จิตอาสารักษาผู้ป่วย สูงสุดวันละ 100 คน!
หลายคนคงรู้จัก หมอเอิ้น-พิยะดา หาชัยภูมิ วัย 38 ปี ในฐานะจิตแพทย์นักแต่งเพลงกันอยู่แล้ว แต่หลังจากตัดสินใจลาออกจากราชการด้วยปัจจัยที่ทำให้ไม่สามารถทำกิจกรรมอื่นได้อย่างเต็มที่ จึงถอยออกมาเพราะอยากไปดูแลคนที่ยังไม่ป่วยด้วยการเป็นวิทยากรตามโรงเรียน ไม่แค่นั้นยังคงเดินทางไปเป็นจิตแพทย์จิตอาสา ที่ต้องตรวจคนไข้สูงสุดถึงวันละ 100 คน
“ถ้าหมอยังฝึกสภาวะจิตของตัวเองไม่ดีพอก็มีโอกาสเสี่ยงซึมเศร้า คือเรื่องนี้มันเป็นเรื่องของพลังงานชีวิต อย่างเอิ้นเองก็ค่อนข้างเข้มงวดกับตัวเองมากๆ ในการจะรักษาเรื่องของพลังงานชีวิตของตัวเอง เลยไม่พยายามที่จะรับอะไรที่เกินตัว เพราะจิตแพทย์ข้อดีอย่างหนึ่งคือ เป็นหมอที่เลือกคนไข้ได้ เพราะเราไม่สามารถที่จะรักษาทุกคนได้”
สถานการณ์ในการดูแลสุขภาพจิต เรื่องของบุคลากรยังมีปัญหาอยู่มาก และแม้ว่าหมอเอิ้นจะออกจากราชการได้ประมาณ 6 เดือนแล้ว ก็ยังต้องไปเป็นจิตอาสาตรวจคนไข้ฟรีที่โรงพยาบาลจิตเวชเลยอยู่ ซึ่งมีความตั้งใจว่าทุกวันพุธจะไปช่วยเป็นจิตอาสาตรวจที่โรงพยาบาลอาทิตย์ละ 1 วัน โดยอาชีพจิตแพทย์ไม่ได้มีข้อกำหนดว่าใน 1 วันจะต้องรักษาดูแลคนไข้จำนวนกี่คนอีกด้วย
“ไม่จำกัดค่ะ เอิ้นเคยรักษาสูงสุด 1 วัน 100 คน ซึ่งอันนี้ก็น่าเป็นห่วงนะ แล้วก็น่าตกใจเหมือนกันว่าในบ้านเรา นอกจากจิตแพทย์ที่อยู่ในระบบที่ค่อนข้างน้อยแล้ว คนไข้ก็เพิ่มมากขึ้นมากโดยเฉพาะกลุ่มของยาเสพติด อย่างที่จิตเวชเลยเองก็มีคุณหมอที่ตรวจอยู่แค่ 2 คน อาจจะมีหมอที่วนมาจากส่วนกลางช่วยสักคนหนึ่ง
ตอนนี้รู้สึกว่าอยากดูแลคนที่ยังไม่ป่วยมากขึ้น เพราะว่าแนวโน้มที่เขาไม่ป่วย แต่เขามีความสุขน้อยลง เขามีปัญหาเรื่องของการสื่อสารกันมากขึ้น เขามีปัญหาเรื่องของความสัมพันธ์ แล้วทุกข์ง่ายขึ้น ก็มีแนวโน้มที่คนกลุ่มนี้จะไปเป็นคนป่วย แล้วต้องมารักษา
เอิ้นเลยอยากถอยตัวเองออกมา เพื่อที่จะดูแลคนที่ยังไม่ป่วย แต่ไม่มีความสุข คนที่ยังไม่ป่วยแต่ยังไม่ได้ใช้ศักยภาพของตัวเอง ติดกับกับอะไรบางอย่าง คนที่ไม่ป่วยแต่มีปัญหาในเรื่องของการสื่อสาร คืออยากทำงานกับคนกลุ่มนี้ให้มากขึ้น มันไม่มีอะไรที่จะทำได้ นอกจากลาออกก่อนแล้วค่อยมาทำ
อย่างล่าสุดก็เพิ่งไปทำเวิร์กชอปเรื่องของภูมิคุ้มกันทางใจ ให้กับน้องๆ ที่กำลังจะจบมหาวิทยาลัย แล้วจะต้องออกไปทำงาน เชื่อไหมว่าเด็กๆ เขายังไม่ได้ออกไปทำงานเลยนะ แต่เขาอ่ะรู้สึกเบิร์นเอาต์แล้ว รู้สึกว่าตัวเองกำลังเรียนกับสิ่งที่ไม่ใช่ เราจะไปทำหน้าที่ในการทำให้เขาเข้าใจว่าอะไรที่ทำให้เขาไม่มีความสุข แล้วเขาจะเริ่มกลับมามีความสุขได้ยังไง
ถ้าเกิดเขากลับมามีความสุขได้ ก็อย่าไปยึดติดเพราะเขาก็จะต้องกลับไปมีความทุกข์อีก แต่ว่าคุณไม่ต้องกลัวแล้ว เพราะว่าคุณมีภูมิคุ้มกันแล้ว คุณรู้แล้วว่าเวลาที่คุณเจอปัญหาต้องทำอะไร”
ปัจจุบันหมอเอิ้นได้มาตรวจที่โรงพยาบาลพระราม 9 ในทุกอาทิตย์แรกของเดือน และตอนนี้คนก็เริ่มเปิดกว้างมากขึ้น เป็นคนไข้ในกลุ่มที่ไม่ได้ป่วย แต่เป็นคนที่ทำงานแล้วรู้สึกว่ามันติดขัด หรือมีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ แล้วมีผลกระทบกับการใช้ชีวิต หรือเศร้า เครียดกับหลายๆ อย่างแต่ยังไม่ถึงกับป่วย ก็มารับคำปรึกษา
รวมถึงองค์กรที่คอยให้คำปรึกษาต่างๆ ที่อยากทำความเข้าใจมนุษย์มากขึ้น หมอเอิ้นยังเข้าไปดูแล เข้าไปสอนเพื่อที่จะให้เขาออกไปให้คำปรึกษากับผู้คนได้ดีขึ้น
ยุคทาสโซเชียลฯ เสี่ยงซึมเศร้าไม่รู้ตัว!
คนแสดงออกถึงความไม่มีความสุขได้ง่ายขึ้น ในขณะเดียวกันคนก็มีความสุขยากขึ้นจริงๆ จากการที่เราอาจจะใช้ชีวิตเร็วไป คือโลกมันเร็ว ลืมตาขึ้นมาโทรศัพท์ก็เปลี่ยนรุ่นใหม่แล้ว
จิตแพทย์นักแต่งเพลง บอกถึงความสุขของคนที่มีได้ยากขึ้นในยุคปัจจุบัน และการติดโซเชียลฯ ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เกิดขยะทางอารมณ์ได้ตลอดเวลา
“เราไม่ได้บอกว่าโซเชียลฯ ไม่ดีนะ คือทุกอย่างบนโลกนี้มันมีทั้งดีและไม่ดี แต่คนที่ตกเป็นทาสของโซเชียลฯ มีโอกาสที่จะมีความสุขยาก แล้วก็มีโอกาสที่จะเป็นโรคได้เยอะ เขาเรียกว่ามันมีขยะทางสายตา ทางหู ทางสัมผัสต่างๆ มันเข้ามากับเราได้ง่าย ตราบใดที่ตอนนี้โทรศัพท์เป็นปัจจัยที่ 5 ของชีวิต เราสามารถที่จะรับขยะของอารมณ์ ขยะของความคิด ขยะของคนอื่นเข้ามาในเราได้เกือบตลอดเวลา ถ้าเรารู้ไม่ทัน
สมัยเอิ้นนะ ยังเล่นหมากเก็บ กระโดดยาง ดีดกบอยู่เลยอ่ะ (หัวเราะ) คือชีวิตมันแค่นี้ เหมือนการสื่อสารมันช้านะ แต่การสื่อสารที่ช้ามันมีข้อดีอย่างหนึ่ง คือทำให้เราได้อยู่กับตัวเองเยอะขึ้น เราจะรู้จักตัวเองง่ายขึ้นว่าเราทำความรู้จักตัวเองก่อนที่เราจะไปทำความรู้จักคนอื่น แต่ว่าตอนนี้โดยส่วนใหญ่หลายครั้งเราเผลอที่จะไปรู้จักคนอื่นก่อนที่จะรู้จักตัวเอง”
แม้ว่าหมอเอิ้นจะเริ่มต้นจากการทำอาชีพนักแต่งเพลงมาก่อน แต่ด้วยความรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ฟังที่ดี แต่ไม่รู้ว่าถูกต้องหรือเปล่า เมื่ออยากจะปลอบใจคนอื่นจึงไม่รู้ว่าสิ่งที่พูดนั้นถูกต้องไหม เรียกง่ายๆ ว่าเกิดเป็นมนุษย์แต่กลับรู้สึกว่าตัวเองรู้จักความเป็นมนุษย์น้อยมาก จึงกลายเป็นเหตุผลให้เริ่มมาเป็นจิตแพทย์เพื่อทำความเข้าใจจิตใจของคน
“อยากรู้ว่ามนุษย์มันเป็นยังไง ใจมนุษย์มันเป็นยังไงนะ ทำงานยังไง แล้วเวลาคนที่ไปผิดทางจนกระทั่งป่วยเนี่ย คือเขาป่วยด้วยเพราะอะไร แล้วจะเอาเขากลับมาได้ยังไง ทั้งๆ ที่จริงๆ เอิ้นเป็นคนที่กลัวคนบ้ามาก
อย่างตอนเด็กๆ เวลาที่เราอาจจะเห็นเขาอยู่ตามท้องถนน แต่งตัวสกปรกพูดคนเดียว แต่ทุกวันนี้ต้องอยู่กับพวกเขา คือตอนนี้อาจจะคุยกับเขารู้เรื่องกว่าคนปกติ (หัวเราะ) อันนี้เป็นสิ่งที่ทำให้เข้าใจได้ว่า ถ้าเรามีความตั้งใจที่จะเข้าใจ แล้วเข้าใจ แล้วเราเริ่มยอมรับมันไม่มีอะไรน่ากลัวเลย
ตัวเราก็ต้องมีความรู้พื้นฐานในการวิเคราะห์พวกเขา ว่าจิตใจทำงานยังไง โดยธรรมชาติของเขาเป็นยังไง กลไกของจิตใจในการทำงานเป็นยังไง สร้างเกราะป้องกันอะไรบ้าง แล้วเกราะป้องกันที่จิตใจสร้างมานั้นสร้างประโยชน์ แล้วก็สร้างปัญหาให้กับชีวิตผู้คนยังไงบ้าง
เวลาเราทุกข์ส่วนใหญ่ก็เพราะเราสร้างเกราะที่จะป้องกันไม่ให้ใจเราเจ็บปวด แล้วสิ่งที่เอิ้นก็ต้องเรียนรู้ไปอีกว่า ถ้ามันส่งผลมาก มันทำให้คนคน นั้น เริ่มป่วย ก็ต้องมาเรียนรู้ในพาร์ตของความเจ็บป่วย โรคทางจิตเวชมีอะไรบ้าง ธรรมชาติของแต่ละโรคเป็นยังไง กลไกในสมองพอเป็นโรคนี้แล้วเกิดอะไรขึ้นในสมอง มีจุดไหนที่ผิดปกติ จะรักษายังไงให้เขาดีขึ้น
แล้วก็ต้องมีทักษะเรื่องการฟัง ต้องฟังให้ลึกเข้าไปถึงใจเขา บางทีคนที่เขาพูดเขาจะรู้แต่เฉพาะสิ่งที่เขาคิดนะ เหมือนเป็นจิตสำนึกที่เขาพอที่จะมองเห็นตัวเองได้ แต่สิ่งที่ลึกไปกว่านั้นที่คนมักจะไม่เห็น แล้วก็มักสร้างปัญหาเป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนเขาก็คือ จิตใต้สำนึก เพราะฉะนั้นเราต้องฟังให้เข้าไปให้ลึกถึงจิตใต้สำนึกของเขา เพื่อที่จะช่วยเขาได้”
สำหรับคนที่เป็นโรคซึมเศร้าเอง ก็เคยมีประเด็นที่ถูกมองว่าเรียกร้องความสนใจ หมอเอิ้นได้ตอบคำถามในเรื่องนี้ว่า ถ้าคนที่อยู่ในภาวะของโรคนี้จริง ถ้าถูกมองเช่นนั้นก็เป็นเรื่องที่น่าสงสารอย่างมาก
“หากเขาเป็นโรคซึมเศร้าจริง ก็น่าสงสารมาก มันก็เลยมีความสำคัญว่าทำไมเราต้องแยกระหว่าง “ซึมเศร้าจริง” กับ “ซึมเศร้าไม่จริง” ออกให้ได้ มันก็เลยกลายเป็นว่าการที่คนใช้ความอ่อนแอ ความท้อแท้ หรือว่าใช้ความเศร้าของตัวเองมาเพื่อดึงดูดความสนใจบ้างอย่าง โดยที่อาจจะรู้ตัวบ้างไม่รู้ตัวบ้าง มันทำให้คนที่เป็นซึมเศร้าจริงๆ ต้องการความช่วยเหลือจริงๆ ถูกลดความสำคัญลง”
“หมอนักแต่งเพลง” ใช้ใจฟังคนอื่นอย่างลึกซึ้ง
ดูเหมือนว่าบทบาทจิตแพทย์จะต้องใช้ใจฟังผู้ป่วยอย่างมาก และไม่ใช่แค่บทบาทนี้เท่านั้นที่จะต้องคอยรับฟังคนอื่น แต่บทบาทของการเป็นนักแต่งเพลง ก็ต้องคอยรับฟังเรื่องราวของคนรอบข้างเพื่อนำมาถ่ายทอดลงในแต่ละเพลงเช่นกัน และหลักการในการเขียนเพลงตลอด 20 ปี มากกว่า 200 บทเพลง หมอเอิ้นก็ยอมรับอย่างเต็มปากว่าต้องไม่เสแสร้ง
“ไม่เสแสร้ง (หัวเราะ) คือเราจะพูดในความจริงที่เกิดขึ้นได้ จรรยาแพทย์ก็มี ส่วนของหมอเนี่ยมีจรรยาเพลงด้วยนะ เพราะว่า เราจะไม่ว่าร้ายใคร ไม่กล่าวโทษใคร ไม่ทำให้เพลงของเราไปทำร้ายจิตใจของใคร อันนี้เป็นกฎเหล็กเลย แล้วสิ่งหนึ่งที่มันทำให้เวลาที่เราเขียนอะไร เราจะเขียนจากที่เราคิดจริงๆ รู้สึกกับมันจริงๆ
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นโจทย์ที่เราได้มา เราก็จะไปค้นคว้าหาจากประสบการณ์เก่าของเรา หรือประสบการณ์เก่าของเพื่อนๆ ที่เกิดขึ้นจริง หรือว่าเขามีประสบการณ์อย่างนี้นะ แล้วมันทำให้เขาคิดยังไง รู้สึกยังไง มีผลกระทบยังไง เขามีแนวทางในการคลี่คลายตอนนั้นได้ยังไง พูดง่ายๆ คือเราจะไม่นั่งเทียนอ่ะ คือส่วนใหญ่เพลงจะเกิดจากประสบการณ์จริง ประสบการณ์ตรง ซึ่งมันอาจจะไม่ใช่ของเรา
สิ่งสำคัญที่สุด คือการฟังค่ะ การฟังอย่างลึกซึ้ง ฟังอย่างตั้งใจฟัง เพราะมันจะทำให้เราเห็นความจริง ในการที่เราจะได้มาซึ่งเนื้อหาที่เราจะถ่ายทอด
พอมีพัฒนาการในการร้องเป็น เราก็เริ่มอยากเป็นนักแต่งเพลง ไม่เคยอยากเป็นนักร้องนะ เพราะว่าเป็นคนสมาธิสั้น ตอนนี้สมาธิสั้นแบบไม่ดื้ออย่างหนึ่งเนี่ยมันจะจำอะไรไม่ค่อยได้ เราก็จะจำแต่ทำนองได้ แต่เราจำเนื้อไม่ได้ เราเป็นคนชอบร้องเพลงในห้องน้ำ พออาบน้ำจะร้องเพลงจำเนื้อไม่ได้ ก็แต่งเนื้อสดเลย แล้วคุณพ่อคุณแม่ได้ยินก็ชื่นชอบ แม้ว่ามันจะเป็นเนื้อเพลงที่เกิดขึ้นใหม่ แต่ทุกคนในบ้านมีความสุข ก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นที่เรารู้สึกว่านี่คือสิ่งที่ฉันทำได้ดี ฉันอยากเป็นนักแต่งเพลงนะ”
เมื่อผู้สัมภาษณ์ถามถึงเพลงที่แต่งออกมาแล้วรู้สึกเฟลมีบ้างไหม คุณหมอนักแต่งเพลงก็ตอบในเรื่องนี้ว่าไม่ค่อยมี นั่นก็เพราะชีวิตไม่ได้ผูกติดคุณค่าของตัวเองไว้กับสิ่งหนึ่งสิ่งใดเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น คือไม่ได้ผูกติดชีวิตกับเพลง ผูกติดทั้งชีวิตกับความเป็นหมอ ผูกติดทั้งชีวิตกับธุรกิจ ซึ่งเพลงถูกใช้เป็นพื้นที่ของการปลดปล่อยศักยภาพของตัวเอง เป็นพื้นที่ของการมีความสุข ได้ถ่ายทอด เมื่อทำอะไรจึงไม่ได้คาดหวัง พอถามต่อถึงไอดอลในการแต่งเพลงก็นิ่งคิดไม่นานและตอบกลับมาว่าไม่มี
เพลงที่ชอบเป็นพิเศษ ชอบเพลงจดหมายจากความเหงาค่ะ รู้สึกว่าเป็นเพลงที่ค่อนข้างเป็นนามธรรมมาก คือเพลงรัก เพลงแอบรัก เพลงคิดถึง มันเป็นความรู้สึกที่เหมือนเพลงในแบบสากลของคนไทยเนอะ ที่เราจะพูดถึงในแง่มุมต่างๆ ของความรัก แต่ว่าเพลงจดหมายจากความเหงา เราพูดถึงการเปลี่ยนมุมมองของความเหงา การที่ทำให้คนอยู่กับความเหงาได้ ทำให้คนเห็นคุณค่าของสิ่งที่เขาอาจรู้สึกว่ามันแย่ที่สุดในชีวิต แล้วก็ไม่อยากอยู่กับมัน ก็เลยเป็นความท้าทาย แล้วพอแต่งออกมาได้ก็รู้สึกภูมิใจ”
โรงแรมติดลบ! หันมาใช้ความพอเพียงเข้าช่วย
“ดริปกาแฟดูแลใจ” หัวข้อคลาสกิจกรรมของหมอเอิ้น ที่ใช้เรื่องของจิตวิทยาเข้ามาช่วย ด้วยการใช้เทคนิคของการดริปกาแฟ จากการฝึกใจฝึกอารมณ์ฝึกความคิด มาผสมผสานกันจนเกิดเป็นคลาสดริปกาแฟดูแลใจ ที่จะได้เรียนรู้ธรรมชาติของจิตใจ และธรรมชาติของกาแฟไปพร้อมๆ กัน รวมไปถึงธุรกิจโรงแรม “เลยพาวิลเลี่ยน” ที่มีการใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียง และยังส่งเสริมเกษตรกรในเรื่องของการทำกาแฟเช่นกัน
“ด้วยความที่เป็นคนชอบเรื่องของกาแฟมาก เรารู้สึกว่าอย่างโรงแรมต้องตั้งใจมา หรือตั้งใจพัก คนจะเข้ามา แต่เรารู้สึกว่าโรงแรมเราน่ารัก มีธรรมชาติ มีเสน่ห์บางอย่างที่มันอยู่ข้างใน แต่คนมาไม่ถึง ทำยังไงให้คนเข้าถึง อันนี้จริงๆ ก็คือมาจากเศรษฐกิจพอเพียงเหมือนกันว่าเราอยู่กับสิ่งที่เราเป็นเราชอบ คือเรื่องของกาแฟ เรามีเครือข่ายเกษตรกร ตอนที่เราทำเรื่องของสวนผักก็จะมีกลุ่มเครือข่ายเกษตรกรที่เป็นออแกนิก แล้วก็มีบางส่วนที่เขาก็ปลูกกาแฟด้วยเหมือนกัน
เราก็เปิดพื้นที่ของเราเป็นร้านกาแฟเล็กๆ มีไปเรียนเป็นบาริสต้าแบบจริงจังเลย ถึงเวลาก็ได้เอามาใช้ โดยที่ให้ร้านอยู่ด้านในสุดเลย เพราะว่าบังคับคนว่ามาร้านต้องเดินผ่านโรงแรม แล้วไปเห็นสวนข้างหลัง แล้วการตอบรับก็ดีขึ้น พื้นที่เริ่มไม่พอ เราก็เลยปรับโรงแรม ย้ายจากห้องกาแฟเล็กๆ ด้านหลังมาอยู่โซนครัวตรงล็อบบี้อาหารเช้า แล้วทำโรงคั่วข้างหน้าเลย เพราะว่าเรามีเกษตรกรที่เราให้ความรู้เขาในเรื่องของกาแฟ เป็นพันธมิตรกันอยู่แล้ว ทำกาแฟในเรื่องของกาแฟคุณภาพกันอยู่แล้ว เราก็ให้เขาเอามาคั่วกับเราได้
เราก็ช่วยเกษตรกรด้วย ล่าสุดเราก็เพิ่งทำประกวดเมล็ดกาแฟโรบัสต้าครั้งแรก ซึ่งสร้างความอะเมซิ่งให้กับคณะกรรมการมากๆ เลยว่า คือทำให้โรบัสต้ามีรสชาติที่สลับซับซ้อนได้เหมือนอาราบิกา ด้วยความพิถีพิถันแล้วก็ความรู้ของเกษตรกรที่เรามอบให้
กระทั่ง มีเปิดสอนที่จะใช้เรื่องของจิตวิทยาเนี่ยแหละ โดยการดริปกาแฟดูแลใจ คือสอนศิลปะการดริปกาแฟผ่านการเรียนรู้ธรรมชาติของใจในตัวเรา อันนี้เป็นรุ่นที่ 8 แล้ว ทั้งกาแฟแล้วจิตใจมันมีอะไรบางอย่างที่มันทับซ้อนกัน ก็คือว่าธรรมชาติของเมล็ดพันธุ์กาแฟ ก็เทียบเคียงได้กับการเติบโตของจิตใจโดยธรรมชาติของเรา ปัจจัยที่เมล็ดกาแฟเจอก็คล้ายๆ กับอุปสรรคในชีวิตเราที่เข้ามา เพราะฉะนั้นเราจะสกัดศักยภาพของเมล็ดกาแฟนั้นได้อย่างไร ก็คล้ายๆ กับการที่เราสกัดศักยภาพในตัวเราออกมาได้อย่างไร ซึ่งอันนี้เราก็จะเรียนรู้เวลาที่เราดริปกาแฟ”
หลากหลายบทบาทที่ต้องทำรวมไปถึงการบริหารโรงแรมของหมอเอิ้น ก็ยังนำเศรษฐกิจพอเพียงเข้ามาพร้อมๆ กับตอนที่ตัวเองกับสามีตัดสินใจที่จะบริหารเอง จากเมื่อก่อนที่เคยจ้างผู้จัดการในการเข้ามาดูแลบริหาร แต่ว่าสุดท้ายกลับพบว่าเหมือนการตัดเสื้อผ้าแล้วไม่พอดีตัว
“โรงแรมเรามันเป็นโรงแรมที่อยู่กลางเมือง แม้ว่าพื้นที่ 7 ไร่ ของเราพอเข้าไปแล้วเหมือนกับสวนป่า เหมือนมีความเป็นธรรมชาติของตัวเอง แต่ว่าด้วยความเป็นในเมือง ไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยว ก็ไม่ใช่จุดที่นักท่องเที่ยวตั้งใจว่าฉันจะมาพักที่นี่ แล้วห้องเราไม่เยอะ มีแค่ประมาณ 33 ห้อง เพราะฉะนั้นตั้งราคาห้องก็สูงไม่ได้ แต่ว่าพอเราทำในระดับที่ใหญ่เลย มันก็เลยทำให้เกิดปัญหาสะสมเยอะมากนะคะ โดยเฉพาะการติดลบทางธุรกิจ
ในที่สุดก็ตัดสินใจว่าลองเปลี่ยนโรงแรม จากคำว่าโรงแรม แต่ความหมายในใจเราเป็นบ้านแล้วกัน เข้าไปดูแลเองเหมือนพี่ใหญ่ในบ้าน น้องๆ พนักงานก็เหมือนเป็นน้องของเรา แขกที่เข้ามาหาเราก็เหมือนเป็นญาติสนิท เป็นเพื่อนสนิท เป็นญาติผู้ใหญ่ที่เราอยากดูแลเขา
ก็เลยตั้งใจว่าเราเอาหลักของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (ร.๙) เข้ามาปรับใช้กู้วิกฤต เพราะเรามีความเชื่อและความศรัทธาในแนวคิดของท่าน ก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นเลยว่าอะไรที่ไม่จำเป็นเอาออก อะไรที่ทำได้เองทำ
อย่างความหรูหราของโรงแรม พวกวัตถุตกแต่งอะไรต่างๆ ที่มันมาเพื่อความหรูหรา เราเอาออก อะไรที่มันไม่ได้จำเป็นเราเอาออก อะไรที่ทำได้เองก็ทำ อย่างเช่น ผักปลูกเองได้ไหมที่เรากิน สบู่ แชมพู น้ำยาต่างๆ แล้วสวนมีวัตถุดิบทำเองได้ไหม พลังงานต่างๆ ที่ใช้หลอดไฟ แม้กระทั่งการไปจ่ายตลาดใช้รถเล็กได้ไหม คือทุกอย่างมันถูกย่อส่วนลงมา ให้เกิดเป็นประโยชน์ที่สุด”
สัมภาษณ์โดย : MGR Live
ภาพ : กัมพล เสนสอน
ขอบคุณภาพบางส่วน : เฟซบุ๊ก “ดีต่อใจ โดย หมอเอิ้น พิยะดา”
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **