“ถ้าเกิดนางงามทุกคนไปทำศัลยกรรมมา และไปอยู่บนเวที หน้าบล็อกเดียวกันหมด แล้วคนไหนสวยล่ะ?” เปิดทุกความรู้สึกของ “ฟ้าใส” Miss Universe Thailand 2019 หลังต่อสู้บนเส้นทางสาวงามที่โรยไปด้วย “หนามกุหลาบ” นานถึง 6 ปี จนส่งให้หัวใจของเธอเต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์!!
นางงามยอดนักสู้ ผู้ลบอาถรรพ์ “ตำนานนางรอง”
“I did it!!” หนูทำมันได้แล้ว!! คือประโยคแรกที่เจ้าของตำแหน่ง “Miss Universe Thailand 2019” ตะโกนออกมาด้วยความรู้สึกอันมากล้น หลังชื่อ “ปวีณสุดา ดรูอิ้น” ถูกประกาศก้องบนเวทีแห่งความฝัน เวทีที่เธอเฝ้ารอคอยในการพิชิตมันมาทั้งชีวิต
“I’m so proud of you” พวกเราภูมิใจในตัวลูกมากๆ คือคำตอบรับที่ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ของสาวงามวัย 25 รายนี้มีให้ “โมเมนต์นั้น หนูวิ่งไปกอดคุณพ่อ และคุณพ่อก็ผายมือให้เราเข้าไปหา ภาพเหตุการณ์ตอนนั้น มันสามารถสื่ออารมณ์ สื่อสิ่งที่พ่ออยากจะพูดกับหนูได้ดีที่สุด โดยที่ไม่ต้องอธิบายอะไรเลยจริงๆ ค่ะ”
“ฟ้าใส” ช่วยหมุนเข็มนาฬิกากลับไปถ่ายทอดความรู้สึกใน “ค่ำคืนแห่งความทรงจำ” ให้คู่สนทนาได้ร่วมดื่มด่ำไปกับด้วยกัน ผ่านรอยยิ้มแห่งความปลื้มปีติ และแววตาแห่งความเต็มตื้นในหัวใจ ก่อนเริ่มพูดถึง “ตำนานนางรอง” ที่เธอทลายมันได้สำเร็จ ภายใต้ความพยายามอย่างหนักมาตลอด 6 ปี และเวทีล่าสุดนี้ก็เป็นเวทีที่ 6 พอดี
[คุณแม่-คุณพ่อ แรงผลักสำคัญให้ “รักในสิ่งที่ตัวเองเป็น”]
“ปี 2013 หนูประกวด 3 เวทีค่ะ คือ “Miss Thailand Chinese Cosmos”, “Miss Chinese Cosmos Southeast Asia” แล้วก็ “นางสาวไทย” ค่ะ
ส่วนปี 2017 ก็มีประกวด “Miss Universe Thailand” ปีที่ พี่มารีญา (พูลเลิศลาภ) ได้ แล้วก็ “Miss Earth” ที่ฟิลิปปินส์ จนมาถึงปีนี้ 2019 “Miss Universe Thailand” เวทีเดิมที่หนูมาเป็นครั้งที่ 2 แต่ครั้งนี้หนูทำสำเร็จแล้วค่ะ
เรียกว่าทุกก้าวที่ผ่านมา มันมีทั้งคำว่า “เหนื่อย” คำว่า “ท้อ” คำว่า “ล้า” คำว่า “เศร้า” แต่พอ ณ วันนี้ที่เราได้มงกุฎแล้ว หนูก็รู้สึกว่าทุกก้าวที่ผ่านมา มันคุ้มค่ามากๆ จริงๆ
ถ้าให้ย้อนกลับไปพูดถึงคำว่า “ตำนานนางรอง” ที่หนูได้รับ ครั้งแรกที่ได้ยิน หนูไม่ชอบเลยค่ะ (ยิ้มบางๆ)
มันเหมือนเป็นคำเตือนใจให้คิดอยู่ตลอดว่า ไม่ว่ายูจะประกวดกี่เวที ยูก็จะได้รองอย่างเดียว เพราะยูไม่มีดีพอที่จะได้อันดับ 1 คือครั้งแรกที่ได้ยิน บอกตรงๆ ว่ามันก็จึ้ก (แทงใจ) นะ
คือเวลาที่เพื่อนๆ ได้ตำแหน่ง หนูก็ยินดีมากๆ นะคะ เพราะหนูก็เป็นนางงามคนนึงที่เข้าใจมากๆ ว่า แต่ละครั้งที่เก็บตัว ทำกิจกรรม ต้องแลกมากับความเหนื่อยขนาดไหน
แต่พอมีคนอื่นมาย้ำคำว่า “ตำนาน” ให้เราได้ยินในแต่ละครั้ง มันเหมือนยิ่งทำให้เรา ให้ความรู้สึกกับคำนี้ว่า มันคือสิ่งที่เป็น forever ต้องเป็นแบบนี้ตลอดไป
แต่ในขณะเดียวกัน ลองมองอีกมุมนึง หนูก็เห็นว่าที่เขาพูดมา มันก็เป็นเรื่องจริงเหมือนกัน เรื่องที่เรายังคงเป็นนางรองอยู่ในตอนนั้น แล้วก็พยายามมองเรื่องนี้ในแง่บวกว่า อย่างน้อยๆ ทุกครั้งที่หนูประกวด หนูก็ได้ติด “Top 3” ตลอดนะ ซึ่งนั่นแสดงว่าหนูก็ต้องมีอะไรดีเหมือนกันนะ”
ให้ลองวิเคราะห์เบื้องหลังความสำเร็จในครั้งนี้ของตัวเองว่า อะไรทำให้เธอสลัด “อาถรรพ์ตำนานนางรอง” ออกไปได้สำเร็จ สาวงามร่างสูงที่อยู่ตรงหน้าจึงยื่นคำตอบกลับมาทันทีว่า น่าจะเป็นเพราะ “ทัศนคติที่เปลี่ยนไป” ของตัวเธอเอง
“จริงๆ มีหลายคนเขาถามเหมือนกันนะคะว่า ทำไมหนูถึงบอกว่าปีนี้มาแล้วรู้สึกไม่กดดัน รู้สึกอยากจะมีความสุขกับทุกวัน กับทุกกิจกรรมที่ทำ และไม่ได้มาเพื่อแข่งขันกับใคร คนก็สงสัยว่าในเมื่อนี่คือ competition (การประกวด) คุณก็ต้องแข่งขันอยู่แล้ว
แต่หนูรู้สึกว่าเหมือนเรามาเจอเพื่อน ไม่ได้ตั้งใจว่าจะต้องพยายามให้ได้ซีน ให้เด่นมากกว่าเพื่อน เราทำแล้วเป็นตัวของตัวเรามากที่สุด ถ้าเกิดเราสามารถช่วยอะไรเพื่อนได้ เราก็ช่วย จนถึงวินาทีที่เราก้าวไปบนเวที เราก็ไม่ได้รู้สึกว่าเราจะต้องโพสต์ดีกว่าเพื่อน จะต้องสะบัดให้แรงกว่าเพื่อน ไม่ได้คิดแบบนั้น
เราแค่คิดในใจว่าเราจะทำให้ดีที่สุด เท่าที่เราจะทำได้ มันก็เลยเป็นอะไรที่เป็นตัวของตัวเองมากที่สุด เราก็เลยรู้สึกไม่ได้เครียดมากเหมือนตอนนั้น เลยออกมาเป็นอย่างทุกคนเห็นค่ะว่า หนูเป็นตัวของตัวเอง แล้วก็จะมีรอยยิ้มตลอด”
[เทรนร่างกายอย่างหนัก เพื่อให้มีวันนี้]
เรื่องวินัยในการออกกำลังกายและควบคุมอาหาร ก็น่าจะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เห็นผลลัพธ์ความพยายามของเธออย่างชัดเจน “เพราะเราต้องรู้ว่าถ้าเราฝันใหญ่มาก เราก็ต้องลงทุนกับมันใหญ่เหมือนกัน คือต้อง hard work ต้องมีวินัยมากกว่าเดิม แล้วก็ตั้งใจมากกว่าเดิมด้วยค่ะ”
และด้วย “วิญญาณนักสู้” ไม่ยอมแพ้ต่อผลการตัดสินให้เป็น “นางรอง” มาตลอด 6 ปีแบบนี้นี่เอง ที่ทำให้ชัยชนะของเธอในครั้งนี้ กลายเป็นแรงบันดาลใจครั้งสำคัญให้ผู้ติดตามข่าวคราวการประกวด จนเป็นที่มาของการยกย่องเธอในฐานะ “นางงามยอดนักสู้” เป็นไอดอลแห่งความพยายามอีกคนที่น่าเอาเป็นแบบอย่าง
“ก็รู้สึกดีใจค่ะที่คนอื่นเขาฟัง story ของหนูแล้ว เขารู้สึกได้แรงบันดาลใจ แล้วก็ได้กำลังใจที่จะใช้ในชีวิตของเขาด้วย มีน้องๆ แฟนคลับส่งข้อความมาให้หนูอ่านเหมือนกันค่ะว่า เขาได้แรงบันดาลใจจากตรงนี้ไปด้วย เพราะคิดว่าถ้าเกิดพี่ฟ้าใส กว่าจะทำได้อย่างทุกวันนี้ก็นานมาก 6 ปี เขาเลยคิดว่าถ้าฟ้าใสทำได้ เขาก็ต้องทำได้เหมือนกัน ซึ่งมันทำให้เราดีใจมากๆ ค่ะ”
สงคราม “โค้ชเทรนมงฯ 3” ลูกเกด VS นาตาลี
[ลูกเกด - นาตาลี ในวันที่ยังไม่มีดรามา “พี่เลี้ยงนางงาม”]
อีกหนึ่งกระแสเดือดที่คอนางงามติดตามกันไฟแลบในช่วงที่ผ่านมา ก็คือ “สงครามนางงาม” ระหว่าง “ลูกเกด-เมทินี กิ่งโพยม” เจ้าของตำแหน่ง “Miss Continental Queens Asia & Oceania 1992” จากเวที Miss World กับ “นาตาลี เกลโบวา” เจ้าของตำแหน่ง “Miss Universe 2005” ที่ฉะกันเดือดเพื่อแสดงตัวในฐานะ “พี่เลี้ยงนางงาม” เทรนฟ้าใสเพื่อไปคว้า “มงฯ ที่ 3” จากเวทีนางงามจักรวาลมาให้ประเทศในครั้งนี้
โดยเรื่องราวทั้งหมดเริ่มจากการที่ นาตาลีโพสต์คลิปบนอินสตาแกรม @natalieglebova ส่งสารท้าไปยังกองประกวด Miss Universe Thailand ให้เธอเป็นคนเทรนฟ้าใสไปสู่เวทีโลกในครั้งนี้ โดยอ้างประสบการณ์ที่ช่วยรับรองความสำเร็จได้ พร้อมปิดท้ายด้วยหนังสือที่เธอเขียน
จนกลายเป็นประเด็นที่ทำให้ตัวแม่ของวงการอย่างลูกเกด ต้องออกมาตอกกลับในฐานะ “Head Master of Team Expert” ซึ่งรับหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงตัวแม่ของเหล่านางงามกองฯ นี้อยู่แล้ว ด้วยการโพสต์เฟซบุ๊ก “Kathy Kingpayome” ผ่านถ้อยคำแรงๆ แทงทะลุถึงหัวใจ แล้วแท็กถึงคนปลายทางไปให้ได้รับรู้กันตรงๆ ตามแบบฉบับของเธอ
“กรุณาช่วยหยุดขายหนังสือ ขายคอร์สของตัวเองผ่าน Miss Universe Thailand ด้วย คุณจะไม่ได้เทรนอย่างแน่นอน ดังนั้น โปรดช่วยหยุดทำการการตลาดผ่านช่องทางนี้ได้แล้ว”
และยิ่งเดือดเข้าไปอีก เมื่อตัวแม่แห่งวงการได้เปิดใจผ่านรายการ "แฉ" ถึงประเด็นเดือดดังกล่าว ทั้งยังฟันคำตอบสุดท้ายอย่างหนักแน่นด้วยว่า ไม่ต้องการคนดังผู้เสนอตัวรายดังกล่าว
“ถ้าคุณเสนอตัวก็ยินดี แต่ไม่ใช่เสนอตัวแบบท้าทาย แล้วอีกอย่าง เกดก็เคยดูแลการทำงานของเขาอยู่ นาตาลี เขาสอนหลายประเทศ และเกดไม่ต้องการคนที่จะมาสอน Miss Thailand ไปสอนประเทศอื่นด้วย ไม่อย่างนั้นทั้งการเดิน การตอบคำถามนางงาม มันก็จะเหมือนๆ กันไปหมดสิ
และตอนนี้พี่ๆ (ทาง TPN กองประกวด) เขาก็บอกว่าหน้าที่อยู่ที่เกด เพราะฉะนั้น เกดก็ไม่ให้นาตาลีมาสอนไทยแลนด์หรอก แค่นั้น จบข่าว แล้วก็ไม่ต้องมาท้าทายอะไร นี่ไม่ใช่การเล่นเกม บ้าหรือเปล่า!!”
เกี่ยวกับเรื่องนี้ น้องใหม่ของวงการสาวงามอย่างฟ้าใส ไม่ขอแสดงความคิดเห็นใดๆ ในประเด็นดรามา ทำได้เพียง “น้อมรับความหวังดี” ที่พี่ๆ ทุกคนมีให้เธอในฐานะตัวแทนประเทศไทย
“ก็รู้สึกดีใจค่ะที่เขาเห็น potential ของหนูนะ แล้วก็รู้สึกขอบคุณจริงๆ แต่หนูเชื่อว่าทาง TPN เราก็มีเป้าหมายเดียวกัน และเขาก็จะเลือกครูที่ดีที่สุดให้กับหนูค่ะ”
ถ้าไม่นับเรื่องราวเดือดๆ ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ โดยส่วนตัวแล้ว “นาตาลี” คือหนึ่งในไอดอลนางงามที่ฟ้าใสปลาบปลื้มอยู่แล้ว “เพราะก่อนหน้านั้นปี 2004 เขาเคยประกวดในเวย์ บ้านของเขา และเขาก็ได้ Top 10 พอกลับมาประกวดใหม่ ก็ได้ที่ 1 พัฒนาตัวเองจนกว่าจะได้ตามฝัน เขาก็เลยเป็นไอดอลอีก 1 คนของหนูค่ะ”
ส่วนอีกฟากของแรงผลักที่จะไม่พูดถึงไม่ได้อย่าง “ลูกเกด” นั้น แน่นอนว่าคืออีกหนึ่งพลังบวกที่สำคัญ และคือคนที่ฟ้าใสไม่มีวันลืมอย่างแน่นอน
“ในกองฯ เพื่อนๆ ทุกคนก็รู้ค่ะว่า พี่ลูกเกดเป็นคนที่ดูทุกรายละเอียด และเป็นคนที่มาให้พลังบวกกับพวกเราตลอด เพราะแน่นอนว่ามันจะมีคนท้อ มีคนเหนื่อย มีคนเสียใจต่างๆ นานา แต่พี่ลูกเกดก็จะให้พลังบวก และทำให้เห็นว่าสิ่งที่สำคัญที่สุด มันไม่ใช่รูปร่างภายนอก แต่มันอยู่ที่จิตใจ และพี่ลูกเกดมองขาดมากๆ
พี่ลูกเกดลงทุนทุ่มเทมากๆ เลยนะคะ ตั้งแต่ในช่วงประกวดแล้ว สังเกตได้เลยว่าเราจะเหนื่อย แต่พี่ลูกเกดจะเหนื่อยมากกว่าเราอีกหลายเท่าเลย เพราะว่าพี่เขาจะต้องตื่นก่อนพวกเรา และนอนหลังจากพวกเรา
เรื่องที่พี่เขาจะมอง ไม่ใช่แค่เรื่องการมอบพลังบวกอย่างเดียว แต่จะมีเรื่องการเดินด้วย มีเรื่อง acting แล้วก็ dancing ด้วย คือพี่เกดจะมาอยู่ตลอดเวลา และหนูนับถือพี่ลูกเกดมากๆ
[ความอบอุ่นที่ “แม่ลูกเกด” มีให้ฟ้าใส]
You know when people look at her แล้วเขาคิดว่าพี่ลูกเกดเป็นคนที่ tough เป็นคนที่ strong อาจจะดูแข็งแกร่งมากๆ แต่จริงๆ แล้วจิตใจพี่ลูกเกดเป็นคนที่แคร์เราจริงๆ หนูไม่รู้ว่าหนูสื่อสารได้ดีไหม แต่หนูนับถือพี่ลูกเกดจริงๆ ค่ะ
เรื่องคำสอนของพี่เขาที่สามารถเอาไปใช้ในเวทีต่างประเทศได้ด้วย ก็คือหลายคนที่เข้ามาประกวด เวลาเราเห็นตัวเต็ง เราก็จะรู้สึกว่าแล้วเราจะต้องพยายามทำไม ในเมื่อเขาก็จะได้อยู่แล้ว
และตรงนี้หนูก็เอามาใช้กับตัวเองได้เหมือนกันว่า ถ้าเกิดเราไปจุดจุดนั้นแล้ว ถึงจะไม่ได้อยู่ใน Top Poll แต่เราก็ต้อง shine ในแบบของเรา และเราก็ไม่ต้องสนกระแสที่ แค่จำในสิ่งที่ mentor สอนเรา และมีคนที่ support เรา เชื่อในตัวเรา เรามองแค่นี้ แล้วก็ทำทุกวันให้เต็มที่ ทุกอย่างก็จะผ่านพ้นไปด้วยดีค่ะ”
คำตอบแสดงตัวตน ล้างฉายา “สวยไม่มีสมอง”
“จากการประกวดเวที Miss Earth ครั้งนั้น หนูโดนว่าเป็นคน “Beauty without brain” สวยแต่ไม่มีสมอง เพราะว่าหนูไม่รู้จักคำว่า “Millennials” (คำศัพท์ใช้เรียกแทน กลุ่มคน Generation Me) เป็นคำถามที่จับขึ้นมา ซึ่งมันไม่ใช่คำถามด้วยค่ะ แต่มันเป็นแฮชแท็ก #Millennials มาแบบคำเดียวโดดๆ เลย”
ฟ้าใสย้อนรอยความเจ็บปวดให้ฟัง ในวันที่เธอได้รับมอบหมายให้เป็นตัวแทนประเทศไทย ไปประกวด Miss Earth 2017 แต่ชวดตำแหน่งใหญ่สุด แล้วคว้ารางวัลพิเศษ Miss Earth Hanna's กลับมา พร้อมกระแสวิพากษ์วิจารณ์ครั้งใหญ่เรื่องที่เธอไม่รู้ศัพท์เฉพาะ จนตอบคำถามไม่ได้ตรงเป้าเท่าใดนัก
“มันเป็นศัพท์ที่หนูก็ไม่ได้ใช้ในแคนาดา หรือในเมืองไทยยิ่งไม่ได้ใช้ เลยกลายเป็นว่าพอเราไม่รู้จักศัพท์ ก็อาจจะตอบคำถามไม่ได้เท่าที่เขาคาดหวังไว้ แต่จริงๆ ไม่ใช่ว่าหนูไม่พยายามนะ หนูก็พยายามสุดความสามารถที่จะใช้ความรู้เพื่อตอบคำถามให้ได้
พี่จะสังเกตได้เลยว่า หนู fight จนถึงตอนมีเสียงติ๊ง..หมดเวลา แต่ก็ถูกตัดสินว่าคุณแพ้ เพราะว่าคุณไม่ฉลาด คุณมีแค่ความสวยอย่างเดียว มันเลยมีทำให้เรารู้สึกเจ็บบ้าง
ตอนนั้นหนูก็รู้สึกว่า ทำไมเขาไม่ไปกลับดูช่วงก่อนที่จะประกวดว่า มันมีการเก็บตัว มันมีการตอบคำถามทั้งของคณะกรรมการ ทั้งนักข่าว และหนูสามารถตอบได้ทุกขั้นตอน ทุกคำถามเหมือนกัน”
เรียกได้ว่าปรากฏการณ์ศัพท์ยากบนเวทีดังกล่าว กลายมาเป็น “คำถามในตำนาน” จนถึงขั้นแฟนเพจ “Miss Universe Thailand (FanPage)” อัปรูปพร้อมคำอธิบายเอาไว้ในเดือน พ.ย.60 เลยว่า “โพสนี้เพื่อความรู้ และความหมายของ #Millennials #เราจะจำไว้บอกลูกบอกหลานต่อไปค่ะ #คำถามในตำนาน”
ส่วนคำว่า #Millennials ในโพสต์นั้น ก็มีคำเฉลยเอาไว้ว่า “Milennials หรือ Gen Me นั้น คือคนที่เกิดระหว่าง 1980-2000 ซึ่งจะต่างจาก Gen Y ตรงที่คน Gen Me คือการแบ่งตามอุปนิสัยมากกว่าอายุ
โดย Gen Me นั้นจะมีความเป็นตัวเองสูง และถือตัวเองเป็นศูนย์กลาง โดยในอเมริกาคนเหล่านี้มักมีการศึกษาค่อนข้างสูง ใช้เทคโนโลยีเก่ง และเปลี่ยนงานบ่อยด้วย”
[โพสต์จากทีมงาน Miss Universe Thailand 2017 หลัง "ฟ้าใส" เจอ "คำถามในตำนาน" #Millennials]
ตัดภาพกลับมาที่การตอบคำถามบนเวทีครั้งล่าสุดของฟ้าใส มั่นใจได้เลยว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น น่าจะช่วยลบข้อครหาเรื่อง “สวยไม่มีสมอง” ที่เคยโดนออกไปจนหมด เพราะครั้งนี้เธอตอบคำถามสะท้อนสังคม ผ่านมุมมองผู้หญิงที่มีความคิดเรื่องครอบครัวและความรุนแรงในครอบครัว ออกมาได้ดีจนกลายเป็นกระแสชื่นชมทะลักโลกออนไลน์เลยทีเดียว
และเพื่อให้หลายคนมองเห็นความฉลาดของเธอชัดเจนขึ้นไปอีก ผู้สัมภาษณ์จึงยิงคำถามเรื่อง “ปัญหาที่คิดว่าวิกฤตและควรแก้ไขในประเทศไทยมากที่สุด” ออกไป ซึ่งเจ้าตัวก็นิ่งคิดเพียงไม่นาน ก่อนตอบออกมาว่าสำหรับเธอคือปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะมลพิษทางอากาศอย่าง "ฝุ่น PM2.5"
“ปัญหาเรื่อง air pollution ก็สำคัญมากๆ ค่ะ เพราะว่าในช่วงต้นปีนี้ประเทศไทยของเรา ทั้งกรุงเทพฯ แล้วก็เชียงใหม่ มีฝุ่น PM2.5 เกิดขึ้น จากก่อนหน้านี้หนูไม่เคยนึกถึงว่า มันจะเป็นปัญหากับเรามากแค่ไหน จนกระทั่งมันเกิดขึ้นจริงๆ
และในตอนนั้นหนูก็ตกใจ เพราะคิดว่าเราอยู่ในบ้านแล้วจะตกใจ แต่พอเปิดแอร์ปุ๊บ หนูหายใจไม่ออก ทำให้เราตระหนักเลยว่า clean air มันสำคัญมากแค่ไหนต่อชีวิตเรา และเราจะสามารถช่วยเพื่อแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ยังไงบ้าง ให้สามารถแก้ปัญหาได้ที่ต้นเหตุ ไม่ใช่ที่ปลายเหตุ
นอกจากนั้นก็มีเรื่อง ocean crisis ด้วยค่ะ เท่าที่หนูเคยไปอ่านมา 1 ใน 3 ของขยะพลาสติกที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ มันจะไปกองรวมกันอยู่ที่ท้องทะเล และสัตว์ทะเลก็กินขยะพวกนี้เข้าไป ซึ่งน่าสงสารมาก ตอนเปิดท้องออกมาแล้วเห็นว่า เขากินพวกนี้เข้าไปจนทำให้เสียชีวิต และถ้าเป็นไปได้หนูก็อยากจะช่วยเรื่องนี้ด้วย”
สอย “เกียรตินิยมอันดับ 1” เพื่อคว้ามงฯ แต่ก็ยัง “ดีไม่พอ”
[จบด้วย "เกียรตินิยมอันดับ 1" สาขาวิทยาศาสตร์การเคลื่อนไหว จาก University of Calgary]
แน่นอนว่ากว่าจะเดินมาจนถึงเส้นชัยในวันนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะตลอด 6 ปีของเธอคนนี้ ถูกบ่มเพาะไปด้วยความผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า โดยเฉพาะการประกวด Miss Universe Thailand เมื่อ 2 ปีก่อน ที่เธอตั้งความหวังไว้มาก จึงทำให้เกิดอาการอกหักหนักมาก จนแทบคิดถอดใจในสายความงามนี้แล้ว
“ปีนั้นเป็นปีที่หนูหวังไว้มาก จากการที่หนูกลับไปตั้งใจเรียนต่อในปี 2015 เพื่อให้ได้เกียรตินิยมมา ตอนนั้นภายใน 16 เดือน หนูตั้งใจมากว่า ต้องไม่มีการเบรก ไม่มีการหยุดเรียน เป้าหมายของหนูคือต้องจบปริญญาตรีด้วยเกียรตินิยม
จากคนที่ใน 2 ปีแรก ได้เกรด A แค่ตัวเดียว และที่ได้ก็เพราะว่าคุณพ่อบอกว่า 3 เทอมที่ผ่านมา ยูยังไม่ได้เกรด A สักตัวเดียว และถ้าเทอมที่จะถึงนี้ยูได้ A พ่อจะซื้อตั๋วให้ยูไปเมืองไทย หนูก็เลยตั้งใจเรียนมากๆ จนได้เกรด A มาตัวนึง และพ่อก็ทำตามสัญญา หนูเลยมาเมืองไทยได้
และหลังจากตอนนั้นที่ตั้งเป้าหมายว่า หนูต้องจบด้วยเกียรตินิยมเท่านั้น พอไปคำนวณมาแล้วหมายความว่า จาก 20 วิชาที่เหลือ เราต้องได้ A ทั้งหมด 18 วิชา รวมทั้งอีก 2 วิชาก็ต้องได้ B เป็นอย่างน้อยด้วย หนูก็เลยต้องตั้งใจมากๆ
จากคนที่ติดละคร ก็ไม่ดูละครเลย เอาเวลาไปทำการบ้าน อ่านหนังสือ แล้วก็คอยดูเทคนิคจากข้อสอบปีก่อนๆ ด้วยว่า คุณครูจะสอนแบบไหนและจะทดสอบยังไง มีถามเพื่อนรุ่นพี่ ดูรีวิวต่างๆ ด้วย และสุดท้าย 20 วิชาเกรดที่ออกมาทั้งหมดของฟ้าใสก็ได้ A-, A, A+ หมดเลยค่ะ ไม่มี B เลย ตามเป้าหมายของเราเลย
[สมัยที่ฟ้าใสยังทลาย "ตำนานนางรอง" ไม่สำเร็จ ยังอยู่ในตำแหน่งรองอันดับ 2 MUT2017 ปีที่ "มารีญา พูลเลิศลาภ" คว้ามงฯ]
เหมือนเราตั้งเป้าหมายทีละขั้นๆ แล้วมันสำเร็จมาตลอด แต่พอสุดท้ายมาประกวดจริงๆ เรากลับรู้สึกกดดันเกินไป จนทำให้เราเครียดและทำได้ไม่ดีพอ
บวกกับเมื่อก่อนเท่าที่เคยประกวดมาทุกเวที จุดเด่นของเราคือเราสูง, หน้าตาไม่เหมือนใคร, มีเอกลักษณ์ของตัวเอง สื่อสารภาษาอังกฤษได้ดี แล้วก็เรียนที่แคนาดาจบเกียรตินิยมด้วย ก็นึกว่าทั้งหมดนี้จะทำให้เราชนะได้
แต่จริงๆ แล้ว พอมาเจอพี่มารีญา (Miss Universe Thailand 2017) ปุ๊บ เขาสูงกว่า เรียนจบปริญญาโท เหมือนทุกอย่างที่เขาเป็น คืออีกสเตปนึงที่เหนือกว่าหนู มันเลยทำให้เราย้อนกลับมาถามตัวเองว่า อ้าว!..แล้วจุดเด่นของเราคืออะไร และเราจะชนะเขาได้ยังไง
พอไปเก็บตัวช่วงนั้น ด้วยความที่เราหาข้อดีของตัวเองไม่เจอ และเราเข้าไปแล้วรู้สึกว่านี่เป็นการแข่งขัน มันก็เลยกดดันและเครียดไปเอง ปีนั้นก็เลยเข้าใจว่าทำไมถึงไม่ได้ตามเป้าหมาย
ตอนนั้นก็ท้อมากๆ เพราะเราก็เหนื่อยกับทุกครั้งที่ทำกิจกรรม แล้วรู้สึกว่า I’ve never be enough คือเราไม่ดีพอ เหมือนทุกครั้งที่ประกวดแล้วมันไม่ถึงฝันสักที ทำไมเราถึงไม่ถึงจุดที่ได้มงกุฎ หรือได้ที่ 1 สักที”
กว่าจะต่อสู้กับตัวเองจนผ่านรอยร้าวในใจจุดนั้นมาได้ บอกเลยว่า “ลูกครึ่งชาวไทยเชื้อสายจีน-แคนาดาเชื้อสายฝรั่งเศส” รายนี้ ต้องไปนั่งปรับทัศนคติด้วยการ “คุยกับตัวเอง” อยู่นานเหมือนกันว่าจะมองเห็น “คุณค่า” ในแบบที่ตัวเองเป็นได้อีกครั้งนึง
“เวลาที่เราท้อ เราไม่ควรที่จะเอาประสบการณ์ที่เราไม่ประสบความสำเร็จ มาตัดสิน มาจำกัดความว่า เราเป็นคนที่ทำอะไรแล้วจะไม่ประสบความสำเร็จ ตรงนี้จะผ่านไปยากมาก เพราะ ณ ตอนนั้นพอจะเริ่มเป้าหมายใหม่ เราก็จะเอาประสบการณ์ครั้งที่ผิดหวังครั้งนั้นไปเทียบตลอด
มันจุกตรงที่ว่า เราเคยตั้งใจ เราเคยพยายามสุดความสามารถแล้วมันไม่ได้ แล้วทำไมเราต้องพยายามอีกล่ะ จนกลายเป็นความกลัวที่จะล้มเหลว ทำให้เราไม่กล้าที่จะก้าวต่อไป ไม่กล้าที่จะคาดหวังอะไร
แต่ที่หนูผ่านไปได้ก็เพราะหนู self-talk คือคุยกับตัวเองว่า เรามีข้อดีอะไรบ้าง หนูเคยถึงขั้นถามแฟนคลับว่า ทำไมยูถึงเชียร์เราจังเลยอะ เรามีดีอะไรบ้าง ทำไมคุณคิดว่าเราควรจะกลับมาประกวดใหม่ เราควรจะเป็นตัวแทนประเทศไทย
จนสุดท้ายหนูก็คิดได้ว่า ถ้าเราไม่เชื่อว่าเรามีดีอะไร ต่อให้ไปให้คนอื่นมาบอกคุณค่าของเรา เราก็ไม่มีทางที่จะเชื่อ
เพราะฉะนั้น เราไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นมาบอกเลยว่า เราสามารถที่จะทำอะไรได้หรือไม่ได้ หรือว่าเรามีข้อดีอะไร แต่เราจะต้องเปิดใจ แล้วก็มองหาคุณค่าเหล่านั้นด้วยตัวของเราเอง
แต่เหมือนตอนแรกที่หนูคิดไม่ตก เพราะหนูไปยึดติดกับคำว่า “เราจะต้องมีดี ในแบบที่ไม่เหมือนคนอื่น” โดยที่ไม่ได้คิดว่า จริงๆ แล้วเราสามารถมีข้อดีเหมือนคนอื่นๆ ได้
แต่พอมารวมหลายๆ อย่างเหล่านั้นเข้าด้วยกัน บวกกับประสบการณ์ที่เราผ่านมา นั่นแหละค่ะที่ทำให้เรามีเอกลักษณ์ ทำให้เราไม่เหมือนใคร
และทั้งหมดนั้นมันก็สามารถเป็น story ของเรา ที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับคนอื่นได้ ซึ่งตอนนั้นกว่าหนูจะเข้าใจจุดนี้ มันใช้เวลานานมากนะ แต่ถ้าเราเข้าใจ เราก็จะ happy กับตัวของเราเองค่ะ”
“ก๊อบปี้แคท” อีกหนึ่งข้อครหา ที่รอวันพิสูจน์
[โมเมนต์ดีๆ ที่มีร่วมกับ “แคทริโอนา” (Catriona Gray) Miss Universe 2018]
มีไอดอลสาวงามในใจบ้างไหม? เจ้าของตำแหน่งสาวงามรายล่าสุดประจำประเทศไทย ตอบทันทีด้วยท่าทีขี้เล่นว่า “ไอดอลเยอะค่ะ เยอะมาก (เน้นเสียง) จะเอาเป็นคนไทยหรือชาวต่างชาติดีคะ (หัวเราะ)” ก่อนเจ้าตัวจะเริ่มไล่เรียง “ความปลาบปลื้มที่เป็นรูปธรรม” ให้ออกมาเป็นรายชื่อทีละคนๆ
“ถ้าเกิดเป็นคนไทยก็แน่นอนค่ะ “พี่ปุ๋ย-ภรทิพย์ นาคหิรัญกนก” (Miss Universe 1988 ซึ่งเป็นคนที่ 2 ของไทยที่มงฯ ระดับจักรวาลลง) จริงๆ พี่เขาเป็นไอดอลคนแรกของหนูเลย จนถึงทุกวันนี้ก็ยังเป็นไอดอลอยู่ ในการมาประกวด Miss Universe Thailand
เขาเป็นคนที่อยู่บนเวทีแล้วสง่ามากๆ และพอพูดออกมาแล้วก็เป็นคนที่ genuine (จริงใจ) มากๆ เหมือนกัน และเขาไม่ใช่พูดอย่างเดียว แต่เขาทำด้วย มีตั้ง Angels Wing Foundation ด้วย ซึ่งเป็นอะไรที่หนูนับถือมากๆ
แล้วก็มี “ปริยา” (“Priya Serrao” Miss Universe Australia 2019) หนูนับถือเขามากๆ เพราะเขามาประกวดตั้ง 3 ครั้งเลยนะคะ ถึงจะได้ หนูประกวด 2 ครั้งยังรู้สึกอื้อหือ...
และแน่นอน ต้องมี “แคทริโอนา” (“Catriona Gray” Miss Universe 2018) เขาเป็นคนที่พูดแล้วมีเสน่ห์มากๆ ค่ะ แล้วก็เป็นคนที่มีความรู้รอบตัวเยอะมาก คือหนู admire (ยกย่อง) เขาจริงๆ ค่ะคนนี้”
โดยเฉพาะรายชื่อสุดท้ายที่ดูเหมือนจะมีความสนิทสนมกันเป็นพิเศษ จนแฟนนางงามหลายคนอดที่จะชื่นชมในมิตรภาพที่สองสาวงามมีต่อกันไม่ได้ ถามว่าถึงขั้นเรียกได้ว่าเป็น “เพื่อนสนิท” ในวงการได้ไหม ฟ้าใสก็ได้แต่ยิ้มรับเขินๆ แล้วตอบอย่างถ่อมตัวว่า ถ้าเป็นได้อย่างนั้นก็จะดีใจมากเลย
“หนูก็อยากเรียกเขาให้เป็น “เพื่อน” นะคะ (ยิ้มกว้าง) แต่หนูก็ไม่รู้ว่าเขาคิดกับหนูยังไง แต่เราก็มีความคิดที่คล้ายๆ กัน เพราะเราก็มีประสบการณ์ที่คล้ายๆ กันอยู่เหมือนกันค่ะ
หนูมีโอกาสได้เจอเขาตั้งแต่ปี 2017 เพราะตอนที่หนูไปประกวดที่ Miss Earth มันจะมีรางวัลพิเศษชื่อ “Miss Earth Hannah’s” ซึ่งตอนนั้นแคทรีโอนาเขาเคยได้ Miss World Hannah’s และเป็นคณะกรรมการในคืนนั้น ทำให้เขาได้มอบมงกุฎให้หนูในคืนนั้นด้วยเหมือนกัน
หลังจากนั้น ทางสปอนเซอร์เขาก็ได้ชวนเราให้กลับไปเป็นคณะกรรมการของเวทีเขาอีก ก็เลยได้เจอกันอีก 3-4 ครั้ง ส่วนเรื่องเคล็ดลับการประกวด เขาก็มีแนะนำหนูอยู่บ้างเหมือนกันค่ะว่า เราควรจะปรับปรุงแบบนั้นแบบนี้ ซึ่งหนูก็ดีใจค่ะ ที่เขาเอ็นดูหนู แล้วก็มีมาบอกเทคนิคกันด้วย”
[มิตรภาพน่ารักๆ ที่ “ฟ้าใส-แคท” มีให้แก่กัน]
ว่าแล้วก็อดไม่ได้ที่จะขอให้ฟ้าใสช่วยแง้ม “เคล็ดลับฉบับแคทรีโอนา” ให้ได้รู้กันเพิ่มนิดๆ จนได้กุญแจไขความลับเล็กๆ ที่ว่า หนึ่งในเสน่ห์ของสาวงามที่จะทิ้งไปไม่ได้ มันอยู่ที่ “สะโพกพลิ้วๆ” นี่เอง!!
“เขาบอกหนูว่า ฉันสังเกตในตอนเป็นคณะกรรมการว่า การเดินของยูมันสามารถที่จะ polish (ทำให้ลื่นไหล) ให้ได้มากกว่านี้ และควรที่จะเริ่มยังไง เขาก็แนะนำมาว่าควรจะเทรนแบบไหน ทำไมยูไม่ลองทำแบบนี้ดู ยูจะได้เรียนรู้เรื่องร่างกายมากขึ้น
หรืออย่างเวลาเดิน ถ้าสะโพกเราไม่ไปเยอะอย่างที่ควร เราก็ควรจะไปเรียนอย่างเช่น Latin dance เขาก็จะมีบอกเทคนิคค่ะว่า จะทำยังไงให้จุดนี้ที่เขามองว่าเป็น weakness (จุดอ่อน) ของเรา สามารถพัฒนาได้
อย่างตอนนั้นที่ไป after party หนูก็มองว่าแคททำไมยูเต้นสวยจัง เขาก็บอกว่านี่ไงที่ไอบอก Latin dance หนูก็มองว่าน่าสนใจ ก็ต้องถามกองฯ นะคะว่า สามารถที่จะจัดได้ไหม (ยิ้ม)”
นอกจากภาพความสนิทสนมระหว่าง ฟ้าใส-แคท ซึ่งเป็นแง่มุมบวกๆ ให้ได้ชื่นตาชื่นใจแล้ว ปฏิเสธไม่ได้ว่ายังคงมีแง่มุมลบๆ บางอย่างเกิดขึ้นจาก “ความคล้าย” ของสองคนนี้ด้วย จนจุดกระแสให้เกิดคำว่า “Copycat” ขึ้น
ถ้าแปลตามศัพท์ภาษาอังกฤษแล้ว คำว่า “Copycat” ก็หมายถึงการลอกเลียนแบบคนอื่น ซึ่งในที่นี้แฟนนางงามจะรู้กันดีว่า หมายถึงการที่ฟ้าใส ถูกหยิบเอาไปเปรียบเทียบว่า ก๊อบปี้ “แคทริโอนา เกรย์” Miss Universe Philippines และ Miss Universe 2018)
เกี่ยวกับเรื่องนี้ คนถูกโยงประเด็นก็ได้แต่ยิ้มรับด้วยรอยยิ้มปลงๆ แล้วบอกว่า “ไม่ว่าจะยังไง คนเขาก็จะมีข้อชมและข้อติเสมอ เพราะมันก็ต้องมีทั้งคนที่รักแล้วก็ไม่รักเราอยู่แล้วค่ะ
หนูเลยจะเลือกฟังคำติจากคนที่อยู่ข้างๆ เราเป็นหลัก คนที่รู้ว่าเรามีเป้าหมายอะไร รู้ว่าเราต้องเหนื่อยแค่ไหน เพราะคนพวกนี้เขาจะอยู่ข้างๆ เราในการไปประกวดบนเวที Miss Universe ต่อไปค่ะ”
ส่วนเรื่องก๊อบฯ หรือไม่ก๊อบฯ ใครนั้น ฟ้าใสมองว่าคงต้องให้ความพยายามตลอดทางที่ทำมา เป็นบทพิสูจน์ให้คนอื่นๆ ได้มองเห็น และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีคนมองเห็นเธอที่ “ตัวตน” ผ่านความสวยในแบบที่ “ไม่เหมือนใคร” ของตัวเอง
“ถามว่าเสน่ห์ของเราคืออะไรเหรอคะ (ทำเสียงขี้เล่นปนขวยเขิน) หนูคิดว่าเวที Miss Universe มันสื่อถึงตัวหนูนะคะ และมันเป็นอะไรที่หนูชอบมากที่สุด คำแรกที่หนูชอบคือ confidently beautiful
เพราะหนูเป็นคนที่ไม่เคยมองว่าตัวเองสวยกว่าคนอื่น แต่หนูมองว่าตัวเองเป็นคนที่มีเอกลักษณ์ and I’m happy that way เพราะว่าหนู unique หนูไม่เหมือนใคร แล้วหนูก็ดีใจและมั่นใจที่หนูเป็นแบบนี้ มันเลยเป็นสิ่งแรกที่หนูชอบเวทีนี้
บวกกับการที่เป็น empowering women ซึ่งในปีนี้คอนเซ็ปต์ของเขาคือ empowering beauty หนูก็ชอบคำนี้ด้วยเหมือนกัน คือความสวยอย่างมีพลัง เพราะว่าในสมัยนี้คือไม่ใช่ว่าสวย-ฉลาดอย่างเดียว แต่ว่าคุณสามารถที่จะใช้จุดดีของคุณ ไปช่วยเหลือหรือไปสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนอื่นได้ยังไง มันก็เลยเป็นอะไรที่ทำให้หนูชอบคอนเซ็ปต์นี้ด้วยค่ะ
และหนูโชคดีอย่างนึงที่หนูมีคุณพ่อ-คุณแม่คอย support และบอกว่า ยูสวยในแบบของยูแล้ว ยูไม่ต้องไปทำอะไรแล้ว เพราะมันก็จะมีช่วงที่หนูคิดว่า อืม..ฉันควรไปทำตา 2 ชั้นดีไหม ในเมื่อหลายๆ คนติเรื่องตาของหนูมากๆ ทั้งตาห่าง ตาตี่ ตาเล็ก ตา 2 ชั้นหลบใน ฯลฯ คือโดนมาเยอะเหมือนกัน และทำให้หนูไม่มั่นใจ
แต่จริงๆ แล้ว ความสวยที่แท้จริงหรือความสวยจากภายใน คือความสวยที่อยู่ที่ทัศนคติของเรา อยู่ที่นิสัยของเรา อันนั้นคือความสวยที่แท้จริง ซึ่งหนูเชื่อว่าในทุกๆ วันนี้ก็หวังว่า ทุกคนจะเห็นความสวยในแบบนั้นของหนูค่ะ”
“การเมือง” เรื่อง sensitive ของ “คนดัง” ในความคิดของหนู หนูคิดว่ามันจะมีอยู่บางเรื่องที่เป็นเรื่อง sensitive ซึ่งในฐานะคนของประชาชน คนสาธารณะจะต้องระวังคำพูดนิดนึง หรือแม้แต่การที่เราจะเป็นคนรัก เป็นเพื่อนกับใคร ก็จะมีเรื่องบางเรื่องที่เราจะไม่แตะ ในจำนวนนั้นก็จะมีเรื่อง “ศาสนา” และเรื่อง “การเมือง” ด้วย อันนี้เป็นสิ่งที่คุณพ่อสอนมาเลยค่ะว่า ถ้าไปตรงไหนก็ไม่ควรกล่าวถึง หนูมองว่าเราสามารถมีความคิดเป็นของเราได้แน่นอนอยู่แล้ว แต่เวลาที่เราจะสื่อออกไป เราก็ควรจะเป็นกลางมากที่สุดในเรื่องพวกนี้ แล้วก็ไม่ควรแสดงความคิดเห็นออกมาให้กระทบกับใคร เพราะเราเป็นคนของประชาชน และประชาชนเองเขาก็มีความคิดที่แตกต่างกันด้วย เพราะฉะนั้น สำหรับหนูแล้ว หนูก็จะพูดเรื่องนี้กับคนอื่นอย่างเพื่อนสนิทได้ แต่ถ้าออกมาสู่สื่อสาธารณะแล้ว ก็อาจจะต้องระวังนิดนึงค่ะ |
ไม่เคยมีแฟน เพราะยังไม่เจอ “คนที่ใช่” หนูเข้าใจนะว่าในช่วงที่เราเรียน มันก็จะมีการที่เราอยากจะเข้ากลุ่ม และการที่เพื่อนๆ มีแฟนมาหมดแล้ว ก็อาจจะทำให้เราโดน press pressure ว่า ยูก็ต้องมีแฟนเหมือนกับเรานะ เราจะได้พูดกันรู้เรื่อง แต่หนูก็อยากจะบอกว่า ถ้าเรายังไม่เจอคนที่คิดว่าใช่ ก็ไม่จำเป็นค่ะ เพราะไม่ใช่ว่าเราจะต้องมีแฟน เราถึงจะมีคุณค่า เราก็สามารถมีคุณค่ากับการเป็นของเราแบบนี้ และเราก็ไม่จำเป็นจะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพื่อให้เข้ากับคนอื่นได้ แต่เราก็ต้องดูด้วยว่า ทั้งสองฝ่ายจะยอม compromise (ประนีประนอม) และมาเจอกันตรงกลางได้ไหม และสำหรับหนู ถ้าเรายังไม่เจอคนที่ใช่ ก็ไม่เป็นไรค่ะ เราก็ไปของเราเรื่อยๆ ได้ค่ะ ส่วนคนแบบไหนที่จะใช่เหรอคะ ก็คงเหมือนคุณพ่อมั้งคะ (หัวเราะ) หนูชอบคนที่สามารถพบกันครึ่งทางได้ เป็นคนที่รับฟังเรา ไม่ใช่แค่พยักหน้าอย่างเดียว แล้วก็ไม่รู้ว่าเราพูดอะไร เป็นคนที่พยายามที่จะเข้าใจ และถ้าเขาตลกนิดนึงก็จะดีค่ะ หนูคิดว่าหนูเป็นคนที่เรียบง่าย สบายๆ หนูชิลมาก และบางทีคนเขาพยายามที่จะ impress หนูโดยการพาไปร้านหรูๆ หรืออะไรแบบนี้ หนูอยากจะบอกเลยว่า การที่คนเขาซื้อดอกไม้มาให้หนู หรือทำอะไรที่พยายามที่จะ impress หนู เป็นช่วงที่เรียกว่า promotion period อะไรแบบนั้น หนูว่าอย่าทำเลยดีกว่า ยูมาแบบที่เป็นของยูตั้งแต่ต้น แบบที่สามารถจะอยู่แบบนี้ได้เสมอต้นเสมอปลายดีกว่า หนูชอบคนแบบนี้มากกว่า เพราะเป็นคนที่จริงใจ เพราะหนูก็เป็นคนแบบนี้อยู่แล้ว ถ้าเกิดพาหนูไปกิน food court ก็โอเคนะ เพราะหนูก็เป็นคนแบบนี้ หนูชอบคนที่คุยกันแล้วมันคลิกค่ะ คนที่ไลฟ์สไตล์คล้ายๆ กัน ที่ผ่านมาก็มีคนเข้ามาบ้างเหมือนกันค่ะ แต่จะทักหนูทางโซเชียลมีเดีย และหนูก็เป็นคนที่ไม่ค่อยชอบการคุยกันแบบที่ว่า คุยในฐานะแฟนคลับก่อน แล้วค่อยมาบอกว่าจากแฟนคลับ ขยับมาเป็นเพื่อนได้ไหม หนูก็คิดว่านั่นไง พอรู้แล้วว่ายูจะไปทางไหน หรือจู่ๆ มาบอกว่าอยากคุยกัน 2 ต่อ 2 ออกไปทานข้าวกันได้ไหม หนูก็จะมองว่าอะไรอะ คือยังไงสำหรับหนู ถึงเราจะมีโอกาสคุยกันทางโซเชียลมีเดีย แต่คุณก็ยังเป็น stranger นะ ฉันก็ยังไม่รู้จักคุณนะ และหนูจะเป็นคนที่ประทับใจมากๆ ถ้าเกิดมีคนคนนึงเขาติดตามว่า หนูมีงานที่ไหน และพยายามไปเจอหนูในที่สาธารณะ ตามไปเจอที่งานของหนูเลย เพราะมันแสดงให้เห็นถึง effort ของคุณว่า คุณพยายามที่จะอยากรู้จักเราจริงๆ หนูจะประทับใจคนแบบนี้มากกว่า ซึ่งจนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีเลย หนูก็ไม่ได้เลือกเยอะนะคะ แต่อาจจะเป็นเพราะด้วยความที่หนูโสดมานานมั้ง พอคุยกันครั้งแรกเราจะรู้เลยว่าคนนี้อยากคุยต่อ หรือคนนี้มีแววที่จะเป็นแฟนไหม เคยไหมคะที่คุยกันแล้วรู้สึกไม่คลิก ไม่เข้าใจกัน เพราะมีความคิดเห็นที่ไม่เหมือนกัน ส่วนใหญ่จะเป็นแบบนี้มากกว่า |
โปรดอย่าทำร้ายนางงามด้วย “การวิจารณ์รูปลักษณ์” การที่เราจะเป็นนางงาม เราจะต้องเป็นบุคคลสาธารณะที่จะมีคนอื่นมา comment เรา ซึ่งมันก็มีทั้งดีและไม่ดีอยู่แล้ว ลองคิดในทางกลับกันว่า ขนาดเรายังไม่ชอบทุกคนเลย เพราะฉะนั้น ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะชอบเรา แต่มันก็ขึ้นอยู่กับว่าเราจะรับ comment พวกนั้นได้อยู่หรือเปล่า ในตอนนั้นมันเหมือนครั้งแรกที่เราโดน ก็ทำให้รู้สึกจึ้ก (แทงใจ) ไปเลยเหมือนกันว่า ทำไมคุณถึงตัดสินที่รูป หรือตัดสินที่คำ comment ของคนอื่น ทำไมคุณไม่มาหาเรา ไม่มาคุยกับเรา ทำความรู้จักกับเราก่อนที่จะตัดสินตัวเรา หนูเจออะไรบ้างล่ะ (กวาดตานึก) อย่างเช่น เขาบอกว่าหนูเป็นคนตาห่าง-ตาตี่ นอกนั้นที่หนูโดนก็จะมีเธอเป็นลูกครึ่ง เธอหน้าตาไม่ไทย เธออ้วน ฯลฯ หนูก็เจอมาเยอะพอสมควร ที่คนมองว่าอ้วน เพราะหนูเป็นคนที่โครงใหญ่ค่ะ เป็นคนที่เหมือนโครงฝรั่ง แล้วพอหนูมาประกบกับคนที่เป็นลุคเอเซีย หุ่นเล็กๆ มันก็เลยถูกมองว่าหนูอ้วน ถ่ายรูปออกมาแล้ว บางมุมหนูก็จะถูกมองว่า (ทำมือขยายออก) ซึ่งบางทีหนูก็มองว่า ฉันก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นนะ ทำไมมุมกล้องทำร้ายฉันจังเลย (ยิ้ม) แต่ว่าก็โอเคค่ะ คืออยากจะถามเหมือนกันว่า คุณได้มาตรฐานความงามมาจากไหน เพราะก่อนหน้านี้หนูจะโดนมาตลอดเลยว่า นางงามจะต้องตาโต จะต้องเป็นคนที่มีตา 2 ชั้น จะต้องอย่างนู้น อย่างนี้ อย่างนั้น (ยิ้มปลงๆ) ถ้าเกิดนางงามทุกคนไปทำศัลยกรรมมา และไปอยู่บนเวที หน้าบล็อกเดียวกันหมด แล้วคนไหนสวยล่ะ? คือเราจะต้องมั่นใจในความสวยในแบบของเรา สำหรับหนูนะคะ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะบอกคนที่วิจารณ์ว่า พี่อย่าติเลยค่ะ (หัวเราะเบาๆ) พูดจริงนะคะ คือตอนที่นางงามเขาประกวดอยู่ สิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดเลยคือ เขาต้องการกำลังใจ เพราะเวลาที่ประกวดมันก็จะมีท้อ มีเหนื่อย มีหลายอารมณ์ คุณอาจจะไม่คิดนะ แต่สิ่งที่คุณพูดน่ะ มันทำร้ายจิตใจของคนอื่น และมันทำให้เขาขาดความมั่นใจด้วยจริงๆ แต่เราก็ต้องตัดสินใจเลือกค่ะว่า ถ้าเราจะเข้ามาตรงนี้ แน่นอนว่าเราต้องเจอกับสิ่งเหล่านี้อยู่แล้ว และเราจะรับกับมันได้ไหม ซึ่งหนูก็ตัดสินใจว่าถ้างั้นเราแค่มอง comment ที่อยู่ใต้รูปภาพของเราดีกว่า เพราะคนพวกนั้นคือคนที่รักและ support เราจริงๆ ไม่จำเป็นต้องไปดูที่เพจอื่น ที่มีข้อติหรือ comment อะไรแบบนี้ ซึ่งจริงๆ หนูก็มีไปอ่านบ้างนะคะ แต่เราก็ต้องมองด้วยว่ามันเป็นข้อติ หรือเป็น constructive criticism ที่ติเพื่อให้เราสามารถพัฒนาตัวเองด้วย และถ้าเป็นไปได้ หนูอยากจะให้ทุกคนมองผ่านความสวยจากภายนอก และมองเห็นเขาจากการที่เขาเป็นตัวตนของเขาจริงๆ เพราะนั่นคือความสวยที่แท้จริง ที่หนูเชื่อว่าคนก็อยากจะรู้จักคนคนนั้นในแบบที่เขาเป็น |
ยอม “เสียค่าปรับหลักแสน” ดีกว่า “เสียดายที่ไม่ได้เสี่ยง” เพราะอยากมาประกวดเวที Miss Universe Thailand อีกรอบ แต่หนูยังติดสัญญาในตำแหน่งรองอันดับ 2 จากผลการประกวดปี 2017 หนูเลยยอมเสียค่าปรับค่ะ ก่อนตัดสินใจ หนูก็ถามพ่อกับแม่ด้วย และเขาก็สนับสนุนค่ะ เพราะว่าเงินเก็บหนูก็... (หัวเราะ) คุณพ่อคุณแม่ถามเราว่า เรายังอยากจะประกวดใหม่ไหม มันยังเป็นความฝันของยูไหม ถ้าใช่เขาก็พร้อมที่จะสนับสนุน ซึ่งหนูก็โชคดีค่ะที่คุณพ่อคุณแม่ยังคอย support อยู่ตลอด ตอนแรกที่คิดว่าจะลองใหม่ หนูก็กลัวเหมือนกันนะคะ เคยถามตัวเองนะว่า จำเป็นไหมที่จะต้องเป็นนางงาม ในเมื่อเราก็มีทางอื่นให้เลือก มันอาจจะไม่จำเป็นต้องกลับมาประกวดใหม่ก็ได้ และในช่วงที่เรากำลังตัดสินใจลังเลอยู่ พอไปอ่าน comment นึง มีคนมาตอบว่า ก็ยูเคยได้รองอันดับ 2 แล้ว แล้วยูมั่นใจอะไรว่าครัง้นี้ยูจะได้ ยูมาทำไม ฉันไม่เห็นว่ายูจะทำได้ ตอนนั้นแอบเขวไปเลยค่ะ ซึ่งก็ถือเป็นบทเรียนอย่างนึงเหมือนกันว่า เราไม่ควรไปฟังคนอื่นมาก มีประโยคนึงที่หนูเคยพูดไว้ตอนประกวดปี 2017 คือ “Don’t let fear stop you for doing what you love” อย่าให้ความกลัวมาหยุดเราในการทำสิ่งที่เรารัก หนูก็เลยกลับมาคิดถึงคำพูดนั้นอีกครั้ง และคิดว่าถ้าเกิดนั่นคือความฝันของเราจริงๆ แล้วทาง TPN เขาประกาศอย่างชัดเจนว่า เขาให้โอกาสรองกลับมาประกวดใหม่ได้ ถ้าเราไม่คว้าโอกาสนั้น เพราะว่าเรากลัวและเราไม่กล้าที่จะลงมือทำ พอเวลาผ่านไป และโอกาสนั้นมันไม่อยู่แล้ว เราจะไม่เสียดายและจะไม่เสียใจยิ่งกว่าเหรอ และมันก็จะมีคำถามว่า what if เกิดขึ้นมา คือถ้าฉันทำแบบนั้น ชีวิตของฉันจะเปลี่ยนไปแบบไหนบ้าง คือหนูไม่อย่างเสียใจภายหลัง เพราะหนูเชื่อว่าความเสียใจภายหลัง มันจะเจ็บยิ่งกว่า ถ้าเราไม่ได้ลงมือทำในวันนี้ค่ะ |
ต่างเวที-ต่างคอนเซ็ปต์ การบ้านที่ “สาวงาม” ต้องรู้!! แต่ละเวทีจุดประสงค์มันไม่เหมือนกันค่ะ จุดประสงค์ของเวทีแรกของหนู “Miss Thailand Chinese Cosmos” ก็คือ อยากได้เพื่อน อยากสนุก อยากเข้าไปทำกิจกรรม เพราะเป็นช่วง summer vacation ของหนูพอดี เป็นช่วงที่หนูยังรู้สึกหลงทาง เพราะหนูรู้แล้วว่าหนูไม่อยากเรียนหมอต่อ แต่หนูจะทำอะไรต่อ เพราะหนูไม่เคยมี plan B แต่พอลองเวทีนั้นปุ๊บ ก็ได้รองอันดับ 2 หลังจากนั้นคนที่ได้ Top 4 จะถูกส่งตัวไปประกวดที่มาเลเซีย “Miss Chinese Cosmos Southeast Asia” เป็นเวทีที่ 2 แล้วตอนนั้นก็ได้ประสบการณ์เลยค่ะว่า การที่เราไปประกวดต่างประเทศจะต้องแต่งหน้าเป็น จะต้องทำผมเป็น เรื่องอาหารการกินก็ควรต้องเตรียมไปเอง หรือแม้แต่เรื่องยาก็สำคัญ ส่วนเวทีที่ 3 “นางสาวไทย” โลโก้ในปีนั้นของเขาที่หนูจำได้คือ สวย, ฉลาด, ทันสมัย, มีความสามารถ นั่นคือนิยามความสวย และเวทีที่ 4 “Miss Universe Thailand” โลโก้ของเขาคือ confidently beautiful คือสวยในแบบฉบับของเรา และเราก็มั่นใจในแบบของเราด้วย เวทีที่ 5 ที่ได้ไปคือ “Miss Earth” เวทีนี้เขาต้องการความสวยที่มี advocacy (ความสามารถในการโน้มน้าว) ความสวยที่มี escorts (ความเป็นผู้พิทักษ์) เพราะฉะนั้น เราต้องรู้จักดึงเสน่ห์ของตัวเองออกมา ให้มันเข้ากับเวทีนั้นๆ เพราะแต่ละเวทีจะมีสโลแกนไม่เหมือนกัน และถึงจะเป็นเวทีเดียวกัน สโลแกนก็เปลี่ยนไปได้ อย่างปีนี้ (เวที Miss Universe) เขาก็จะเปลี่ยนจาก empowering women หรือ confidently beautiful มารวมกันเป็น empowering beauty หรือเวทีอื่นๆ ก็จะมีสโลแกนของเขา มี motto ของเขา ดังนั้น ก่อนที่นางงามจะไปประกวดเวทีต่างๆ เขาก็ควรจะไปประกวดเวทีที่เขาคิดว่า นี่แหละมันสื่อถึงตัวของฉัน หรือนี่แหละคือสิ่งที่ฉันอยากจะเป็น ตรงนี้ก็สำคัญด้วยค่ะ ส่วนตัวฟ้าใสมองว่า แต่ละเวทีเราจะได้เรียนรู้ไม่เหมือนกัน แต่พอเอาทุกประสบการณ์ที่ผ่านมามารวมกัน ก็ทำให้หนูได้พัฒนาตัวเองมาเป็นฟ้าใสในวันนี้ค่ะ |
“แหวนนะโม” ใส่ติดนิ้วแม้ยามประกวด ที่มาที่ไปคือ ตอนนั้นหนูไปนครศรีธรรมราชกับพี่สาว เพราะว่าอยากจะไปดูปลาโลมาสีชมพู แล้วพอไปปุ๊บ ตรงสนามบินเขาจะมีที่ขายจิวเวอรี่ และฟ้าใสเป็นคนที่บ้าแหวนมากๆ ตอนนั้นจะใส่แหวนทั้งนิ้วก้อย, นิ้วชี้, นิ้วโป้ง ฯลฯ ใส่ตลอดเลย พอดีหนูเห็นแหวน และเห็นว่าดีไซน์มันเก๋ดี ก็เลยซื้อมาใส่ และแหวนอื่นๆ ก็หายไปทีละวงๆ แต่ยังเหลือแหวนวงนี้อยู่ ซึ่งมันก็ขยายเรื่อยๆ นะคะ เคยใส่นิ้วชี้ มาเป็นนิ้วกลาง ทุกวันนี้มาเป็นนิ้วโป้ง แล้วก็เริ่มหลวมแล้วด้วย หนูเพิ่งมารู้ความหมายของแหวนนี้ เมื่อช่วงเก็บตัวค่ะ มีพี่คนนึงเขามาดูแหวน แล้วเขาก็บอกว่านี่ “แหวนนะโม” นี่ หนูก็ถามว่าคืออะไร เขาก็อธิบายให้ฟังว่า มันเป็นแหวนที่เสริมเกี่ยวกับสุขภาพด้วย เป็นแหวนที่เกี่ยวกับความเชื่อด้วย หนูเลยคิดว่าถ้างั้นก็ใส่เป็นสิริมงคลก็ดี เพื่อให้เป็นการปัดเป่าสิ่งร้ายๆ ออกไปด้วย ก็เลยใส่จนถึงทุกวันนี้ค่ะ ยังคุยกับพี่สาวอยู่เลยค่ะว่า ถ้ามีโอกาสได้ลงไปนครศรีธรรมราชจะซื้อใหม่ เพราะว่าวงนี้เริ่มหลวมแล้ว (ทำหน้าเสียดาย) |
ซาดิสต์เล็กๆ ฝันอยากเป็น “หมอบีบสิว” ตอนเด็กๆ ก็มีบ้างค่ะ มีความฝันหลายอย่างเลย เคยอยากเป็นนักร้อง-นักแสดง แต่ปัจจุบันอยากเป็น dubber ค่ะ อยากเป็นคนพากย์เสียง แล้วก็มีอีกอย่างนึงที่อยากเป็นค่ะ อยากเป็นเหมือน “Dr.Pimple Popper” (แพทย์ผิวหนังชาวอเมริกันที่โด่งดังจากคลิปบีบสิว) บางคนเขาจะรู้สึกว่า เฮ้ย..เธอชอบแบบนี้เหรอ แต่หนูดูแล้วมันผ่อนคลายนะ (หัวเราะ) พอบีบออกสุดๆ มันดูแล้ว satify (พอใจ) จะบอกว่าชอบมากๆ ถึงขั้นคำว่าจะไปเรียนเรื่อง special spa เลยค่ะ หนูชอบหลายอย่าง (ยิ้ม) อย่างคุณแม่จะชอบกลัวเจ็บ หรือเป็นในที่ที่บีบไม่ถึง หนูก็จะมันเลยค่ะ (ทำหน้าสะใจ ก่อนตบท้ายด้วยเสียงหัวเราะสบายๆ) |
มงฯ 3 มาแน่!! “ตัวเต็ง MU2019” จริงๆ ตั้งแต่ตอนไปประกวด Miss Earth ตอนนั้น หนูก็คิดอยู่เสมอว่า ไม่ว่าผลจะออกมายังไง หนูทำดีที่สุดแล้ว และถ้าเราทำดีที่สุดแล้ว เราก็จะไม่มีคำว่าเสียดาย ซึ่งในครั้งนี้ ก่อนที่หนูจะกลับมาประกวด Miss Universe Thailand หนูก็บอกกับตัวเองเหมือนกันว่า ถ้าเราทำดีที่สุดแล้ว ไม่ว่าผลจะออกมายังไง หนูโอเค เพราะว่ามันจะไม่มีคำถามมาถามตัวเองว่า ถ้าฉันลองในวันนั้น มันจะเปลี่ยนแปลงไปยังไงบ้างในวันนี้ ก็คงเหมือนกับเวที Miss Universe ที่กำลังจะเกิดขึ้นค่ะว่า ถ้าหนูทำดีที่สุด เราก็จะไม่มีคำว่าเสียดาย และถ้าคนไทยเห็นว่าหนูทำทุกวันอย่างเต็มที่แล้ว หนูเชื่อว่าเขาก็จะภูมิใจไม่ว่าผลจะออกมายังไงก็ตามค่ะ สำหรับคนที่ตามเชียร์เราอยู่ ก็อยากจะบอกว่า ฟ้าใสได้ Miss Universe Thailand 2019 เรียบร้อยแล้วนะคะ (ยิ้มกว้าง) แล้วก็อยากจะฝากทุกคนเป็นกำลังใจ ติดตามเชียร์ฟ้าใสต่อในการประกวด Miss Universe 2019 นะคะ ส่งแรงเชียร์ แล้วก็เป็นกำลังใจให้ฟ้าใสต่อด้วยนะคะ |
[ขอบคุณสถานที่: ร้าน "CoCo Chaophraya" (ถนนพระอาทิตย์)]
สัมภาษณ์: ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง: อิสสริยา อาชวานันทกุล
ภาพ: วชิร สายจำปา, ภูริฉัตร ปริยเมธานัยน์
ขอบคุณภาพ: แฟนเพจ "Miss Universe Thailand 2019", อินสตาแกรม @paweensuda และ @metinee
ขอบคุณสถานที่: ร้าน "CoCo Chaophraya" (ถนนพระอาทิตย์)
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **