ทุกการให้คือความสุขที่ยิ่งใหญ่!! นักธุรกิจ 100 ล้าน เลือกที่จะมีความสุขด้วยการ “ให้” เปิดคลินิกรักษาฟรีกว่า 15 ปี พร้อมสร้างโรงทาน-แจกข้าวสาร บริจาควีลแชร์สำหรับผู้ป่วย-พิการ มอบทุนการศึกษา สร้างสถานปฏิบัติธรรมเพื่อคลายทุกข์ทางใจให้ผู้คน กว่าจะมีวันนี้ชีวิตต้องล้มเหลวตั้งแต่อายุ 16 ปี
“คลินิกเวชกรรมสุรัตน์” รักษาฟรีทุกคน
ถ้าบอกว่าเงินแค่ 1 บาทก็สามารถไปหาหมอได้ รักษาโรคได้ คงไม่มีใครอยากเชื่อ แต่นักธุรกิจ 100 ล้าน อย่าง สุรัตน์ วงศ์ชาญศิลป์ ทำให้เห็นประจักษ์แก่สายตาผู้คนมาแล้ว 15 ปี ด้วยการเปิดคลินิก 1 บาทรักษาผู้ป่วยฟรี เพื่อคลายความเจ็บปวดให้กับคนยากจน
“คลินิกเกิดขึ้นเนื่องจากคุณแม่ไม่สบาย วันนั้นพี่ๆ โทร.เข้ามาบอกว่าคุณแม่เข้าโรงพยาบาล อาการ 50 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจริงๆ คุณแม่เป็นคนที่แข็งแรง แต่ว่าจะมีโรคหัวใจ เบาหวาน คลอเรสเตอรอล แต่คุณแม่มีคุณหมอคุมทุกโรคอยู่แล้ว ซึ่งผมไม่ค่อยได้ห่วงตรงนี้ แต่พอฟังแล้วลูกๆ ทุกคนก็ตกใจ
ด้วยความที่เราเป็นห่วงและรักคุณพ่อคุณแม่เหมือนลูกๆ ทุกคน สิ่งที่คิดออกมาตอนแรกคือ จะทำอย่างไรให้คุณแม่ผ่านวิกฤตตรงนี้ ก็เลยมีความจำเก่าๆ มาว่ามีคุณหมอ 5 บาท ท่านรักษาให้คนฟรี
พอมันเกิดความคิดนี้ขึ้นมา เชื่อไหมครับวันรุ่งขึ้นคุณหมอบอกว่าผ่านวิกฤต พอผ่านวิกฤตหลังจากนั้น 2 วัน คุณแม่ก็ออกจากโรงพยาบาล หลังจากนั้น 1 เดือน เปิด คลินิกเวชกรรมสุรัตน์รักษาฟรี นั่นละครับคือจุดเริ่มต้น ในการที่เรามีแรงบันดาลใจ เราไม่ได้ดูว่าเงินในกระเป๋าของเรามีหรือเปล่า แต่คุณแม่เป็นแรงบันดาลใจที่สำคัญ”
คลินิกแห่งนี้เปิดมาแล้ว 15 ปี มีผู้ป่วยเข้ามารักษาถึง 170,000 คน ซึ่งหมอและพยาบาลที่ทำการรักษาก็มีใบประกอบวิชาชีพการันตีความสามารถอย่างถูกต้อง และถึงแม้จะได้ชื่อว่าคลินิกหมอ 1 บาท แต่ในความจริงนั้นที่แห่งนี้ไม่เก็บค่ารักษาแม้แต่บาทเดียว
“ที่นี่เราจะใช้คุณหมอที่มีใบประกอบวิชาชีพ อย่างคุณหมอที่มาประจำที่นี่ ก็เป็นคุณหมอที่มีประสบการณ์ เป็นดอกเตอร์ก็มี มีวิชาชีพแพทย์ถูกต้อง พยาบาลก็ไม่ใช่แค่ผู้ช่วยพยาบาล เป็นพยาบาลจริงๆ อย่างที่ผมบอกครับว่า ถ้าเราจะช่วยเขา เราต้องมีคนที่มีความรู้ความสามารถ รวมทั้งมียาที่ดี
จากประวัติคนไข้ ถ้าดูจากเวชระเบียนปัจจุบันมีผู้ป่วย17,000 ราย ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาก็จะมารักษาเป็นสิบๆ ปี เพราะเราเปิดมา 15ปีแล้ว ผู้ป่วยก็จะมีมารักษาทั้งตัวเขา จนกระทั่งลูกหลาน แต่ก็จะมีส่วนหนึ่งที่ไม่มีเวชระเบียน อย่างเช่น นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยว เราก็ไม่เลือกปฎิบัติ ไม่ได้มานั่งถามว่าคุณมีเงินไหมที่จะมารักษา เราก็รักษาให้กับทุกคน ส่วนการเก็บ 1 บาทก็ไม่มีเก็บ เราไม่มีนโยบายที่จะเก็บเงิน แต่ถ้าเขาอยากจะหยอดตู้บริจาคก็แล้วแต่เขา มีตู้บริจาคให้หยอดด้วย”
หวังเพียงสงเคราะห์ผู้ยากไร้เข้ารับการรักษา ได้มีสุขภาพที่แข็งแรง ได้มีชีวิตที่ดีขึ้น เพราะปัจจุบันค่ารักษาพยาบาลก็สูงพอสมควร
“เขาก็แค่คนคนหนึ่งที่ไม่ได้มีฐานะ บางครั้งเขาก็หดหู่อยู่แล้ว แต่พอมีคนคนหนึ่งที่ไม่รู้จักเขา แล้วผมเป็นเขาก็ไม่รู้จัก เขาก็ไม่ได้ใส่ใจคนที่ชื่อสุรัตน์คนนี้ แต่พอเราได้ให้เขา มันเหมือนกับว่าเขากับเรามันไม่ได้สูงหรือต่ำ แต่อยู่เหมือนๆ กัน เป็นคนที่ใช้ชีวิตเหมือนกัน มีพ่อมีแม่ มีลูกๆ มีญาติพี่น้องเหมืองกัน
ดังนั้นพอครั้งหนึ่งที่เขาต้องว้าเหว่ขาดทั้งเงิน ขาดทั้งญาติพี่น้อง มันก็เลยทำให้เวลาเราดูที่แววตาเขา บางคนถึงขนาดร้องไห้ดีใจที่เราเห็นความสำคัญเขา ทั้งที่เขาก็ไม่รู้จักเรา มันเป็นความรู้สึกเหมือนมีความปีติ เพราะเราได้ช่วยเขาให้เขาได้มีกำลังใจในการใช้ชีวิตต่อ”
เดิมทีคลินิกแห่งนี้ตั้งอยู่ถนนรามบุตรี ตรงข้ามโรงแรมเวียงใต้ บางลำพู แขวงตลาดยอด เขตพระนคร กรุงเทพฯ แต่ตอนนี้ทำการย้ายมาเส้นถนนบางลำพู เพื่อความสะดวกสบายแก่ผู้ป่วยมากขึ้น โดยวันธรรมดาเปิดช่วง 17.00-21.00 น. หยุดวันพุธ ส่วนเสาร์-อาทิตย์เปิดตั้งแต่ 09.00-13.00 น.
สร้างโรงทาน-บริจาควีลแชร์-แบ่งปันทุนการศึกษา
นอกจากเปิดคลินิกรักษาฟรีแล้ว ผู้ชายคนนี้นับว่าเป็นคนใจบุญสุนทานอย่างมาก ทั้งเปิดโรงทาน มอบรถเข็นแก่ผู้ป่วยพิการ มอบทุนการศึกษาให้กับเด็กยากจนได้เรียนฟรี รวมไปถึงการบริจาคเงิน และสิ่งของแก่โรงเรียน วัด และโรงพยาบาลอีกด้วย
“จริงๆ เรื่องรถเข็นก็ให้มาตลอดนะครับ ครั้งนี้จะเป็นคันที่ 208 รถเข็นเราก็จะทำประจำเพราะว่าถ้าใครขอมาเราก็จะไปให้เลย วีลแชร์ผมให้มาก่อนที่จะเปิดคลินิกรักษาฟรีอีก ก็ไม่ได้มีกฎเกณฑ์อะไรมาก มีใบพิการ ใบผู้สูงอายุ บัตรประชาชน ทะเบียนบ้านแค่นี้ครับ จะเป็นคนชาติไหนศาสนาไหนไม่สำคัญ เพราะเราคิดว่ามีสิทธิ์เท่าเทียมกัน
แต่เนื่องจากบางเคสเขาไม่สะดวกที่จะมา อีกอย่างผมก็อยากสัมผัสความเป็นอยู่เขาด้วยว่าสิ่งที่เราช่วยเขา เป็นคนยากจนจริงไหม พอเราได้สัมผัสมันจะเกิดความรู้สึกว่าเงินนี้อาจจะไม่ได้มากมายกับรถเข็นคันหนึ่ง แต่เราสามารถช่วยเขาให้มีชีวิตที่ดีขึ้น ทุกครั้งผมจึงอยากไปสัมผัสด้วยตัวผมเอง”
เมื่อนักธุรกิจคนหนึ่ง รู้สึกว่า ชีวิตของเขาพอแล้ว เขาจึงเลือกที่จะมีความสุขกับการ “ให้” ให้ทุกอย่างที่คิดว่าให้ได้ น้ำใจและความเมตตานี้จึงส่งผ่านถึงเด็กยากจนหลายต่อหลายคนได้เรียนฟรีมานับ 10 ปี เพราะเขาคิดว่าเด็กคือเป้าหมายที่สำคัญของประเทศชาติ
“เคยไปให้ทุนการศึกษาครั้งแรกเมื่อ 10 ปีก่อน ไปเห็นเด็กเขาเรียนเก่ง แต่เขาไม่มีเงิน พอเรารู้มาจากโรงเรียนก็เลยเกิดคำถามในใจว่า ถ้าฐานะเขาไม่ดี ไม่มีใครส่งเสีย แล้วเขามีปัญญาที่จะเรียนได้ ทำไมเราเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง ถ้าเราสามารถสนับสนุนเขาได้ ทำไมไม่ช่วยเขา ตั้งแต่ตอนนั้นถึงปัจจุบัน 600 กว่าทุน เด็กผมถือว่าเป็นเป้าหมายสำคัญนะ เพราะว่าเด็กวันนี้คือผู้ใหญ่ในวันหน้า และผมก็ตั้งใจว่าจะทำไปตลอดชีวิต”
ไม่เพียงเท่านี้ยังมีการเปิดสถานปฎิบัติธรรม และจัดปฎิบัติธรรมทั้งในและนอกสถานที่ฟรี เพื่อขัดเกลาจิตใจให้กับคนในสังคม พร้อมยึดหลักพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 มาปรับใช้ในชีวิต
“ผมชวนเพื่อนๆ ไปปฎิบัติธรรมในสถานที่ไกลๆ แต่เขาไม่มีเวลาไป ผมก็เลยจุดประกายว่าจะสร้างสถานที่ปฎิบัติธรรม โดยใช้ชื่อว่า ธรรมสากล กลางพระนคร ไร้รูปแบบ ไร้สังกัด เพราะทุกแนวคือคำสอนของพระพุทธเจ้าหมด อยากให้เครื่องมือสร้างสุขทั้งกายและใจกับคน กายคือการเปิดคลินิกรักษาฟรี ใจก็คือเปิดอาคารปฎิบัติธรรมซักฟอกจิตใจให้อยู่ในศีลในธรรมเป็นคนดีของสังคม นี่คือสโลแกน
เป้าหมายของเราคือต้องการให้เขาลดละตัวตน ให้เขาขัดเกลาตัวเขาให้เป็นคนดีในสังคม ถ้าเขาเป็นคนดี แล้วรู้สึกถึงคำว่าพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 เขาก็ไม่อยากที่จะมีเยอะๆ แค่พอมีพอกินก็พอ ก็เลยมีการจัดคอร์สปฏิบัติธรรม เป็นคอร์สผู้ใหญ่ 5 วัน 4 คืน 350 คน ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด ค่าอาหาร ค่ากัณฑ์เทศน์ครูบาอาจารย์ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าสถานที่ ผมออกให้หมด แล้วก็มีโครงการสำหรับเด็กๆ ด้วย คือสุรัตน์ธรรมทายาท มีเด็กและคุณครู 350 คน มาปฎิบัติธรรมรักษาศีล 8 จัด 3 วัน 2 คืน จัดที่พุทธมณฑล ก็ประสบความสำเร็จด้วยดี
ทุกอย่างต้องใช้เงิน แต่ผมไม่ได้มองเงินเป็นเป้าหมาย ผมถือว่าถ้าผมพอแล้ว ผมก็สามารถที่จะนำเงินตรงนี้ไปต่อยอดทำให้คนอีก 300 กว่าชีวิตอยู่ในศีลในธรรม ผมว่ามันดีกว่าการให้เงิน”
ไม่แค่เปิดสถานปฎิบัติธรรมแต่เปิดโรงทานด้วย สร้างโรงทาน แบ่งปันให้คนที่เขาอดอยาก ยากไร้ ให้มีข้าว มีอาหารกิน มาโดยตลอด
“ตอนแรกเราเปิดปฎิบัติธรรมเราก็สงสารญาติโยม เราก็จะมีกาแฟ ขนม พอเราเริ่มปฎิบัติตั้งแต่ 9 โมงเช้า เรามีขนม ทำไมเราไม่มีอาหารให้เขาบ้าง ก็เลยบอกภรรยาว่าคุณไปทำ พาคนงานที่บ้านมาช่วยกันทำ อีกอย่างผมออกโรงทานมา 6 ปี อาหารที่ทำก็ไม่ต่ำกว่า 500-600 ชาม เพราะยิ่งทำยิ่งมีความสุข
ทุกกิจกรรมของสุรัตน์ ไม่ว่าจะเป็นทุนการศึกษา รถวีลแชร์ แจกข้าวสารมา 18 ปี แจกในช่วงวันแม่ แล้วผมก็เป็นเจ้าภาพบวชพระภิกษุสงฆ์ เพราะผมเองเคยไปบวชมา 2 ครั้ง แต่แน่นอนครับเราเป็นนักธุรกิจมันก็ต้องมีระยะเวลา แต่เมื่อบวชแล้วเราก็ได้สัมผัสแล้วว่าพระพุทธเจ้าสอนความจริงของชีวิต สอนกฎธรรมชาติ มันทำให้ผมได้ซาบซึ้งถึงการรักษาศีล 227 ข้อ ผมก็เลยภาวนาว่าผมจะเป็นเจ้าภาพบวชพระภิกษุสงฆ์ ปัจจุบันนี้ 200 กว่ารูปแล้ว ทุกกิจกรรมตั้งใจจะทำไปตลอดที่มีชีวิตอยู่”
กว่าจะมีวันนี้ล้มเหลวตั้งแต่อายุ 16
เบื้องหลังความสำเร็จก่อนที่ชายคนนี้จะมีกำลังช่วยเหลือคนในสังคมได้ เขาต้องผ่านชีวิตที่ล้มเหลวมาตั้งแต่อายุ 16 ปี ด้วยความหวังอยากช่วยพ่อแม่ อยากมีชีวิตที่ดีขึ้นจึงดิ้นรนทำทุกอย่าง
“พื้นฐานไม่ใช่คนร่ำรวย ฐานะปานกลาง ผมชอบทำธุรกิจ หัวสมองดีแต่ไม่อยากเรียน อยากจะทำมาหากิน ดังนั้นช่วงที่ผมเรียน หลังกลับมาจากโรงเรียน ผมก็มีความคิดทำอย่างไรจะช่วยแบ่งเบาภาระคุณพ่อคุณแม่ได้ คงเป็นสิ่งที่ดีถ้าทำได้
ตอนนั้นผมอายุ 16 ปี พ่อแม่ผมขายรองเท้า ผมก็เลยมีไอเดียว่าอยากทำกระเป๋า กลับมาจากโรงเรียนผมไปติดต่อโรงงานย่านบางแค เป็นโรงงานอุตสาหกรรมเล็กๆ อุตสาหกรรมในครอบครัวสมัยก่อน ผมมีเซลส์อยู่ 3 คน เซลส์อายุ 30 กว่าปี ตัวผมอายุแค่ 16 ปี
ตื่นตี 4 ขับรถคันเก่าๆ ของคุณพ่อไปบางแค เอาวัตถุดิบไปจ่ายตามโรงงานอุตสาหกรรมในครอบครัว พอจ่ายงานเสร็จผมก็ขนเอาของที่เขาตัดเย็บเป็นกระเป๋าสำเร็จกลับมา พอกลับมาถึงที่บ้านก็ประมาณ 6 โมงเช้า อาบน้ำแปรงฟัน กินข้าวเสร็จก็ไปเรียนต่อ พอโรงเรียนเลิก 3 โมงครึ่ง ผมก็มาช่วยคุณพ่อคุณแม่จนกระทั่งปิดร้าน พอปิดร้านเสร็จผมก็ขับรถคันเก่าๆ ไปโรงงานอีก เพื่อที่จะรับของมาขาย แล้วเราไม่ได้ขายเอง เราส่งไปฝากขายตามห้างสรรพสินค้า”
ทำธุรกิจทั้งที่ไม่มีเงิน ยอมกู้เงินด้วยความเชื่อมั่นว่าจะประสบความสำเร็จ แต่สุดท้ายผลไม่เป็นอย่างที่หวัง แต่ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ ราคาแพงที่สุดในชีวิตสำหรับชายผู้นี้
“เชื่อไหมว่าไม่มีเงินนะ เพราะคุณแม่ไม่ให้ทำ คุณแม่เชื่อว่าเด็กอายุ 16 มันจะทำอะไรเป็น คุณแม่บอกว่าทำไม่ได้หรอก แต่คุณพ่อบอกหนึ่งคำว่าให้โอกาสลูก ไม่มีตังค์แล้วให้โอกาสเกิดเจ๋งจะทำไง คุณพ่อก็ไปกู้เงิน 2 แ สนบาท สำหรับเด็กอายุ 16 คือเยอะมาก แล้วไว้ใจลูกที่ไม่เคยทำธุรกิจแต่คุณพ่อบอกเราว่าเป็นคนขยัน เขาอยากให้โอกาส แล้วเขาเชื่อมั่น
แต่สุดท้ายทำแล้วเจ๊งนะครับ แต่เชื่อไหม การที่เราทำเจ๊งวันนั้นถือเป็นกำไรชีวิต เป็นประสบการณ์ที่หาไม่ได้กับเด็กอายุ 16 ปี ทำมาได้ 4 เดือนก็เจ๊ง เจ๊งเพราะเซลส์ 3 คน และอีกอย่างการที่คุณพ่อให้โอกาสมันเป็นประสบการณ์ชีวิต ซึ่งหาไม่ได้ ถ้าคุณพ่อไม่ไปกู้เงิน 2 แสน ผมคงไม่มีทุกวันนี้ เพราะว่ามันทำให้เราไตร่ตรองก่อนที่จะทำอะไร เป็นประสบการณ์ราคาแพงมาก”
การประสบความสำเร็จที่ได้รับ ชายใจบุญของคนยากไร้ เตือนสติตัวเองและคนรอบข้างเสมอว่าต้องไม่หลงระเริงกับชื่อเสียงเกียรติยศ เงินทองที่ได้รับมา
“ผมจะสอนพนักงานผมทุกคน แม้แต่ลูกๆ ผมว่าคนเราต้องไม่ยึดติด รางวัลที่ได้มาแน่นอนมันเตือนสติเรา ให้เรารู้ว่าสิ่งที่เราทำมันช่วยคน แต่ขณะเดียวกันถ้าเราหลงกับสิ่งพวกนี้มันก็เหมือนกับสิ่งที่เรายกยอตัวเอง เราอุปโลกน์ตัวเองว่าเราสำคัญ มีคุณค่ากว่าคนอื่น ซึ่งเมื่อถึงเวลาเราต้องตายไปคนเขาก็ลืมหมดแล้ว เขาไม่สนใจว่าคุณสุรัตน์จะทำบุญอะไรมากมาย
ดังนั้นผมจะพยายามสอนลูก สอนพนักงานเวลาประชุมทุกครั้ง อย่าไปยึดติดกับหัวโขน เพราะสักวันคุณก็ต้องทิ้งหัวโขน หรือแม้แต่ตัวผมเอง ทุกวันนี้ผมก็เริ่มปล่อยวางหัวโขนต่างๆ ยกเว้นหัวโขนที่มันยังสามารถสร้างบุญกุศลได้”
ชีวิตนี้มันสั้น การเกิดมาแล้วได้ทำเพื่อสังคม ถือเป็นกำไรอย่างยิ่งสำหรับนักธุรกิจ 100 ล้านคนนี้ ในเมื่อมีชีวิตอยู่ควรจะสร้างคุณงามความดีตอบแทนแผ่นดินให้ได้มากที่สุด
“ผมมองว่าชีวิตนี้มันน้อย ในเมื่อเรามีชีวิตอยู่ตอนนี้ ทำไมเราไม่สร้างคุณงามความดี เกิดมาทั้งทีก็ไม่อยากให้เสียชาติเกิด ไม่อยากให้เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ ชีวิตนี้ผมมองว่าผมพอแล้ว ผมระลึกถึงคำสอนของในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านบอกว่าชีวิตนี้เราควรรู้จักพอ ผมก็บอกกับภรรยาและลูกว่า ทุกวันนี้ผมมีทรัพย์สมบัติให้ภรรยาและลูกๆ แล้ว ดังนั้นชีวิตที่เหลือถ้าเรารู้จักคำว่าพอ เราก็จะมองคนอื่นที่ไม่มีว่าเราจะช่วยเหลืออะไรเขาได้บ้าง ถ้าเราทำได้เราก็ควรที่จะทำ จะได้ไม่เสียชาติเกิดที่เกิดมาเป็นมนุษย์”
สัมภาษณ์ : รายการ “ฅนจริง ใจไม่ท้อ”
เรียบเรียง : ทีมข่าวMGR Live
เรื่อง : พัชรินทร์ ชัยสิงห์
ภาพ : เฟซบุ๊ก “สุรัตนธรรมสถาน คลินิกเวชกรรมสุรัตน์หนึ่งบาท รักษาฟรี”
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **