เมื่อ "น้ำ" คือทรัพยากรที่เป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่น คุณภาพของน้ำจึงเป็นตัวบ่งชี้ถึงคุณภาพชีวิต เพราะฉะนั้นกรมชลประทานจึงมีพันธกิจดูแลรักษาและพัฒนาคุณภาพน้ำให้เหมาะสมต่อการอุปโภคและบริโภคมากที่สุด
จากแหล่งน้ำจนถึงมือประชาชนไม่ว่าจะใช้ประโยชน์เพื่อดื่มกิน เพื่อเกษตรกรรม หรือเพื่อการประมงก็ตาม ต้นทางของการกักเก็บน้ำเพื่อส่งต่อไปยังทุกครัวเรือนคือ อ่างเก็บน้ำ และแน่นอนว่าอ่างเก็บน้ำก็เปรียบเสมือนภาชนะใบหนึ่ง หากภาชนะนั้นสะอาด ปลอดจากเชื้อโรค และมีมาตรการไม่ให้มีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาปนเปื้อน น้ำที่บรรจุอยู่นั้นย่อมสะอาดตาม
กรมชลประทานจึงมีกระบวนการเพื่อควบคุม ดูแล และรักษาคุณภาพน้ำ เริ่มต้นตั้งแต่การพัฒนาแหล่งน้ำ มหิทธิ์ วงศ์ษา หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่ 2 สำนักบริหารโครงการ กรมชลประทานบอกว่า กรมชลประทานได้ออกแบบอย่างดี การสร้างอ่างเก็บน้ำ ก่อนที่จะกักเก็บน้ำ ต้องทำให้บริเวณอ่างเก็บน้ำค่อนข้างสะอาด โดยการตัดต้นไม้ออกจากพื้นที่แล้วกำจัดอย่างถูกวิธี เพื่อไม่ให้ต้นไม้เหล่านี้เน่าเสียในน้ำ ช่วง 1-2 ปีแรกของการกักเก็บน้ำ ต้องยอมรับว่าเป็นช่วงปรับคุณภาพน้ำ คือ จะยังไม่ค่อยดีเท่าไรนัก แต่หลังจากนั้นคุณภาพน้ำจะดีขึ้นเรื่อยๆ
“สิ่งที่จะทำให้รู้ว่าคุณภาพน้ำดีขึ้นแล้ว คือ การติดตามตรวจสอบตลอด ตั้งแต่ช่วงก่อนกักเก็บน้ำ และหลังกักเก็บน้ำ จะต้องมีการเก็บตัวอย่างน้ำไปเข้าห้องแล็บเพื่อตรวจสอบอย่างละเอียด”
นอกจากนี้เขายังเปิดเผยว่าน้ำที่นำไปตรวจมาจากหลายจุด ทั้งน้ำที่ก่อนลงอ่างเก็บน้ำ น้ำในอ่างเก็บน้ำ น้ำที่ถูกปล่อยไปท้ายน้ำ และน้ำที่ปล่อยไปในระบบชลประทาน เป็นต้น
“สิ่งที่เราดูมีตั้งแต่ความสกปรก เรื่องโลหะหนัก และอีกหลายเรื่อง ดูว่าคุณภาพน้ำเป็นอย่างไร ถ้ามีปัญหาก็จะมาหาสาเหตุเพื่อแก้ปัญหาต่อไป
แต่อุปสรรคใหญ่ของการควบคุมคุณภาพน้ำอย่างหนึ่ง คือ การใช้สารเคมีในการเกษตร เพราะบริเวณใกล้เคียงมักทำเกษตรกรรม และอีกสาเหตุคือบริเวณเหนืออ่างเก็บน้ำขึ้นไปมีแหล่งชุมชนหรือโรงงานอุตสาหกรรม น้ำเสียและสารพิษจะถูกปล่อยลงมายังอ่างเก็บน้ำได้”
ด้วยเหตุนี้กรมชลประทานจึงต้องติดตามสังเกตการณ์ว่ามีการปล่อยน้ำเสียลงมาหรือเปล่า ซึ่งมีอ่างเก็บน้ำหลายแห่งมีความเสี่ยงแบบนี้ แต่ด้วยอำนาจของกรมชลประทานไม่ครอบคลุมถึงการจัดการกับผู้ลักลอบปล่อยน้ำเสีย แต่ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมควบคุมมลพิษ หรือฝ่ายปกครอง ให้ติดตามและจัดการ
“กรมชลประทานมีกฎหมายเหมือนกัน เช่น น้ำทิ้งที่ไม่ได้มาตรฐานของเรา ถ้าเขาทิ้งน้ำลงมาในระบบชลประทาน เราดำเนินคดีได้ตามกฎหมาย ถ้าทางน้ำนั้นเป็นทางน้ำชลประทาน ส่วนโรงงานอุตสาหกรรมเราจะแจ้งกรมควบคุมมลพิษหรือทางฝ่ายปกครองให้ดำเนินการ”
ปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ ยกตัวอย่างแถบภาคกลางเช่น ละแวกจังหวัดนครปฐม ซึ่งมีโรงงานอุตสาหกรรมค่อนข้างมาก กรมชลประทานได้รับแจ้งหลายครั้งจากกรมควบคุมมลพิษว่ามีการทิ้งน้ำเสียลงลำน้ำชลประทาน แน่นอนว่ากรมชลประทานไม่นิ่งนอนใจ แล้วจัดการอย่างถึงที่สุด
ด้วยนโยบายที่ต้องจัดการ ควบคุม ดูแลเรื่องคุณภาพอย่างเข้มข้นจริงจัง ช่วยให้ตลอดหลายปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันปัญหาดังกล่าวมีเกณฑ์ดีขึ้นเรื่อยๆ ทั้งนี้ก็เพื่อประโยชน์และคุณภาพชีวิตของประชาชนที่ดีเช่นเดียวกับคุณภาพน้ำ
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **