้ำตาลอยู่ในเกณฑ์ปกติ

ผมได้คุยกับหมอเฉพาะทางด้านเบาหวานที่โรงพยาบาลพระราม 9 หมอบอกว่า คุณลองหยุดกินยามั้ย ถ้าคุณหยุดกินยาแล้วน้ำตาลยังปกติได้ต่อเนื่องเกิน 1 ปี ในทางการแพทย์หมายความว่าคุณหาย ซึ่งหลังปีใหม่มา ผมไป Follow up ทุก 3 เดือน น้ำตาลผมเท่ากับคนปกติมาตลอด ค่าไขมัน คอเลสเตอรอลปกติ ไขมันเกาะตับหาย ไตอักเสบหาย ตามองเห็นชัด น้ำหนักอยู่ที่ประมาณ 95 กิโลกรัม สุขภาพปกติทุกอย่าง หมอบอกว่าผมอยู่ได้อีกนานครับ

ส่วนเรื่องการกิน ผมไม่ดื่มน้ำหวาน น้ำอัดลม ดื่มกาแฟไม่ใส่น้ำตาล งดกินของหวานทุกประเภท ผมกินข้าวกินแป้งปกติ แต่ผมวิ่งสม่ำเสมอ ใน 1 อาทิตย์ผมวิ่งอย่างน้อย 3-4 วัน ตอน 4 เดือนแรกที่หยุดกินยาผมวิ่งอย่างเดียว แต่หลังจากนั้นผมเพิ่งเริ่มเข้าฟิตเนสสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง หมอบอกผมว่าถ้าคุณวิ่งอย่างเดียวมันจะย้วย เพราะผมลดเร็วเกินไป ต้องเข้าฟิตเนสเพื่อไม่ให้มันย้วย ก็เลยเข้าตามที่หมอแนะนำครับ”



เมื่อสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตนเอง อดีตผู้ป่วยเบาหวานรายนี้ จึงอยากส่งต่อเคล็ดไม่ลับด้วยยาธรรมชาติ ผ่านกิจกรรม “360 Running” ขึ้นมา เพราะเขาเชื่อว่า หากวิ่งให้ครบ 360 กิโลเมตร จะได้สุขภาพดีขึ้นกลับมาอย่างแน่นอน

“ผมอ่านข้อมูลเจอว่า คนไทยเป็นเบาหวานประมาณ 1,000,000 คน เสียชีวิตปีละ 8,000 คน มีคนอ้วนลงพุงอีก 10,000,000 คน เลยรู้สึกว่าในเมื่อเราหายแล้วทำไมไม่ช่วยคนอื่นให้หายด้วย หมอเลยขอเอาเรื่องของผมไปสอนนักศึกษาแพทย์ คนไข้ส่วนใหญ่ไม่มีใครหายขาดเพราะเขาเลือกที่จะกินแต่ยา ไม่ยอมออกมาวิ่ง คนเลยเข้าใจว่าเบาหวานไม่หาย


โหน่งและสมาชิกกลุ่ม 360 Running

ผมเลยตั้งกลุ่มไลน์ขึ้นมา ใช้ชื่อว่า “360 Running” เพราะมีความเชื่อส่วนตัวว่า ถ้าวิ่งครบ 360 กิโลเมตรเมื่อไหร่ ชีวิตเขาจะเปลี่ยน สุขภาพดีขึ้น น้ำหนักลดลง กลายเป็นคนรักการวิ่ง อย่างผมตอนที่วิ่งครบ 360 กิโลเมตร น้ำหนักผมก็ลดลง ตอนนี้สมาชิกในกลุ่มมีเกือบ 800 คนแล้วครับ

ผมหนัก 125 กิโลกรัม ผมวิ่งได้ ใครก็วิ่งได้ เพียงแค่คุณเปลี่ยนรองเท้า มันมากกว่าแค่สุขภาพที่ดีขึ้น ผมได้เจอเพื่อนๆ ได้รู้จักคนที่รักการวิ่งเหมือนกัน ได้เรื่องของมิตรภาพเพิ่มด้วยครับ”
เมื่อบทสนทนาดำเนินมาถึงช่วงสุดท้าย หนุ่มนักวิ่งคนนี้ ได้ฝากไปยังใครก็ตามที่ยังไม่กล้าลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเอง โดยเฉพาะคนที่ไม่มีโรคประจำตัว ยิ่งควรออกมาวิ่ง เพราะยังไงเสีย การป้องกันย่อมดีกว่าการรักษา



“ผมอยากบอกว่า "สุขภาพสำคัญมากๆ" ไม่ว่าเราจะประสบความสำเร็จในการเรียน ในการทำงาน มีเงินเยอะ หรือมีชีวิตครอบครัวที่ดีมากแค่ไหนก็ตาม แต่ถ้าวันหนึ่งเราป่วย แล้วหมอบอกว่าถ้ายังใช้ชีวิตเหมือนเดิมเราจะมีเวลาเหลืออีกไม่กี่ปี ความสำเร็จทุกๆ อย่างที่เราได้มา หรือทำสำเร็จมันก็ไม่มีความหมายอะไรเลย

คุณจะวิ่งช้าหรือวิ่งเร็วไม่สำคัญ คุณไม่ได้แข่งกับใครแต่คุณแข่งกับตัวเอง แค่ออกมาเดินออกมาวิ่ง คุณก็เอาชนะใจตัวเอง เอาชนะข้ออ้างแล้ว ถ้าเรารู้ว่าอะไรที่เราป้องกันได้เราป้องกันไว้ก่อน ดีกว่าเป็นแล้วค่อยมาแก้ไข อย่ารอให้ป่วย อย่ารอให้หมอสั่ง ไม่ใช่ทุกโรคที่เป็นแล้วหาย อย่างน้อยถ้าไม่ทำเพื่อตัวเอง ก็ทำเพื่อคนที่เรารัก ให้เราได้มีชีวิตอยู่ดูแลพวกเขาให้นานๆ



ผมมีความสุขนะ เวลามีคนแชตมาหาผมมากมายว่าไปวิ่งตามผม แล้วเบาหวานเขาลดลง เขาหยุดใช้ยาได้ ผมจำได้ว่าน่าจะ 20 คนแล้วนะที่กลับมาเป็นปกติ เฉพาะเรื่องเบาหวาน แต่คนที่น้ำหนักลงลดเป็นร้อยคนที่ทักมาขอบคุณผม ผมก็รู้สึกว่าจากเราคนเดียว มันเริ่มขยาย และผมอยากให้ชวนคนที่เรารักออกมาวิ่ง อย่าไปคิดเลยครับว่าวิ่งแล้วจะหายหรือไม่หาย ยังไงวิ่งแล้วมันดีต่อสุขภาพแน่นอน ชีวิตมันเปลี่ยนไปจริงๆ มันได้มากกว่าแค่สุขภาพจริงๆ”

ข่าวโดย : ทีมข่าว MGR Live




** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **



กำลังโหลดความคิดเห็น