xs
xsm
sm
md
lg

สะท้อนใจ “แม่น้องการ์ตูน” เหยื่อตีนผี เทียบคดีเหยื่อแพรวา “คำสั่งศาลแค่กระดาษใบเดียว”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์




“แม่เข้าใจเหยื่อของคดีแพรวาเลยค่ะ” เจาะใจ แม่ “น้องการ์ตูน” เหยื่อกระบะตีนผี แม้ชนะคดีแต่ผ่านไปหลายปี ไม่ได้รับเงินเยียวยา - ไม่เคยเจอหน้า - ไม่ได้ยินคำขอโทษจากคู่กรณีแม้แต่น้อย ฉะกระบวนการยุติธรรม “แค่ศาลสั่ง แต่เขาไม่มีจ่าย ก็แค่กระดาษใบเดียวที่ไม่มีค่าอะไรเลย”!

“เขาติดคุกแล้ว ออกมาแล้ว แต่เหยื่อเหมือนตายทั้งเป็น”

ยังคงกลายเป็นประเด็นร้อนที่สังคมให้การพูดถึงกับการทวงถามความรับผิดชอบจาก แพรวา เทพหัสดิน ณ อยุธยา หลังคดีอุบัติเหตรถเก๋งฮอนด้า ซีวิค สีขาว ที่เธอขับชนเข้ากับรถตู้โดยสาร ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 9 ราย และผู้บาดเจ็บ 5 คน จนเวลาผ่านไป 9 ปี ถึงตอนนี้ครอบครัวของผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บอีกหลายบ้าน ยังไม่ได้รับเงินเยียวยา หรือแม้แต่หน้าแพรวาก็ได้เห็นแค่เพียงครั้งเดียว!

สำหรับเหตุการณ์ในครั้งนั้น ผู้เสียชีวิตทั้ง 9 รายคือ นฤมล ปิตตาทะนัง (คนขับรถตู้), ภิญโญ จินันทุยา (ผู้ช่วยคณบดี มธ.), ดร.ศาสตรา เช้าเที่ยง (นักวิจัย), อุกฤษณ์ รัตนโฉมศรี (ผู้ช่วยนักวิจัย), ตรอง สุดธนกิจ (นักศึกษ), เกียรติมันต์ รอดอารีย์ (นักศึกษา), ปรัชญา คันธา (นักศึกษา), สุดาวดี นิลวรรณ (นักศึกษา) และจันจิรา ซิมกระโทก (นักศึกษา) ในจำนวนนี้มีเพียงคนขับตู้ที่ได้รับเงินเยียวยา จำนวน 20,000 บาท

ในจำนวนนี้มีเพียงวรัญญู ที่รอรับเงินเยียวยาจำนวน 4,000 บาท ผ่านไป 9 ปี จากเงินเยียวยาที่แพรวาต้องจ่ายจำนวน 26,000,000 บาท รวมแล้วครอบครัวของผู้สูญเสียกลับได้รับเงินเยียวยารวมกันยังไม่ถึง 30,000 บาทเลยด้วยซ้ำ








จากเหตุการณ์นี้เอง ล่าสุด ศรัญญา ชำนิ คุณแม่ของ “น้องการ์ตูน - นราศิริ ศักดิ์สืบพันธ์” เด็กหญิงผู้ถูกรถกระบะเสียหลักพุ่งเข้าชนร้านสเต๊ก ปากซอยเอกชัย 119 เธอได้ออกมาโพสต์ระบายความในใจในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันนี้ ผ่านเพจเฟซบุ๊ก “ร้านสเต๊กคุณแม่การ์ตูน Mother's Grill Steak House “ย่างด้วยรัก หมักด้วยใจ” ถึงกระบวนการยุติธรรมของไทยว่า “กระดาษแผ่นเดียว จากคำสั่งศาลไม่สามารถลบความเจ็บปวดที่เราได้รับ ต่อให้ได้พันล้าน ถ้าแค่ศาลสั่ง แต่เขาไม่มีจ่าย ก็แค่กระดาษใบเดียวที่ไม่มีค่าอะไรเลย”

ไม่รอช้า ทีมข่าว MGR Live ได้ต่อสายตรงไปยังคุณแม่ศรัญญา ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น เพราะถือได้ว่าเธอเป็นอีกคนที่ตกอยู่ในสถานะเช่นเดียวกับ 9 ครอบครัวข้างต้น ตลอดระยะเวลาเกือบ 5 ปีตั้งแต่เกิดเรื่องครอบครัวเธอก็ตกอยู่ในความทุกข์สาหัส เหตุการณ์ในครั้งนั้นได้พรากสามีของเธอไปอย่างไม่มีวันกลับ ส่วนลูกสาวก็บาดเจ็บสาหัส จนกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง แม้ในส่วนของคดีความได้สิ้นสุดลงแล้ว และศาลสั่งให้คู่กรณีชดใช้ค่าเสียหายให้เธอ แต่ก็ไม่ได้รับการติดต่อ เงินเยียวยา หรือคำขอโทษใดๆ จากทางคู่กรณีแม้แต่อย่างเดียว เช่นเดียวกับเหยื่อในคดี #แพรวา 9 ศพ



จริงๆ กฎหมายดีนะคะ แต่ว่ามีช่องโหว่หลายๆ อย่าง ที่ช่วยผู้กระทำความผิดมากกว่าช่วยเหยื่อด้วยซ้ำ แล้วมันก็ทำให้เหยื่อต้องมาดิ้นรนต่อไปกันเอง มันก็จบแค่ชั้นศาลเท่านั้น คนกระทำผิดส่วนมากเขาสู้กันในชั้นศาลเท่านั้น หลังจากนั้นมาเขาแทบจะไม่สนใจอะไรเลยด้วยซ้ำ แม่เข้าใจเหยื่อของคดีแพรวาเลยค่ะ”

เขาติดคุกแล้วเขาออกมาได้ใช้ชีวิตเหมือนคนปกติ แต่เราเหมือนติดคุกตลอดชีวิต น้องก็ทรมานตลอดชีวิต เขาทำให้เราตายทั้งเป็น”




สำหรับความคืบหน้าในคดีของน้องการ์ตูนนั้น เหลือระยะเวลาประมาณ 8 ปี คดีก็จะหมดอายุความลง แม้ในกระบวนการทางกฎหมาย คดีสิ้นสุด และฝ่ายแม่น้องการ์ตูนชนะ แต่เธอก็บอกว่า ไม่ได้รับความยุติธรรมแต่ได้คำสั่งศาลที่เป็นแค่กระดาษแผ่นเดียว

“ศาลได้ตัดสินไปแล้วค่ะ ศาลสั่งจำคุก 1 ปีไม่รอลงอาญา สั่งจ่าย 6,000,000 บาท แล้วมีคดีแพ่งที่สั่งจ่ายประมาณ 300,000 บาท ซึ่งแม่ยังไม่เคยได้เงินตรงนี้เลยค่ะ เคยได้เงินค่าซ่อมร้านตอนที่รถชนใหม่ๆ ได้ประมาณ 40,000 กว่าบาทเท่านั้น กระบวนการทางกฎหมายจบไปแล้วค่ะ เขาติดคุกแล้ว ออกมาแล้ว แต่ว่าเราก็ต้องดำเนินการเองต่อหลังจากนั้นค่ะ

มีจ้างทนายไปสืบทรัพย์ประมาณปีหนึ่ง ทนายเองก็บอกสืบไปมันก็ไม่มีอะไร แม่เก็บเงินไว้รักษาน้องดีกว่า ก็เลยทำอะไรไม่ได้ เหยื่อที่ถูกกระทำแบบนี้ เขาต้องทำมาหากินทุกคน ไม่มีใครมีเวลาว่าง 10 ปี เพื่อไปจ้างทนายสืบทรัพย์หรอก จะเอาเงินจากไหนมาเยอะแยะ แล้วสืบก็ไม่รู้ด้วยว่าจะได้รึเปล่า คนเราต้องมีจิตใต้สำนึก แต่เขาไม่มีจิตใต้สำนึกที่จะรู้สึกผิดจริงๆ ด้วยซ้ำ

ตอนนี้เหลืออย่างเดียวคือระยะเวลาอีก 8 ปีของอายุความ ถ้าเลยไปแล้ว ต่อให้คู่กรณีมีเงิน มีบ้านหลังจากนั้น ราก็ไม่สามารถเอามาจากเขาได้แล้ว เพราะถือว่าหมดอายุความไปแล้วค่ะ เลยทำให้แม่รู้สึกว่า กฎหมายมัน...เหมือนเราไม่ได้รับความยุติธรรมแหละพูดง่ายๆ ชนะแค่ชั้นศาล ได้กระดาษมาแผ่นเดียวมันทำอะไรไม่ได้ค่ะ

1 ชีวิต...เลี้ยง 4 ปากท้อง

“ตอนนี้แม่เปิดร้านสเต๊ก เปิดร้านข้าวแกงใกล้ๆ กัน แล้วก็ขายน้ำพริกออนไลน์ บางทีก็ไลฟ์สดขายของเล็กๆ น้อยๆ ทำอะไรที่เป็นรายได้เราทำหมด แม่หาคนเดียวค่ะ เพราะคุณตาคุณยายดูน้อง ยิ่งช่วงนี้ต้องบอกให้ดูหนักกว่าเดิม พอเปิดร้านข้าวแกง แม่ต้องนอนที่ร้าน ถ้ากลับบ้านเลิก 22.00 น. ถึงบ้านเกือบเที่ยงคืน เช้าก็ต้องตื่นอีกตี 3 มันไม่ทันทำแกงค่ะ จะมีแค่เสาร์-อาทิตย์ที่กลับบ้านไปนอนกับน้องได้ ระยะทางจากบ้านไปร้านห่างกันประมาณ 20-30 กม.ค่ะ แต่วันนึงก็พอได้นอนประมาณ 4-5 ชั่วโมงค่ะ ถ้าเราไม่พักเลยแล้วเป็นอะไรขึ้นมาจะแย่กว่าเดิม ไม่มีใครเป็นหัวแรงหารายได้ให้ที่บ้าน”

นับตั้งแต่ที่เกิดเรื่องขึ้น จนถึงวันนี้ คุณแม่ศรัญญา ตั้งใจทำหน้าที่เป็นเสาหลักของครอบครัวในการหารายได้เพื่อมาดูแลทั้งพ่อแม่ของตนเอง และ “น้องการ์ตูน” ลูกสาวสุดที่รักที่ต้องมากลายเป็นผู้ป่วยติดเตียงซึ่งมีค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนเหยียบครึ่งแสน





“เดือนหนึ่งน้องมีค่าใช้จ่ายเกือบ 50,000 บาทค่ะ เพราะมีเดินทางไปหาหมอด้วย แล้วก็มีอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ต้องใช้หลายอย่างมาก และของส่วนมากมันรีไซเคิลไม่ได้ พวกแพมเพิร์ส แผ่นรองซับ สายซักชั่น ถุงมือ เพราะน้องติดเชื้อได้ง่าย ภาวะน้องไม่เหมือนคนปกติทั่วไป และก่อนที่จะย้ายน้องมาอยู่บ้าน ก็ต้องทำบ้านให้เป็นเหมือนห้องปลอดเชื้อ ซื้ออุปกรณ์ใหม่ทุกอย่างเกือบ 400,000 บาทค่ะ


น้องได้ตัดมดลูกออกแล้วค่ะ ตอนนั้นก็นั่งไลฟ์ขายของประมูลเอาเงินไปเป็นค่าผ่าตัด เพราะสิทธิคนพิการไม่ครอบคลุม น้องมีประจำเดือนแล้ว ขนาดตัวเราเองรู้ว่าเป็นแบบนี้มันปวดท้อง แต่น้องเขาบอกไม่ได้ ไม่รู้ว่าทรมานแค่ไหน ก็เลยตัดสินใจปรึกษาคุณหมอ คุณหมอก็บอกว่ามันมีวิธีแก้คือการตัดมดลูกจะช่วยกันการติดเชื้อได้และจะทำให้ดูแลน้องง่ายขึ้น

แม้จะเข้มแข็งขนาดไหน แน่นอนว่าทุกคนย่อมต้องมีช่วงเวลาที่ไม่อยากสู้ต่อเป็นธรรมดา สำหรับคุณแม่ของน้องการ์ตูนก็เช่นเดียวกัน แต่เธอได้กำลังใจจากลูกสาว และธารน้ำใจจากพี่น้องประชาชนชาวไทย เพราะคุณแม่เคยขอรับบริจาคผ่านเพจเฟซบุ๊ก “ร้านสเต๊กคุณแม่การ์ตูน Mother's Grill Steak House “ย่างด้วยรัก หมักด้วยใจ” เมื่อปีที่แล้ว เพื่อนำเงินมาชดใช้หนี้ก้อนโตจากโรงพยาบาลที่น้องการ์ตูนเข้ารับการรักษา ซึ่งได้มากว่า 7,000,000 บาท ช่วยให้ครอบครัวก้าวผ่านมรสุมลูกใหญ่นี้ไปได้

“ตอนนี้ก็เคลียร์กับโรงพยาบาลหมดแล้วค่ะ จำนวน 2,200,000 บาท แต่พี่ทนายเกิดผลเขาช่วยต่อรองให้เหลือ 1,900,000 บาท หลังจากขอรับบริจาคปุ๊บ อีกวันก็ปิดเลย ส่วนเงินที่เหลือใช้ในการดูแลน้องในอนาคต แต่ว่าจริงๆ ค่าโรงพยาบาลไม่ใช่ส่วนที่เราต้องรับผิดชอบ มันเป็นส่วนที่คนกระทำผิดต้องรับผิดชอบ แต่เขาไม่ทำอะไรเลย สุดท้ายเราต้องมารับเองทุกอย่าง แต่ดีที่ว่าได้น้ำใจประชาชนคนไทยช่วย ไม่งั้นยังไม่รู้เลยว่าชีวิตจะเป็นยังไง

ถ้าไม่มีจ่ายก็ต้องโดนฟ้องอยู่ดีเพราะว่าจดหมายโนติสจากโรงพยาบาลมาแล้ว เรามีทรัพย์สินเป็นบ้าน ถ้าถึงวันนั้นจริงๆ ยังไงโรงพยาบาลเขาฟ้อง 2 คนอยู่แล้ว แต่ว่า ณ ตอนนั้นเขาจะดูว่าใครมีแหล่งทำมาหากินชัดเจนมากกว่า เขาก็ต้องบี้เอากับคนนั้น แม่เข้าใจโรงพยาบาลนะคะเพราะว่าเขาเป็นธุรกิจ แล้วเขาก็ดูแลน้องตอนที่น้องบาดเจ็บสาหัสมาอย่างดี



ถามว่าท้อมั้ยมันก็มีท้อทุกคนแหละค่ะ แต่ถ้าเราท้อแล้วจะเอาเงินจากไหนมาดูแลลูก รักษาลูก ได้แค่คิดแต่ถึงเวลาจริงๆ แล้วมันหยุดไม่ได้ แทบจะไม่หยุดขายของเลย เพราะหยุดวันนึงรายได้มันก็หาย ถึงได้มากได้น้อยมันก็เป็นรายได้ เห็นหน้าน้องแล้วอย่างน้อยเราได้กอดเขา ได้หอมเขา ได้พูดกับเขา ถึงเขาจะตอบโต้เราไม่ได้ ก็ยังดีที่ได้อยู่ด้วยกัน ก็ต้องดูแลกันไปแบบนี้”

สุดท้าย คุณแม่ศรัญญา อยากฝากไปยังผู้ที่เกี่ยวข้องในเรื่องข้อกฎหมายว่า อยากให้มีการคุ้มครองเหยื่อในคดีต่างๆ ให้มากขึ้น รวมถึงฝากในเรื่องของการใช้รถใช้ถนนด้วยความไม่ประมาท



“แม่อยากฝากว่าเคสที่เป็นแบบนี้ จริงๆ แล้วมันไม่ได้มีเคสแม่เคสเดียวหรอก คนที่เป็นเหยื่อส่วนมากแทบไม่อยากจะสู้แล้ว เพราะสู้ไปมันเหมือนกับสู้สิ่งที่มันไม่ได้ อยากให้กฎหมายมันมีช่องที่ช่วยเหลือเหยื่อมากกว่านี้ค่ะ ไม่อย่างนั้นเหมือนกับว่าเราต้องตามเองทุกอย่าง ศาลสั่งก็คือจบ เชื่อได้เลยว่าไม่มีใครมานั่งตามได้ 10 ปีหรอก อย่างแม่ยังรู้สึกท้อ แล้วคดีของ 9 ศพ เขาสู้มาจนคดีใกล้จะหมดอายุความแล้ว ขนาดเขามีทรัพย์สินนะ ยังไม่ได้เลย ลองมองของตัวเองแม่เลยคิดว่าคงยากกว่าเขาแน่ๆ และฝากเรื่องอุบัติเหตุ บ้านเราเยอะ อย่าประมาท เราไม่ชนเขาก็มาชนเรา ขนาดอยู่ในบ้านตัวเองยังมาชนเลย

แล้วแม่หวังอยากให้น้องหาย แต่ความเป็นจริงมันคงเป็นไปไม่ได้ สมองเขาเสียหายไปเยอะมาก ร่างกายสามารถติดเชื้อได้ง่ายกว่าคนปกติ 80% ความหวังเดียวคือถ้าน้องดีขึ้น ค่าใช้จ่ายก็จะน้อยลง แม่ไม่เคยคิดว่าจะเป็นแบบนี้ แต่วันนึงมาเราจะเรียนรู้ตั้งแต่ข้อกฎหมาย ทำนู่นนี่จนเกือบจะเป็นพยาบาลแล้ว ขาดอย่างเดียวคือฉีดยาเป็นก็คงได้แล้ว (หัวเราะเบาๆ) อันนี้พูดแบบไม่ต้องเครียด แต่เราก็ต้องทำ เพราะถ้าเราไม่ทำแล้วใครจะทำ

ยิ่งคุณตาคุณยายจากที่เคยส่งหลานไปโรงเรียน กลายเป็นกว่าต้องมานั่งดูแลหลานที่ป่วยหนัก ทุกวันนี้ก็มีคนถามเข้ามาเรื่องการช่วยเหลือ แม่ก็บอกว่าให้ช่วยอุดหนุนน้ำพริกก็ได้ หรือบางคนเขาไม่สะดวกมา เขาก็ส่งของมาให้ แต่ก็ติดเลขบัญชีไว้ที่หน้าเพจร้านค่ะ แล้วก็รับพวกแพมเพิร์ส นม แต่บางคนเขาก็บริจาคเงินมาให้ เราก็เก็บไว้ซื้อของให้น้องค่ะ”





** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **



กำลังโหลดความคิดเห็น