xs
xsm
sm
md
lg

"ไต่บันได-ข้ามถนนขาด-ลุยหลุมยักษ์-ฝ่าไปสอน" ไม่มีอะไรหยุด "ครูวันเพ็ญ" ได้ แม้แต่พายุโพดุล!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


“เราต้องรับผิดชอบต่อหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดค่ะ” เปิดใจ “ครูวันเพ็ญ” ถอดรองเท้า - ไต่บันได - สะพายกระติ๊บข้าวเหนียว ปีนขึ้นจากหลุมถนน หลัง “พายุโพดุล” ซัดถล่มจนตัดเส้นทางสัญจร แม้น้ำจะท่วม แต่ก็ไม่ใช่อุปสรรคในการไปสอน โซเชียลฯ ยกย่อง “นี่แหละแม่พิมพ์ของชาติ”!!

หน้าที่ต้องมาก่อน!!

“วันจันทร์ครูเป็นเวรพอดี เราต้องรับผิดชอบเวรตัวเอง ถนนมันชำรุด คนก็มายืนดูกันเต็มว่าจะไปยังไง เพื่อนครูด้วยกันก็ข้ามกันไป เขาเอาบันไดเหล็กมาให้ก็เลยลองผ่านดู มีคนจับให้ ค่อยๆ ปีนขึ้นไป ก็ตกใจ กลัวตัวสั่นอยู่ค่ะ กลัวว่ามันจะพลัดตกลงมา แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี ในใจก็อธิษฐานขอให้ปลอดภัยเวลาขึ้น-ลง บอกแม่ธรณีให้รักษา เพราะข้างล่างมันมีน้ำเยอะอยู่”

แม้ “พายุโพดุล” จะผ่านไปและทิ้งความเสียหายไว้ แต่เบื้องหลังพายุนั้นก็ยังมีเรื่องราวชุ่มชื่นหัวใจ เมื่อโลกออนไลน์ได้มีการแชร์ภาพของ “วันเพ็ญ คุณพูล” อายุ 57 ปี ครูจากศูนย์พัฒนาเด็กเล็กนาอุดม ต.นาอุดม อ.นิคมคำสร้อย จ.มุกดาหาร ที่อยู่ในชุดข้าราชการสีกากี กำลังปีนบันไดเหล็กข้ามถนนที่ยุบเป็นหลุมลึก เพื่อไปสอนหนังสือให้นักเรียน หลังถูกพายุพัดถล่มในพื้นที่ จ.มุกดาหาร ส่งผลให้เกิดน้ำท่วม และถนนถูกซัดพังหลายจุด เหตุการณ์ดังกล่าว นำมาซึ่งเสียงชื่นชมจากสมาชิกโลกออนไลน์ ที่ต่างพากันบอกว่า “นี่แหละแม่พิมพ์ของชาติ”



ครูวันเพ็ญ เปิดใจผ่านปลายสายท่ามกลางเสียงฝนที่ยังคงโปรยปรายเป็นระยะ แก่ทีมข่าว MGR Live ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นว่า แม้จะมีเด็กนักเรียนมาแค่ 2 คน เราก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด

“ถนนมันร้าวตั้งแต่วันศุกร์ที่ผ่านมา แล้วมาขาดวันเสาร์ เขาก็มีของมากั้นไว้ไม่ให้รถผ่าน รถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์ก็มาไม่ได้ พอเปิดเรียนวันจันทร์ ที่ศูนย์เด็กเล็กมีเด็กมาเรียน 2 คน จากเด็ก 36 คน แต่วันต่อมาไม่มีนักเรียนค่ะ

ส่วนครูก็มาทำงานตามปกติ นอกจากครูแล้ว มีครูผู้หญิงอีก 4 คนที่ต้องปีนบันไดเหมือนกัน สะพายกระติ๊บข้าวเหนียวเอาข้าวมากินที่โรงเรียนค่ะ บ้านครูอยู่ห่างจากศูนย์เด็กฯ ประมาณกิโลเศษๆ ไม่ถึง 2 กิโล ปกติใช้มอเตอร์ไซค์เดินทางมา ยังไงเราเป็นครู เราต้องรู้จักหน้าที่ ตระหนักในหน้าที่ตนเอง เราต้องรับผิดชอบต่อหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดค่ะ

ขากลับก็ต้องปีนเหมือนเดิม แต่ต้องมีคนจับให้นะคะ ตอนนี้ไม่ต้องปีนแล้วเพราะเขาเอาเหล็กมาวางให้รถมอเตอร์ไซค์ผ่านได้ ตอนนี้หน่วยงาน อบต. ก็ระดมกำลังช่วยกันให้ผ่าน”



สำหรับความเดือดร้อนที่เกิดขึ้น ไม่เพียงแต่จะสร้างความเสียหายให้ถนนเท่านั้น ยังรวมไปถึงพืชผลทางการเกษตรที่ชาวบ้านเพาะปลูกไว้ ก็พลอยได้รับความเสียหายไปด้วย ครูวันเพ็ญกล่าวว่า ภัยธรรมชาติครั้งนี้หนักที่สุดที่เคยเจอมา

“ครูเป็นคนอุบลฯ แต่แต่งงานแล้วมาอยู่กับแฟนที่นาอุดมค่ะ อยู่มาเกือบ 30 ปี เพิ่งเคยเห็นว่าหนักสุดครั้งนี้ ทุกปีมันก็ไม่เป็น ปีที่แล้วฝนเยอะแต่ถนนยังไม่ชำรุด ปีนี้พายุเข้า ถนนก็ทรุดลง น้ำท่วมเยอะ ท่วมนาข้าวหมด ที่บ้านไม่ท่วม



ตอนนี้ถนนได้รับการแก้ไขแล้วค่ะ มีเจ้าหน้าที่ อบต. ร่วมด้วยหลายหน่วยงาน เข้ามาช่วยให้เราได้ผ่านไปก่อนชั่วคราว เอาดินมาถม ผ่านได้แค่มอเตอร์ไซค์ค่ะ รถใหญ่ยังผ่านไม่ได้ แต่เวลาเราจะเข้าไปในตัวอำเภอมันไปไม่สะดวก มันก็มีหลายเส้นทางนะคะที่ชำรุด การจราจรตอนนี้ก็ติดขัดมากค่ะนักเรียนก็เดินข้ามมา

ล่าสุด ฝ่ายปกครองมีประกาศเตือนภัยเสียงตามสายถึงพายุลูกใหม่ที่จะมา บอกให้ระมัดระวัง อาจมีน้ำท่วมฉับพลัน เขาก็เตือนให้ทราบล่วงหน้าอยู่ค่ะ”

เมื่อถามว่ารู้สึกอย่างไรที่โลกออนไลน์ชื่นชมถึงการไม่ละทิ้งหน้าที่แม้จะเกิดภัยธรรมชาติ ครูวันเพ็ญ ตอบว่า

“ตอนแรกก็ไม่รู้ เพื่อนเขาถ่ายก็มาเห็นข่าวตัวเอง ไปไหนก็มีแต่คนถามเรื่องนี้ค่ะ ก็ขอบคุณมากนะคะ ไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นข่าว หลายๆ หน่วยงานก็เป็นกำลังใจให้ ก็ขอบคุณทุกฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยค่ะ”

เกิดมาเพื่อเป็น “แม่พิมพ์ของชาติ”

“ครูเป็นครูมาตั้งแต่ปี 2538 เรียนสาขาวิชาเอกประถมวัย ที่วิทยาลัยครูอุบลราชธานี ครูเป็นอาชีพแรกและอาชีพเดียวที่ทำ เพราะว่าที่บ้าน คุณพ่อก็รับราชการเป็นครู พี่ชายด้วย ตอนนี้ลูกชายก็เป็นครู ก็รักมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก วางแผนไว้ว่าจะเดินตามรอยคุณพ่อ เพราะว่าเราเป็นครู ให้ความรู้กับเด็กกับลูกศิษย์ ช่วยเหลือชุมชน สังคมได้ทุกอย่าง”

ทั้งภาพที่ปรากฏออกไปและเหตุผลที่ตัดสินใจมาทำอาชีพครู อาจจะกล่าวได้เต็มปากว่า จิตวิญญาณความเป็นครูได้ไหลเวียนอยู่ในสายเลือดของครูคนนี้อย่างเข้มข้น

ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กนาอุดม ที่มีนักเรียนในวัยไม่เกิน 3 ขวบ ซึ่เป็นวัยกำลังเรียนรู้และจดจำสิ่งต่างๆ รอบตัว หน้าที่ของครูวันเพ็ญ และครูอีก 4 คน นอกจากจะต้องดูแลความสะอาดของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กแห่งนี้แล้ว อีกอย่างที่สำคัญไม่แพ้กัน คือ เป็นเบ้าหลอมขั้นแรกให้เด็กๆ คอยให้ความรู้ ทำความเข้าใจ และชี้นำพวกเขาให้โตไปในทิศทางที่ถูกต้องไม่ต่างจากครอบครัวของเด็กๆ เอง ซึ่งตลอดระยะเวลาที่สัมภาษณ์ ทีมข่าวสัมผัสได้ถึงความใจดีที่อยู่ในน้ำเสียงครูวันเพ็ญอย่างเต็มเปี่ยม



“ทำทุกอย่างเลยค่ะ นอกจากจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้เด็ก ต้องทำความสะอาดเพราะเราไม่มีแม่บ้านมาทำ ไม่ว่าจะปัดกวาดถู ทำความสะอาดห้องน้ำ ห้องนอนของเด็ก ครูต้องช่วยกันทำทุกคน เราต้องเน้นความสามัคคีกัน เวลาหน้านา ผู้ปกครองก็จะรีบมาส่งตั้งแต่เช้า ที่จริงเวลารับเด็กก็ประมาณ 7.30 น. แต่ครูต้องมาก่อนเพราะผู้ปกครองรีบเอาเด็กมาส่งกับเราแล้วต้องรีบไปทำนา เพราะ ต.นาอุดม เขาจะทำการเกษตรเยอะ ไม่ว่าการปลูกมัน อ้อย ข้าว ครูต้องเปลี่ยนเวรหมุนเวียนกันไป

เด็กประถมวัย เราต้องเน้นให้เด็กช่วยเหลือตัวเองได้ รู้จักแบ่งปัน มีน้ำใจกับเพื่อนๆ รู้จักการรอคอย จัดกิจกรรมให้เขาเรียนรู้ บางคนชอบระบายสี ชอบฟังนิทาน ถ้าเด็กคนไหนเขาไม่อยากร่วมกิจกรรมกับเพื่อน เราก็มีเพลงมาเป็นสื่อในการสอน ต้องสร้างข้อตกลงกับเขาเพราะบางคนไม่ช่วยเพื่อนเก็บของเล่น แล้วก็ร้องเพลง เด็กจะซึมซับไปเรื่อยๆ ค่ะ

เด็กเขาจะชอบยอ ชอบคำชมของคุณครู ไม่ชอบให้ดุด่า ต้องใช้คำพูดที่นุ่มนวลกับเขา ถ้าใครชอบรังแกเพื่อนเราต้องบอก ถ้าหนูรังแกเพื่อนก็จะไม่มีเพื่อนนะ มีอะไรต้องแบ่งปันเพื่อน อย่างขนมถ้าเพื่อนไม่มีต้องแบ่งให้เพื่อนด้วย วันหลังเพื่อนจะได้แบ่งให้เรากิน แต่อย่าไปขโมยของเพื่อนมา ต้องขอเขาก่อน”



เมื่อบทสนทนาดำเนินมาถึงช่วงสุดท้าย ครูวันเพ็ญ ได้ฝากถึงผู้ปกครองที่มีลูกในวัยไล่เลี่ยกับนักเรียนของเธอ ว่าไม่ควรยัดเยียดเนื้อหาวิชาการให้มากเกินไป ควรปล่อยให้ลูกได้เล่นสมวัยจะดีกว่า และฝากถึงเพื่อนร่วมอาชีพ ในฐานะแม่พิมพ์/พ่อพิมพ์ของชาติ ต้องมีความซื่อสัตย์และอดทนในหน้าที่ เพราะปฏิเสธไม่ได้เลยว่า สมัยนี้คนทำอาชีพครูที่ออกนอกลู่นอกทางไปก็มาก

“เด็กวัยนี้สอนไม่ยากหรอกค่ะถ้าเราเข้าใจเขา จะมีการแทรกเข้าไปในบทเรียน เด็กจะชอบเล่นเกมกับฟังนิทานมาก เราต้องไม่สอนซ้ำซากไม่อย่างนั้นเขาจะเบื่อ ต้องให้เขาเรียนรู้หลายๆ อย่าง อย่างการต่อตัวบล็อกตามความคิดสร้างสรรค์ เด็กก็จะพอใจในผลงานที่ต่อออกมา เน้นเรื่องการเล่นปนเรียน เพราะว่าอิทธิพลการเล่น จะมีผลต่อเด็กมาก

ผู้ปกครองบางคนก็ไม่เข้าใจ อยากให้แต่ครูสอน บางทีเด็กก็เบื่อ ไม่อยากให้อัดวิชา เวลาประชุมผู้ปกครองเราก็ได้แนะนำไปว่า ถ้าอัดความรู้ให้เด็กไปเยอะๆ เด็กจะเกิดความเครียดไม่อยากมาเรียนได้

และฝากเพื่อนครู ในฐานะที่เราเป็นแม่พิมพ์ของชาติ ให้ตระหนักในหน้าที่ของตนเอง รับผิดชอบหน้าที่ ทำให้ดีที่สุด สิ่งสำคัญคือมีความซื่อสัตย์ต่อตนเองและผู้อื่น เพราะเราอยู่ในสังคม ก็ต้องมีส่วนช่วยเหลือสังคมนะคะ ไม่ว่าจะเป็นงานอะไร ต้องมีความอดทนต่อความเหนื่อยยากลำบากทั้งหลาย ให้สมกับคำที่ว่าเป็นแม่พิมพ์ของชาติค่ะ”

ข่าวโดย : ทีมข่าว MGR Live
ขอบคุณภาพ : เฟซบุ๊ก มุกดาหาร ท่ายาก และ ชยุตรา ดีดวงพันธ์ดีดี




** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **



กำลังโหลดความคิดเห็น