xs
xsm
sm
md
lg

“ผมไม่เคยอายเลยครับ” เปิดใจน้องหมีเด็กกตัญญู ขายขนมช่วยแม่ แลกค่าเทอม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


เก่ง-ขยัน-อดทน “ผมมีความสุขกับการขายมาก และผมเอาเงินไปเป็นทุนการศึกษา” เปิดใจ “น้องหมี” ลูกกตัญญูที่คอยช่วยแม่ออกมายืนขายขนมทุกวันหลังเลิกเรียน พร้อมกับใช้ความกล้าไม่เขินอาย ร้องเรียกคนเดินผ่านไปมาให้อุดหนุนอย่างสุภาพ

“ขยันหาเงินเรียน” ไม่เหนื่อยที่ต้องยืนเป็นชั่วโมง

“ไม่อายครับ ผมรู้สึกภูมิใจมากกว่าที่ได้ช่วยแม่”

คำพูดสั้นๆ จากเด็กยอดนักสู้ ใจกตัญญู น้องหมี-ภาคิน ภคโชติพงศ์ นักเรียนชั้น ป.6 วัย 11 ปี ได้เปิดใจกับ ทีมข่าว MGR Live ว่าตนเองอยากช่วยแม่ทำงานมาตั้งนานแล้ว เมื่อแม่ได้ลองฝึกทำขนมจากอินเทอร์เน็ต ก็ทำให้ตนเองได้ออกไปขายตามหน้า ร.ร.สตรีวิทยา หน้าห้างแอมพาร์ค ฯลฯ ส่วนรายได้จากการขายก็อยากเอาไปเป็นทุนการศึกษาต่อไป

โดยเรื่องราวที่น่าชื่นชมนี้ได้ถูกถ่ายทอดผ่าน เฟซบุ๊ก “Surasak Joe Cloning Khaengkhan” เผยให้เห็นความตั้งใจของน้องหมีที่กำลังยืนขายขนม ไม่ว่าจะเป็นเค้ก คุกกี้ บราวนี่ ฯลฯ ร้องเรียกคนเดินผ่านไปมาอย่างสุภาพ โดยใช้เวลาหลังเลิกเรียน วันจันทร์-ศุกร์ ตั้งแต่เวลา 6 โมงเย็น ถึงประมาณ 1 ทุ่ม หากวันไหนขนมเยอะก็จะขายถึง 2 ทุ่ม



เมื่อทีมข่าวถามถึงวิธีการเรียกลูกค้าในแต่ละวัน น้องหมีบอกว่า ตนเองจะต้องบอกถึงสิ่งที่ตัวเองมี บอกเอกลักษณ์ของขนมของตัวเอง อย่างเช่น ขนมมีความหอม มีความอร่อย ช็อกโกแลตของเราเข้มข้นแค่ไหน

“บราวนี่ไหมครับ กล้วยหอม กล้วยช็อกโกแลตก็อร่อยนะครับผม จริงๆ ถ้าไปขายที่แถวข้าวสารก็จะมีฝรั่งด้วยนะครับ แล้วก็ต้องใช้ภาษาอังกฤษด้วย ผมก็เรียกได้ครับ”

นอกจากจะเรียกลูกค้าเป็นภาษาไทย ก็ยังสามารถสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษได้อีกด้วย ซึ่งน้องหมีบอกว่า สามารถสื่อสารได้ประมาณช่วงอนุบาล เพราะมีแม่ช่วยสอนพยายามซื้อหนังสือภาษาอังกฤษมาให้อ่านอีกด้วย





ไม่เพียงแค่นี้ น้องหมียังต้องเตรียมตัวอ่านหนังสือเพื่อที่จะสอบเข้า ม.1 ให้ได้อย่างที่ตั้งใจไว้ โดยหลังจากเลิกเรียนจะมาทำการบ้านและติวออนไลน์ พอถึงเวลา 5 โมงเย็นก็เริ่มเตรียมตัวไปขายขนม หลังจากขายเสร็จก็ต้องมาติวหนังสืออีกสักพักก่อนจะเข้านอน

“ผมก็ลองหาคุณครูที่เขาติว สอนพิเศษ แล้วพอได้คุณครูมาแล้ว เราก็ลองไปติดต่อกับเขาว่าเขามีคอร์สอะไรบ้าง แล้วลองหาคอร์สที่เหมาะกับเรา ที่เราพอจะเรียนได้ แล้วเราก็จะพัฒนาตัวเองขึ้นไปเรื่อยๆ ครับผม

ส่วนวิชาที่ชอบ วิชาคณิตศาสตร์ครับ มันเป็นวิชาที่มีเหตุผลครับ โตขึ้นผมคิดไว้ 2 อาชีพที่อยากทำครับ คือหมอกับวิศวะ ครับ แต่จริงๆ ผมอยากเป็นหมอมากกว่านะ เพราะถ้าเกิดโตขึ้น คุณแม่ทั้งสองผมแก่ จะได้ดูแลได้ครับ

ผมอยากจะบอกแม่ว่า ขอบคุณมากเลยครับ ที่ทำให้ผมมีอนาคตที่ดี เลี้ยงดูผมมาอย่างดี ไม่ทอดทิ้งผม ดูแลผมในวันที่ผมมีความทุกข์ หรือไม่ว่าผมจะไม่สบาย แม่ก็ยังอยู่ดูแลผมครับ



ถ้าถามว่าได้อะไรจากการขายขนมบ้าง อย่างแรกเลย คือ ความรู้สึกดีๆ เลยครับ ที่ผมได้ออกมายืนขาย เพราะผมมีความสุขกับการขายมาก และอีกอย่างผมเอาไปเป็นทุนการศึกษา ค่าเรียนพิเศษ ค่าเทอมอะไรอย่างนี้ครับ”

เมื่อ “ลูกยืนขายขนม” แต่แม่ถูกมองใช้แรงงานเด็ก!

เห็นความขยันของน้องหมีขนาดนี้แล้ว ลองมาฟังเรื่องราวจากปากของ คุณแม่หวาน-ภัทรศยา อมรแก้ว ซึ่งได้ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมกับทีมข่าวผ่านปลายสาย โดยคุณแม่หวานคอยเลี้ยงดูน้องหมีมาพร้อมกับเพื่อนสนิทอีกคน ซึ่งน้องหมีก็เรียกว่าแม่เช่นกัน

“จริงๆ แล้วก่อนหน้านี้แม่เคยขายเสื้อผ้า แล้วตอนหลังคนขายเสื้อผ้าเยอะ แล้วเคยขายส่งด้วย แล้วคุณแม่อีกคนเขาป่วยติดเชื้อในกระแสเลือดค่ะ ทำคนเดียวไม่ไหวต้องรับส่งลูกด้วยก็เลยหยุดไป พอคุณแม่อีกคนเริ่มจะดีขึ้นก็เริ่มหาอะไรทำกัน เลยมาลองทำขนมค่ะ



ตอนแรกเริ่มทำเล่นๆ เริ่มทำจากคุกกี้ตั้งใจจะทำกินเอง เลยลองมาขายดู พอขายได้สักพักก็ลองทำเค้ก พอออกไปขายก็ทำเพจขึ้นมาแล้วยังไม่มีหน้าร้าน ก็เลยคิดว่าออกไปโปรโมตก่อนให้คนรู้จัก แล้วเราค่อยเปิดหน้าร้านดีกว่า คือถ้ามันขายได้แล้วเราค่อยจัดการเรื่องสถานที่เป็นเรื่องเป็นราวค่ะ

อย่างเวลาทำขนม น้องหมีก็ช่วยล้างอุปกรณ์ แต่ในขั้นตอนของการอบคงไม่ได้ช่วย แต่จะช่วยหยิบของ ล้างถาดช่วยเช็ดเตาอะไรอย่างนี้

ส่วนเงินที่ขายได้เป็นของเขาค่ะ คือปีนี้เขาต้องใช้เงินเยอะ เพราะว่าเขาต้องติว แล้วค่าใช้จ่ายในการติวสอบเข้า ม.1 มันค่อนข้างเยอะ เขาก็เลยอยากจะช่วยค่ะ ก็คือส่วนที่เขาออกไปขายวันละชั่วโมงก็ให้เขาเอาไว้เรียนพิเศษ ให้เขาติว เพราะจะสอบเข้า ม.1 มันก็ต้องติวอ่ะเนอะ ถ้าไม่ติวก็สอบไม่ได้ ข้อสอบค่อนข้างจะยาก”



ทว่า การพาลูกออกมายืนขายขนม คุณแม่หวานกลับถูกมองว่าเอาเปรียบ ใช้แรงงานเด็ก บังคับให้เด็กมาขายขนม ต่างๆนานา ซึ่งนั่นก็ทำให้เกิดความน้อยใจ

“พอดีวันนั้นคุณแม่ไปขายขนมกับเขากลับมาตอนเย็น แล้วโดนรถชน แล้ววันนั้นคุณแม่ยังไม่หายสนิท ต้องเย็บหัว ยังไม่ได้ตัดไหมเลย คุณแม่ก็เลยมานั่งรอที่รถมอเตอร์ไซค์ แล้วน้องก็ขายอยู่ ก็นั่งรออยู่ไม่ไกลก็มองเห็นน้อง แล้วมีคนเดินผ่าน เขาก็พูดกันกับเพื่อนว่า เหมือนใช้แรงงานเด็กเปล่าวะ แล้วเขาคงไม่รู้ว่าเราได้ยิน คือเราไม่ได้ใช้แรงงานลูกเรานะ แต่ว่าเราไม่ไหวจริงๆ เพราะเพิ่งโดนรถชนแล้วเย็บหัวมา มันยังมึนๆ อยู่”

สำหรับเคล็ดลับในการเลี้ยงลูกของแม่หวาน จะไม่ให้ลูกอยู่กับโซเชียลเร็วเกินไป แม้กระทั่งโทรทัศน์ก็จะให้ลูกเริ่มดูได้ตอน 4 ขวบ เพราะศึกษามาแล้วว่ามีผลต่อสมาธิเด็กจึงไม่ให้ดู



“อย่างเรื่องเกมออนไลน์ เราจะไม่ให้เล่น คุณแม่มองว่ามันเหมือนเป็นดาบสองคม ก็เลยยังดีกว่า เพราะเขายังเด็กอยู่ บางทีที่เขาสามารถเข้าไปเจออะไรที่มันไม่ดีในนั้นได้

ส่วนเรื่องการอ่านหนังสือเราปลูกฝังเขาตั้งแต่เด็ก คือตั้งแต่ 2 ขวบ เราก็อ่านหนังสือนิทานให้เขาฟัง พอเขาเริ่มไปโรงเรียนอ่านได้ เขาอยากอ่านให้เราฟัง เราก็ฟังก็ไม่ได้ห้าม อย่างเวลาออกไปข้างนอกเจอป้ายเจออะไรก็ให้หัดอ่าน พอโตขึ้นมาเขาอยากไปห้องสมุด อยากไปไหนเราก็พาไปก็คือไม่ได้เร่งเขา

ภูมิใจในตัวเขามาตั้งนานแล้วค่ะ คือตั้งแต่เด็กเขาแข่งขันทางวิชาการก็ได้รางวัลมาเยอะพอสมควร แต่อย่างที่บอกมันมาสะดุดตรงช่วงที่แม่อีกคนหนึ่งป่วย ก็เลยทำให้สะดุดไป น้องก็เลยหยุดไปช่วงหนึ่ง แต่พอน้องเขากลับมาติว กลับมาอ่านหนังสือ ก็เริ่มเข้าที่เข้าทางค่ะ แล้วตอนนี้น้องเขารู้จักใช้เงินมากขึ้นนะคะ อย่างของเล่นเดี๋ยวนี้เขาก็จะคิดก่อนที่จะซื้อ ขายของมาได้เขาก็ประหยัดขึ้นค่ะ”

ข่าวโดย MGR Live



 
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **



กำลังโหลดความคิดเห็น