“ชิ้นส่วนไม่ครบไม่เป็นไรครับ” เปิดใจ “พ่อน้องโทบี้” ประกาศขอซื้อ-บริจาค โมเดล “กันดั้ม” ให้ลูกชายป่วยโรคมะเร็ง ล่าสุด นักสะสมหุ่นใจบุญพร้อมใจจัดส่ง “กันดั้ม” สุดที่รักของตัวเอง เพื่อเป็นกำลังใจสำคัญในการรักษาโรคร้ายให้หายเป็นปกติ
โซเชียลฯ แห่ส่ง “กันดั้มแห่งความสุข”
กลายเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่กำลังถูกพูดถึงอย่างมากในโลกโซเชียลฯ ขณะนี้ หลังจากเฟซบุ๊ก “Nattapol Komolthon” ได้โพสต์หาซื้อกันดั้มว่า “ลูกชายเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว อยากได้กันดั้มที่ประกอบแล้ว ชิ้นส่วนไม่ครบไม่เป็นไรครับ ตอนนี้น้องไม่ได้ไปโรงเรียนครับ ต้องรักษาตัว ตอนนี้น้องเพิ่งค้นพบว่าชอบกันดั้ม ให้พ่อต่อให้ก็ต่อให้ช้า ต่อไม่ค่อยเป็น เลยมาขอรับซื้อหรือบริจาคให้น้อง”
บอย-ณัฐพล โกมลธร พ่อของน้องโทบี้ เปิดใจกับทีมข่าว MGR Live ผ่านปลายสายว่า จริงๆ แล้วลูกชายเริ่มชอบหุ่นยนต์กันดั้ม ตั้งแต่มีการเริ่มเปิดดูรูปในไอแพต จากเมื่อก่อนที่ชอบเหมือนเด็กทั่วไปอย่าง ทรานฟอร์เมอร์ หรือหุ่นยนต์ทั่วๆ ไป ก็กลายเป็นกันดั้มแล้ว ซึ่งมีตัวที่น้องโทบี้ชอบ สีที่ชอบ บางทีก็สามารถบอกชื่อได้
“เขาดูแล้วก็มาวาดรูปตาม จนขอซื้อ หนูอยากได้ๆ ซื้อให้หนูหน่อย จริงๆ แล้วผมจะไม่ค่อยตามใจมาก แต่ด้วยความที่เขาป่วย ผมก็อยากจะให้เขามีกิจกรรมอะไรทำ เพราะว่าไม่ได้เสียหาย มันมีส่วนในการช่วยเรื่องสมาธิของน้อง ช่วยคลายเครียดได้
หลังจากนั้นผมก็ไปหาให้น้อง ครั้งแรกก็ไปสะพานเหล็ก ไปเดินดูตามตู้ ด้วยความที่ผมไม่ได้เล่นกันดั้มมาก่อน ก็ไม่รู้ว่าราคาจะแพงขนาดนี้ ตัวหนึ่งก็ราคาตั้งแต่หลายร้อยไปจนถึงหลายพันเลย ผมก็ไปเดินดู ก็ไปได้หุ่นมาตัวหนึ่ง เป็นหุ่นจีนก็มาประกอบไป 3 สัปดาห์ ก็ได้แค่หัวกับตัว ด้วยความที่ผมไม่มีความชำนาญในการประกอบด้วย ก็ไม่ทันใจเขา เพราะเขาอยากวาดรูป อยากมีแล้ว ก็เลยคิดไอเดียว่าซื้อแบบเป็นตัวมาให้เขา
ครั้งแรกที่ผมซื้อให้เขา ก็ไปประมูลในเว็บซื้อขายกันดั้มครับ เขาจะมีประมูลซากกันดั้ม ที่บางคนเขาต่อแล้วไม่สมบูรณ์ เช่น ตรงนู้นหักตรงนี้หาย พอไม่สมบูรณ์ราคาก็จะตกเยอะ จากตัวเป็นพันก็จะอาจเหลือแค่หลักร้อย ผมก็โอเคถ้าแบบนี้เราซื้อไหว เราซื้อมาให้เขาเล่นตัวหรือสองตัว ปรากฏว่าเขาชอบ
กระทั่ง ผมตัดสินใจประกาศรับซื้อ ถึงแม้ส่วนประกอบไม่ครบไม่เป็นไรเพราะเราไม่ใช่นักสะสม อยากแค่ให้น้องมีความสุขในการเล่นสิ่งของที่เขาชอบ เพราะผมว่าจริงๆ แล้ว แค่อาการป่วย มันก็หนักหนาสากรรจ์แล้ว เลยลองไปโพสต์ว่า รับซื้อซากมาให้ลูกชาย หรือรับบริจาคก็ได้ เพราะบางคนเขาจะมีตัวที่ประกอบไม่เสร็จหรือว่าประกอบไปแล้วบางส่วนหักก็ไม่ประกอบต่อแล้ว เพราะมันเสียหายไปแล้ว ผมจึงขอรับบริจาคซากแบบนี้ก็ได้”
จากนั้นปรากฏว่ามีคนส่งข้อความมาให้น้องโทบี้อย่างมากมาย ทั้งให้กำลังใจ และส่งกันดั้มมาให้ ซึ่งตอนนี้มีเกือบ 20 กล่อง ไม่แค่นั้นยังมีคนที่เดินทางมาจากต่างจังหวัดเพื่อนำกันดั้มมาให้น้องถึงมือที่บ้าน ทั้งสอนต่อและมาเล่นด้วย
“สำหรับของพวกนี้เป็นของคุณค่าทางจิตใจ บางคนอาจจะมองว่ามันคือหุ่นตัวหนึ่ง แต่สำหรับผม สำหรับพี่ๆ ที่เขาเล่นกัน เขามองเรื่องของคุณค่าทางจิตใจ อย่างตัวที่ส่งมาให้น้องตอนนี้เขาใช้เวลาประกอบ 3 เดือน ผมคุยกับเจ้าของ แล้วเป็นตัวที่เขารักที่สุด คือหุ่นหรืออะไรสักตัวที่เขาใช้เวลานานๆ ทำ แล้วเป็นตัวที่เขารัก แต่เขาต้องการที่จะมอบมันให้น้อง ผมรู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจ และตื้นตันมากๆ ครับ
ล่าสุด โทบี้เขาดีใจมากครับ คอยไปรอไปรษณีย์ว่าเมื่อไหร่จะมาส่ง พอมาส่งแล้วเปิดออกมาก็ดีใจ ขนาดวันนี้นั่งนับกล่องเขาก็ตกใจที่มีคนให้เยอะขนาดนี้ เมื่อคืนเขาก็ไม่ค่อยหลับ อยากจะตื่นมาตอนเช้าเร็วๆ มาเปิดตู้ดู แต่ผมก็จะบอกเขาว่าวันนี้เล่นได้แค่นี้นะลูก จะเอามาเล่นแบบถอดหรือทำลายไม่ได้ อย่างมากก็แค่เล่นนิดๆ หน่อยๆ หมุนไปหมุนมา นั่งดูแล้ววาดรูปเอา เพราะมันเป็นของเล่นที่พี่ๆ เขาตั้งใจเอามาให้ มันเหมาะจะวางไว้ดู ไว้ชม
ส่วนกันดั้มผมก็จะเช็ดทำความสะอาด ถ้าน้องเล่นแล้วก็ต้องคอยล้างมือ ก็คือต้องระวังเรื่องความสะอาดเป็นพิเศษ ต้องดูแลมากๆ เลยครับ อันนี้เป็นปัจจัยหลักเลยที่คุณหมอเน้นย้ำมา เรื่องความสะอาดของทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอาหาร น้ำดื่ม เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม ที่นอน ที่อยู่อาศัย เราจะต้องแยกห้องหมดเลย นอนกับน้องไม่ได้ครับ”
แม้ป่วยกาย! แต่ “กำลังใจ” ล้นหลาม
อย่างไรก็ตาม น้องโทบี้นั้นก็เป็นเด็กที่มีนิสัยร่าเริง ชอบวาดรูป ชอบเล่น และพูดคุยเก่ง แต่หลังจากป่วยด้วยโรคมะเร็งก็มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เนื่องจากผลข้างเคียงของอาการ ที่มาจากการให้เคมีบำบัด จะมีผลต่อต่อมทางใต้สมอง พวกฮอร์โมนต่างๆ ที่จะทำให้หงุดหงิดง่าย ไม่สบายตัว เหงื่อออก ไม่ค่อยอยู่นิ่ง
และน้องโทบี้เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวแบบเฉียบพลัน ALL ซึ่งใน 100,000 คนจะมีคนป่วยประมาณ 3 คน ตอนนี้มีการให้เคมีบำบัด ซึ่งรักษามาประมาณ 2 เดือนกว่าแล้ว แต่ใช้เวลารักษาทั้งหมดประมาณ 3 ปี
“ตอนแรกเลยน้องมีอาการป่วย คือปวดตามขา ปวดตามข้อใหญ่ๆ ข้อศอก ข้อเข่า บวมแดง เดินไม่ได้ แล้วก็เป็นไข้ ตอนนั้นก็ตรวจอย่างละเอียด สรุปน้องได้รับการวินิจฉัยว่า เป็นไข้รูมาติก ฟีเวอร์ เพราะมีอาการครบองค์ประกอบของการเป็นไข้รูมาติก ก็เลยได้รับการรักษาแบบไข้รูมาติกมาก่อน
จนมาสักประมาณ 3 เดือนที่แล้ว น้องยังมีอาการปวดอยู่ เหมือนอาหารบวมมันลามไปที่หน้าแข้ง ที่แขน หน้าก็บวม ตาก็บวม ทานข้าวไม่ได้ ทานอะไรไปก็อาเจียน ตอนนั้นเดินไม่ได้เลย 2-3 วัน จึงเจาะเลือดตรวจอีกรอบ คุณหมอก็แจ้งว่าผลการตรวจไข้สันหลังเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวแบบเฉียบพลัน มันมีความเสียงสูงหน่อย รักษายากหน่อย ก็เข้าสู่กระบวนการรักษาอย่างเร่งด่วน เพราะว่าน้องมีอาการติดเชื้อ หน้าบวม เดินไม่ได้ ไม่มีแรงเลยตอนนั้น พอรักษาอาการติดเชื้อ พร้อมกับให้เคมีบำบัดควบคู่ด้วย น้องอาการดีขึ้นตามลำดับ เซลล์มะเร็งก็หายไปเยอะเลย
เพียงแต่ช่วงนี้ยังต้องระวังเรื่องการติดเชื้ออยู่ เพราะจะมีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ พอเม็ดเลือดขาวต่ำ ภูมิต้านทานเขาจะไม่มีจริงๆ การรักษาทั้งหมดจะ 3 ปี แต่เบื้องต้น 1 ปี จะมีการให้เคมีบำบัดแบบเข้มข้น ก็จะเป็นแบบไปกลับ ถ้าเป็นวันไหนมีการให้ยาที่ต้องให้ทางไขสันหลัง หรือให้เป็นยาชุดใหญ่ เช่น ทางไข้สันหลัง เส้นเลือด กล้ามเนื้อ พร้อมๆ กัน ต้องนอนโรงพยาบาล นอนครั้งหนึ่งก็ประมาณ 5 วัน ถึง 1 สัปดาห์แล้วแต่ แต่บางสัปดาห์จะแค่ไปให้ยาเฉยๆ แล้วตอนเย็นก็กลับบ้าน”
โรคนี้น่ากลัวตรงที่ ถ้ารักษาไปแล้วไม่สามารถคุมเซลล์มะเร็งได้ เกิดมะเร็งตีกลับมาก็ค่อนข้างอันตราย แล้วต้องเปลี่ยนรูปแบบการรักษา
นอกจากนี้ พ่อของน้องโทบี้ ยังมีการทำริสแบนด์จำหน่ายอีกด้วย เพราะความที่น้องจะต้องรักษาระยะยาวถึง 3 ปี ก็จะมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ เยอะเช่นกัน เพราะพ่อบอยเป็นฟรีแลนซ์ ทำงานถ่ายภาพ ก็ต้องหยุดเพื่อมาดูแลน้อง ซึ่งทำให้ขาดรายได้ตรงส่วนนี้ จึงคิดว่าควรจะทำอะไรสักอย่าง เลยตัดสินใจทำริสแบนด์ไปสั่งผลิตเป็นชื่อน้อง แล้วเขียนคำว่า “SAVE TOBEY” เป็นโลโก้รูปน้องน่ารักๆ
“เราช่วยกันออกแบบครับ คือคำว่า TOBEY ผมเป็นคนเขียน แล้วลูกผมก็จะเขียนรูปหน้าเขา จะเป็นสัญลักษณ์เขา น้องก็มีส่วนช่วยด้วย คือตอนนั้นรู้สึกว่าทำที่โรงพยาบาล นั่งช่วยกันลงสีอะไรดีลูก พอได้แบบที่ต้องการ ผมก็เอาแบบที่เขียนในกระดาษไปให้โรงงานผลิต แล้วมาโพสต์ขายในเฟซบุ๊กครับ ก็มีคนมาสั่งซื้อเยอะเหมือนกัน
ผมเองก็เต็มที่กับตรงนี้ คอยเป็นกำลังใจให้ลูก คอยทำให้เขารู้สึกว่าเขาไม่ได้อยู่โดดเดี่ยว มีผมคอยอยู่ข้างๆ ช่วยประคองกันไป ไปด้วยกัน แล้วก็เพื่อนๆ ในสังคมออนไลน์ ญาติพี่น้อง คอยให้กำลังใจ ทุกวันนี้โทบี้ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นอะไรเลย เหมือนเด็กปกติทั่วไป ผมยังพยายามพูดในด้านบวกว่า โทบี้ได้หยุดเรียน 1 ปีดีไหมล่ะลูก ได้นั่งเล่นหุ่นยนต์ แต่หนูก็ต้องเรียนที่บ้านนะ
สิ่งที่ผมอยากจะฝากนะครับ กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญไม่ว่าใครจะป่วยเป็นโรคร้ายแรงขนาดไหน ผมเชื่อว่าเรื่องของใจเป็นเรื่องที่กำหนดทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้ากำลังใจดี ยังไงก็หายแน่นอน เหมือนที่เขาบอกกันว่า ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าวครับ ต่อให้คนปกติสุขภาพดีแค่ไหน ถ้าใจไม่สู้ ก็ทำให้ป่วยได้ แต่ถ้าคนป่วยแค่ไหน ถ้าใจสู้เข้มแข็ง ผมว่าก็ฝ่าฟันไปได้”
ข่าวโดย MGR Live
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **