แม้จะเป็นวันหยุด แต่หัวใจจะหยุดเต้นไม่ได้! เปิดภารกิจจากปาก “ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ” ควบสองล้อ นำส่ง “หัวใจ-คนเจ็บ-คนท้อง” ให้ถึงมือหมอแข่งกับเวลา พร้อมแก้ปัญหารถติด-รถเสีย ให้แก่ประชาชนในทุกสถานการณ์ ปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชดำริอย่างสุดความสามารถ จนผู้คนต่างยกย่อง พร้อมใจยกมือท่วมหัว รำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้
เปิดวินาทีชีวิต ตำรวจฯ “นำส่งหัวใจ” ไปเปลี่ยนถ่าย
“การนำส่งหัวใจครั้งล่าสุดก็ราบรื่นดี เป็นรายที่ 15 แล้วครับ การนำส่งอวัยวะหัวใจเป็นอวัยวะที่เร่งด่วนที่สุด เพราะต้องใช้เวลาจำกัด หลังจากที่ทางแพทย์ตัดเส้นเลือดใหญ่แล้ว จะมีเวลา 4 ชม.เท่านั้น ยิ่งภารกิจล่าสุด ต้องเดินทางมาจากต่างจังหวัด ระหว่างผ่าตัด ระหว่างขึ้นเครื่อง ระหว่างลงเครื่อง ระหว่างตำรวจนำ ก็ใช้เวลาไปพอสมควร และในส่วนขั้นตอนของแพทย์ที่จะไปผ่าตัดเพื่อเปลี่ยนให้แก่คนป่วยที่โรงพยาบาลก็ต้องใช้เวลาอีก ก็ถือว่าเป็นวินาทีต่อวินาทีกับภารกิจที่ชีวิตหนึ่งกำลังจะจบสิ้นลงแต่หัวใจยังใช้การได้ เพื่อไปต่อชีวิตให้แก่อีกชีวิตหนึ่งที่จะต้องอยู่ในโลกนี้ต่อไป”
ร.ต.อ.พิเชษฐ วิเศษโชค รองสว.งานปฏิบัติการจราจร ตามโครงการพระราชดำริ เปิดเผยภารกิจที่เรียกได้ว่าเป็น “วินาทีชีวิต” ให้แก่ทีมข่าว MGR Live ได้ทราบ หลังจากที่โลกออนไลน์มีการแชร์คลิปวิดีโอการปฏิบัติหน้าที่ของขบวนรถตำรวจในโครงการพระราชดำริ คือการ “นำส่งหัวใจ” ให้ถึงที่หมายโดยเร็วที่สุด เพราะแม้จะเป็นวันหยุดแต่หัวใจจะหยุดเต้นไม่ได้
“เบื้องต้น เราก็ได้รับการประสานว่าให้นำอวัยวะไปยังจุดหมายปลายทาง จะมาลงที่สนามบินดอนเมืองตอน 13.00 น. ตำรวจโครงการพระราชดำริก็ไปรับที่ฝูงบิน 604 แล้วก็นำไปโรงพยาบาลจุดหมาย ก็ราบรื่นดี รถเยอะแต่ก็ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงครับ สำหรับหัวใจที่นำส่งผมไม่สามารถเปิดเผยได้ว่ามาจากที่ไหน เพราะเป็นกฎระเบียบของทางด้านผู้ที่เกี่ยวข้องครับ
ปัจจุบัน คนใช้รถใช้ถนน 99.99% สังคมไทยดีขึ้นในเรื่องของการหลบให้แก่รถพยาบาล รถฉุกเฉิน ทุกเคสเลยไม่ว่าจะเป็นการนำอวัยวะหรือการนำคนเจ็บคนป่วยหรือหญิงใกล้คลอด มีน้อยคนที่จะไม่หลบ บางครั้งอาจเกิดความตกใจ ด้วยเสียงสัญญาณแสงของตำรวจ ทำอะไรไม่ถูก แต่โดยปกติก็อย่างที่ผมบอก ส่วนมากเขารู้ว่ากฎระเบียบ พ.ร.บ.จราจรในเรื่องของการหลบทางให้รถฉุกเฉินระหว่างปฏิบัติหน้าที่นั้น เมืองไทยปัจจุบันดีขึ้นมากกว่าเมื่อก่อนเลยครับ
ผมเป็นตำรวจโครงการพระราชดำริตั้งแต่ปี 41 เมื่อก่อนมันไม่เป็นแบบนี้ แต่ปัจจุบันผู้ใช้รถใช้ถนนเขาชิดซ้ายให้ ชิดขวาให้ ใน emergency lane ที่จะมุ่งหน้าโรงพยาบาลต่างๆ ก็สามารถลุล่วงไปด้วยดี ยิ่งเคสนำส่งหัวใจ ที่ผ่านมาสำเร็จ100% เลยครับ บางครั้งอาจจะขึ้นอยู่กับสภาพการจราจร สภาพภูมิอากาศ ซึ่งตำรวจจราจรตามตู้สัญญาณไฟต่างๆ ตาม สน.ต่างๆ เขาก็ให้ความร่วมมือดี”
แม้ รอง สว.งานปฏิบัติการจราจร จะปฏิบัติหน้าที่เป็นตำรวจตามโครงการพระราชดำริมากว่า 21 ปีแล้ว แต่เขาก็ยอมรับด้วยเสียงอันหนักแน่นว่า ไม่มีภารกิจใดเลยที่ไม่ตื่นเต้นและลุ้นระทึก โดยเฉพาะในเคสการนำส่งหัวใจช่วงต้นปีที่ผ่านมา ที่ไม่เพียงแค่ต้องแข่งกับเวลาเท่านั้น แต่ยังต้องแข่งกับสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ ก็คือสายฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุระหว่างทาง กลายเป็นอุปสรรค 2 ต่อ
“ผมขออนุญาตนำเรียนว่า ทุกภารกิจตื่นเต้นและจำเป็นเร่งด่วนทุกๆ เคสครับ แต่มันจะมีอยู่เหตุการณ์หนึ่งเมื่อตอนต้นปี ระหว่างที่คุณหมอกำลังผ่าตัดหัวใจผู้ที่บริจาคอยู่ เพื่อที่จะนำหัวใจไปโรงพยาบาลใดโรงพยาบาลหนึ่งที่ต้องการ ตอนนั้นฝนมันตกหนักมาก พวกผมและทีมงานก็ภาวนาว่า หลังจากคุณหมอผ่าตัดเสร็จสิ้น ขอให้ฟ้าบันดาลให้ฝนหยุดตกเถิด
ด้วยพระบารมีของในหลวงรัชกาลที่ 9 และในหลวงรัชกาลที่ 10 ปรากฏว่าเมื่อเสร็จสิ้นการผ่าตัด ฝนก็หยุดจริงๆ และวันนั้นการนำอวัยวะไปโรงพยาบาลก็ไปโดยไม่มีสายฝน ถือว่าลุล่วงไปด้วยดี ปลอดภัย หัวใจก็สามารถใช้การได้ครับ แต่ขอย้ำว่าเหตุการณ์ทุกเหตุการณ์ตื่นเต้น แม้กระทั่งการนำเด็กป่วย เด็กอยู่ในรถพยาบาลออกซิเจนใกล้จะหมด หรือว่าคนป่วยที่หยุดหายใจไปแล้ว 2 ครั้ง ทุกครั้งมันถือว่าเป็นเหตุการณ์ฉุกเฉินครับ”
สำหรับตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ เกิดจากพระมหากรุณาธิคุณของในหลวงรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ที่ทรงห่วงใยพสกนิกรที่ได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาการจราจร จึงพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์แก่กรมตำรวจในขณะนั้น ในการนำไปจัดซื้ออุปกรณ์และพาหนะเพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ซึ่งโครงการนี้ได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนกันยายนปี พ.ศ.2536 และมีการดำเนินการเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ ทำคลอดได้ แต่เขียนใบสั่งไม่ได้!
หลายคนอาจสงสัยว่า หน้าที่ของตำรวจจราจรโครงการพระราชดำรินั้นมีอะไรบ้าง และมีความแตกต่างจากตำรวจทั่วไปอย่างไร ร.ต.อ.พิเชษฐ จึงได้อธิบายเพิ่มเติมไว้ตามบรรทัดต่อจากนี้
“การทำงานของตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริโดยทั่วไปจะเป็นในเรื่องของการอำนวยความสะดวกด้านจราจร แต่หน้าที่ที่นอกเหนือตำรวจจราจรโดยทั่วไปคือ เรามีโครงการ “หมอคน - หมอถนน - หมอรถ” หมอคนคือการปฐมพยาบาลเบื้องต้น นำคนเจ็บ-คนป่วยส่งโรงพยาบาล หญิงใกล้คลอดถ้าไปไม่ทันก็ช่วยทำคลอดกันบนถนนได้ การช่วยเหลือ การ CPR การนำอวัยวะหัวใจไปเปลี่ยนถ่ายให้แก่คนป่วยในโรงพยาบาล
ในส่วนของหมอถนน ก็อำนวยความสะดวก แก้ไขปัญหาจราจร จัดการจราจรตามหน้าโรงเรียน ตามงานพระราชพิธีต่างๆ หรือตามที่ผู้บังคับบัญชามอบหมาย ส่วนหมอรถ จะมีตำรวจช่างคอยให้ความช่วยเหลือรถที่จอดเสียในทาง รถประจำทางที่ขับมาแล้วเกิดเสียแล้วเคลื่อนย้ายไม่ได้ ก็ให้ตำรวจโครงการพระราชดำริไปปลดเหล็กล็อกแล้วก็ให้รถยกของโรงพักต่างๆ เคลื่อนย้าย เพื่อแก้ไขปัญหาจราจร นี่คือการทำงานของตำรวจโครงการพระราชดำริ
และอีกอย่างหนึ่งคือ เราไม่บังคับใช้กฎหมายในเรื่องของ พ.ร.บ.จราจร คือตำรวจไม่มีใบสั่งนั่นเองครับ เรามีอำนาจนะครับแต่ไม่มีหน้าที่ ตำรวจทุกชั้นยศมีอำนาจในการจับกุมความผิดซึ่งหน้าทุก พ.ร.บ. แต่ผู้บังคับบัญชาไม่ให้มีหน้าที่ไปเขียนใบสั่งหรือจับคนไม่สวมหมวกนิรภัย ไม่ให้มีหน้าที่ไปจับคนขับรถฝ่าไฟแดง แต่เรามีอำนาจอยู่ในมือ พ.ร.บ.จราจรทางบก เราสามารถว่ากล่าวตักเตือนได้ เป็นการแนะนำ สร้างความรู้ให้แก่พี่น้องประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนได้”
แม้จะมีหน้าที่ใกล้เคียงกับตำรวจจราจรทั่วไป แต่ส่วนใหญ่ที่ประชาชนเห็นผ่านตาบนสื่อโซเชียลฯ จะเป็นในด้านของการอำนวยความสะดวกทางการแพทย์ รวมถึง “การทำคลอดฉุกเฉิน” ที่มีทารกจำนวนไม่น้อยผ่านมือ “คุณหมอจำเป็น” ก่อนที่หนูน้อยเหล่านั้นจะถึงมือสูตินรีแพทย์ตัวจริง
“ปัจจุบัน เรามีเจ้าหน้าที่ 100 กว่านายครับ แต่ในส่วนของชุดเคลื่อนที่เร็วมี 17 นาย คอยเปิดทางอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ป่วย คนท้อง การนำอวัยวะหัวใจไปเปลี่ยนถ่ายให้แก่โรงพยาบาล ในการทำหน้าที่ของตำรวจโครงการพระราชดำริเราปฏิบัติหน้าที่ในกรุงเทพฯ ชั้นในเท่านั้นครับ ก็คือ ถนนดินแดง, พหลโยธิน, ราชวิถี, พระราม 1, พระราม 4 และอื่นๆ เพราะโรงพยาบาลที่เกี่ยวข้องจะอยู่ในกรุงเทพฯ ชั้นใน ส่วนโรงพยาบาลที่อยู่รอบนอกการจราจรไม่ติดขัด
ในโซเชียลฯ ที่เห็นบ่อยๆ จะเป็นในส่วนของหมอคนและหมอรถ และจะมีเคสที่ไปโรงพยาบาลไม่ทัน อาจจะด้วยปัจจัยใดๆ ก็แล้วแต่ อย่างกรณีหญิงใกล้คลอดที่ต้องคลอดในรถ ต้องคลอดในบ้าน เราไม่เคยคิดว่าจะต้องทำคลอด เราจะแค่เพียงเปิดทางอำนวยความสะดวกจราจรให้ถึงโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุดเท่านั้น เพราะว่าเราเป็นตำรวจ เราไม่ใช่หมอ เราไม่ใช่ผู้มีวิชาชีพ
แต่ปัจจุบัน สภาพการจราจรของกรุงเทพมหานครนั้น รถมันก็ติดบ้าง ทำให้คนที่เขาไปคลอด คลอดไม่ทัน ต้องคลอดกันกลางทาง เราก็ต้องช่วย ถ้าเราไม่ช่วย อันตรายจะเกิดกับแม่และเด็ก แต่ที่จริงแล้วถ้ามีหมอ มีกู้ภัย ก็เป็นหน้าที่ของผู้มีวิชาชีพ แต่ถ้าไม่มีใครเลย เราจะอยู่เฉยๆ มองดูโดยไม่ทำอะไร มันก็เป็นไปไม่ได้ ตำรวจก็เลยต้องช่วยในเรื่องของการคลอดฉุกเฉินตามขั้นตอนที่ได้รับการฝึกอบรมมาในการดูแลหญิงที่คลอดบุตรเบื้องต้นเท่านั้น หลังจากนั้น เราก็รีบนำส่งโรงพยาบาลที่ใกล้เคียงโดยเร็วที่สุด เปิดทางอำนวยความสะดวกจราจรให้ถึงมือหมอโดยเร็วที่สุด นับตั้งแต่เปิดโครงการมาก็ช่วยทำคลอดฉุกเฉินไป 179 รายครับ”
สุดท้าย ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริได้ขอความร่วมมือพี่น้องประชาชน หากพบเห็นการปฏิบัติหน้าที่บนท้องถนนแล้ว ช่วยหลีกทางให้ขบวนรถของเจ้าหน้าที่ เพราะทุกวินาทีมีความสำคัญต่อผู้ป่วยมาก ให้ถือว่าเป็นการทำภารกิจร่วมกัน
“สำหรับช่องทางการเรียกใช้บริการถ้าเกิดวิกฤต ก็ประสานมาได้ที่ สายด่วน 1197 กองบังคับการตำรวจจราจร หรือศูนย์วิทยุของโครงการพระราชดำริครับ โทร.0-2354-6324 ถ้าจำไม่ได้ก็ 191 ครับ และยังมีภาคส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรายการวิทยุ โทรทัศน์ ก็ประสานมาได้ ไม่ว่าจะเป็น จส.100 โทร.1137 สวพ.91 โทร.1644 และศูนย์เอราวัณ โทร.1646 ก็สามารถแจ้งมาได้ เพื่อที่เราจะไปอำนวยความสะดวกให้พี่น้องประชาชนครับ
แล้วผมก็ฝากไปถึงผู้ใช้รถใช้ถนนบางคนบางท่านที่ยังไม่ทราบ ถ้าเห็นตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริสวมหมวกนิรภัยสีขาวคาดน้ำเงิน ขับรถมอเตอร์ไซค์สีน้ำเงินคาดขาว สวมเสื้อสะท้อนแสงสีน้ำเงินคาดขาว กำลังเปิดสัญญาณไฟ นำรถแท็กซี่ นำรถพยาบาล ก็ขอให้พี่น้องประชาชนช่วยกันชิดซ้ายนิด ชิดขวาหน่อย เพื่อที่จะนำคนเจ็บ-คนป่วยไปถึงมือหมอโดยทันเวลา เพื่อการปฏิบัติภารกิจบนท้องถนนจะได้อยู่บนท้องถนนโดยน้อยที่สุด ทำให้พี่น้องประชาชนที่ป่วยหรืออวัยวะหัวใจปลอดภัย สามารถถึงโรงพยาบาลโดยใช้เวลาน้อยที่สุด นี่คือภารกิจที่อยากฝากไว้ให้แก่พี่น้องผู้ใช้รถใช้ถนนครับ”
ข่าวโดย : ทีมข่าว MGR Live
ขอบคุณภาพและข้อมูล : เพจเฟซบุ๊ก “1197 สายด่วนจราจร” และ “ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ กองบังคับการตำรวจจราจร”
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **