xs
xsm
sm
md
lg

“ไม่มีปาฏิหาริย์ มีแต่ต้องพยายามด้วยตัวเอง” แซม-นักวิ่งสู้มะเร็ง “ก้าว” เพราะ “พี่ตูน” บันดาลใจ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“การวิ่งมันทำให้ผมได้พลังของการมีชีวิตกลับมา” เปิดใจ “แซม - ณัฐพล” จากอดีตผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวและโรคแพ้ยาอย่างรุนแรงจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด สู่หนึ่งในนักวิ่งของโครงการ “ก้าวคนละก้าว” ฮึดสู้อย่างทุกวันนี้เพราะมี “พี่ตูน” เป็นไอดอล!!!

เมื่อ “ผู้ป่วยมะเร็ง” อยากวิ่ง!

“ในโครงการ “ก้าวคนละก้าว” ก้าวต่อไปด้วยพลังเล็กๆ ผมได้วิ่งไปทั้งหมดประมาณ 30 กิโลเมตรครับ ซึ่งเป็นการวิ่งหลายๆ ช่วงมารวมกัน ซึ่งก่อนวันวิ่ง ผมค่อนข้างตื่นเต้นจนทำให้นอนไม่หลับ เลยมีเวลาพักฟื้นประมาณ 1 ชั่วโมง ก่อนที่จะเดินทางไปวิ่งตอนเช้ามืดครับ”

กลายเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ความประทับใจที่เกิดขึ้นในโครงการ “ก้าวคนละก้าว” ก้าวต่อไปด้วยพลังเล็กๆ ที่สร้างพลังบวกให้แก่ผู้พบเห็น เมื่อ “แซม - ณัฐพล เสมสุวรรณ” หนุ่มวัย 32 ปี หนึ่งในนักวิ่งของโครงการนี้ เคยผ่านประสบการณ์เลวร้ายของชีวิต ด้วยการป่วยเป็น “มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน” นานกว่า 10 ปี



แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่เคยย่อท้อต่อโชคชะตา เพราะ “อาทิวราห์ คงมาลัย” หรือ “ตูน บอดี้สแลม” จึงทำให้ “แซม” เกิดแรงบันดาลใจและตัดสินใจออกมาสู้กับโรคร้ายด้วยการวิ่งอีกครั้ง

“แซม” เปิดใจถึงจุดเริ่มต้นที่ทำให้ลุกขึ้นมาสู้ด้วยการวิ่งแก่ทีมข่าว MGR Live ว่า เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ที่ “ตูน บอดี้สแลม” จัดโครงการ “ก้าว” จากกรุงเทพฯ-บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เพื่อระดมทุนจัดซื้อครุภัณฑ์การแพทย์ให้แก่โรงพยาบาลบางสะพาน ในฐานะที่ตนเองเคยป่วยหนักชนิดที่ว่าเข้าใกล้ความตายมาแล้ว จึงทำให้เข้าใจถึงความยากลำบากของผู้ป่วยที่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์การแพทย์อย่างมาก

หลังจากนั้นเอง “แซม” จึงพยายามต่อสู้กับสภาพร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ 100% พาตัวเองออกไปวิ่ง โดยมี “พี่ตูน” เป็นแรงบันดาลใจ เมื่อเขาแข็งแรงขึ้น จึงไม่พลาดที่จะเข้าร่วมเป็นหนึ่งในนักวิ่งของ “ก้าวคนละก้าว” เบตง - แม่สาย เมื่อปลายปี 60 และครั้งล่าสุดกับ “ก้าวคนละก้าว” ก้าวต่อไปด้วยพลังเล็กๆ เพื่อ 8 โรงพยาบาลในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่เพิ่งเสร็จสิ้นไป


คณะก้าวคนละก้าว เบตง - แม่สาย

“ตอนที่พี่ตูนวิ่งจากกรุงเทพฯ - บางสะพาน ส่วนใหญ่คนจะมองที่ตัวเงิน ทุกคนมองว่ายอดมันได้เท่าไหร่ แต่ผมกลับได้ยินประโยคที่ว่า ‘ผมไม่ได้ออกมาวิ่งเพื่อระดมทุนเพียงอย่างเดียว แต่ออกมาวิ่งเพื่ออยากให้คนไทยมีสุขภาพแข็งแรง อยากให้มาออกกำลังกายด้วยกัน’

การที่ได้มาวิ่งกับพี่ตูนผมก็รู้สึกอิ่มใจครับ พี่ตูนจะถามผมตลอดว่าไหวรึเปล่า แสดงความเป็นห่วงตลอดเวลา เพราะรู้สึกว่าตอนนั้นเป็นช่วงที่ผมยังไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่ครับ ผมก็ดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของ “ก้าว” ครับ และระหว่างทางที่วิ่งไป ผมได้เจอกับผู้คนข้างทางที่เขามาดักรอ ดักเชียร์ ดักให้กำลังใจนะครับ รู้สึกว่ามันเป็นพลังในการก้าวได้อย่างดีเลยครับ”

เหตุการณ์นี้ แม้แต่ “หมอภาคย์ - พท.นพ.ภาคย์ โลหารชุน” ผู้บังคับกองพันเสนารักษ์ที่ 3 ค่ายสุรธรรมพิทักษ์ จ.นครราชสีมา หนึ่งในนักวิ่งผู้ร่วมโครงการนี้เช่นกัน ก็ยังนับถือในความพยายามของ “แซม” ผู้ซึ่งเป็นรุ่นน้องร่วมสถาบันเมื่อสมัยมัธยม ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวอีกด้วย



สำหรับโครงการ “ก้าวคนละก้าว” ก้าวต่อไปด้วยพลังเล็กๆ ครั้งที่ 1 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 15-16 มิ.ย.62 เริ่มต้นวิ่งจาก จ.หนองคาย ไปสิ้นสุดที่ จ.ขอนแก่น ระยะทางรวม 175 กิโลเมตร รายได้ในครั้งนี้จะมอบแก่โรงพยาบาล 8 แห่ง ประกอบด้วย โรงพยาบาลขอนแก่น 2 จ.ขอนแก่น โรงพยาบาลพล จ.ขอนแก่น โรงพยาบาลกุมภวาปี จ.อุดรธานี

โรงพยาบาลหนองหาน จ.อุดรธานี โรงพยาบาลสระใคร จ.หนองคาย โรงพยาบาลสังคม จ.หนองคาย โรงพยาบาลนาวัง เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จ.หนองบัวลำภู และโรงพยาบาลบึงกาฬ จ.บึงกาฬ โดยขณะนี้มียอดเงินบริจาคอัปเดตผ่านทางแฟนเพจ “ก้าว” อยู่ที่ 54,031,166 บาทแล้ว

เคยท้อจนไม่อยากอยู่ แต่สู้เพราะ “พี่ตูน”

“ผมป่วยเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลันครับ แต่ก่อนหน้านั้นผมเล่นกีฬามาตลอด พอเข้ามหาวิทยาลัย อยู่หอพัก ก็เป็นคนที่ชอบสังสรรค์ อยู่มาวันหนึ่งผมเป็นไข้ คิดว่าเป็นไข้หวัดธรรมดา เลยกินยาพาราเซตามอล ก็คิดว่าจะหาย เลยกินอยู่แบบนั้นเป็นเดือนๆ ครับ

มีช่วงที่กลับมาบ้าน แม่เห็นว่าผมเป็นไข้ติดต่อกันหลายวันเลยพาไปโรงพยาบาลเจาะเลือดดู สุดท้ายผลตรวจออกมาปรากฏว่าเราเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน น่าจะเทียบเท่ากับระยะที่ 4 ก็ได้รับเคมีบำบัดมา 36 ครั้ง ฉายรังสี 12 ครั้ง แล้วก็ปลูกถ่ายไขกระดูก 1 ครั้ง


สมัยก่อนที่แซมจะป่วย

พอหลังจากออกจากโรงพยาบาลประมาณ 3 - 4 เดือน ก็มาเป็นโรค Steven Johnson syndrome โรคนี้ 1,000,000 คน จะเจอได้ 7 คน เป็นโรคที่อันตรายถึงชีวิตครับ ผลข้างเคียงของมันจะทำให้ปากแข็ง ลิ้นแข็ง พูดไม่ชัด มีรอยไหม้เกิดขึ้นที่ลิ้น มือและเท้า ตัวผอมและดำ รวมระยะเวลาในการรักษาทั้งหมดประมาณ 10 ปีได้ครับ”

ช่วงเวลากว่า 1 ทศวรรษ ที่ “แซม” ต้องต่อสู้กับ “โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน” ซ้ำร้ายเมื่ออาการของมะเร็งเริ่มทุเลา กลับมี “โรคแพ้ยาอย่างรุนแรง” เข้ามาแทนที่ เนื่องจากภูมิคุ้มกันต่ำลง ส่งผลเขาให้กลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง และส่งผลถึงสภาพจิตใจจนในบางครั้งทำให้เขาไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อ...

“ผมเป็นผู้ป่วยติดเตียงมาประมาณ 1 ปีครับ กว่าจะเคลื่อนไหวตัวเองได้ก็ยากมาก ต้องค่อยๆ ขยับตัว กว่าจะเริ่มเดินได้ กว่าจะมีแรงมันก็ต้องใช้การต่อสู้เยอะเลยครับ ยอมรับว่าท้อมาก ท้อจนไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ รู้สึกว่าตัวเองเป็นภาระ จนถึงปีสุดท้ายที่ผมป่วย ที่พี่ตูนวิ่งจากกรุงเทพฯ ไปบางสะพาน ก็รู้สึกว่าเราต้องเปลี่ยนตัวเอง



พี่ตูนเขาพูดมาประโยคหนึ่งที่บางสะพานว่า "อยากเห็นคนไทยสุขภาพแข็งแรง" เราก็ย้อนกลับมาถามตัวเองว่าเราเป็นคนที่อยากแข็งแรง แต่ว่าเราไม่เคยพยายามที่จะแข็งแรงด้วยตัวเองเลย ถึงตอนนี้อาการของมะเร็งตอนนี้มันสงบไปแล้ว แต่มันยังมีผลข้างเคียงจากโรค Steven Johnson syndrome ที่ยังมีอยู่ครับ

ด้วยความที่เราเคยเป็นนักกีฬามาก่อน กะว่าจะวิ่งสักประมาณ 1 กิโลเมตร ปรากฏว่าวันแรกที่ออกมาวิ่ง วิ่งได้สัก 20 เมตร ผมก็เริ่มขาสั่น ตาลาย เป็นตะคริว กัดปากตัวเอง หายใจไม่ออกไปหมด วันต่อมาก็ยังมีอาการแบบเดิม ท้อแต่ก็พยายามจนเพิ่มระยะมากขึ้นเรื่อยๆ จนตอนนี้ก็วิ่ง Half Marathon มา 6 สนามแล้วครับ ก็อยากวิ่งไปให้ไกลถึง Full Marathon ในระยะทาง 42.195 กิโลเมตร การวิ่งมันทำให้ผมได้พลังของการมีชีวิตกลับมาครับ”



สุดท้ายนี้ “นักวิ่งต่อสู้โรคมะเร็ง” ขอฝากข้อคิดและกำลังใจไปยังผู้ป่วยทุกๆ ท่าน รวมถึงคนทั่วไปที่ไม่เคยออกกำลังกาย ให้เปลี่ยนวิธีคิดใหม่ ด้วยการดูแลสุขภาพง่ายๆโดยเริ่มที่ตัวเรา

“สำหรับผู้ป่วยก็ขอให้มีความเชื่อ แล้วก็มีความหวัง ขอให้อดทนและพยายาม ไม่มีปาฏิหาริย์สำหรับชีวิตครับ อยากให้ทุกคนพยายามต่อสู้ด้วยตัวเอง อย่าเป็นผู้ป่วยที่รอความช่วยเหลือจากคุณหมอและพยาบาลอย่างเดียว อยากให้พยายามช่วยเหลือตัวเองด้วย ส่วนคนทั่วไปที่ยังไม่มีกำลังใจออกมาออกกำลังกาย ผมก็ขอเชียร์ให้มาเปลี่ยนแปลงชีวิตไปด้วยกัน ออกมาแข็งแรงด้วยกันครับ อย่าคิดว่าตัวเองทำไม่ได้ถ้ายังไม่ได้ลองทำครับ

ผมเองก็มีความคิดที่จะล้มเลิกเหมือนกัน แต่ว่าเราคิดว่าถ้าเราเจอกับปัญหาในชีวิต แล้วเราเลิกทำมัน สุดท้ายเราก็จะกลับไปอยู่ที่เดิม จะป่วยเหมือนเดิม อ่อนแอเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่ถ้าเราอยากเปลี่ยนแปลง เรารู้สึกว่าเราต้องสู้กับมันครับ ก็ทำความเข้าใจว่าจริงๆ แล้ว ความทุกข์มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราครับ มันเป็น "แค่" ส่วนหนึ่ง เราไม่ควรเอาความทุกข์มาถือไว้จนลืมความสุขทั้งหมดที่อยู่รอบตัวเราครับ”

ข่าวโดย : ทีมข่าว MGR Live
ขอบคุณภาพ : แฟนเพจ Sam's Story



 
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **




กำลังโหลดความคิดเห็น