xs
xsm
sm
md
lg

ไม่ใช่ “พี่น้อง” แค่ในนาม!! “เด็กสาธิตจุฬาฯ-เด็กญี่ปุ่นเมืองโคเงะ” ยิ่งกว่าเรียนรู้ภาษา คือแลกเปลี่ยน “ความรู้สึก”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


“4 ปี” คือระยะเวลาที่สายสัมพันธ์ระหว่าง “เด็กสาธิตจุฬาฯ ฝ่ายประถม” และ “เด็กญี่ปุ่นเมืองโคเงะ” ใช้เวลาต่อยอดจากการ “แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม” จนพัฒนามาเป็น “มิตรภาพระหว่างประเทศ” ที่ช่วยซึมซับให้คำว่า “พี่น้อง” ตราตรึงอยู่ในความรู้สึก พร้อมช่วยเหลือในยามยาก ให้สมกับที่นับถือกันในฐานะ “โรงเรียนพี่น้อง” อย่างแท้จริง
 



ยืนยัน!! แลกเปลี่ยน “สาธิตจุฬาฯ” บันดาลใจเด็กได้มากกว่า

[ชูสุเกะ สึโบเนะ นายกเทศมนตรีเมืองโคเงะ]
ผมชอบเมืองไทยมากครับ และผมก็ชอบโรงเรียนสาธิตจุฬาฯ มากเช่นกัน ผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่เด็กๆ ได้เดินทางมายังกรุงเทพฯ มาแลกเปลี่ยนกันอีกครั้งที่โรงเรียนสาธิตจุฬาฯ ฝ่ายประถม และสามารถทำกิจกรรมแลกเปลี่ยนให้เกิดขึ้นจริงได้”

ชูสุเกะ สึโบเนะ (Shusuke Tsubone) นายกเทศมนตรีเมืองโคเงะ (Koge) จ.ฟุกุโอกะ (Fukuoka) ประเทศญี่ปุ่น ฝากความรู้สึกของเขาเอาไว้ ในวันที่ได้มาเยือนประเทศไทยอีกครั้ง พร้อมนักเรียนชั้นประถมจากเมืองโคเงะ 20 ชีวิต

ทั้งหมดคือเด็กน้อยผู้มาที่นี่ เพื่อเรียนรู้ภาษาอังกฤษและแลกเปลี่ยนวิถีชีวิตแบบไทยๆ ผ่าน “โครงการโรงเรียนพี่น้อง (Sister Schools) สาธิตจุฬาฯ ฝ่ายประถม ร่วมกับ เมือง Koge จ.ฟุกุโอกะ ประเทศญี่ปุ่น” ซึ่งปีนี้ดำเนินมาเป็นปีที่ 5 แล้ว



[แลกเปลี่ยนพวงมาลัย ต้อนรับคณะผู้บริหาร และนักเรียนญี่ปุ่น]
จริงๆ แล้ว โครงการแลกเปลี่ยนกับต่างประเทศแบบนี้ เมืองของเราทำมาตลอดนะครับ แต่ผลที่ได้มันต่างกัน ก่อนหน้านี้เราเคยส่งเด็กชั้นมัธยมต้น ไปแลกเปลี่ยนกับเด็กชั้นประถมกับประเทศออสเตรเลีย เพื่อให้เขาได้ฝึกภาษาอังกฤษ

แต่พอไปประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก กลายเป็นว่าเด็กของเรา (เด็กญี่ปุ่น) ไม่ค่อยมีแรงบันดาลใจในการฝึกเท่าไหร่ เพราะเขาคิดว่ายังไงคนที่นั่น ไม่ต้องพยายามเรื่องภาษาอะไรมาก ก็พูดได้อยู่แล้ว เพราะมันคือภาษาของเขา



[เข้าแถวต้อนรับ โบกธงชาติไทย-ญี่ปุ่น สะท้อนสัมพันธภาพอันดี]
แต่หลังจากเราเปลี่ยนมาส่งนักเรียนมาที่ไทย ปรากฏว่าพอเด็กญี่ปุ่นเห็นว่า เด็กๆ ตั้งแต่ชั้นประถมต้นของสาธิตจุฬาฯ เริ่มพูดภาษาอังกฤษได้แล้ว เทียบกับตัวเขาเองที่อยู่ ป.6 แล้วยังไม่ได้เท่านี้ เลยทำให้เขาเกิดแรงผลักดัน ที่ทำให้อยากพูดให้เก่งขึ้นให้ได้

พอกลับไปที่ญี่ปุ่น เด็กๆ เขาก็ชอบเอาไปเล่า เป็นเรื่องราวประทับใจว่า คนไทยพูดภาษาอังกฤษเก่ง ถึงคนไทยจะไม่ได้เป็นเจ้าของภาษาก็ตาม



[การแสดงของนักเรียนญี่ปุ่น ชุด "โซรางบูชิ (Soran Bushi)"]

[การแสดงชุด "โซรางบูชิ" เป็นเพลงพื้นบ้านดั้งเดิมของชาวฮอกไกโด]

ในฐานะหัวหน้าโครงการฝั่งญี่ปุ่น และฐานะนายกเทศมนตรีเมืองโคเงะแล้ว สึโบเนะมองว่าการเรียนรู้วัฒนธรรม จากการสัมผัสจริง-นอกตำรา คือหนทางที่ดีที่สุดแล้ว โดยเฉพาะถ้ามองในจากมุมของเมืองโคเงะ ซึ่งตั้งอยู่ระหว่าง “เมืองนางาซากิ (Nagasaki)” และ “เมืองฮิโรชิมะ (Hiroshima)” จุดที่ถูกทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ครั้งประวัติศาสตร์โลก

“คือถ้าลากเส้นผ่านศูนย์กลางผ่านทั้ง 2 จุดนั้น เมืองเราจะตัดอยู่ตรงกลางพอดี จึงทำให้เมืองของเราให้ความสำคัญกับการสร้างสันติภาพมาโดยตลอด จนกลายเป็นนโยบายหลักของเมือง ที่มุ่งมั่นจะสร้างสันติภาพกับคู่แลกเปลี่ยนประเทศต่างๆ เรื่อยมา



[การแสดงของนักเรียนไทย ชุด “ระบำชาวนา”]

และส่วนตัวแล้ว ผมก็อยากให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับญี่ปุ่น เป็นมิตรประเทศที่ดีต่อกันอยู่แล้ว เพราะผมรู้สึกว่าคนไทยนิสัยดี น่ารัก ส่วนคนญี่ปุ่นเองก็มีความเป็นกันเอง พร้อมที่จะทำความรู้จักกับคนไทย และถ้าเป็นไปได้ ผมก็อยากให้เราพัฒนาความสัมพันธ์แบบ “พี่น้อง” แบบนี้กันต่อไปเรื่อยๆ ให้แน่นแฟ้นยิ่งๆ ขึ้นไป

ผมคาดหวังว่าเมื่อเด็กๆ เหล่านี้ เติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ เขาจะให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในโอกาสอื่นๆ ต่อไป โดยมีจุดเริ่มต้นจากการที่ได้รู้จักกัน ผ่านทางโครงการแลกเปลี่ยนนี้ และนั่นจะทำให้การแลกเปลี่ยนระหว่างเมืองโคเงะ และสาธิตจุฬาฯ ฝ่ายประถม จะคงดำเนินอยู่สืบเนื่องตลอดไปครับ


[นายกเทศมนตรีเมืองโคเงะ - ผอ.โรงเรียนสาธิตจุฬาฯ ฝ่ายประถม จับมือร่วมแลกเปลี่ยนมิตรภาพ เป็นปีที่ 5 แล้ว]



เรียนรู้จากญี่ปุ่น ปลูกฝัง “วินัย” ในตัวเด็ก

[การแสดงชุด "ซารางบูชิ" แสดงถึงความสนุกสนาน และความสมบูรณ์ของอาหารการกิน]
ไม่ใช่แค่นักเรียนญี่ปุ่นเท่านั้น ที่ได้เดินทางมาแลกเปลี่ยนที่ไทย ในช่วงวันที่ 20-27 ส.ค.นี้ แต่นักเรียนชั้น ป.5 โรงเรียนสาธิตจุฬาฯ ฝ่ายประถม ก็ได้เดินทางไปเยือนประเทศแห่งซากุระ เป็นเวลานาน 1 อาทิตย์เช่นกัน ในช่วงเดือน ก.ย.-ต.ค.ปีที่แล้ว และกำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้งเป็นปีที่ 5 ในเดือน ก.ย.ที่จะถึงนี้

เกี่ยวกับเรื่องนี้ คนที่จะสะท้อน “มิตรภาพ” ครั้งที่แล้วมาได้ดีที่สุด คงหนีไม่พ้น คุณแม่แป้ง-ปรารถนา มังกรพานิชย์ ตัวแทนผู้ปกครอง “โครงการ Sister Schools” รุ่นที่ 4 (ปี 2561) คุณแม่ของ “น้องปริม-อิสราภา มังกรพานิชย์”



[คุณแม่แป้ง-ปรารถนา มังกรพานิชย์ ตัวแทนผู้ปกครอง “โครงการ Sister Schools” รุ่นที่ 4]
“พอกลับมาน้องก็รู้สึกประทับใจมากนะคะ โดยเฉพาะเรื่อง “ความตรงต่อเวลา” ของเด็กญี่ปุ่น และการทำกิจกรรมของเขาที่จะจริงจังกันมาก แม่ก็มองว่าหลังจากน้องได้ไปแลกเปลี่ยน น้องก็มีความเป๊ะมากขึ้นนะ (ยิ้ม) จากเมื่อก่อนอาจจะมีวินัยน้อยกว่านี้


[“น้องปริม-อิสราภา มังกรพานิชย์” (เด็กผู้หญิง) ผลผลิต “โครงการ Sister Schools” รุ่นที่ 4]
อาจจะด้วยความที่เขาได้ไปนอนบ้านคนญี่ปุ่นที่เป็นโฮสด้วย ทำให้ได้เรียนรู้วัฒนธรรมของคนที่นั่นจริงๆ มันเหมือนทำให้เขาได้ซึมซับหลายๆ อย่างเข้าไปในตัวจริงๆ โดยเฉพาะเรื่องมิตรภาพ ซึ่งเป็นอะไรที่สำคัญที่สุดแล้วค่ะ ถึงแม้เราจะต่างภาษากัน และถึงแม้ต่างฝ่ายต่างไม่ได้ใช้ภาษาแม่ของตัวเองก็ตาม



[ผศ.ทินกร บัวพูล ผอ.โรงเรียนสาธิตจุฬาฯ ฝ่ายประถม]
สะท้อนให้เห็นว่า วัตถุประสงค์ที่ ผศ.ทินกร บัวพูล ผู้อำนวยการโรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฝ่ายประถม ได้วางเอาไว้ ตั้งแต่เมื่อครั้งตั้งไข่โครงการ ได้ก้าวไปถึงเป้าหมายอย่างสง่างามเรียบร้อยแล้ว

“ในเรื่องเนื้อหาของกิจกรรมการแลกเปลี่ยน ทางสาธิตจุฬาฯ ของเรา ก็พยายามมองหาเรื่องใหม่ๆ ที่จะเข้ามาเติมเต็มมากขึ้น ปีที่ผานมาก็มีเรื่อง “การแลกเปลี่ยนทางดนตรี” ระหว่างเด็กไทยกับเด็กญี่ปุ่นด้วย คือต่างฝ่ายต่างให้โน้ตเพลงของตัวเองไป แล้วมาแกะเพลง เพื่อนำมาโชว์วันต้อนรับนักเรียนแลกเปลี่ยน อย่างที่วันนี้ก็ถูกหยิบขึ้นมาแสดงด้วย



[ยืนตรงคำเคารพธงชาติทั้ง 2 ประเทศ ขึ้นสู่ยอดเสา]
อีกเรื่องหนึ่งที่เราอยากให้เด็กๆ ได้เข้าถึงมากที่สุด ก็คือ “การแลกเปลี่ยนทางวิชาการ” ซึ่งทางญี่ปุ่นเองเขาก็ไม่เคยลืมให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้เลย

อย่างในปีนี้ เราก็ขอร้องให้เขาช่วยนำเสนอเรื่องของ "Zero Waste (แนวคิดการทำให้ขยะเหลือศูนย์)" และ “Safety School (หลักสูตรโรงเรียนปลอดภัย)” ที่เขาทำอยู่
โดยเฉพาะเรื่องแรกที่ต้องยอมรับว่า ทางญี่ปุ่นเขาไปไกลแล้ว และเราเองก็อยากได้บทเรียนจากเขา ในฐานะที่กำลังพยายามทำเรื่องนี้ในโรงเรียน ในมหาวิทยาลัย และในประเทศของเรา




เรียกว่าเป็นการแลกเปลี่ยนความต่าง แล้วหยิบเอาไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ที่สุดครับ รวมถึงเรื่อง “การสร้างวินัย” ในตัวเด็กๆ ด้วย ที่เด็กไทยอาจจะต้องเรียนรู้จากเด็กญี่ปุ่นเพิ่มอีก รวมถึงสถานศึกษาของเราเอง ที่ต้องศึกษาวิธีสอนที่แตกต่างกันออกไปด้วย”



ช่วยเหลือเมื่อทุกข์ยาก ความหมาย “โรงเรียนพี่น้อง” ที่แท้จริง

[ร่วมปลูก "ต้นหมากแดง" ตัวแทนความสัมพันธ์ระหว่างเมืองโคเงะ และโรงเรียนสาธิตจุฬาฯ ที่จะหยั่งยากลึก และยั่งยืนตราบนานเท่านาน]
ไม่ได้มีเพียงพัฒนาการด้านภาษาของเด็กๆ เท่านั้นที่น่าภาคภูมิใจ แต่การเติบโตด้านความรู้สึกระหว่างคน 2 แผ่นดิน ก็เป็นเรื่องราวที่น่าประทับใจแม้แพ้กัน บทพิสูจน์ในช่วงวิกฤษมลพิษทางอากาศ “ฝุ่น PM2.5” คือตัวอย่างที่ทำให้เห็นผลได้ชัดเจนที่สุด ผ่านมุมมองของ ผศ.ทินกร ผู้อำนวยการโรงเรียนสาธิตจุฬาฯ ฝ่ายประถม

“ช่วงที่เราถูกโจมตีด้วยมลพิษทางอากาศ และกำลังประสบปัญหาหน้ากากขาดแคลน หาซื้อที่ไหนไม่ได้ ตอนนั้นเราก็คิดขึ้นมาว่า ไหนลองสั่งซื้อไปทางญี่ปุ่นดูดีไหม มานั่งดูว่าเรารู้จักใครบ้าง เท่าที่นึกออกก็มีทางเมืองโคเงะนี่แหละครับ


[นายกเทศมนตรีญี่ปุ่น มอบของที่ระลึกให้ ผอ.โรงเรียนสาธิตจุฬาฯ ฝ่ายประถม]

เราก็เลยถามเขาเรื่องขอซื้อหน้ากากสัก 2,000 ชิ้นไป และทันทีที่เขาทราบข่าว เขาก็ซื้อบริจาคให้เราเลย ซึ่งตรงนี้แหละครับคือผลของความสัมพันธ์ ที่ทำให้เห็นถึงพัฒนาการความแน่นแฟ้นระหว่าง “พี่น้อง” จริงๆ ไม่ใช่แค่เฉพาะพิธีการปีละครั้ง แล้วก็จบไป



สะท้อนให้เห็นว่า ความเป็น “โรงเรียนพี่น้อง” หรือ Sister Schools ที่เราวางไว้ มันบรรลุผลไปได้อีกในระดับนึงแล้ว และถ้าเป็นไปได้ เราก็อยากให้เด็กๆ ทั้ง 2 ประเทศ มีการติดต่อสื่อสาร ไปมาหาสู่กันในระยะยาวด้วย

ย้อนกลับไปยังปีแรกของการริเริ่มโครงการ ซึ่งถูกจุดประกายขึ้นมาจากการช่วยประสานงานของ ศ.กิตติคุณ ดร.สุรินทร์ พงศ์ศุภสมิทธิ์ ประธานชมรม ไทย-ฟุกุโอกะ อดีตนักเรียนทุนจาก มหาวิทยาลัยคีวชู (Kyushu) จ.ฟุกุโอกะ และอดีตอาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ เมื่อนำมาเทียบกับวันนี้แล้ว ผอ.โรงเรียนสาธิตจุฬาฯ ฝ่ายประถม มองเห็นว่าถือเป็นพัฒนาการของสายสัมพันธ์ระหว่างกันอย่างชัดเจน



[เด็กไทย-เด็กญี่ปุ่น ร่วมรดน้ำต้นหมากแดง แทนมิตรภาพระหว่าง 2 ฝ่าย]
“ที่รู้สึกได้เลยคือความรู้สึกของคนที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นทางผู้บริหารของเขา เช่น นายกเทศมนตรี รวมถึงทีมงานในออฟฟิศของเขา ในเรื่องความกระตือรือร้นที่จะดูแลพวกเรา ยิ่งนานวันยิ่งรู้สึกว่าเขาให้ความสำคัญกับเรามากขึ้น

ส่วนตัวเด็กๆ และครอบครัวชาวญี่ปุ่น ปีแรกๆ เขาอาจจะไม่ค่อยรู้จักเมืองไทยเท่าไหร่ เลยไม่ได้กระตือรือร้นที่จะมามากนัก แต่ปีหลังๆ ได้ข่าวว่าเด็กๆ เขาก็แย่งกันลงชื่อมานะ ซึ่งเป็นตัวชี้วัดถึงความรู้สึกดีๆ ที่เขาได้รับจากโครงการนี้ได้



ผมมองว่ามันคือ “ความลงตัว” ของการแลกเปลี่ยนครั้งนี้นะ โดยเฉพาะการที่นักเรียนของเราได้เดินทางไปแลกเปลี่ยนที่โคเงะ ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ ที่มีความเจริญ ทำให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ “วิถีชีวิตในชนบท” ไปในตัว ในขณะที่เด็กๆ บ้านเขาที่ก็จะได้มาซึมซับ “วิถีชีวิตในเมืองใหญ่” จากความเป็นสาธิตจุฬาฯ ตรงนี้ไป



และที่สำคัญที่สุด ผมมองว่าความสัมพันธ์ที่ดีที่สุดระหว่างมนุษย์ด้วยกัน ก็คือ “ความสัมพันธ์แบบจริงๆ” ไม่ใช่ “ความสัมพันธ์แบบเสมือนจริง”

ถ้าเราได้สัมผัสกันด้วยอารมณ์จริงๆ ด้วยตัวเป็นๆ จริงๆ ผมมองว่าคงไม่มีอะไรมาทดแทนได้ ไม่ว่าเทคโนโลยีจะล้ำหน้าไปไกลขนาดไหนก็ตาม

และที่ยิ่งไปกว่าเรื่องของภาษาในการสื่อสารกัน ก็คือเรื่อง “ความรู้สึกดีๆ” ที่ได้แลกเปลี่ยนกันครับ ซึ่งผมมองว่านั่นแหละคือภาษาที่สำคัญที่สุด ที่เราควรแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน ถือเป็นการปูพื้นฐานไปสู่การเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในอนาคตครับ”







[ผอ.โรงเรียนสาธิตจุฬาฯ ฝ่ายประถม มอบของที่ระลึกให้ นายกเทศมนตรีเมืองโคเงะ]
















ข่าว: ทีมข่าว MGR Live
เรื่องและภาพ: อิสสริยา อาชวานันทกุล
ขอบคุณ: โรงเรียนสาธิตจุฬาฯ ฝ่ายประถม




** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **



กำลังโหลดความคิดเห็น