อยากให้ไฟแดงนานกว่านี้หน่อย! สังคมพากันชื่นชมสาวใส่ชุดไทยขายพวงมาลัย สู้แดด-ไม่ห่วงสวย-ไม่เกี่ยงอาชีพ ขณะที่เจ้าตัวเปิดใจ กำลังลาออกจากงานประจำ อยากลองทำสิ่งที่ไม่เคยทำ เชื่อว่าทุกอาชีพเป็น “ครู” สอนประสบการณ์ชีวิต!
ขายมาลัย หาประสบการณ์ชีวิต!
“เอิ้นลาออกจากงานประจำด้วยเหตุผลว่าเราเหนื่อยจากงานแล้ว เราอยากรู้ว่าอาชีพอื่นเป็นยังไง เราอยากลองทำอะไรที่มันที่สุดในชีวิตดูบ้าง อยากลองลิ้มรสชาตินั้นดู (หัวเราะ) ถ้าถามว่าทำไมถึงต้องไปขายพวงมาลัย อย่างแรกเลยคือเห็นทุกวัน อย่างน้อยถ้าไม่เลือกงานก็ไม่ยากจน”
“เอิ้น - พัชญ์ภิญญา ถิระมาสสุวัณณ์” เปิดใจกับทีมข่าว MGR Live หลังกลายเป็นผู้ที่สังคมให้ความสนใจและพูดถึงเพียงข้ามคืน จากการเดินขายพวงมาลัยในชุดไทยกลางสี่แยกหนองจับเต่า จ.ชลบุรี
เธอย้อนให้ฟังว่า ก่อนหน้านี้เธอทำงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ในช่วงระหว่างการลาออกจากงานประจำที่ทำอยู่ จึงเกิดไอเดียอยากลองหาทำอะไรที่ตนไม่เคยทำมาก่อน เพื่อเป็นประสบการณ์ชีวิต
“ก่อนหน้านี้ ทำงานเป็นมาร์เกตติ้ง เอ็กเซ็กคิวทีฟ ที่สวนน้ำแห่งหนึ่งค่ะ แต่ตอนนี้ทำเรื่องลาออกแล้วในช่วงสิ้นเดือนนี้ ซึ่งคนเข้าใจผิดนะคะ (หัวเราะ) เอิ้นมีแพลนจะออกอยู่แล้ว แต่มาพอดีกับจังหวะที่เราอยากลองขายพวงมาลัยดู คนเลยเข้าใจว่าลาออกจากงานประจำเพื่อมาทำตรงนี้ หรือคิดว่าเราไปแย่งที่เขาขายหรือเปล่า
ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่นะคะ แต่พอได้มาลองทำดู ถามว่ามันต่างจากงานประจำไหม เอิ้นว่ามันก็ต่างนะ อย่างทำงานประจำมันแน่นอนตรงที่เราได้เงินเป็นรายเดือน แต่ทำตรงนี้จะต้องวางแผนชีวิตดีๆ เพราะไม่มีกฎไม่มีเงื่อนไขการทำงาน แต่ก็จะมีอิสระไปอีกแบบ ส่วนตัวเอิ้นเป็นคนลุยๆ ชอบทำอะไรหลายอย่างด้วย มาทำตรงนี้สนุกดีนะคะ”
เธอเล่าให้ฟังว่า หลังจากที่มีความคิดอยากขายมาลัยผุดเข้ามาในหัว จากนั้นก็ตัดสินใจลงพื้นที่และขอซื้อมาลัยต่อจากพ่อค้าแม่ค้าที่ประจำอยู่บริเวณสี่แยกทันที โดยเธอขอซื้อมาในจำนวน 30 - 40 พวง ใช้เวลาขายราว 2 ชั่วโมงถึงหมด
“ตอนแรกขอซื้อต่อก่อนค่ะ ถามพี่เขาว่ามีกี่พวงเหรอคะ หนูขอหมดเลยนะ อยากลองขายดู ที่ซื้อต่อมามีประมาณ 30 - 40 พวง เขาก็ขายต่อในราคาที่ขายอยู่ เราก็บอกเขาไม่ต้องลดราคานะคะ ก็เหมือนเราไปช่วยเขาขายให้พวงมาลัยหมดเร็วขึ้น เอิ้นใช้เวลาขายพวงมาลัยตั้งแต่ 5 โมงถึง 1 ทุ่มถึงหมด
พี่เขาก็มีแนะนำเทคนิคว่าต้องอยู่ฝั่งไหน ต้องรอไฟแดงถึงเดินมาข้างหน้า ต้องระวังรถยังไงบ้าง เราก็จะได้ทริกพวกนี้จากพี่ๆ ซึ่งก็ไม่คิดเหมือนกันว่าอาชีพนี้ก็มีทริกเล็กๆ น้อยๆ เป็นประสบการณ์ได้ด้วยเหมือนกัน ระหว่างที่เอิ้นเดินขายพี่เขาก็ยังอยู่นะคะ คอยเป็นกำลังใจให้ ช่วยดูรถให้”
นอกเหนือไปจากหน้าตาน่ารักของแม่ค้าเอิ้นที่ออกมาเดินขายมาลัยกลางสี่แยกแล้ว จุดเด่นสำหรับการขายในครั้งนี้คือการสวมใส่ชุดไทยอย่างสวยงาม สร้างความสนใจให้แก่ผู้ขับขี่รถที่สัญจรไปมามากเลยทีเดียว
“ส่วนชุดไทยที่เห็นในรูป ต้องบอกว่าก่อนหน้านี้เอิ้นไปเที่ยววัดแห่งหนึ่ง ที่วัดจะมีขายเสื้อคอกระเช้า ซึ่งตอนนั้นอากาศค่อนข้างร้อน เอิ้นเห็นก็ตัดสินใจซื้อมาว่าจะเปลี่ยนใส่เลย ส่วนผ้าซิ่น ผ้าถุงจะมีติดรถอยู่แล้วเป็นของคุณแม่ที่ซื้อมาจากเชียงใหม่ เราเห็นแบบนั้นก็ใส่ชุดนี้เลยแล้วกัน ไหนๆ ก็มีครบหมดแล้ว (หัวเราะ)
ด้วยความที่เราเป็นมาร์เกตติ้งด้วย เราก็คิดว่าชุดนี้มันน่าจะขายได้มากกว่าชุดปกตินะ ถ้าใส่ชุดธรรมดาแล้วปิดหน้าปิดตาก็จะขายได้ไม่มากหรือเปล่า ซึ่งตัวเอิ้นก็ไม่ได้กลัวแดดอยู่แล้ว เราก็ใส่คอกระเช้าออกมาเลย
ต้องบอกว่าตอนแรกที่ไปขายพวงมาลัย ที่บ้านก็ไม่รู้นะคะ เราคิดแล้วก็ทำเลย มีแค่พี่ที่ทำงานที่ไปด้วยวันนั้น แต่พอตอนนี้เป็นข่าว ที่บ้านก็โทร.มากันใหญ่ ตกใจกันหมด ก็บอกที่บ้านว่าไม่ต้องซีเรียสนะ หนูช่วยพี่เขาขายมาลัยเฉยๆ
หลังจากนี้ก็จะยังมาขายมาลัยอยู่นะคะ ถ้าเย็นไหนว่างก็จะออกมาช่วยพี่เขาขาย เพราะพี่เขาบอกว่าวันๆ หนึ่งกว่าจะร้อยมาลัยเสร็จ กว่าจะขายได้ก็ใช้เวลา หรือที่คิดไว้ว่าถ้าเช้าไหนเอิ้นมีเวลาก่อนเข้างานก็อยากมาขายเหมือนกัน”
ไม่เลือกงานไม่ยากจน
“พอได้ไปสัมผัสแล้วก็รู้ว่าเหนื่อยกาย มันไม่เท่าเหนื่อยใจจริงๆ นะ เราได้รับรอยยิ้มจากคนที่มาอุดหนุน เราขายไปก็ได้รอยยิ้มกลับมา มันทำให้รู้สึกดีนะคะ เป็นกำลังใจให้เรายิ้มได้ในวันที่เราเหนื่อย ถ้าเราทำอะไรแล้วเห็นคุณค่าของตัวเอง เห็นคุณค่าของคนอื่น เราก็จะมีความสุข”
แม่ค้าพวงมาลัยมือใหม่เผยความรู้สึก หลังจากที่ได้ลองขายมาลัยเป็นวันที่สอง แม้เธอจะยอมรับว่าสิ่งที่ทำอยู่จะไม่ได้สร้างรายได้หรือทำกำไรใดๆ ให้แก่เธอ เพราะความตั้งใจแรกเริ่มคืออยากลองทำสิ่งที่ไม่เคยทำ แต่ผลที่ได้กลับเป็นพลังบวกให้แก่เธออย่างที่ไม่เคยคิด
“จริงๆ เราไม่ได้อะไรเลย ได้รอยยิ้มอย่างเดียวค่ะ แน่นอนว่าเราทำงานบริษัท จะต้องเครียดอยู่แล้ว อย่างเอิ้นทำหน้าที่มาร์เกตติ้งก็ต้องแอ็กทีฟอยู่เสมอ พอเราทำงานทั้งวันก็อยากทำอะไรที่คลายเครียดบ้าง ให้ได้เจอคนใหม่ๆ บ้าง ได้คุยกับคนอื่นๆ บ้าง”
แน่นอนว่าสิ่งที่เธอทำมีทั้งเสียงชื่นชมในแง่บวกและคำวิจารณ์ในด้านลบ ซึ่งเธอเองก็ยอมรับว่าได้รับฟังมาบ้าง แต่คิดเสมอว่าสิ่งที่ทำเป็นสิ่งที่ดี รวมถึงนำความสามารถด้านมาร์เกตติ้งของเธอมาแบ่งปันวิธีขายให้แก่พ่อค้าแม่ค้าอีกด้วย
“ที่ทำตรงนี้ก็มีคนถามมาว่าเราสร้างภาพหรือเปล่า แต่เรารู้ว่าเราทำอะไร ไม่เป็นไร เราทำดีแล้ว เอิ้นไม่ได้คิดอะไรนะ มันเป็นธรรมดาแหละ ถ้าจะมีคนที่มองอีกแง่หนึ่ง ความคิดของเขาเราก็ไม่สามารถไปบังคับใครได้ เราไม่สามารถอธิบายให้ทุกๆ คนฟังได้ว่าเราคิดยังไง ซึ่งถ้าเราทำดีแล้ว และรู้ตัวเองก็พอ
ถ้าเราลองทำ เราลองใส่ชุดแบบนี้ แล้วเราขายได้ เราไม่ได้คิดว่าตัวเองสวย เราแค่อยากบอกทริกกับพี่ๆ ว่า ถ้าขายพวงมาลัย แล้วเขียนข้อความอะไรที่เป็นกิมมิกได้ มันก็จะช่วยขายของได้นะ หรือการที่แต่งชุดประหลาดๆ หรือใส่ชุดที่นำวัฒนธรรมไทยเข้ามาได้ก็ดีนะ ที่สำคัญตรงนี้เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวมากันเยอะด้วย
เราคิดในด้านของการตลาด แต่ไม่ได้คิดว่าจะเป็นข่าวนะคะ (หัวเราะ) เราคิดให้พี่ๆ เขาดู อยากลองบอกคนขายพวงมาลัยหลายๆ คนว่า ลองทำแบบนี้ไหม มันอาจจะดีขึ้นนะ เราก็อยากแนะนำถ้าเราได้ไปจับอาชีพอะไรสักอาชีพหนึ่งแล้วมากกว่าค่ะ”
สุดท้าย เอิ้นยังกล่าวถึงอาชีพทุกอาชีพด้วยว่าล้วนมีความสำคัญเหมือนกันหมด อย่างอาชีพขายพวงมาลัยที่เธอได้มาสัมผัสก็พบว่าการเหนื่อยล้าหายได้ด้วยรอยยิ้มจากลูกค้าระหว่างทาง แถมทุกอาชีพยังเป็นครูที่สอนประสบการณ์ชีวิตของเธอได้ด้วย
“มันหายเหนื่อยตรงที่มีคนยิ้มให้เรา ถามว่ามันลำบากไหม มันก็ไม่เชิงเหนื่อยหรือร้อน แต่พอค่ำแล้วเรารู้สึกว่ารถน้อยลง เราจะเข้าใจพี่ที่เขาขายมาลัยอยู่เลยว่า ตอนติดไฟแดงมีรถเหลือแค่ 3-4 คัน ถ้ารถน้อยลงก็จะรู้สึกเหนื่อยขึ้นมาทันที ตอนรถเยอะๆ เราขายได้ เราก็ไม่เหนื่อย
จริงๆ ถ้าเราไม่เลือกงานก็ไม่ยากจน เป็นคำคมที่ได้ยินมานาน ซึ่งเอิ้นคิดว่ามันใช้ได้จริง ที่สำคัญคือการไม่ดูถูกอาชีพที่ด้อยกว่าหรือไม่ตัดสินคนอื่นจากอาชีพที่เขาทำ เราต้องเข้าใจว่าทุกๆ คนคือครูที่จะสอนเรา ไม่ว่าจะเป็นคนที่เด็กกว่า หรือคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อน เราก็ต้องรับฟัง เพราะทุกคนคือ “ครู” ของเรา”
ข่าวโดย MGR Live
ขอบคุณภาพ FB : Nantapon Thipsri
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **
