xs
xsm
sm
md
lg

สวย-เก่ง ไม่ได้โม้!! "เบสท์" ลูกสาวสมรักษ์ ยูทูบเบอร์สู้ชีวิต รายได้หลักแสน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


 
สร้างชาแนลยูทูปขำๆ เพราะถูกบังคับแต่กลับพลิกล็อกเงินเข้ากระเป๋าไม่รู้ตัว “เบสท์ - รักษ์วนีย์” ลูกสาวคนสวยอดีตนักมวยฮีโร่โอลิมปิก “สมรักษ์ คำสิงห์” ล่าสุดยอดติดตามสูงถึง 1.6 ล้านคน สร้างรายได้เดือนละแสนบาท ส่งตัวเอง-น้องชายเรียน แม้สถานะครอบครัวจะเปลี่ยนไป แต่ความสัมพันธ์ภายในบ้านยังอบอุ่น เปิดใจในวันที่พ่อ “ล้มละลาย” ยังคงภูมิใจในตัวพ่อเสมอ

จากผู้ติดตาม 16 คน สู่ 1.6 ล้านคน!

“ตอนนี้มียอดติดตามในชาแนลยูทูบ 1.6 ล้านคน จริงๆ ก็ไม่ได้คิดว่ามันจะมาไกลขนาดนี้นะคะ ไม่ได้คิดเลยว่ามันจะสร้างรายได้ให้เราได้ด้วย”

“เบสท์ - รักษ์วนีย์ คำสิงห์” บอกเล่าประสบการณ์การเป็นยูทูบเบอร์ด้วยน้ำเสียงตื้นตัน แม้จะทำมาได้ปีกว่าแต่ยอดติดตามที่เพิ่มขึ้นกว่าเดือนละ 1 แสนคน ผ่านทาง “Kamsing Family Channel” คงเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ดีทีเดียวว่าชาแนลยูทูบของเธอไม่ธรรมดาจริงๆ

“ก่อนหน้านี้ก็มีศึกษามาบ้าง แต่จะเป็นแนวเปิดบัญชีและคอยคอมเมนต์ แต่ไม่คิดว่าตัวเองจะมาเป็นผู้ผลิตให้ผู้ชมแบบนี้ ช่วงที่เริ่มต้นตอนนั้นอยู่ ม.6 อายุประมาณ 17 ปี ตอนนั้นโรงเรียนปิดเทอม เราก็นอนอยู่บ้านเฉยๆ ทุกวันเลย พ่อเลยบอกว่าทำไมไม่ไปหาอะไรทำจะดีกว่ามานั่งๆ นอนๆ แบบนี้

พ่อเห็นว่าเบสท์ร้องเพลงได้ ทำไมไม่หัดร้องเพลงแล้วเอาลงยูทูบล่ะ เราก็ไม่กล้า กลัวเจอคนคอมเมนต์ เราก็เลยคิดว่าไปอัดน้องชาย (โบ๊ท) เตะฟุตบอลดีกว่า เบสท์ก็ไปอัดกับพ่อเพราะพ่อต้องพาน้องไปเตะฟุตบอลอยู่แล้ว ก็เหมือนกิจกรรมครอบครัวโดยให้เบสท์เป็นคนถ่าย ให้พ่อกับน้องเล่นกันก็เริ่มมาจากตรงนั้นก่อน

จากนั้นก็สมัครยูทูบเป็นสาธารณะและโพสต์คลิปฯ ลงไปเลย โดยที่ไม่ได้ตัดต่อ ไม่ได้ทำอะไรเลยนะ ด้นสดเลย ยอดติดตามตอนนั้นน่าจะมีแต่เพื่อน แค่ 16-17 คนเองค่ะ หลักสิบเองค่ะ (หัวเราะ) พอโพสต์คลิปฯ นั้นไปก็มีคนติดตามประมาณ 80 คน ก็ได้จากแฟนเพจของพ่อบ้าง แต่ก็ไม่เคยแตะ 500 คน หรือ 1000 คนเลย”

แม้จุดเริ่มต้นจะเริ่มมาจากการถูกบังคับ แต่ไม่น่าเชื่อว่าหลังจากที่ทำต่อเนื่องกลับมีผู้ติดตามมากขึ้นกว่าเท่าตัว แถมยังมีช่วงที่พีคที่สุดคือการทำยอดวิวได้สูงถึง 1 ล้านวิว จากคลิปฯ ร้องเพลงของน้องชายที่ได้มีการหยิบคำพูดติดปากของพ่อมาใช้เป็นชื่อเพลง
Kamsing Family Channel

 
“หนูก็ทำอย่างนี้เรื่อยๆ ค่ะ น้องไปเตะบอลก็ไปถ่าย หรือที่บ้านไปต่างจังหวัดกันก็ไปถ่าย ถ่ายอยู่ประมาณ3-4คลิปฯ จากนั้นพ่อก็มาบอกว่าเรามาร้องเพลงกันดีกว่าแล้วโพสต์ลง พ่อเป็นคนจัดการทุกอย่าง เรื่องคนแต่งเพลง สถานที่ร้องเพลง หรือ MV พ่อจะเป็นคนจัดการหมดเลย

แต่เราจะทำหน้าที่โพสต์ลง เพลงนั้นเป็นเพลงของโบ๊ท ชื่อเพลงว่า “โม้จริงๆ” เป็นเพลงสนุกๆ ตอนแรกก็คิดนะว่าคนจะดูไหม กลัวว่าไม่มีคนดู ซึ่งวันแรกที่โพสต์ลงไปก็มีคนดูที่ 100-200 คน หรือยอดวิวอาจจะเพิ่มมาสัก400-500คน พอถึงหนึ่งอาทิตย์ก็เริ่มแตะที่ 1,000-2,000 คน

ผ่านไปเกือบเดือนมันขึ้นจาก1,000 - 2,000วิว ขึ้นมาหลักหมื่นจนหลักแสน คือมันเร็วมากๆ ตอนนั้นผู้ติดตามก็เพิ่มขึ้นมาเป็น 2 หมื่น - 3หมื่นคน จากที่อยู่แค่หลักพัน ส่วนที่พีคมากๆ คือการที่มีผู้ติดตาม 1แสนคน มันดีใจตรงที่ว่ามาถึง 1 แสนเลยนะ

พอลองนับเดือนต่อไปก็เป็น2แสนคน อีกเดือนต่อมาเป็น3แสนคน ยอดผู้ติดตามขึ้นมาเดือนละ1แสนคน รวมแล้ว 1 ปี 2 เดือน ยอดติดตามยูทูบชาแนลของเบสท์คือ 1 ล้านคน! ตอนนี้ทำมาได้ 1 ปี 6 เดือน ยอดอยู่ที่ 1.6 ล้านคน ส่วนเนื้อหาที่ถ่ายทำก็จะเน้นกิจกรรมครอบครัว

แต่หลักๆ จะเน้นที่ตัวน้องชายมากกว่า เพราะเราเป็นคนถ่ายและทำเบื้องหลัง ส่วนคลิปฯ ที่คาดไม่ถึงว่าคนจะดูคือ คลิปฯ ที่น้องชายไปตัดผมเป็นไลฟ์สไตล์ของน้องชาย คนดู 2 ล้านวิวเลยค่ะ หรือไปโรงเรียน ไปงานกีฬาสี ยอดวิวประมาณล้านวิว เบสท์เลยคิดว่าน้องชายนี่แหละเหมาะสมแล้ว”

แน่นอนว่ามาถึงตรงนี้คำถามที่ผุดขึ้นมาในหัวคือเรื่องรายได้ที่ได้จากการเปิดชาแนลเป็นของตัวเอง อย่างที่พอทราบกันมาบ้างว่าการผลิตคอนเทนต์ในแต่ละคลิปฯ นั้นสามารถทำเงินได้ค่อนข้างสูง ขั้นต่ำหลักพันหรือสูงสุดอาจแตะหลักล้าน ซึ่งเบสท์เองก็ยืนยันในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน

 
“จริงๆ ก็ไม่รู้ขั้นตอนการให้รายได้ของระบบยูทูบนะคะ ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับระบบที่ประมวลผลของยูทูบเองว่าคลิปฯ ไหนทำรายได้เยอะ คลิปฯ ไหนคนดูโฆษณาเยอะ ซึ่งเราไม่สามารถทราบขั้นตอนได้ แต่สำหรับเบสท์ขยันทำ อย่างอาทิตย์หนึ่งเบสท์ทำ3-4คลิปฯ มันก็ทำให้รายได้ค่อนข้างพุ่ง

เบสท์ไม่รู้ว่าช่องอื่นรายได้สูงไหม แต่สำหรับเบสท์คิดว่ารายได้ขนาดนี้ก็เกินฝันแล้วค่ะ รายได้ต่อคลิปฯ ปกติจะได้อยู่แล้วที่ 7,000 - 8,000 บาท ยอดวิวที่ 2 - 3 แสนวิว แต่ถ้าคลิปฯ ไหนที่ยอดวิวพุ่งมากๆ เป็นล้านวิว ก็อยู่ที่ 7 - 8 หมื่นบาทต่อคลิปฯ

ที่สำคัญคือยูทูบไม่ได้ดูว่าเราทำคอนเทนต์อะไร ช่องนี้มีสาระหรือไม่มีสาระ เขาจะดูแค่ว่าช่องของคุณมีผลตอบรับจากคนที่เข้ามาดูมากน้อยแค่ไหน ที่เบสท์เคยศึกษา เช่น ความยาวคลิปฯ 10 นาที สมมุติว่ามีคนดูแค่ 3 นาที เขาก็จะประมวลผลว่าคนไม่ได้ดูทั้งคลิปฯ นะ คุณต้องทำให้คนดูเกิน6นาทีถึงจะได้ยอดวิว

แม้ตอนแรกที่ทำเพราะพ่อบอกให้ทำ (หัวเราะ) ถ่ายมาก็ลงไปจะได้ไม่เถียงกับพ่อ แต่พอคนดูเยอะๆ ด้วยความที่เราเป็นวัยรุ่นก็สนุกกับการที่มีคนมาดูหรือคอมเมนต์ มันสนุกก็เลยทำต่อ

ซึ่งตอนแรกก็ไม่ทราบด้วยว่าสามารถสร้างรายได้จากตรงนี้ได้ จนพ่อมาบอกว่ามันทำเงินได้นะ หลังจากนั้นก็เริ่มศึกษาจริงจัง และทำคลิปฯ ให้เป็นมาตรฐานมากขึ้น ซึ่งรายได้สูงสุดต่อเดือนคือ6หลักค่ะ แต่ไม่ขอบอกว่าเท่าไหร่นะคะ(ยิ้ม)”

ยูทูบเบอร์ “ทำเพราะชอบ” หรือ “ตามกระแส” !?

“แต่ก่อนคิดว่าศิลปินดาราประเทศไทยในวงการเยอะมาก แต่ตอนนี้กลายเป็นยูทูบเบอร์เยอะมากๆ ใครๆ ก็หันมาเป็นยูทูบเบอร์กัน โชคดีที่เราทำในยุคที่คนยังไม่นิยม เคยคิดว่าถ้าเพิ่งเริ่มทำตอนนี้คงต้องสู้กันเหนื่อยหน่อย (หัวเราะ)”

เห็นชัดเลยว่ายุคนี้ใครๆ ก็หันมาเปิดชาแนลยูทูบเป็นของตัวเอง เพียงแค่เข้าเว็บไซต์ยูทูบก็มีคอนเทนต์ให้เลือกเสพอย่างหลากหลาย สิ่งที่น่าสนใจอาจเป็นเพราะรายได้ที่เข้ามาอย่างมหาศาล
หากช่องไหนได้รับความนิยมสูงก็ทำเงินจนรวยแบบไม่รู้ตัว ส่วนคำถามที่ตามมาคือการสร้างชาแนลนั้นเพราะมีความสนใจส่วนตัว หรือแค่ตามกระแสกันแน่!

“ส่วนหนึ่งการทำตามกระแส เบสท์ว่ามันก็มีอยู่ทุกๆ วงการนะ มันต้องมีเหตุการณ์ว่ากระแสนี้มาก็ต้องทำตาม มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ เบสท์ก็อยากบอกผู้ชมทุกท่านว่าอยากให้มองที่ความตั้งใจ มันจะเห็นชัดว่าช่องไหนตั้งใจที่สุด ช่องไหนไม่ได้ตั้งใจ ดูจากสิ่งที่เขาทำในช่อง และอยากให้ผู้ชมช่วยสนับสนุนคนที่ตั้งใจจริงๆ

สำหรับตัวเบสท์อยากสนับสนุนคนที่เขาอยากเลี้ยงตัวเองจริงๆ ที่เป็นวัยรุ่นแบบเรา หรือคนที่อยากเรียนให้จบแต่ไม่อยากใช้เงินพ่อแม่ เราก็อยากส่งเสริม หรือมาถามเบสท์ได้เลยจะช่วยให้คำแนะนำทุกอย่าง แต่ถ้าคนที่ไม่ได้เดือดร้อนอะไรแต่มาทำ จริงๆ มันก็เป็นสิทธิ์ของเขา เพราะยูทูบมันเป็นอาชีพช่วยคนนะ เบสท์มองว่าแบบนั้น”

 
ส่วนใครที่กำลังติดตามชาแนลของเธออยู่ คงได้เห็นแล้วว่าเนื้อหาส่วนใหญ่จะเน้นไปในเชิงไลฟ์สไตล์ และการทำกิจกรรมระหว่างครอบครัว นอกเหนือไปกว่าได้รับความสนุก สิ่งที่คนดูจะได้รับกลับไปคือแรงบันดาลใจ

“คนที่ดูช่องยูทูบของเบสท์สิ่งที่ได้กลับไปแน่ๆ คือ รอยยิ้ม เบสท์เชื่อว่านั่งดูต้องยิ้มตาม หรือบางช็อตต้องหัวเราะออกมา แค่นั้นค่ะ จริงๆ เบสท์เชื่อว่ามันสามารถกระชับความสัมพันธ์ของครอบครัวได้ด้วยเหมือนกันนะ อย่างเบสท์เห็นเด็กบางคน พ่อแม่ไม่ยอมให้เตะฟุตบอล เพราะอยากให้ลูกเรียนมากกว่า

แต่น้องชอบเตะฟุตบอล น้องเขาก็เปิดช่องของหนูให้พ่อแม่ดู พ่อกับแม่ก็ได้เห็นว่าการเตะฟุตบอลมันสามารถสร้างอาชีพได้ ก็มาคอมเมนต์ถามว่าเมืองทองเปิดคัดตัวตอนไหน พอดีลูกชายดูแล้วอยากมาคัดตัว ก็กลายเป็นพ่อแม่ส่งเสริมจากที่ไม่เห็นด้วย

ในมุมเบสท์รู้สึกว่ามันเป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่นๆ ได้ ก็อยากให้เป็นชาแนลสำหรับครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่ ลูก สามารถดูช่องของหนูได้ และช่วยสนับสนุนคนในครอบครัวได้ด้วย ส่วนตอนนี้ในชาแนลมีประมาณ 200 กว่าคลิปฯ นะคะ เบสท์ถ่ายเองตัดต่อเองหมดเลย

แต่ช่วงแรกคือถ่ายแล้วก็ลงเลย แต่หลังๆ มาก็เริ่มศึกษาจากไอโฟนนี่แหละค่ะ ลองตัดในโทรศัพท์ก่อน แต่พอคนเริ่มดูเป็นหลักแสนก็มาคิดว่าเราน่าจะมีความเป็นมาตรฐานหน่อย ก็เลยศึกษาแบบเรียนในกูเกิ้ลเอา ทำเท่าที่ทำได้ ส่วนในอนาคตคอนเทนต์เกี่ยวกับการท่องเที่ยวก็น่าสนใจนะคะ

 
เบสท์เห็นช่องอื่นๆ เขาไปข้างนอกกัน แต่ช่องของเราส่วนใหญ่จะอยู่กับที่ทั้งนั้นเลย จริงๆ อยากไปเที่ยวเหมือนกัน แค่ในประเทศไทยก่อนก็ได้ เพราะเบสท์คิดว่าสิ่งที่จะทำให้มันหลากหลายขึ้นก็คือการออกไปเที่ยวค่ะ”

ในฐานะที่เธอเองเป็นยูทูบเบอร์ที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่ง เธอก็ได้ฝากคำแนะนำเล็กๆ น้อยๆ ถึงผู้ที่สนใจอยากเริ่มต้นสร้างชาแนลเป็นของตัวเองด้วยว่า สิ่งที่ทำให้เส้นทางนี้สำเร็จได้คือ ความรัก ความตั้งใจ และความอดทน

“จริงๆ การทำยูทูบ แค่เราอยากแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาก็สามารถเป็นยูทูบเบอร์ได้แล้ว อย่าไปคิดว่าทำแล้วคนจะไม่ดู หรือคิดว่าช่องนั้นเขามีแฟนคลับเยอะ อย่างตัวเบสท์เริ่มมาทำก็ต้องผ่านจุดที่มีคนติดตามแค่ 10 คน หรือมียอดการรับชมจากที่ไม่มีคนดูเลย หรือแค่เพียง 100 วิว ทุกคนต้องผ่านจุดนี้ทั้งนั้น คุณต้องลองผ่านมันดู

ถ้าคุณผ่านมาแล้วประสบความสำเร็จมันจะดีใจแบบบอกไม่ถูก จริงๆ ก็อยากให้กำลังใจค่ะว่าอย่ากลัว ทำไปเถอะค่ะ ถึงต่อให้ทำ 2-3 ปี แต่คลิปฯ ยังไม่ปังขึ้น เบสท์ก็อยากบอกว่าถ้าเราพยายาม เราต้องทำได้อยู่แล้ว มันอยู่ที่ความขยัน ความพยายาม และความอดทนค่ะ”

หนูภูมิใจที่ได้เกิดเป็นลูก “พ่อ”

“ฮีโร่โอลิมปิกถูกฟ้องล้มละลาย..” พาดหัวตามสื่อสำนักต่างๆ พากันพูดถึงอดีตนักมวยเหรียญทองชื่อดังไปในทิศทางต่างๆ ในช่วงปีที่ผ่านมา แม้คำๆ นี้อาจฟังดูแล้วรุนแรงและสร้างความตกใจไม่น้อย ซึ่งเบสท์เองก็ยอมรับว่าทันทีที่ทราบเรื่องก็รู้สึกกังวัลอยู่เช่นกัน แต่เชื่อว่ากำลังใจจากกันและกันจะพาครอบครัวผ่านเรื่องราวที่ยากลำบากไปได้

“สิ่งที่ข่าวลงก็เป็นจริงตามที่ข่าวบอกนั่นแหละ เรื่องที่พ่อโดนก็เป็นแบบนั้นจริงๆ แต่ความสัมพันธ์ภายในครอบครัวทั้งพ่อและแม่ก็ยังแฮปปี้ เขาไม่ได้ดาวน์ เขาแค่รู้สึกว่าให้มันผ่านไป ให้มันจบไปแล้วเริ่มใหม่

ตอนแรกเบสท์ก็คิดอยู่ว่ามันจะยังไง พ่อจะโดนเยอะ จะได้รับผลกระทบเยอะแค่ไหน อาจจะเป็นกลุ่มเพื่อนของพ่อ หรือรายได้ของพ่อที่เคยได้รับอาจจะน้อยลง เพราะมีข่าวตรงนี้ เราเป็นครอบครัว พ่อโดนก็เหมือนเราโดน แต่เบสท์คิดนะว่าหนูโชคดีที่ยังหาเงินส่งตัวเองได้ ไม่ต้องรบกวนพ่อ ซึ่งในความโชคร้ายก็มีความโชคดีอยู่

จริงๆ เรื่องกำลังใจเบสท์ก็อยากจะให้ แต่พ่อไม่ได้ดาวน์ ทุกคนยิ้ม ทุกคนแฮปปี้ ใช้ชีวิตปกติ เราก็คิดว่าจริงๆ พ่ออาจจะไม่ได้แฮปปี้ก็ได้ แต่ที่เขาทำออกมาอาจเพราะคลายเครียด
แต่เมื่อเขาแสดงออกให้เราเห็นว่าเขาแฮปปี้ แล้วถ้าเราไปให้กำลังใจเขาอีก เขาจะยิ่งรู้สึกว่าขนาดเขาเป็นพ่อแม่นะ ทำไมลูกต้องมาให้กำลังใจ เขาจะยิ่งดาวน์

หนูก็เลยนิ่งๆ ไม่ได้พูด ทำเหมือนไม่รู้เรื่องไป ใครถามก็ไม่ได้พูดอะไรค่ะ ส่วนที่บอกว่ามีเรื่องโชคดี คือมันเป็นจังหวะที่ดี ตอนนั้นที่เจอข่าว เบสท์ทำยูทูบมาได้เกือบปีแล้ว เรื่องค่าเทอมของเบสท์กับน้องก็เอาเงินตรงนี้จ่าย ไม่ได้ขอพ่อแล้ว เบสท์ส่งตัวเองเรียนมาได้สักพักแล้วก่อนที่จะเป็นข่าว พอมาเป็นข่าวก็เลยไม่ได้มีอะไรที่แตกต่างไป”

เบสท์วัยเด็ก
 
แม้ปัจจุบันนี้ครอบครัวคำสิงห์อาจเจอกับสถานการณ์ที่ต้องรับมือแบบคาดเดาไม่ถูก แต่ก็ต้องยอมรับว่าภาพลักษณ์ของสมรักษ์ คำสิงห์ที่คนไทยยังคงจดจำได้ดี คือ ภาพนักมวยเหรียญทองโอลิมปิกที่สร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทย เมื่อถามถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา เธอบอกกับเราว่ารู้สึกภาคภูมิใจในตัวพ่อที่สุด

“สำหรับเบสท์ เกิดมาก็ได้ยินคนพูดกันว่าเหรียญทองโอลิมปิก ตอนแรกไม่รู้จักว่าโอลิมปิกคืออะไร ตั้งแต่เด็กๆ จะไม่เข้าใจว่าเหรียญทองคืออะไร คิดแค่ว่าพ่อตัวเองเป็นดารา เพราะเกิดทันตอนที่พ่อเล่นหนัง พอมีคนบอกว่าพ่อเราได้เหรียญทองเป็นเหรียญแรกก็ไม่ได้สนใจ เกิดไม่ทัน ไม่ได้อินเลย

จนเมื่อช่วงหลังได้ดูบอลไทยที่ไปได้แชมป์มา เราเห็นเขาแห่กัน พอไปโรงเรียนครูก็บอกว่าเห็นข่าวนักฟุตบอลเขาแห่กันที่ได้แชมป์ไหม รู้ไหมว่าตอนพ่อเธอ คนเยอะกว่านี้อีกนะ คนเยอะมากเลย ปีนั้นปิดถนนทุกสาย เราก็คิดว่าที่เห็นในทีวีว่าคนเยอะแล้วนะ พ่อเราเยอะกว่านั้นอีกเหรอ

เบสท์ก็เริ่มสนใจมากขึ้น เริ่มถามครูบ้าง ถามพ่อบ้าง แต่พ่อจะไม่ค่อยตอบ พ่อจะพูดถึงแต่ปัจจุบัน ถ้าเป็นเรื่องในอดีต พ่อจะไม่ค่อยพูดไม่ค่อยเล่า พ่อจะให้ดูแค่รูปที่ตั้งในบ้านเท่านั้น เราก็หาข้อมูลในกูเกิ้ลบ้าง ยูทูบบ้าง นั่งดูพ่อตัวเองตอนได้เหรียญ เราขนลุกมาก พอรู้ก็ดีใจมากที่ได้เกิดมาเป็นลูกสมรักษ์

พอลองให้เธอเล่าภาพความทรงจำระหว่างเธอกับพ่อในตอนที่เธอยังเป็นเด็ก คำแรกที่ออกมาจากปากคือ คำว่า “พ่อดุ” แต่แม้จะดุขนาดไหนก็มีมุมที่อ่อนโยนอยู่ด้วยเหมือนกัน

“พ่อดุมาก จริงๆ พ่อใจดีในเวลาปกติ สามารถคุยเล่นได้ แหย่เล่นได้ แต่จะดุเวลาที่พ่อว่างแล้วมานั่งคุยกับเราจะดุมาก พ่อจะสอน อย่างตอนเบสท์เรียนมัธยม เขาจะไม่ค่อยสอนเรื่องเรียนนะคะ เขาจะให้เราเรียนรู้เองเกี่ยวกับการเรียน แต่พ่อจะสอนเรื่องสังคมในโรงเรียนมากกว่า

 
อย่างในตอนนั้นกระแสการเล่นโซเชียลฯ มาแรง มีเหตุการณ์การโพสต์ว่ากันกับเพื่อน พ่อก็เริ่มดุ พ่อจะสอนว่าถ้าเพื่อนส่งข้อความมาต่อว่าเราด้วยคำหยาบ เราห้ามตอบกลับไปเป็นคำหยาบ ให้อยู่นิ่งๆ ห้ามไปตอบกลับ พ่อบอกว่าการที่เราเป็นคนของสังคม เราต้องยอมรับทุกคำติให้ได้

ถึงแม้ว่าสิ่งนั้นจะเป็นเรื่องจริง ไม่จริง หรือเราจะทำหรือไม่ทำอย่างที่เขาบอกก็ตาม แต่ต้องยอมรับให้ได้ จนทุกวันนี้การทำชาแนลยูทูบก็มีคนชมและคนที่ไม่ชม เบสท์ก็นำคำเก่าๆ ที่พ่อเคยสอนมาบอกตัวเองว่าเราสนใจแค่คนที่เขาชมเราดีกว่า คนอื่นก็ปล่อยไป

จริงๆ พ่อหนูเป็นนักมวย ต้องบอกให้ลูกสู้นะ อย่าไปยอมเขา แต่ไม่มีแบบนั้นเลย อย่างบางคนมาว่าหนูว่าหยิ่ง พ่อก็ให้หนูยอมทุกอย่าง หรือกระทั่งบางคนว่าพ่อเราด้วยซ้ำบอกว่าพ่อก็ไม่ได้ดังแต่ทำเหมือนดัง มีเด็กๆ เขาว่ากัน พอเราไปบอกพ่อ พ่อก็ยอมอย่างเดียว ปล่อยผ่านไปเลย

มาถึงตอนนี้เบสท์ก็อยากจะบอกพ่อว่าภูมิใจ คำเดียวเลย อยากให้พ่อภูมิใจในตัวเอง หนูเชื่อว่าไม่ใช่แค่หนูที่ภูมิใจในตัวพ่อ แต่มีคนอีกหลายคนในประเทศก็ภูมิใจ มันคือสิ่งที่น่าภูมิใจมากๆ เลยที่เป็นหนึ่งเหรียญแรก ไม่อยากให้พ่อลืมเหตุการณ์นั้นค่ะ

บางทีพ่ออาจจะคิดมาก งานเยอะ หรือลืมว่าตัวเองเคยอยู่ตรงนั้นมาก่อน หนูอยากให้พ่อภูมิใจในตัวเองเอาไว้ (ยิ้ม) เหมือนที่หนูก็ภูมิใจในตัวพ่อ”


รักษาที่ “ใจ” ตัวเองก่อน

“ถ้ามีปัญหามักจะไม่บอกพ่อ แม่ น้อง หรือใครนะคะ เราจะเก็บไว้คนเดียว เบสท์ไม่ชอบเอาเรื่องเครียดไปพูด ไปบอกคนอื่น ไม่ชอบให้คนอื่นเห็นมุมตัวเองตอนที่เครียดหรือร้องไห้ ไม่ชอบให้คนมารู้สึกว่าเราอ่อนแอ เราอยากให้คนมองว่าเราเข้มแข็ง ก็เลยไม่แสดงออก”

แม้ภายนอกจะดูเป็นสาวที่ร่าเริงและมองโลกในแง่ดี แต่ลึกๆ เธอยอมรับว่าเป็นคนที่คิดมากอยู่เหมือนกัน ยิ่งเฉพาะในช่วงที่ครอบครัวเจอมรสุมอย่างหนัก แต่เธอเชื่อเสมอว่าไม่นานมันก็จะผ่านพ้นไป

“เรื่องที่เกิดขึ้นมีคนมาถามเยอะเหมือนกันนะคะ แต่เบสท์ก็ไม่ได้เล่าแต่จะพยายามบ่ายเบี่ยงให้ได้มากที่สุด เวลาเดินไปเรื่อยๆ ทุกอย่างเดี๋ยวก็เปลี่ยน พรุ่งนี้อาจจะเปลี่ยนก็ได้ ส่วนการข้ามผ่านเรื่องแย่ๆ สำหรับเบสท์คิดว่าก่อนจะผ่านความเครียดก็ต้องเครียดให้สุดก่อน

จริงๆ ลึกๆ เบสท์เป็นคนคิดมาก แต่พยายามหาอะไรทำ ถ้าคิดมากก็พยายามออกไปข้างนอก ไปหาอะไรกิน พยายามรักษาตัวเองก่อน จะไม่ค่อยพูด แต่ก็เคยคิดนะคะว่าการที่เราไม่พูดมันจะทำให้เราเก็บกดไหม แต่จริงๆ มันทำให้เราเข้มแข็งนะ

อย่างตอนที่มีข่าว เบสท์ไปเดินห้างคนเดียว คนก็ชี้มาทางหนู ถ้าเป็นเด็กคนอื่นอาจจะร้องไห้หรือรู้สึกแย่ แต่สำหรับเบสท์ก็ไม่เป็นไร ในเมื่อครอบครัวเรามีความสุข ไม่ได้มองตรงนั้น พอเจอคนอื่นมาทำกับเราก็สามารถรักษาตัวเองได้

สิ่งหนึ่งที่เบสท์เชื่อคือคนเราทุกคนเวลาเจอปัญหา อยากจะบอกว่าให้จัดการกับตัวเราเองก่อน รักษาตัวเองให้เป็น ถ้าเราเข้าใจตัวเองจะไม่มีใครทำอะไรเราได้เลย ส่วนสิ่งที่ภูมิใจที่สุดตอนนี้ เบสท์สนใจที่การทำงานประสบความสำเร็จและมีคนติดตาม มีคนรัก

 
จริงๆ ตอนที่ข่าวออกก็เครียดว่าคนเขาจะมองเรายังไง เพราะตอนนั้นยูทูบก็กำลังไปได้สวย ผู้ติดตามกำลังจะแตะ 1 ล้านคนเลยค่ะ ก็เครียดเหมือนกัน แต่คิดว่าไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องสนใจหรอก และมันก็ผ่านมาได้”

เมื่อลองถามถึงสเป็กหนุ่มที่ชอบหรือการจีบลูกสาวของบ้านนี้ว่าต้องฟันฝ่าด้านคุณพ่อโหดขนาดไหน เธอย้อนความทรงจำให้ฟังในตอนที่ยังเป็นเด็กว่าทันทีที่รู้ว่ามีคนเข้ามาจีบ พ่อจะรีบไปดักทางไว้ก่อนเสมอ

“เรื่องคนมาจีบ จริงๆ มีตั้งแต่ช่วงประถมแล้วค่ะ เริ่มรู้จักว่าการจีบกันมันเป็นยังไง พ่อก็มาดักก่อนเลยค่ะ พ่อบอกว่าให้เข้า ม.ปลายก่อนแล้วค่อยมีแฟน เบสท์ก็ยังไม่ทันคุยกับผู้ชายคนไหนนะ แต่หนูก็โอเคเชื่อฟังพ่อ พอเข้ามัธยมก็ยังไม่ได้สนใจคนที่เข้ามาจีบ ไม่ได้มีป็อปปี้เลิฟอะไรเลย

จนถึงอายุ 15 ปี กำลังจะขึ้น ม.ปลาย บอกพ่อว่าหนูอายุ 15 แล้วนะ พ่อก็บอกกับเราว่าต้องมหา’ลัยก่อน เพราะพ่อจะพาไปแคสงานจะได้เป็นดารา อย่าเพิ่งรีบมีแฟน จากนั้นจนถึงมหา’ลัย พ่อบอกว่าเรียนจบก่อน (หัวเราะ) นี่แหละพ่อหนู

แต่ถ้าถามว่าชอบแบบไหน จริงๆ ชอบนักกีฬานะคะ เพราะรู้สึกว่าเขาดูแลตัวเอง ดูแลสุขภาพ ถ้าต้องเลือกสเป็กก็ชอบคนที่เล่นกีฬาไว้ก่อน เพราะการเล่นกีฬามันเสริมบุคลิกภาพทำให้ผู้ชายหุ่นดี ดูดี เราก็เลยคิดว่าผู้ชายที่รักษาสุขภาพคือผู้ชายที่โอเค”
 

“นักบาส-นักฟุตบอล-นักมวย” ครอบครัวสายกีฬา

“พ่อเป็นนักมวย ส่วนแม่ก็เคยเป็นนักบาส ตอนนี้น้องชายเป็นนักบอล ส่วนเบสท์ก็เคยเป็นนักบาสตอนเด็กๆ แต่แม่อยากให้ไปเรียนรำไทยก็เลยเลิกเล่นกีฬาไป”

ดูเหมือนว่าบ้านนี้จะมาทางสายกีฬากันยกบ้าน ซึ่งหากย้อนกลับไปในวัยเด็กของเบสท์ เธอก็เกือบได้เดินทางอยู่ในเส้นทางนักบาสเก็ตบอลเหมือนคุณแม่ ทว่า พอได้ไปเรียนรำไทยด้วยเหตุผลที่ว่าคุณแม่อยากให้ทำกิจกรรมที่เด็กผู้หญิงสนใจกัน ก็ทำให้เธอห่างเหินจากกีฬาบาสเก็ตบอลไปตั้งแต่ตอนนั้น

“จริงๆ ตอนเด็กก็เป็นนักกีฬานะคะ เบสท์เป็นนักบาสตอนอายุ 10ขวบ ที่โรงเรียนประถมมีกีฬาแข่งบาสแต่ละเขต แต่ละจังหวัด เบสท์ก็เข้าชมรมบาส เลิกเรียนมาก็ซ้อมบาสจนที่โรงเรียนจะให้เป็นนักกีฬาโรงเรียน แต่แม่บอกว่าบาสมันซ้อมหนักมากเลยนะ เราก็ไม่เชื่อเพราะเราชอบ

แม่ก็บอกว่าถ้าเป็นนักกีฬาจริงๆ จะต้องซ้อมหนักกว่าที่เราเรียนหรือเล่นในชมรมอีกนะ พอไปซ้อมก็หนักจริงๆ ตอนนั้นก็อยากเล่นเป็นอาชีพนะคะ แต่แม่เคยผ่านมาก่อน แม่ไม่อยากให้ลำบากเหมือนแม่ ให้ไปเรียนรำไทย เรียนเต้น ร้องเพลง ด้วยความที่แม่บอกว่ายิ่งเล่นบาส เราจะยิ่งไม่มีความเป็นผู้หญิง


 
เหมือนกีฬาทุกอย่างมันสร้างไว้สำหรับผู้ชาย ถ้าผู้หญิงไปเล่น ความเป็นผู้หญิงมันจะลดลง เขาอยากได้ลูกที่มีความเป็นผู้หญิงจ๋าๆ ก็เลยให้เบสท์ไปเรียนรำ เรียนร้องเพลง เรียนอะไรที่ผู้หญิงเรียนกัน พอไปเรียนรำไทยก็เหนื่อยนะคะ แต่พอมองตัวเองกระจกก็รู้สึกว่านี่แหละคือผู้หญิง คือความสวยงามก็เลยไปทางนั้นเลย

พอได้เปลี่ยนแนวก็ไปชอบอย่างอื่นมากกว่าเลยไม่ได้ไปทางกีฬา เบสท์ชอบรำ ชอบเต้น ชอบร้องเพลง เล่นเครื่องดนตรี แต่ที่ไปไม่สุดเพราะมันต้องซ้อมหนัก ตอนนี้ก็ให้เป็นงานอดิเรกที่ทำตอนว่างก็พอ

ส่วนเรื่องเล่นมวย พ่อสอนต่อยมวยตั้งแต่เด็ก ตอนแรกเบสท์เป็นลูกคนเดียวก่อนก็เลยสอนมวย พอมีน้องชายก็ไปสอนน้องชาย ตอนต่อยมวยสนุกค่ะ ชอบมากเลยนะ ชอบจนพ่อกับแม่ต้องบอกให้เลิกเล่น เดี๋ยวจะไม่เป็นผู้หญิงแล้ว จะเป็นนักมวยไปแล้ว (หัวเราะ)

ด้านน้องชายตอนนี้อยู่ในสโมสรค่ะ อยู่ทีม SCG เมืองทองยูไนเต็ดจะเป็นรุ่นเล็กลงมาค่ะ น้องชายไปติดรุ่นอายุน้อยพอดี จริงๆ น้องชายก็เล่นบอลอาชีพนะคะ เพราะอยู่สโมสรใหญ่ ก็อยากให้เป็นอาชีพแน่นอนไปเลย น้องมาขนาดนี้แล้ว ส่วนตัวน้องชายเองก็คงต้องแล้วแต่ เพราะเด็กอยู่ความชอบอาจเปลี่ยนแปลงได้”

หากถามถึงสิ่งที่เหมือนหรือแตกต่างกัน สำหรับลักษณะนิสัยระหว่างพ่อและแม่ที่เธอได้รับมาจากทั้งสองคนว่าค่อนไปทางใครมากกว่ากัน เธอคิดอยู่ครู่ก่อนจะบอกกับเราว่ามีนิสัยขี้บ่นเหมือนพ่อ และรอบคอบเหมือนแม่

“แม่เบสท์เป็นทั้งเพื่อน พี่สาว และแม่ ที่บอกว่าเป็นเหมือนเพื่อน คือสามารถพูดได้เลยว่าเรารู้สึกยังไง อย่างถ้าเราทะเลาะกับเพื่อนมา เราสามารถเล่าให้แม่ฟังได้ โดยที่แม่ก็ไม่ได้เข้าข้างเพื่อนหรือเข้าข้างเบสท์
แต่จะสอน ส่วนมุมที่เป็นพี่สาวก็คือสามารถปรึกษาได้ สมมุติคอนเอยากซื้อเครื่องสำอาง ก็จะถามได้เลยว่าใช้อันนี้ดีไหม สีไหนถึงเข้ากับเบสท์

 
ส่วนเป็นทั้งแม่ก็คือการดูแล เพราะพ่อจะทำงาน ส่วนแม่ก็เป็นแม่บ้าน แม่ทำหน้าที่แม่ได้อย่างสมบูรณ์มาก แม่จะตามทั้งเบสท์และน้องชายได้ในเวลาเดียวกัน เช่น น้องชายมีซ้อมบอลตอนเย็น แต่เบสท์มีงานตอนเช้า แม่สามารถมาอยู่กับเบสท์ได้ในตอนเช้า และเย็นสามารถพาน้องไปซ้อมบอลได้ นี่คือแม่เบสท์

เบสท์คุยกับแม่ทุกเรื่อง ที่สำคัญแม่ไม่ฟ้องพ่อค่ะ (หัวเราะ) แม่ไม่บอกพ่อต่อให้หนูเล่าเรื่องที่ผู้ชายมาจีบ แม่จะไม่ฟ้องพ่อ แต่แม่จะบอกว่าเราต้องดูก่อนนะเบสท์ เราเป็นผู้หญิง ส่วนนิสัยเบสท์ว่าตัวเองเหมือนพ่อ เพราะเป็นคนค่อนข้างใจร้อนและดุ อาจจะไม่ได้ดุกับทุกคน แต่จะดุกับคนที่เรารัก

อีกอย่างเบสท์จะมีความขี้บ่นเหมือนพ่อนิดหนึ่ง อย่างพ่อสอนเราวันนี้ พรุ่งนี้พ่อก็มาสอนอีก เราเลยรู้สึกว่าพ่อขี้บ่นเนอะ แต่ตอนนี้เบสท์ก็เป็นเหมือนพ่อ (หัวเราะ)

ส่วนนิสัยที่เหมือนแม่ น้อยมากเลยค่ะ(หัวเราะ) อาจจะเป็นเรื่องการมองโลกนะคะ การใช้เงิน ด้วยความที่ครอบครัวไม่ได้มีเงินมาตั้งแต่เด็ก แม่ก็จะสอนว่าเวลาใช้จ่ายอะไรต้องคิด แม่จะสอนให้วางแผน ต้องรอบคอบและคิดให้ดีก่อนจะทำอะไร”

สัมภาษณ์ : ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง : พิมพรรณ มีชัยศรี
ภาพ : สันติ เต๊ะเปีย
สถานที่ : ร้าน Slot Co-working Space (ใกล้เมืองทองธานี)



 
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **



กำลังโหลดความคิดเห็น