ใจบุญสมชื่อ “ร้านขนมปังเทวดา” ผู้จุดประกายสังคมแห่งการให้ “วันพระลดราคา” แจกฟรี “คนท้อง คนป่วย คนพิการ ผู้สูงอายุ” แถมยังเปิดสอนแนะแนวอาชีพ “ทำไส้ขนมปัง” ให้โดยไม่คิดเงินสักบาท เจ้าตัวเปิดใจ เป็นแค่คนตัวเล็กๆ ที่อยากช่วยสังคม เพราะเคยผ่านชีวิตที่ยากลำบากและ “ไร้โอกาส” มาก่อน
ผลกำไร = ความสุข
“ขนมปังเทวดา สตรีมีครรภ์ ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป ผู้ป่วยไข้ได้ทุกโรค ผู้ยากไร้ คนพิการ ได้สิทธิ์กินฟรีทุกวัน คนละ 3 ชิ้น”
นี่คือป้ายโปรโมชันชวนสะดุดตาของร้านขนมปังรถเข็นธรรมดาๆ ที่ไม่ธรรมดาของชายนักสู้ชีวิต “กองศักดิ์ จันทะสี” หรือ “สมชาย” เจ้าของร้าน “ขนมปังเทวดา” เจ้าดังย่านโรงพยาบาลสงฆ์ ซึ่งเขาย้อนเส้นทางการ “แบ่งปัน” ให้ฟังว่าได้เริ่มมาจากกลุ่มเป้าหมายเล็กๆ อย่าง สตรีมีครรภ์ก่อน
“ชื่อของร้าน “ขนมปังเทวดา” เพิ่งมาตั้งทีหลังนะครับ เมื่อก่อนจะใช้ชื่อว่า “ปังร้อนเอื้ออาทร” ตอนที่จะเปลี่ยนชื่อก็มานั่งคิดว่าคนไทยน่าจะชอบชื่ออะไรแปลกๆ หรือชื่อที่ธรรมดาโลกไม่จำ ผมเลยลองตั้งดู แต่ตอนนั้นยังไม่ได้แจกจริงๆ จังๆ แค่ว่าวันพระจะขายแผ่นละ 5 บาท จาก 7 บาท สำหรับสตรีมีครรภ์
พอขายไปได้เรื่อยๆ ก็มีน้องผู้หญิงคนหนึ่งที่กรมทางหลวง เขาบอกว่าทำไมพี่ไม่แจกฟรีสำหรับคนท้อง ไปเลยล่ะ ผมก็เอาเลย ฟรีก็ฟรี พอแจกไปได้สักพักหนึ่งก็เห็นว่าจะมีอีกกลุ่มหนึ่ง นั่นคือคนป่วย เพราะผมขายใกล้ๆ โรงพยาบาลสงฆ์ก็จะมีคนป่วยอยู่แถวนั้น ผมก็เลยให้คนท้องกับคนเป็นโรคไตกินฟรี
จากนั้นก็เริ่มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากสตรีมีครรภ์ คนป่วยโรคไต ก็มาถึงผู้สูงอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป คนพิการ คนยากไร้ คนป่วยทุกโรค หรือแม่ลูกอ่อนระยะให้นม ทุกคนจะได้กินฟรี คนละ 3 ชิ้นต่อวัน หรือที่บ้านมีคนแก่ก็ฝากไปให้ได้”
นอกจากความใจบุญของพ่อค้าขนมปังรายนี้ที่กลายเป็นที่ชื่นชมไปทั่ว ด้านบริการหลังการขายก็ถือเป็นจุดเด่นของร้านขนมปังเจ้านี้ด้วยเช่นกัน ซึ่งบอกเลยว่าหากลูกค้าคนใดซื้อกลับไปแล้วไม่สามารถทานได้ ให้กลับมารับขนมปังใหม่ได้ทันที
“จนตอนนี้มีบริการหลังการขาย เช่น คุณซื้อไปไม่สามารถที่จะทานได้ หรือการเปิดปากถุงไว้แล้วขนมปังโดนลมมันก็จะแข็ง คุณสามารถมารับกับผมใหม่ได้ โดยไม่ต้องมีหลักฐานมาเลยก็ได้ แค่มาบอกผมว่าเอาไปแล้วกินไม่ได้ ผมก็จะให้ขนมปังใหม่”
อย่างไรก็ดี ในช่วงค่ำของแต่ละวัน สมชายจะต้องจัดเตรียมไส้สำหรับทำขนม โดยมีทั้งหมด 4 ไส้ นั่นคือ ไส้ธัญพืชนมสดสำหรับคนรักสุขภาพ, ไส้มันม่วง, ไส้ชาไทย และไส้ใบเตย ซึ่งสูตรการทำไส้ขนมปังเหล่านี้เขาได้เรียนรู้มาจากคนรู้จัก และได้นำมาปรับปรุงให้ถูกปากตามสไตล์ที่เขาชอบ
“เรื่องสูตรที่เรียนมาก็มีมาปรับปรุงใหม่ ส่วนสูตรที่คิดเองก็มีทั้งหมด 3 ไส้ เมื่อทำไส้ขนมปังเรียบร้อย ผมก็จะไปซื้อขนมปังที่ตลาด แล้วค่อยออกไปขาย ส่วนจุดที่ผมขายจะมี 2 จุดหลักๆ โดยช่วงเช้ามืดจะอยู่ตรงมูลนิธิสายใจไทย หลังจาก 8 โมงจนถึง 5 โมงเย็น ผมถึงจะย้ายมาอยู่หน้า ม.มหิดล”
เปิดคอร์ส “สอนฟรี” ไม่หวงวิชา
“เมื่อตอนผมเป็นเด็ก ที่บ้านผมยากจนมาก ตอนนี้ก็ยังยากจนอยู่ แต่ไม่ถึงกับทุกข์ยาก ผมสามารถที่จะขยับขยายได้ ผมก็เลยเข้าใจคนที่เขาขาด คนที่ไม่มี กระทั่งคนที่ไม่เคยได้รับโอกาสเลย”
เพราะเคยผ่านจุดที่ยากลำบากมาก่อนจึงทำให้เข้าใจความรู้สึกของคนที่ไม่เคยได้รับโอกาสจากสังคม ซึ่งก่อนที่เขาจะกลายมาเป็นเจ้าของร้านขนมปังและมีกำลังในแบ่งปันให้กับสังคมแบบนี้ ชีวิตวัยเด็กถือว่าสาหัสมากเลยทีเดียว
“ในชีวิตผมที่ผ่านมาแทบจะไม่ได้รับโอกาสเลย ช่วงวัยเด็กผมก็เป็นเด็กที่มีปัญหา ไม่อยู่บ้าน ไปขอข้าววัดกิน ครั้งหนึ่งผมจำได้ไม่มีเสื้อผ้าใส่ก็ต้องไปรื้อขยะจนเจอ ผมเคยแย่งลูกตาลที่คนโยนให้เป็ดกิน นั่นคือความลำบาก มันแย่มากนะครับ
เมื่อก่อนผมขายผลไม้ทั่วไปนี่แหละ ขายไส้กรอก ขายลูกชิ้น แต่จะเน้นขายผลไม้ตามฤดูกาล มันก็เลยมีช่วงขึ้นช่วงลง ดีบ้างไม่ดีบ้าง เพราะเรารับต่อเขามา ผ่านมรสุมตกงานเลยได้ศึกษาธรรมะก็ช่วยเรื่องจิตใจและการมองโลกของผมได้เยอะเลย
จากนั้นผมก็เริ่มมาขายขนมปัง พอผมมีกำลังก็เลยเข้าใจคนที่ไม่ได้รับโอกาส คนที่ไม่มีเขาเป็นยังไง ที่ผมเริ่มมาแจกขนมปัง แรกๆ ครอบครัวก็ตำหนิอยู่นะ เพราะเราก็ใช่ว่าจะมีมากมาย แต่ตอนนี้เขาเข้าใจนะครับ หรือบางเรื่องผมก็ไม่ได้บอก
อย่างแจกเยอะไปหน่อยก็ไม่กล้าบอก (หัวเราะ) ผมเข้าใจว่าที่บ้านก็เป็นห่วง ผมก็เลยคิดว่าถ้าเราอยากแจกคนเยอะๆ ฉะนั้นเราต้องขยันให้มากกว่าเดิม จากที่ขายวันละ 600 - 700 ชิ้น ก็เพิ่มมาขายเป็น 1,080 ชิ้น แจกบ้าง ขายบ้าง ใช้แรงกายแรงใจเราทำเยอะๆ ครอบครัวก็จะไม่มีปัญหา”
ลำพังแค่การแจกขนมปังให้คนป่วย คนพิการ คนยากไร้ คนท้อง และผู้สูงอายุได้กินฟรีก็ถือเป็นการให้ที่ยิ่งใหญ่แล้ว แต่เขายังเป็นผู้ให้มากกว่านั้น คือการสอนทำไส้ขนมปังให้แก่ผู้สนใจนำไปประกอบอาชีพโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายอีกด้วย
“รุ่งรวี พันธุ์เจริญ” หนึ่งในผู้ที่มาเรียนทำไส้ขนมปังกับสมชาย เปิดใจให้ฟังว่าได้เรียนรู้การทำไส้ขนมปังหลากหลาย บางเรื่องตนก็ไม่เคยรู้มาก่อนก็ได้รับประสบการณ์ดีๆ ไว้เลี้ยงชีพตัวเองได้ในอนาคต
“พอมาเรียนกับเขาก็รู้อะไรหลายอย่าง ได้รู้เทคนิคเล็กๆ น้อยๆ ในการทำไส้สังขยาที่เราไม่รู้ การทำขนมปัง การหั่น อาจจะแตกต่างจากเจ้าอื่นที่เราเคยสัมผัส ส่วนเนื้อขนมปังก็นุ่มกว่าเจ้าอื่นด้วยค่ะ ที่เรียนตรงนี้จะนำไปต่อยอด เพราะเราก็ตั้งใจแล้วว่าจะไปขายหน้าร้านสะดวกซื้อแถวบ้านเหมือนกัน”
“แค่เห็นรอยยิ้ม ผมก็หายเหนื่อย”
“ผมไม่รู้สึกเหนื่อยนะ แต่มันก็มีที่เหนื่อยบ้าง พอได้พักมันก็หาย เพราะเวลาที่เราได้เจอรอยยิ้มของลูกค้าที่มาซื้อ หรือคนที่มารับขนมปังฟรีจากเรา คำขอบคุณ คำชื่นชมอวยพรจากใจของเขา มันทำให้เรามีแรงสู้ชีวิตต่อ”
แม้ในแต่ละวันสมชายต้องตื่นขึ้นมาเตรียมตัวตั้งแต่ตี 3 ทั้งยังขายขนมปังไปจนถึง 5 โมงเย็น ซึ่งเขายอมรับว่าจะต้องใช้แรงกายอย่างมาก แต่เมื่อเทียบกับความสุขจากผู้คนที่มอบกลับมาก็ถือว่าเป็นเรื่องคุ้มค่า ขณะที่ลูกค้าหญิงรายหนึ่งได้ชื่นชมในความใจบุญของเขาด้วยว่า นี่แหละคนดีที่สังคมต้องการ
“ซื้อเกือบทุกวันเลยค่ะ ลูกสาวชอบกิน ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าเขามีโปรโมชันแบบนี้ด้วย ก็เลยลองไปเสิร์ชดู จากนั้นถ้ามีโอกาสได้มาซื้อก็บริจาคเรื่อยๆ เรารู้สึกดี เพราะสังคมไทยปัจจุบันไม่ค่อยมีแบบนี้แล้ว เราก็ช่วยอุดหนุน คิดว่าสังคมไทยต้องการคนแบบนี้แหละ แม้พี่เขาไม่ค่อยอยากเอาเงิน แต่เราก็อยากช่วย”
เช่นเดียวกับ “เพทาย อ่ำเที่ยงตรง” พนักงานร้านขายยา คณะเภสัชศาสตร์ ม.มหิดล ได้พูดถึงการแบ่งปังของพ่อค้าเทวดารายนี้ด้วยว่า ชื่นชมในความดีและอยากให้ทำต่อไป เพราะการให้ทำให้สังคมไทยน่าอยู่
“สิ่งที่เขาทำมันดีอยู่แล้ว ขอให้เขาทำต่อไปเรื่อยๆ อย่างน้อยคนที่มีเงินน้อยหรือไม่มีโอกาส หรือคนที่อยากกินขนมปังของเขา แต่ไม่มีกำลังทรัพย์ก็จะได้กิน คนให้ก็มีน้ำใจ คนรับก็มีความสุข เรายืนดูอยู่ห่างๆ ก็ยังรู้สึกดีเลย”
สำหรับเรื่องราวที่ประทับใจที่สุด เขาบอกว่าคือการขายขนมปังในวันพระ เพราะนั่นหมายถึงวันที่ได้ลดราคาขนมปัง จากแผ่นละ 7 บาท เหลือแผ่นละ 5 บาท จากตรงนี้ทำให้เขานึกถึงชีวิตในวัยเด็กที่ไม่ต่างจากการตั้งตารอให้มาถึงงานเทศกาล
“วันที่ประทับใจที่สุด คือ วันพระ เพราะผมได้ขาย 5 บาท มันเหมือนกับวันนั้นเป็นวันเทศกาล เหมือนกับเด็กบ้านนอกเจอเทศกาลก็จะมีความสุขมาก ผมก็เลยมีความสุขเมื่อถึงวันพระ ได้ขาย 5 บาท และทำให้สังคมมีรอยยิ้มมากกว่าทุกวัน
ผมมีความสุขนะ ที่คนตัวเล็กๆ อย่างผมสามารถให้โอกาสกับสังคมได้ เพราะเราก็ฐานะไม่ดี ชื่อเสียงก็ไม่มี แต่เราสามารถช่วยคนอื่นได้ ขอบคุณทุกท่านครับที่ให้โอกาสผมได้แนะนำอาชีพ ผมไม่เรียกว่ามันคือการสอน ผมอยากแนะนำในสิ่งที่ตัวเองรู้ เพื่อที่เขาจะได้นำไปดูแลตัวเองและครอบครัวต่อได้
สำหรับผมนะ ผลกำไรคือความสุขของสังคม เพราะถึงเรามีเงิน แต่สังคมรอบข้างไม่มีความสุข เราก็มีความสุขได้ไม่เต็มที่ แต่ถ้าสังคมมีความสุข เราก็จะมีความสุขตามไปด้วย
ความหวังสูงสุดผมอยากจะสร้างอาณาจักรแห่งการแบ่งปัน อยากขยายการให้ การเอื้อเฟื้อให้ได้มากที่สุด สิ่งที่ทำมันเป็นเพียงจุดเริ่มต้น คือ การให้ ผมว่าเราทุกคนถ้ารู้จักการให้ การเอื้อเฟื้อแบ่งปัน มันก็จะมีความสุข”
สัมภาษณ์ : รายการ “ฅนจริงใจไม่ท้อ”
เรียบเรียง : ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง : พิมพรรณ มีชัยศรี
ขอบคุณภาพ : FB “ขนมปังเทวดา”
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **