ชีวิตของสาวประเภทสอง กับการค้นหาตัวตนที่แท้จริง!! เปิดเรื่องราวชีวิตของ “มิสทรานยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2019” กับการตัดสินใจให้ร่างกายกลับไปเป็นชายเหมือนเดิม จนสร้างความตกใจให้ใครหลายคน ท่ามกลางความสงสัยอีกอย่างว่า เธอจะสามารถไปประกวดนางงามที่ต่างประเทศต่อได้อย่างไร ทั้งที่ร่างกายไม่ได้เป็นหญิงแล้ว
ตัวเต็งเวที “มิสทิฟฟานี่” สู่การเป็น “เสรีเพศ”
“จริงๆ ตอนประกวดมิสทิฟฟานี่ปี 2008 เราไม่อยากเป็นผู้หญิงเลย ช่วงที่เราต้องไปเก็บตัว ตอนกลางคืนเราก็ร้องไห้ กลัวว่าจะต้องแต่งหญิง ไม่เอา ไม่อยากเป็น คือทุกคนอาจจะเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ เพื่อมาเป็นผู้หญิง แต่เราไม่ใช่ ในตอนนั้นยอมรับว่าเรามองภาพของสาวประเภทสองมันแคบ การยอมรับต่างๆ ทั้งเรื่องการงาน รู้สึกว่าทำได้ไม่กี่อย่าง ตอนนั้นเลยรู้สึกว่าเรายังไม่ใช่ ยังไม่อยากเป็น”
ถึงแม้คำพูดของ อาร์ม-ธัญวาพิสิษฐ์ ทิพย์ปภาดา มิสทรานยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2019 จากเวทีการประกวดความงามของสาวสวยข้ามเพศ ผู้เคยลงประกวดเวทีมิสทิฟฟานี่มาแล้วถึง 3 ครั้ง ตั้งแต่ปี 2008, 2013 และคว้ารองอันดับ 2 เวทีมิสทิฟฟานี่ ในปี 2014 มาครอง จะเอ่ยความจริงในใจว่าเธอไม่ได้มีความต้องการอยากเป็นหญิงหรือแต่งหญิงตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ แต่ด้วยวันหนึ่งต้องเจอกับเหตุการณ์ที่กำลังบอกว่าในชีวิตไม่ได้มีอะไรแน่นอน จึงกลายเป็นจุดเปลี่ยนให้ตัวเองลุกขึ้นมาเป็นผู้หญิงจนได้
“มีอยู่วันหนึ่ง อาร์มมีเพื่อนไม่สบายมากๆ ถึงขั้นเฉียดตาย แต่ว่าเขารอดมาได้ ทำให้เรารู้สึกว่า ชีวิตมันสั้น เราไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้จะมีไหม หรือว่าเราจะอยู่ถึงเมื่อไหร่ เราเลยรู้สึกว่า หรือเราอยากเป็นผู้หญิง เราก็เริ่มอยากลอง แล้วฐานะทางบ้านตอนนั้น เมื่อก่อนอาร์มก็ทำงานคนเดียว พอมาถึงจุดที่เราได้ปลดหนี้ให้แม่ได้แล้ว เรารู้สึกว่าเราอยากจะลอง แล้วก็ทำเลยตอนนั้น ไปทำหน้าอกเลยตอนปี 2013
ช่วงขณะนั้นอาร์มรู้สึกว่ามีความสุข แล้วก็จะทำตรงนั้นให้มันดีมาก เพราะช่วงชีวิตคนมันมีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ทั้งความคิด ความฝัน หลายๆ อย่าง ตอนนั้นเป็นผู้หญิงรู้สึกว่าต้องทำตรงนั้นให้สุด อาร์มก็พยายามเปลี่ยนตัวเองเป็นผู้หญิงให้มากที่สุด แต่อย่างหนึ่งที่อาร์มจะไม่เปลี่ยนก็คือ จะไม่แปลงเพศ ซึ่งเป็นสิ่งที่อาร์มคิดไว้ว่ายังไงก็ไม่ แต่ความรู้สึกลึกๆ เราก็รู้สึกว่า สักวันหนึ่งเราจะเปลี่ยนกลับมาเป็นเหมือนเดิม”
จากความคิดที่อยู่ในหัวของอาร์มตั้งแต่ต้น ว่าเมื่อกลายเป็นหญิงแล้ว แน่นอนว่าสักวันจะต้องกลับมามีรูปร่างที่เป็นผู้ชายเหมือนเดิม หลังจากที่ใช้ชีวิตเป็นเกย์มา 23 ปี บวกกับการใช้ชีวิตเป็นสาวประเภทสองอีก 6 ปี จนได้เรียนรู้ว่าแบบไหนคือตัวเอง และจากการต้องทานฮอร์โมนตลอดเวลา จนคิดว่าต้องส่งผลต่อร่างกายในด้านลบ นี่จึงเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้เธอต้องกลับมาเปลี่ยนแปลงตัวเองอีกครั้ง ด้วยการตัดสินใจผ่าหน้าอกออก พร้อมทั้งตัดผมสั้นและปรับเปลี่ยนการแต่งตัวให้เป็นสไตล์ผู้ชาย
“ถ้าพูดเป็นภาษาชาวบ้าน เราไม่อยากเป็นผู้หญิงตอนแก่ เราไม่อยากเป็นสาวประเภทสองตอนแก่ เพราะว่าอย่างน้อย ถ้าเราไม่รู้สึกว่าเราอยากจะแปลงเพศ เราไม่สามารถจะทานฮอร์โมนไปได้ตลอดชีวิตอยู่แล้ว เพราะว่าถ้าแก่แล้วต้องไปรักษาโรคอื่นแล้วอ่ะ สำหรับอาร์ม ต้องไปดูแลร่างกายในส่วนอื่น ในมุมอื่น แล้วก็เรื่องสุขภาพด้วย มันเป็นความคิดที่คิดไว้อยู่แล้ว
พอล่าสุดที่อาร์มได้เป็นมิสทรานเวิลด์ไทยแลนด์ ต้องไปประกวดที่ออสเตรีย ช่วงมกราคมปีหน้า ทุกคนก็ตกใจ แล้วมีคำถามว่า ไปประกวดได้หรอ แต่อาร์มต้องบอกเลยว่าสิ่งที่อาร์มทำ อาร์มอยากทำให้กำแพงเรื่องเพศมันหายไป แล้วอาร์มก็จะไปด้วยลุคนี้แหละที่จะไปประกวดในต่างประเทศ ในมุมมองของอาร์ม ที่ได้ทำงานกับนางแบบ กับแดนเซอร์ที่เป็นผู้หญิงจริงๆ เขาไม่มีหน้าอกก็ได้ มันไม่จำเป็น เพราะว่าบางคนในวงการแฟชั่น มีหน้าอกคือใส่เสื้อผ้าไม่สวย”
อย่าเอา “เพศสภาพ” มาเป็นตัวกำหนดการใช้ชีวิต
แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงตัวเองของอาร์มจะกลายเป็นกระแสที่ทำให้คนที่ติดตามเธอต้องตกใจไปตามๆ กัน ว่าเป็นผู้หญิงแล้วจะกลับมาเป็นเกย์ได้อย่างไร เธอกลับรู้สึกว่า อะไรที่เหมาะหรือทำอะไรแล้วมีความสุข ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยด้วยซ้ำ
“อาร์มอยากจะบอกว่าการที่ได้เรียนรู้หรือเปลี่ยนแปลงตัวเอง มันไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ว่าสังคมอ่ะ ทักให้มันแปลก แล้วมีอีกหลายคนที่อยากจะทำแบบอาร์ม หรือว่าทำไปแล้วเนี่ยแหละ มันก็จะมีเพื่อนรอบข้าง พูดว่าบ้าหรือเปล่า อาร์มรู้สึกว่าตัวคนเหล่านั้นที่กล้าจะเปลี่ยนแปลง หรือเรียนรู้อะไรต่างๆ มันไม่ใช่สิ่งที่ผิด แต่ว่าสังคมต่างหากที่มองเขา ว่าเขาเป็นคนที่ผิดหรือเปล่า
อยากให้ทุกคนเรียนรู้ เข้าใจ ถ้าคุณคิดจะเปลี่ยน คุณก็มองดีๆ ว่ามันมีผลต่อตัวคุณไหม มีผลต่อคนรอบข้างไหม ถ้าคุณคิดว่ามันไม่ได้เดือดร้อนใคร อาร์มรู้สึกอยากให้คุณเปิดใจ แล้วทำเลย อาร์มเชื่อว่าสิ่งๆ นั้นมันจะทำให้คุณมีความสุข โดยที่มันไม่เดือดร้อนใครแน่นอน”
นี่เป็นอีกเสียงที่กำลังบอกเล่าว่า ไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนในสังคมจะมีความหลากหลายทางเพศ และยังมองว่าตัวเองได้เป็นตัวแทนให้คนในสังคมได้รับรู้ถึงการเป็นเพศทางเลือก และไม่ควรนำเรื่องเพศมาเป็นตัวกำหนดในด้านการทำงานด้วยเช่นกัน
“เวลาไปทำงานราชการ มันจะมีเพศกำหนดข้างหน้า แต่ว่าในมุมมองความคิดอาร์มรู้สึกว่าอยากให้มันเป็นเรื่องของความรัก ความเข้าใจของเพื่อนมนุษย์มากกว่า เพราะว่าเราต้องรู้ว่าในปัจจุบันความหลากหลายทางเพศมันเยอะมาก อย่าง ผู้หญิงแท้ชอบกัน ผู้หญิงไปชอบเกย์ ทอมคบกับสาวประเภทสอง ซึ่งอาร์มอยากจะให้มองว่าเป็นเรื่องของความรักในเพื่อนมนุษย์มากกว่าการที่จะเอาเพศมาเป็นตัวกำหนด ว่าเขาคืออะไร”
นอกจากนี้ อาร์มยังบอกว่าถ้าจะให้กลับไปเป็นหญิงอีกคงจะไม่แล้ว ด้วยอายุที่เพิ่มขึ้นอาจจะหาอะไรทำที่รู้สึกแปลกใหม่ และจะสร้างมุมมองที่ดีให้หลายๆ คนเห็นว่าสิ่งที่ทำอย่างนี้ หรือที่หลายคนเห็นการเปลี่ยนแปลงตัวเองมันไม่ใช่เรื่องแปลก แต่เป็นเรื่องที่ทุกคนสามารถทำได้ แล้วก็เรียนรู้ได้ ซึ่งไม่ใช่พฤติกรรมเลียนแบบ แต่เป็นมุมมองความคิดให้ทุกคนคิดว่าชั่งน้ำหนักว่าเรามีความสุขไหมกับสิ่งที่ทำ
“จริงๆ แล้วทุกๆคนหรือทั่วโลก มองว่าประเทศไทยเปิดมากเลย ทางด้านกลุ่ม LGBT ความเสรีทางเพศ แต่ว่ามันจะมีบางเรื่อง หรือว่าเรื่องหลักๆ อย่างการเปลี่ยนคำนำหน้า ถามว่ามันจำเป็นไหมต่อจิตใจ บางคนอาจจะไม่จำเป็น แต่ว่าอาร์มรู้สึกว่าในทางด้านเอกสารต่างๆ นั้นจำเป็น อย่างเดินทางไปต่างประเทศรูปไม่ตรง มันก็เข้ายาก ก็ทำให้เขามองเราเป็นตัวประหลาดบ้างในบางครั้ง
แต่อาร์มได้ดูสัมภาษณ์ของรองมิสอินเตอร์เนชั่นแนลควีนที่ประเทศจีน ซึ่งประเทศจีนเป็นประเทศที่ไม่ได้เปิดเรื่องเพศ แต่เขาเปลี่ยนเป็นนางสาวได้ มันเลยทำให้รู้สึกว่าขนาดเขาปิด แต่ยังเปลี่ยนให้ แต่เขาต้องใช้ชีวิตเป็นผู้หญิง เพราะถ้าคนรู้จะโดนแอนตี้ ซึ่งมันก็มีความแตกต่างกันไปของการยอมรับของแต่ละประเทศ”
เมื่อผู้สัมภาษณ์ ยิงคำถามว่าอยากให้มีการแต่งงานเพศเดียวกันหรือไม่ เธอก็มองว่า หากทำได้ก็ถือเป็นเรื่องที่ดีทางด้านจิตใจ แต่ความเป็นจริงในสังคมการแต่งงานและการจดทะเบียน ยังไม่ใช่เรื่องสำคัญ ทุกคนจดได้ ก็เลิกได้
“มีหน้าอกต่อ ไม่ใช่ความสุข” ทำใจยอมรับ หากแฟนขอเลิก!!
“อาร์มมีแฟนตั้งแต่ตอนเป็นผู้หญิงค่ะ เขาเป็นผู้ชายแท้ๆ เลย เขาเคยมีแฟนเป็นผู้หญิง แต่ไม่เคยมีแฟนเป็นคนข้ามเพศ ไม่เคยเป็นเกย์ แต่เขาเปิดใจเพราะว่า ชอบเราในรูปลักษณ์ของการเป็นผู้หญิง
จริงๆ แล้วเราเคยเจอกันตอนที่อาร์มเป็นเกย์ เมื่อก่อนอาร์มขายครีมในโซเชียลฯ เขาก็มาซื้อครีม แล้วช่วงที่เราเปลี่ยนเป็นผู้หญิงพอดี เขาก็มีปัญหากับแฟนเขา เขามาปรึกษาเรา เราก็ให้คำปรึกษาเป็นปกติ เราไม่ได้คิดอะไรไง แต่ว่ามันไม่ได้คุยกันบ่อยนะ แล้วก็ไม่ได้คุยแบบชู้สาว จนได้คุยเรื่อยๆ ก็มีเจอกันนัดทานข้าว
เราเคยถามว่า คิดจะจริงจังหรือเปล่า เขาบอกว่าเมื่อก่อนไม่เคยคิดจะจริงจัง เพราะว่าเราเป็นสาวประเภทสองอ่ะเนอะ มันก็มีหลายเรื่องทางสังคม กลุ่มเพื่อนเขา ที่บ้านเขา แต่เขาก็ลองเปิดใจดู ก็คบกันมาเรื่อยๆ โดยไม่มีการขอว่าเป็นแฟนกันนะ มันเหมือนรู้เองอย่างนี้ค่ะ จนตอนนี้ก็คบมาประมาณ 6 ปีแล้ว”
เส้นทางความรักที่ถือว่ายาวนานของอาร์ม คงเป็นบทพิสูจน์ได้ว่า การที่เธอมีเพศสภาพที่กลายเป็นผู้หญิงรูปร่างสวยงามแล้ว ทำให้เธอสามารถที่จะมีความรักจากผู้ชายแท้เหมือนกับคนอื่นๆ ได้ นั่นก็เพราะว่าอีกฝ่ายมีความชอบในความเป็นผู้หญิง แต่เธอก็ได้ตัดสินใจว่าจะเปลี่ยนให้ตัวเองกลับมามีรูปร่างเป็นชายอีกครั้ง และก็เป็นเรื่องยากที่แฟนของเธอจะยอมรับได้เช่นกัน
“อาร์มก็จะพูดกับเขา เดี๋ยวจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมแล้วนะ เดี๋ยวจะไปเอานมออกแล้ว เขาคิดว่าอาร์มพูดเล่น อาร์มพูดอย่างนี้หลายรอบมาก จนวันที่อาร์มคิดจะทำ อาร์มบอกเขาว่าอาร์มไปปรึกษาหมอ อาร์มก็ปรึกษาแล้วทำวันนั้นเลย เขาก็เห็นว่าเราหายไปไหนแบบนาน เขาก็ทักไลน์มา ทำอะไรอยู่ เราก็บอกว่ากำลังรอคิวทำอยู่ เขาก็ช็อกค่ะ ยอมรับว่าเขาช็อก แล้วเขาก็ยอมรับว่าเขาเสียใจ เขานอนร้องไห้
หลังจากนั้นเราก็รู้สึกผิดตรงนี้เหมือนกันเพราะว่าในขณะที่เรามีความสุขกับสิ่งที่เราเป็น สิ่งที่เรากำลังทำอยู่ แล้วเราไม่รู้หรอกว่าอีกคนหนึ่งเขารู้สึกแย่แค่ไหน มันเป็นสิ่งที่อาร์มรู้สึกผิดตรงนี้ด้วย แต่ว่าอาร์มก็รู้สึกว่าต้องยอมรับผลของการกระทำนั้น ซึ่งอาร์มอยากจะเป็นสิ่งๆ นี้ ถ้ามันจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต เราก็ต้องยอมรับ
ช่วงแรกๆ เขาก็จะมีความรู้สึกแย่ เขาก็ต้องตอบคำถามคนรอบๆ ข้างเขา ซึ่งคนที่ถามเรา เราตอบได้อยู่แล้ว เพราะมันคือตัวเรา แต่ว่าเขาก็ต้องมานั่งตอบคำถามคนอื่น ก็ทำร้ายจิตใจเขาเหมือนกัน
ดังนั้น อาร์มก็อยากจะให้เขารับได้ในสิ่งที่เราเป็น แต่ว่ามันก็มีความเสี่ยงเหมือนกันนะ สำหรับบางคู่นะคะ ก็ควรจะคุยกันก่อนให้เข้าใจ”
นอกเหนือไปจากนั้นแล้ว ถ้าวันหนึ่งผู้ชายที่อาร์มรักมีความโหยหาในความเป็นผู้หญิง หรืออยากจะมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิง เธอจะยอมได้ไหม ในขณะที่ยังเป็นแฟนกันอยู่เหมือนเดิม
“จริงๆ มันอาจจะต้องผ่านการคุยกันก่อนนะ แต่พูดตรงๆ นะคะ จริงๆ ยอมได้ เพราะเรารู้สึกว่าเราให้เขาตรงนี้ไม่ได้ เราอาจจะบกพร่องทางด้านนี้ แต่มันก็ต้องมีการคุยกันก่อน ว่าโอเคไหม แต่เรารู้สึกว่าทุกวันนี้เหมือนอยู่ดูแลกัน อาจจะไม่ได้มีเรื่องเพศสัมพันธ์เข้ามาเกี่ยว แต่ว่าเรารู้สึกว่า มันคือการดูแลกัน มันคือความผูกพัน คือความเคยชิน คือความรัก มันคือทุกอย่างที่มันไม่ใช่เรื่องนั้น
คนมากหน้าหลายตาที่เข้ามาหาเรา แต่เรารู้สึกว่าคนคน นี้ ย้อนไปเมื่อ 6 ปี ที่เขาจีบเรา เขาไม่เคยเปลี่ยนไป เขานั่งรอเราทำเล็บ 2 ชั่วโมงได้ ไปซ้อมเต้นเขาก็พาไปได้ ไปนั่งรอโดยที่เขาไม่พูดว่าจะกลับหรือยังอ่ะ เขาก็อยู่ของเขา เล่นเกม เล่นโทรศัพท์ แล้วเขาก็ไม่เคยเปลี่ยนเลย เขาดูแลความรู้สึกเราตลอด เป็นห่วงเราตลอด ดึกแค่ไหน เราทำงานเขาก็จะไปรับ เช้าแค่ไหน ก็ไปส่งได้ เขาจะเป็นที่รักของเพื่อนเราทุกคนมาก เราก็เลยรู้สึกว่าคนดีๆ มันหายาก
ในที่สุด ตอนนี้เขาก็เลือกที่จะพยายามปรับตัว เลือกที่จะยอมรับในสิ่งที่เราเป็น เลือกที่จะโอเคไม่มองเรื่องเพศ แต่มองเรื่องความรักมากกว่า ไม่ใช่ว่าอาร์มไม่แคร์ความรู้สึกเขานะคะ แต่ว่าอาร์มรู้สึกว่าสุดท้ายแล้วเราเองเนี่ยแหละที่เป็นคนเลือกทางเดินของตัวเอง เราจะไม่อยู่กับอะไรที่มันไม่มีความสุข เหมือนกับว่า ถ้าเรายังทนที่จะแต่งตัวเป็นผู้หญิง มีหน้าอกต่อไป มันก็ไม่ใช่ความสุขของเรา”
สัมภาษณ์: รายการ “พระอาทิตย์ Live”
เรียบเรียง: ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง: สวรส พวงเกาะ
ขอบคุณภาพ: เฟซบุ๊ก “ธันวาพิสิษฐ์ ทิพย์ปภาดา”
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **