xs
xsm
sm
md
lg

“พี่เป็นคนบ้าที่ทำงานได้!!” เจาะเบื้องหลังความคิดสุดปัง “พี่ฉอด” เจ้าแม่คอนเทนต์-เน้นดรามาแห่งยุค

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


“อย่าพูดในสิ่งที่ตัวเองไม่รู้จริง” คือหนึ่งในบทเรียนข้อใหญ่ๆ ที่ได้จากการนั่งสนทนายาวๆ กับ “เจ้าแม่ showbiz” ทุกยุคทุกสมัย และ “ต้นตำรับแนวคิดซีรีส์สุดปัง” ที่คนติดกันทั่วบ้านทั่วเมืองอย่าง “Club Friday” เจาะทุกมุมคิดเบื้องหลังผลงานสุดฮิต ที่ยังโตได้อย่างไม่สะดุด ในยุคที่คอนเทนต์ทะลักโซเชียลฯ พร้อมเปิดอีกมุมที่คนไม่ค่อยรู้จัก ในฐานะ “อดีตนักเขียนนิยายดาวรุ่ง” ผู้มี “ทมยันตี” การันตีฝีมือ!!
 



“แกรมมี่” เหมือนเดิม เพิ่มเติมคือ “อิสระ”

ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะได้สัมภาษณ์คนที่คิดว่า ชีวิตของตัวเองไม่ได้มีเรื่องราวน่าสนใจอะไรมากมายอย่าง ฉอด-สายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา หรือ “พี่ฉอด” ศิราณีของน้องๆ ผู้ให้คำปรึกษาปัญหาหัวใจมาแล้วทุกยุคทุกสมัย ถ้าไม่ใช่เพราะการเปลี่ยนแปลงครั้งล่าสุดในชีวิต

การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ เป็นการโยกจากตำแหน่ง “ผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ GMM 25” ขยับมาเป็น “ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (Chief Executive Officer : CEO) CHANGE2561” หรือ “บริษัท เช้นจ์ 2561 จำกัด” บริษัทลูกที่ยังคงอยู่ในเครือแกรมมี่ ซึ่งรับหน้าที่ผลิต content ขยายไปสู่ platform ที่กว้างขึ้นกว่าเดิม คือไม่ถูกจำกัดให้ต้องอยู่แค่ในช่องของสังกัดอีกต่อไป

“ถ้าเป็นเมื่อก่อน สิ่งที่พี่ทำก็คือ พี่ทำหน้าที่บริหาร platform ตั้งแต่ตอนทำวิทยุ ก็ดูแลสถานีวิทยุ-คลื่นวิทยุ พอมาทำทีวี ก็มาดูแลช่อง 25 แต่เรารู้สึกว่าโดยเนื้อแท้ของคนแบบเรา จริงๆ แล้วเราเป็นคนทำ content มากกว่าเป็นคนบริหาร platform

เพราะฉะนั้น ในแง่ของการทำ content มันมีอะไรให้เราคิดมากมายมหาศาล ในโลกนี้มันมี platform อีกมากมายที่เราอยากให้ content เราไปให้ถึง แต่ถ้าเราเป็นคนดูแล platform ซะเอง เราก็จะมีโจทย์ในการดูแล platform ทำให้เราไม่สามารถพา content ของเรา ให้มันเดินทางไปในที่ต่างๆ ได้ เพราะมันจะเป็น conflict กันเอง

ดังนั้น วันนี้พอเราบอกว่าเราไม่บริหาร platform แล้ว เราไม่ดูแลสถานีวิทยุหรือโทรทัศน์แล้ว แต่เรามาเปิดเป็นบริษัท “CHANGE2561” คือเปิดมาเพื่อผลิต content โดยเฉพาะ content ของ Change ก็จะสามารถไปที่ไหนก็ได้ คือจะออนแอร์ที่ช่อง 25 หรือช่องอื่นๆ ก็ได้ แม้แต่การไปสู่ platform ออนไลน์ก็ทำได้



[“พี่อ้อยพี่ฉอดออนทัวร์” ตระเวนให้คำปรึกษาปัญหาหัวใจ]
อย่างเมื่อก่อนนี้เวลาเราทำละคร พอเราดูแลช่อง 25 เราก็ต้องเอาไปลงแค่ช่อง 25 อย่างเดียว เพราะเราดูแล platform นั้นเอง แต่พอเราไม่ได้ดูแล platform นั้นแล้ว ละครของ Change ก็จะสามารถไปสู่ช่องทีวีอื่นๆ ใดๆ ก็ได้ ช่อง 25 ก็ยังทำอยู่ และยังสามารถร่วมงานกับช่องอื่นๆ ได้ด้วย

พี่ฉอดย้ำให้ฟังชัดๆ ด้วยรอยยิ้มสบายๆ ว่า เธอยังคงเป็นหนึ่งในบอร์ดบริหารของแกรมมี่ ช่วยดูแลความเป็นไปในตำแหน่ง “รองประธานกรรมการ บริษัท จี เอ็ม เอ็ม โฮลดิ้ง จำกัด” ไม่ได้ถูกกดดันให้ออกจากบริษัทอย่างที่เคยเป็นข่าวครึกโครมในช่วงที่ผ่านมา เพียงแค่ไม่ได้รับหน้าที่ “แม่ทัพคุมช่อง GMM TV” แล้ว แต่ก็ยังคงเต็มที่กับไลน์การผลิตต่อไป

“เราก็ยังทำ content เหมือนที่เคยทำมาค่ะ คือ Change ยังทำ “showbiz” (show business : อุตสาหกรรมบันเทิง รวมถึงคอนเสิร์ตด้วย) แล้วก็ยังมี “Club Friday The Series” และ “Club Friday Show” ที่เป็นรายการสัมภาษณ์ รวมทั้งโปรแกรม “พี่อ้อยพี่ฉอดออนทัวร์” ที่จะไปตามโรงเรียน-มหาวิทยาลัย ซึ่งเรียกว่า content on ground ที่ทำเพิ่มขึ้นมาด้วย

หรือจะเป็นการเปิดเพจที่เป็นออนไลน์ของตัวเองอย่าง “พี่อ้อยพี่ฉอด ตัวต่อตัว” ก็ทำได้หมด นี่แหละค่ะคือความแตกต่างระหว่างการทำ Change เมื่อเทียบกับที่ผ่านมา เพราะเราวางจุดยืนไว้แล้วว่า เราจะเป็นบริษัท content creator หรือ content provider ทำหน้าที่ผลิต content ในรูปแบบที่หลากหลาย นับตั้งแต่นี้ไป



ในเมื่อออกตัวชัดเจนแล้วว่า จะพุ่งเป้ามาที่การผลิต content อย่างมืออาชีพ เรื่องกลยุทธ์การดึงดูดกลุ่มเป้าหมาย จึงเป็นเรื่องที่ไม่พูดถึงไม่ได้ ท่ามกลาง content มากมายที่ไหลบ่าเข้ามาจนล้นทะลักโลกออนไลน์ ถามว่าชีวิตของคน creative ยากขึ้นมากไหม เจ้าของผลงานสุดฮิตหลากหลายชิ้นในวงการ ได้แต่ยิ้มรับแล้วให้คำตอบว่า “มันก็ยากเป็นปกติ อย่างที่เคยยากมา”

“ถ้าพูดถึงประสบการณ์ หรือความเป็นมืออาชีพ ถามว่าช่วยให้เราได้เปรียบกว่าไหม มันก็ใช่ส่วนนึง แต่ก็ต้องยอมรับความจริงด้วยนะคะว่า ทุกวันนี้มีคนมากมายที่ประสบความสำเร็จใน content โดยไม่ต้องมีประสบการณ์ แล้วก็ไม่ต้องเป็นมืออาชีพด้วย

คือวันนี้โลกมันเปิดกว้างให้คนทำงาน จนกระทั่งเหมือนกับแทบจะไม่มีกติกา คนที่เคยมีประสบการณ์อย่างพวกเราที่อยู่กันมานานๆ บางทีเราอาจจะทำคะแนนได้น้อยกว่า คนที่เพิ่งเดินเข้ามาด้วยซ้ำไป เพราะความสดใหม่ต่างกัน

เพราะฉะนั้น วันนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ในโลกนี้ค่ะ การสะสมระยะทาง การมีประสบการณ์ที่ยาวนานมา มันก็อาจจะช่วยในส่วนนึง ในการที่เราได้เรียนรู้ถูก-ผิด หรือได้เห็นอะไรมาเยอะ มีความกว้างไกลในการมอง หรือการทำนายอะไรต่างๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า มันคือประโยชน์ 100 เปอร์เซ็นต์

วันนี้ความยากที่สุดของเรา กลับกลายเป็นการที่เราจะต้องมีความพยายาม ในการลองถูก-ลองผิดตลอดเวลา บางอย่างที่มั่นใจมากอาจจะผิดก็ได้ บางอย่างที่ไม่มั่นใจเลยอาจจะถูกก็ได้ เพราะความต้องการ-ความพอใจของคนวันนี้ก็หลากหลาย มีความเปลี่ยนแปลง แล้วก็มีความเคลื่อนไหวตลอดเวลา ก็ถือเป็นอาชีพที่อยู่นิ่งไม่ได้

แต่การที่เราเป็นคนผลิต content มาตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ทำให้เราต้องคิด เปลี่ยนแปลงตัวเอง ปรับปรุงพัฒนา หรือก้าวไปข้างหน้าตลอดเวลา จนมันเป็นชีวิตประจำวันของเราอยู่แล้ว ชีวิตก็เลยไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากมาย และสุดท้ายแล้ว ไม่ว่า platform จะเปลี่ยนไปในรูปแบบไหน มันก็เป็นอย่างที่ฝรั่งเขาบอกกันว่า Content is King เหมือนเดิม



“เห็น” ในสิ่งที่ไม่มีใครเห็น “คิด” ในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้!!

“ผู้คนต่อคิวแย่งซื้อกันล้นทะลัก-บัตรคอนเสิร์ตขายหมดเกลี้ยงภายในไม่กี่ชั่วโมง” คือเอกลักษณ์การทำ showbiz ภายใต้การดูแลของพี่ฉอดที่เป็นมาตลอดทาง ไม่ว่าจะดึงเอาศิลปินคนไหนมาวาดลวดลายบนเวที ก็ดูจะได้รับเสียงตอบรับอย่างล้นหลามในทุกครั้ง

ไม่เว้นแม้แต่การพา “ศิลปินยุค 80’s - 90’s” มาจับมือร่วมย้อนวันวานเอาใจคนวัยหวาน ทั้งที่หลายคนมองว่าคนดังในอดีตเหล่านั้น “ขายไม่ได้แล้ว” ในยุคนี้ แต่ผู้อยู่เบื้องหลังการคิดโชว์ทั้งหมดอย่างเธอคนนี้ กลับมองว่าขายได้และเป็นไปได้

กระทั่งผลสุดท้ายที่ออกมา ก็เป็นไปตามที่เธอคาดการณ์เอาไว้ จนหลายคนสงสัยว่าผู้หญิงเก่งคนนี้มีวิธีคิดแบบไหน ที่ทำให้อ่านเกมการตลาดได้ขาดถึงขนาดนี้ คนที่ถูกชมซึ่งๆ หน้าจึงได้แต่ยิ้มรับบางๆ ก่อนเผยความจริงออกมาว่า ความสำเร็จที่หลายๆ คนได้เห็น มันเป็นเพียงหนึ่งในไม่กี่ส่วน จากความคิดที่ไม่สำเร็จเท่านั้นเอง

“บางทีคนไปเห็นแค่ตอนที่พี่ทำถูกไงคะ (ยิ้ม) แต่จริงๆ แล้ว พี่อาจจะคิด 500 เรื่อง แล้วสำเร็จแค่ 3 เรื่องก็ได้ แต่คนก็บอกว่าคนนั้นเก่ง ทั้งที่จริงๆ แล้ว อีก 490 กว่าเรื่อง ที่คิดออกมามันใช้ไม่ได้เลย แต่ก็ไม่มีใครรู้หรอก นอกจากตัวพี่เอง (หัวเราะ)



อาจจะโชคดีนิดนึงด้วยค่ะว่า พี่มาจากคนทำงาน production แต่ดันมีหัวคิดในการทำ marketing อยู่ในตัวเองด้วย ซึ่งถือเป็นโชคดีไป เพราะฉะนั้น ในทุกๆ ช่วงเวลาที่ผ่านมา การที่คนอื่นเห็นว่าพี่เป็นคนเริ่มต้นนู่นนี่นั่น นั่นคือการที่เราสามารถมองเห็น “ช่องว่างทางการตลาด” ของช่วงเวลาในแต่ละช่วงค่ะ

ถ้าย้อนหลังกลับไปในช่วงทำงาน showbiz เนี่ย เราจะเห็นว่ายุคนึง การมีคอนเสิร์ต มันเป็นเรื่องของนักร้องที่ออกอัลบั้มมา แล้วตามมาด้วย “คอนเสิร์ตเปิดอัลบั้ม” หรือ “คอนเสิร์ตปิดอัลบั้ม” ซึ่งมักจะเป็นนักร้องเจ้าของอัลบั้มคนนั้น ที่ได้มาเป็นเจ้าของคอนเสิร์ต

พอมาถึงยุคสมัยนึง คอนเสิร์ตประเภทนี้ก็มีเยอะมากๆ และจังหวะตรงนั้นเองค่ะ ที่พี่เริ่มมองเห็นว่ามันเป็นคอนเสิร์ตที่เป็นศิลปินเดี่ยว มีคอนเสิร์ตของเจ้าของอัลบั้มเยอะแล้ว ก็เลยเริ่มคิดถึง “คอนเสิร์ตที่เป็นคอนเซ็ปต์” จากนั้นพี่ก็เป็นคนเริ่มต้นคอนเสิร์ตประเภทนี้ขึ้นมาในเมืองไทย

ยกตัวอย่าง “Devils VS Divas Comedy Concert” (2553) ที่ใช้คอนเสิร์ตเป็นตัวเล่าเรื่อง แล้วหยิบเอาศิลปินหลายๆ คนมารวมกันไว้ในโชว์เดียว

พอถึงวันนึง เราทำงานคอนเสิร์ตให้นักร้องในยุคปัจจุบันไปได้สักระยะ เห็นว่าคอนเสิร์ตลักษณะนี้มีเยอะ เราก็เริ่มรู้ว่าคนเขาโหยหาอดีตกัน เราก็เป็นคนเริ่มต้นย้อนกลับไป ดึงเอานักร้องในอดีตจากยุค 80’s - 90’s จนเกิดเป็นวาระของการมีคนลุกขึ้นมาทำคอนเสิร์ตศิลปินยุคเก่าๆ ขึ้นมาเต็มไปหมดเลย

ถ้าให้นึกย้อนกลับไป ก็มีหลายสิ่งนะคะที่พี่เป็นคนมองว่า มันเป็นแบบนี้อยู่ เดี๋ยวเราลองไปทางนี้ดูบ้างไหม มันก็คงเรียกว่าเป็นการหาช่องว่างทางการตลาด ซึ่งบังเอิญพอไปรวมกับวิธีการทำงานของเรา ในการทำ production ต่างๆ ที่ดีไซน์ออกมาแล้วลงตัวในจังหวะนั้นๆ มันก็เลยทำให้เกิดเป็นคอนเสิร์ต เป็นโชว์ที่ประสบความสำเร็จในแต่ละครั้ง


[ตัวอย่างความสำเร็จของการจัดคอนเสิร์ตย้อนวัย]

หรือถ้าพูดถึงลักษณะคอนเสิร์ตการกุศล หาเงินมอบให้มูลนิธิต่างๆ การนำเอาเรื่องราว CSR (Corporate Social Responsibility) เข้าไปอยู่ในคอนเสิร์ต คือได้ดูโชว์ดีๆ แล้วก็มีโอกาสได้ทำบุญด้วย ก็น่าจะเป็นเราที่เป็นคนต้นๆ ในการเริ่มคิดในรูปแบบนี้”

ปาล์มมี่-อีฟ ปานเจริญ คือศิลปินอีกหนึ่งรายที่เคยคอนเฟิร์มผ่านบทสัมภาษณ์เอาไว้ว่า พี่ฉอดมีคุณสมบัติในการมองคนที่แตกต่างจากคนอื่น และถือเป็นผู้มีพระคุณคนสำคัญคนนึงในชีวิต โดยบอกเอาไว้ว่าถ้าไม่ได้พี่ฉอดที่มองเห็นและให้โอกาสในการจัด “คอนเสิร์ตครั้งแรก” ของเธอในวันนั้น ก็อาจไม่มีศิลปินสาวที่หลายๆ คนชมเป็นเสียงเดียวกันว่า มี performance ที่เยี่ยมยอดอย่างในวันนี้

เมื่อเท้าความถึงเรื่องนี้ ผู้บริหารสาววัย 63 ที่อยู่ตรงหน้า ก็น้อมรับด้วยท่าทีถ่อมตัว แล้วช่วยวิเคราะห์ถึงเรื่องการมองคนของเธอเอาไว้ว่า เป็นเพราะศิลปินเหล่านั้นมากกว่า ที่มีศักยภาพอยู่ในตัวเพียงพอให้มองเห็นอยู่แล้ว เพียงแต่เธอแค่ทำหน้าที่คอยสังเกตและหยิบยื่นโอกาสให้เท่านั้นเอง

“อย่างปาล์มมี่ จริงๆ มันไม่ใช่พี่หรอก แต่เขาเป็นคนที่เก่งมากๆ อยู่แล้วโดยตัวของเขาเอง เพียงแต่ว่าวันไหนเขาจะได้รับโอกาสเท่านั้นเอง และบังเอิญพี่มีจังหวะเวลาที่ได้เห็น และได้หยิบยื่นโอกาสให้กัน มันก็เลยมาพอดีกัน ซึ่งมันก็จะมีคนแบบนี้อยู่เต็มไปหมดเลยในวงการ


["ปาล์มมี่" อีกหนึ่งศิลปินที่มีคอนเสิรืตครั้งแรกในชีวิตได้ เพราะ "พี่ฉอด" มอบโอกาสให้]

พี่เคยทำคอนเสิร์ตของนักร้องมาตั้งเยอะ คนที่เขาไม่เคยมีคอนเสิร์ตมาก่อน และพี่เป็นคนหยิบเขามาทำเป็นคนแรก เช่น ครั้งแรกของ “เจนนิเฟอร์ คิ้ม” ซึ่งเขาเป็นนักร้องที่มีเพลงดังของตัวเองอยู่เพลงเดียว (ยิ้ม) ในตอนนั้นมันก็เป็นการทำลายล้างความเชื่อที่ว่า คนจะเป็นเจ้าของคอนเสิร์ตได้ ต้องมีเพลงของตัวเองเยอะ

พี่เคยทำแม้กระทั่งคอนเสิร์ตของ “โก๊ะตี๋ (เจริญพร อ่อนละม้าย)” ซึ่งดูแล้วไม่น่าจะเป็นคนที่มีคอนเสิร์ตได้ (ยิ้ม) แต่พอเราเป็นคนที่คิดอะไรไปเรื่อยๆ ในสิ่งที่เราคิด คนอาจจะมองว่ามันไม่ใช่หรอก มันเป็นไปไม่ได้หรอก แต่ในที่สุดแล้ว มันก็เป็นไปได้

อย่างก่อนหน้านั้น ถ้าพี่บอกว่าจะทำคอนเสิร์ตโก๊ะตี๋ ทุกคนอาจจะขำพี่ว่าทำได้ไง เป็นไปไม่ได้หรอก แต่ถ้าเราเอาแต่คิดแบบนั้น มันก็จะเป็นไปไม่ได้ ในขณะเดียวกัน ถ้าเราบอกว่ามันเป็นไปได้ดิ ลองดู เราก็จะลองทำดู ซึ่งโก๊ะตี๋เขาก็มีคอนเสิร์ตตั้งหลายครั้งนะคะ เพราะเขาประสบความสำเร็จในการที่มีคนมาดูเขา

แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่า สิ่งที่พี่คิดมันต้องประสบความสำเร็จแบบนี้ทุกครั้ง ถ้าพี่ทำโก๊ะตี๋แล้วเฟล ไม่มีคนมาดู มันก็จะเป็นอีกแบบนึงไง (ยิ้ม) มันก็จะมีทั้งได้และไม่ได้ แต่จากความเป็นคนที่ชอบคิด เราก็จะคิดไปเรื่อยๆ ว่า จะเอาเขามาทำอะไรได้บ้าง มันคือชีวิตประจำวันที่เราต้องมองแบบนี้อยู่แล้ว

ถามว่าเราจะวิเคราะห์ตรงนั้นมาจากไหน ก็ต้องมาจากการที่พี่ดู-พี่เห็น น้องๆ เหล่านี้ทำบางอย่างมา เราก็มานั่งคิดว่าในเมื่อเขาทำอันนั้นได้ เขาน่าจะทำอันนี้ได้ด้วยนะ ทั้งหมดมันคือความไม่หยุดนิ่ง แล้วก็คิดไปเรื่อยๆ ของเราเองค่ะ ซึ่งมันก็สนุกดีนะ



เจาะเบื้องหลัง “Club Friday” เกิดขึ้นได้เพราะ “อยากท้าทาย!!”

[“ปรึกษาปัญหารักหน้าไมค์” จุดเริ่มต้นมหากาพย์ความสำเร็จของ “Club Friday”]
อะไรทำให้ผู้หญิงคนนึง อยากลุกขึ้นมาบอกเล่าเรื่องราวจากชีวิตจริง สะท้อน “ปัญหารักหลากรูปแบบ” ให้สังคมได้รับรู้? คือข้อสงสัยที่ผู้สัมภาษณ์แบกไปด้วย ตั้งแต่ยังไม่เจอหน้าคนที่จะให้คำตอบได้ กระทั่งอาการคาใจทั้งหมดได้หายไป หลังได้รับรู้จุดเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อ 14 ปีที่แล้ว

“วันที่เราคิด Club Friday ขึ้นมา เราคิดแค่ว่าเราจะสวนกระแสในตอนนั้น (ยิ้ม) ด้วยความที่ยุคนั้นมันเป็นยุคที่ format รายการต่างประเทศเริ่มเข้ามา ซึ่งเขาจะไม่สนใจความเป็นดีเจ แต่จะเป็นเรื่องของ playlist เปิดเพลงยาวๆ ไปเลย เป็นยุคเริ่มแรกที่ “ให้ความสำคัญกับเพลง มากกว่าดีเจ

ส่วนพี่เกิดมาในยุคที่คนให้ความสำคัญกับดีเจ ดีเจยุคพี่ ต้องเป็นพี่ฉอด พี่นั่น-พี่นี่ คอยพูดคุยกับน้องๆ พอถึงวันที่มันเปลี่ยนยุค มาถึงยุคที่ทุกคนบอกว่าดีเจคงไปต่อไม่ได้แล้ว เพราะ format มันมาแบบนี้แล้ว

เราก็แค่รู้สึกว่า จริงเหรอที่บอกว่า “ดีเจไม่สำคัญ” จริงเหรอที่เขาบอกว่ารายการวิทยุคือเพลงเท่านั้น เราก็เลยทำรายการวิทยุตัวนี้ขึ้นมา ให้เป็นแบบนั่งพูดกันไปตลอด 2 ชั่วโมงแบบไม่เปิดเพลงเลย แล้วดูซิว่ามันจะสำเร็จไหม (ยิ้ม) มันเป็นเรื่องของการท้าทายค่ะ

แล้ววันนั้นก็มานั่งคิดกันว่า ถ้าจะนั่งคุยกัน 2 ชั่วโมง จะคุยเรื่องอะไร จนได้คำตอบว่าเรื่องความรัก-ความสัมพันธ์ มันเป็นเรื่องสำคัญของชีวิตคนเราเนอะ ก็เลยเกิด “พี่ฉอด-พี่อ้อย” ขึ้นมาตอนนั้นแหละค่ะ



จริงๆ แล้ว ตอนนั้นพี่เป็นผู้บริหารแล้ว และพี่อ้อยเป็นดีเจ แต่ทุกคนก็บอกว่าถ้าเป็นรายการประเภทนี้ พี่ต้องจัดเอง พี่ก็เลยโอเค ถ้าจัดแค่วันศุกร์ 2 ชั่วโมง ก็ยังพอเป็นไปได้อยู่ ก็เลยตัดสินใจกลับมาจัดคู่กับพี่อ้อย

พอตกลงว่าจะคุยกันเรื่องความรักความสัมพันธ์ ถามว่าจะไปคุยเรื่องของใครล่ะ เพราะพี่อ้อย-พี่ฉอดก็ไม่ได้มีเรื่องเยอะพอที่จะคุย โอเค..งั้นเราเปิดรับสายให้คนทางบ้านโทร.เข้ามาละกัน แล้วเราก็ตั้งประเด็นต่างๆ ขึ้นมา หลังจากนั้นก็มีคนโทร.เข้ามา ปรากฏรู้สึกตัวอีกที Club Friday ก็ทำมา 13-14 ปีแล้ว

จากวันแรกที่เคยกังวลว่า รายการศิราณีผ่านวิทยุที่ชื่อ “Club Friday” จะไปไม่รอด หรือไม่มีคนโทร.เข้ามาระบายความในใจ ก็กลับกลายเป็นปรากฏการณ์ความนิยมสุดสวนกระแส ส่งให้เรื่องราวดรามาจากชีวิตจริง กลายเป็น content ยอดฮิตสุดปัง จนถูกแปลงจากเรื่องเล่าหน้าไมค์ ไปเป็นเรื่องจริงผ่านปลายปากกา และผันมาเป็นการแสดงผ่านบทบาทสมมติในที่สุด

“พอวิทยุมันออกอากาศไป มันก็หมดไป ซึ่งมันทำให้เราเสียดาย เพราะเรื่องราวต่างๆ ที่เข้ามา มันน่าสนใจมากๆ เราก็เลยหยิบมาเขียนเป็นหนังสือ ออกมาได้ 10 กว่าเล่ม ก็ขายดีเป็น best seller

ตอนหลังมีแรงบันดาลใจในการทำเพลง ก็หยิบเรื่องราวต่างๆ มาเขียนเป็นเพลง ออกอัลบั้มก็ขายดิบขายดีอีก พอมาจัดคอนเสิร์ต บัตรก็ขายหมดภายในเวลาแป๊บเดียว เราก็รู้สึกสนุกดี

มานั่งคิดว่าจะทำอะไรต่อดี แล้วก็ทำเป็นซีรีส์ จนเกิดเป็น “Club Friday The Series” ขึ้นมา ตอนแรกๆ ก็ทำเป็นตอนเดียวจบ แล้วก็ขยายเป็นซีรีส์ยาว จนตอนนี้ซีซันที่ 11 แล้ว ความสำเร็จมันก็มาเรื่อยๆ จนได้รางวัล ได้อะไรเต็มไปหมด

นี่แหละค่ะที่บอกว่า มันมาโดยไม่ได้คิดล่วงหน้า ไม่ได้คาดว่ามันจะต้องสำเร็จไปถึงไหน แต่คือการทำแล้วก็คิดต่อยอดไปเรื่อยๆ



[หยิบเอาเรื่องราวจาก "ชีวิตจริง" มาให้มืออาชีพสวมบทบาท]
ลองให้วิเคราะห์จุดขาย ที่ทำให้ซีรีส์เซตนี้ฮอตฮิตติดลมบนดูว่า มีเหตุผลเบื้องหลังมาจากอะไร คำตอบสั้นๆ ง่ายๆ จากพี่ฉอดคือ “เพราะเรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย” จึงส่งให้เรื่องราว based on true story เหล่านี้ มีเสน่ห์ในตัวเอง และอยู่ได้อย่างแข็งแรงมาจนถึงทุกวันนี้

“เรื่องราวของความรัก-ความสัมพันธ์ มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับชีวิตของทุกคน และทุกคนต้องเคยมีสักครั้งนึงในชีวิต ที่เราไปแอบรักคนอื่น สักครั้งนึงที่ไปรักคนที่ไม่ควรรัก สักครั้งนึงที่เคยทำผิดเกี่ยวกับเรื่องความรัก ฯลฯ มันเป็นเรื่องจริง มันเป็นชีวิตจริงของคนเราค่ะ

แล้วยิ่งทุกวันนี้ รูปแบบความรัก-ความสัมพันธ์ของคนเรา มันซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ เวลาเรานำเอาเรื่องราวเหล่านี้มานำเสนอ แล้วมันมาจากชีวิตจริงนี่แหละค่ะ ที่ทำให้มันมีเสน่ห์ มันต่างจากหนัง, ละคร, นิยายทั่วๆ ไป ที่ดูแล้วก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องแต่ง

แต่พอดู Club Friday มันรู้สึกว่า เฮ้ย..นี่มันเรื่องจริงเหรอ มันชีวิตจริงเหรอ มีคนแบบนี้จริงๆ เหรอ ซึ่งทุกคนมีตัวตน มีที่มาที่ไป ทำให้เราได้เรียนรู้วิธีคิดจากชีวิตของคนอื่นกัน เราได้เรียนรู้จากความผิดพลาดของคนอื่น เราได้รู้ว่าถ้าเรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นกับเรา เราจะทำยังไง



บ่อยครั้งที่เรามองคนอื่น แล้วรู้สึกว่า โอ้ย..ทำไมโง่ ถ้าเป็นฉัน ฉันก็เลิกสิ เราพูดง่ายไงคะ ถ้าหากว่าเราไม่ได้รักคนคนนั้น เท่าที่เจ้าของเรื่องเขารัก อย่างที่บอกว่า “ปัญหาคนอื่นเราใช้หัว ปัญหาตัวเราใช้ใจ” เนอะ (ยิ้ม)

พอถึงเวลา เรื่องของตัวเองเราอาจจะแย่กว่านั้นก็ได้ เราอาจจะทำอะไรที่เลวร้ายกว่านั้นก็ได้ หรืออาจจะดิ้นรน เลิกไม่ได้ ยิ่งกว่านั้นก็ได้


การที่เราจะสร้างงานอะไรออกมาให้โดน มันต้องเรียกร้องความสนใจของคนได้ ให้คนมีความรู้สึกร่วมได้ คำว่า “มีความรู้สึกร่วม” อาจจะหมายถึงรู้สึกเอาใจช่วย มีความรู้สึกดีใจ-เสียใจไปกับตัวละครตัวนั้น ก็แค่ขอให้มีความรู้สึกร่วมเกิดขึ้นค่ะ เพราะถ้าทำงานออกไปแล้ว คนดูรู้สึกเฉยๆ ไม่รู้สึกอะไร มันก็คงไม่ประสบความสำเร็จ

และการจะสร้างให้เกิดความรู้สึกนั้น ถามว่าเราจะมันสร้างด้วยอะไรล่ะ? ก็จะมีวิธีต่างๆ ที่ใช้สร้าง บางทีก็สร้างด้วยความเข้มข้นของอารมณ์ บางโมเมนต์อาจจะสร้างด้วยความโรแมนติก บางอันอาจจะสร้างด้วยคำถาม ฯลฯ เพียงแต่เราก็หยิบเอาสิ่งเหล่านี้มาใช้ในภาวะเวลาที่รู้สึกว่ามันพอเหมาะพอดี
 



บริหารแบบ “ใช้ใจ” ไม่เคยยึดหลักสูตรตามตำรา

“Boss of The Year 2003” สาขาธุรกิจบันเทิง และ “นักธุรกิจสตรีแห่งปี ประเภทนักบริหาร สาขาสื่อสารมวลชน ประจำปี 2546” คือรางวัลที่ working woman คนนี้เคยได้รับผ่านตำแหน่งซีอีโอระดับสูงในเครือสื่อบันเทิงยักษ์ใหญ่ ทั้งที่ไม่เคยพึ่งพาตำราเรียนจากหลักสูตรบริหารมาก่อนแม้แต่บรรทัดเดียว

“สมัยที่พี่เป็นลูกน้อง พี่ก็จะรู้ว่าอะไรที่พี่อยากได้จากคนที่เป็นหัวหน้า พอวันนึงที่พี่เป็นหัวหน้า พี่ก็เรียนรู้จากสิ่งเหล่านั้นว่า สมัยฉันเป็นลูกน้องเขา สิ่งที่ฉันเกลียดจากหัวหน้าคือแบบนี้ๆ และสิ่งที่ฉันอยากได้จากหัวหน้าคือแบบนี้ๆ นะ เพราะฉะนั้น ฉันก็จะเป็นหัวหน้าแบบที่ฉันอยากได้

ถือว่าพี่ลองผิด-ลองถูกมาเรื่อยๆ แต่บังเอิญงานที่พี่ทำ สเกลของการที่พี่เป็นหัวหน้า มันมาจากเล็กๆ แล้วค่อยๆ โตขึ้นเรื่อยๆ ไงคะ พี่ไม่ได้ถูกจับโยนไปในงานสเกลใหญ่เลย เพราะฉะนั้น พี่อาจจะเป็นหัวหน้าที่มีลูกน้องแค่ไม่กี่คน แล้วค่อยๆ เติบโตมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเป็นหลักสิบ หลักร้อย เป็นมีลูกน้องหลายๆ ร้อย มันเลยทำให้เราค่อยๆ ได้เรียนรู้ ค่อยๆ สร้างสมประสบการณ์ชีวิตไป

แต่รางวัลก็เป็นเพียงส่วนนึงค่ะ เพราะวิธีทำงานของพี่อาจจะเป็นเรื่องที่ถูกที่สุด ในความคิดเห็นของบางคน แต่มันอาจจะไม่ใช่เลยสำหรับบางคนก็ได้ การให้รางวัลจากองค์กรใดองค์กรนึง แสดงว่าสถาบันนั้นเขามองเห็นคุณค่าในวิธีการทำงานแบบเรา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า วิธีการแบบนี้มันจะถูกที่สุด หรือว่าดีที่สุด เพราะถูกที่สุดหรือดีที่สุด มันไม่มีจริง

ไม่บอกก็พอจะเดาได้ว่า นักบริหารมือรางวัลรายนี้ ต้องเป็นเจ้านายที่ “ใจดีและใจเย็น” ไม่ว่าจะด้วยท่าทีการตอบคำถาม หรือแม้แต่เบื้องหลังความพยายามไต่เต้าจาก “จุดศูนย์” สู่ “จุดสูง” ด้วยความมุมานะของตัวเอง แม้จะมีปริญญาเพียงใบเดียวจากรั้วจามจุรีคอยค้ำชูก็ตาม



“ต้องบอกก่อนว่า พี่เป็นคนทำงานที่ไม่ได้เรียนเยอะ หลังจากเรียนจบนิเทศ จุฬาฯ แล้ว ก็ไม่ได้เรียนอะไรอีกเลย เพราะว่าไม่ได้ชอบเรียนเท่าไหร่ (ยิ้ม) แต่จะใช้วิธีเรียนจากชีวิตจริง พี่เลยไม่ได้มีทฤษฎีอะไรเป๊ะ แต่จะเป็นคนทำงานด้วยอารมณ์-ความรู้สึกเป็นหลัก เรื่องถูก-ผิดเลยจะไม่มีเลยค่ะ

ที่บ้านเราก็ไม่ได้มีพื้นฐานด้านการทำธุรกิจอะไรมาก่อน เพราะคุณพ่อทำงานบริษัท ส่วนคุณแม่เป็นแม่บ้าน ทำให้พี่ต้องเริ่มต้นจากการไม่มีอะไรเป็นพื้นฐาน และตอนที่เรียน พี่ก็ไม่ได้หวังว่าต้องจบออกไปเป็นอะไร

วันที่พี่เรียนจบ แล้วเดินเข้ามาในแวดวงตรงนี้ สมัยพี่เรียน วงการบันเทิงเป็นวงการปิดมาก มีแต่คนบอกว่าอย่าเรียนเลย เพราะเรียนไปก็ไม่ได้มีโอกาสได้ทำงานหรอก แต่พี่ก็ดื้อเรียน เพราะแค่รู้สึกว่าพี่อยากเรียนในสิ่งที่อยากเรียน

วันที่พี่ตัดสินใจเลือกเรียนนิเทศศาสตร์ มันไม่ได้เป็นอย่างทุกวันนี้นะคะ ในยุคสมัยพี่ นิเทศศาสตร์เป็นคณะที่ไม่มีใครรู้จัก ถ้าสมัยก่อนมหาวิทยาลัยเขาเลือก 6 อันดับ เรามักจะเลือกนิเทศในอันดับ 5 หรือ 6

ถามว่านิเทศศาสตร์เรียนอะไร ผู้หลักผู้ใหญ่สมัยนั้นยังไม่รู้จักเลยค่ะ เขาคิดว่า อ้าว..เป็นผู้หญิง ทำไมไปเรียนซ่อมวิทยุ-โทรทัศน์ล่ะ (ยิ้ม) ตอนนั้นที่พี่เรียน พี่ไม่ได้เลือกเพราะพี่อยากจะเป็นอะไร แต่พี่รู้สึกว่าพี่ก็แค่อยากมีความสุขในงานที่พี่อยากทำ

วันที่พี่เป็นดีเจ พี่ก็แค่รู้สึกว่าอยากเป็นดีเจให้มันดีที่สุด พี่ก็ไม่ได้คิดว่ามันมีตำแหน่งหัวหน้าดีเจ หรือผู้จัดการดีเจ (ยิ้ม) หรืออะไรที่ใหญ่ไปกว่าดีเจ พอทำดีเจประสบความสำเร็จปุ๊บ ชีวิตมันก็ผ่านมาเรื่อยๆ

ตอนนั้นพี่คิดแค่ว่าอยากทำในจุดที่เราเป็นให้ดีที่สุด แล้วสเต็ปต่อไปมันก็จะค่อยๆ เข้ามาเอง พี่ว่าชีวิตพี่น่าจะเป็นตัวอย่างได้ สำหรับ “คนที่ไม่ได้มีแต้มต่ออะไร” เพราะที่บ้านพี่ก็ไม่ได้ร่ำรวย หรือมี backup ดีๆ พี่ก็แค่เด็กคนนึงที่สอบเอนทรานซ์มา เรียนก็ไม่ได้เก่งกาจอะไร

แต่พี่ชอบเรียนไป ทำกิจกรรมไป หาอะไรทำไปเรื่อยเปื่อย แต่วันนึงเราก็เติบโตได้ โดยที่ไม่ได้คาดหวังด้วยซ้ำ แต่วิธีคิดแบบพี่ ในมุมนึงมันอาจจะไม่ถูกต้องสำหรับบางคนก็ได้ เพราะพี่ไม่ชอบมองไปข้างหน้าไกลๆ ไม่ชอบคาดหวังว่าจะต้องเป็นนั่นเป็นนี่ ซึ่งบางคนมองว่าแบบนี้ไม่มีวิสัยทัศน์ (หัวเราะเบาๆ) แต่พี่ก็สำเร็จมาด้วยวิธีของพี่



[ความสัมพันธ์แน่นแฟ้น บอสสาว-ลูกน้อง]
โดยสรุปก็คือ ไม่ต้องไปคิดว่าวิธีไหนดีที่สุด เราทุกคนสามารถประสบความสำเร็จในวิถีของตัวเองได้ แค่ขอให้มันเป็นตัวของเราก็แล้วกันค่ะ”

และหนึ่งในวิถีการบริหารของพี่ฉอดก็คือ “การลงรายละเอียด” หลายๆ อย่างด้วยตัวเอง ซึ่งค่อนข้างสวนกระแสกับหลักการที่ว่า “เป็นถึงผู้บริหารแล้ว ไม่จำเป็นต้องลงรายละเอียดด้วยตัวเอง” อย่างทุกวันนี้ที่เธอยังคงต้องพกบทละครปึ๊งหนาๆ ไปตามที่ต่างๆ เพื่ออ่านและตรวจทานมัน ผ่านสายตาของตัวเอง

พี่น่าจะเป็นผู้บริหารที่ลงรายละเอียดเยอะมากนะ (ยิ้ม) คือมันทำใจไม่ได้ที่จะคิดว่า ฉันเป็นผู้บริหารจ้า แล้วฉันนั่งอยู่เฉยๆ ปล่อยให้ทุกคนทำงาน เพราะพี่เองก็ยังรู้สึกสนุกกับการทำงานอยู่ด้วย

แต่อย่างที่บอกค่ะว่า ความสนุกในการทำงานของเรา จะต้องไม่ไปปิดกั้นเด็กๆ หรือคนรุ่นใหม่เขา แล้วก็อย่าไปคิดว่าเราเท่านั้นถึงจะถูกที่สุด ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นว่า อะไรๆ ก็จะต้องเป็นพี่

เราต้องเปิดโอกาสให้น้องๆ เขาได้โชว์ความสามารถ แสดงความคิดเห็นในสิ่งที่เขามีอยู่ในวันนี้ด้วย เพื่อสนับสนุนส่งเสริมให้เขาเติบโต พี่แค่คนเข้าไปช่วย กับในบางงานที่รู้สึกว่ามันยังจำเป็นต้องช่วยอยู่ค่ะ

เพราะงานของเรามันจะมีเวลาเป็นตัวกำหนดอยู่ พอบางทีส่งไปให้น้องทำแล้วมันช้า หรือเอามาแก้แล้วยากกว่า พี่ก็จะขึ้นรูปหรือทำเองไปก่อน หลังจากนั้นก็ให้น้องๆ เรียนรู้ แล้วทีหลังจะได้ช่วยกันได้ แต่อันไหนที่น้องๆ เขาทำเองได้ หรือเก่งกล้าสามารถแล้ว ก็ให้เขาลุยเลย เพราะพี่ก็ยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องทำ

แต่เรื่องของการสร้างทีมเป็นเรื่องสำคัญ เราก็ต้องเข้าใจด้วยว่า พี่คนเดียวทำงานไม่ได้หรอก เราจำเป็นต้องมีทีมที่แข็งแรง ซึ่งจะเป็นอย่างนั้นได้ เราก็ต้องเปิดโอกาสให้เขาได้ทำงานต่างๆ ด้วย โดยที่เราเป็นคนคอยช่วยดูแล ประคับประคองกันไป ในหลายๆ สิ่งที่พี่รู้สึกว่าจำเป็นต้องช่วย



บทเรียนถึงทุกคน “อย่าพูดในสิ่งที่ไม่รู้จริง”

“ยิ่งสูงยิ่งหนาว” คืออีกหนึ่งคำเปรียบเปรย ที่ใกล้เคียงชีวิตจริงของผู้บริหารสาวขาลุยรายนี้ที่สุด โดยเฉพาะข่าวลวงครั้งล่าสุดที่ลือกันหนาหูว่า เธอถูกปลดออกจากตำแหน่งผู้บริหารแกรมมี่ ทั้งที่ความจริงเป็นเพียงการขยับขยายมาตั้งบริษัทลูกอย่าง “CHANGE2561” เท่านั้นเอง

และอีกหลากหลายเรื่องราวหนักๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ที่ทำให้สาวแกร่งคนนี้ตระหนักถึงสัจธรรมของ “โลกแห่งข่าวลือ” ซึ่งดูเหมือนจะระบาดหนักขึ้นเรื่อยๆ เมื่อทุกคนมีสื่อที่เรียกว่า “smart phone” อยู่ในมือ

“ต้องยอมรับอันนึงว่า เวลาที่เราอยู่ในที่โล่ง ที่ที่มันมีทุกคนมองเห็น ทุกวันนี้มันก็จะมีคนที่พร้อมแสดงความคิดเห็นเรื่องต่างๆ ซึ่งพี่จะพูดเสมอว่า คนมักจะแสดง “ความคิด” นานา ทั้งที่ไม่ได้ “เห็น” หรือแสดง “ความรู้” ทั้งที่ “ไม่รู้จริง” ดังนั้น พอเราอยู่ตรงจุดจุดนึงแล้ว แน่นอนว่ามันก็ต้องมีการวิเคราะห์ วิจารณ์ วิจัยจากคนเยอะๆ

บางทีสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา มันอาจจะไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น หรือไม่ได้แย่ขนาดนั้น แต่ก็จะมีคนว่ากันไปต่างๆ นานา เพราะฉะนั้น ทุกครั้งที่มันมีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้น มีการพูดจาอะไรเข้ามาที่อาจจะกระทบกระเทือนจิตใจ หรือทำให้เราไม่สบายใจ สิ่งนึงที่พี่ต้องรีบทำเป็นสิ่งแรกคือ พี่จะสำรวจตัวเองก่อนว่า เราเป็นอย่างที่เขาว่าจริงหรือเปล่า

เราก็คนธรรมดาเนอะ เราก็มีทำอะไรผิดพลาดได้ เราก็เลยต้องดูตัวเองก่อน ก่อนที่จะไปว่าคนอื่นเขา ต้องกลับมาที่ตัวเองก่อนว่า สิ่งที่เขาพูดกันมันจริงหรือเปล่า เราทำแบบนั้นจริงไหม ถ้ามันผิด ถ้ามันไม่ดี เราก็ต้องแก้ที่ตัวเราก่อน เราแก้ที่คนอื่นไม่ได้ เราก็ต้องแก้ที่ตัวเองก่อน

ถัดจากตัวเราไปก็จะเป็นเรื่องของคนอื่นแล้ว ซึ่งบางทีก็แก้ไม่ได้ เราคงจะไปบอกให้ทุกคนเข้าใจถูกทั้งหมดไม่ได้ เราคงไม่สามารถจะไปบอกทุกอย่าง ที่เป็นความจริงทุกเรื่องกับทุกคนได้ เพราะฉะนั้น เราก็คงทำได้แค่เท่าที่ทำได้



แต่ถ้าสุดท้ายแล้ว สถานการณ์หลายๆ อย่างมันเกินการควบคุม เกินกว่าจะอธิบายให้ใครต่อใครได้เข้าใจ ผู้บริหารมากประสบการณ์รายนี้ก็จะเลือกใช้วิธีง่ายๆ คือปฏิบัติการ “ช่างมัน” และ “ปล่อยวาง” เพื่อรอให้เวลาทำหน้าที่พิสูจน์ด้วยตัวเอง อย่างที่เคยทำมาทั้งชีวิต

“ในที่สุดแล้ว เราก็พบว่าบางทีคนที่ไม่ชอบแบบเรา เขาก็คงไม่ชอบอยู่ดี ทำยังไงเขาก็คงไม่ชอบ ก็ต้องไม่เป็นไร หลักการของพี่ก็คือ อะไรแก้ได้-แก้ อะไรแก้ไม่ได้ ก็ต้องปล่อยวาง ต้องปล่อยไป ดังนั้น หลายสิ่งหลายอย่างที่มันเกิดขึ้น พี่ก็ใช้หลักสูตรนี้แหละ เริ่มจากแก้ที่ตัวเองก่อน ถ้าเราผิด ถ้ามันไม่ดี เราก็แก้ให้มันถูกต้องซะ แก้ที่คนอื่นไม่ได้ ไม่เป็นไร

เพราะฉะนั้น บางทีการที่เรารู้จักปล่อยวาง มันทำให้เราไม่ต้องเครียดกับทุกสิ่งทุกอย่าง ในทุกๆ สถานการณ์จนเกินไป บางครั้งถ้าไปยึดติดว่าไม่ได้สิ ฉันต้องถูกต้อง ฉันต้องแก้ไข ทุกคนต้องเข้าใจ พอมันไปยึดติดแบบนั้น ชีวิตมันจะยาก

แต่ชีวิตพี่จะง่ายมาก พอถึงวันนึงที่เจออะไรสุดๆ แล้ว จะบอกเลยว่า “ช่างมัน” คนที่พูดคำนี้ได้ จริงๆ แล้วเป็นโชคดีนะคะ และเวลาพี่ช่าง พี่ช่างจริงๆ เพราะรู้สึกว่าตรงนี้มันไม่มีผลอะไรกับชีวิตพี่แล้ว แล้วเดี๋ยวทุกอย่างทุกจะผ่านไป เวลาจะช่วยทำให้ทุกอย่างมันผ่านไปเอง ดังนั้น หลายสิ่งในชีวิตที่เกิดขึ้น มันก็มีหลักการที่จะแก้ง่ายๆ แค่นี้นี่เอง



เวลาที่คนอื่นเขาพูดถึงเรื่องคนอื่น พี่ไม่รู้ว่ามันจริงหรือไม่จริง แต่เวลาที่เขาพูดเรื่องเรา เรารู้ว่าเรื่องไหนจริง เรื่องไหนไม่จริง และเรารู้ว่าเรารู้สึกยังไง เวลาคนเขาพูดเรื่องไม่จริง

พี่เลยมักจะเตือนทุกคนเสมอว่า เวลาที่เราพูดอะไรออกไปก็ตาม เวลาเราจะพูดถึงคนอื่น เราต้องไม่ลืมว่าหัวใจคนก็เปราะบาง บางทีเราแค่เอาสนุก เราพูดเสร็จเราก็ลืม แต่เราไม่รู้หรอกว่าคำพูดของเรา มันไปทำลายใครไปบ้าง คนที่แข็งแรงแบบพี่ก็คงไม่เป็นอะไร แต่พี่ไม่ได้คิดว่าคนเราจะแข็งแรงได้ทุกคน

เพราะฉะนั้น มันไม่แน่หรอกค่ะว่า บางทีคำพูดที่เราพูดไป โดยที่เราไม่ได้รู้จริง มันอาจจะไปกระทบหัวใจใครบางคน แล้วทำให้เขาแย่ไปเลย ชีวิตเขาพังไปเลยก็ได้

เอาจริงๆ นะ ถ้าเรามองทุกอย่างในมุมสร้างสรรค์ พูดแต่สิ่งที่ดีๆ พูดแต่ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ พี่ว่าโลกนี้มันคงจะน่าอยู่ขึ้น แล้วก็ง่ายๆ นิดเดียว ไม่พูดในสิ่งที่ตัวเองไม่รู้จริง


ครั้งหนึ่งเคยเป็น “นักเขียนนิยายดาวรุ่ง”

ตอนเด็กๆ สิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่เคยทำคือ เคยหนีโรงเรียนไปหอสมุดแห่งชาติ (ยิ้ม) เพราะรู้สึกเบื่อครูที่สอน และรู้สึกว่าไปอ่านเองในหอสมุด น่าจะได้เรื่องมากกว่า ซึ่งสมัยก่อนต้องไปที่นั่นค่ะ ถ้าอยากอ่านอะไร เพราะยังไม่มีอะไรมาให้อ่านเยอะแยะอย่างทุกวันนี้

พี่ก็เขียนนิยายแนวรักนี่แหละค่ะ (ยิ้ม) ตั้งแต่สมัยยังอยู่มัธยมอยู่เลย เหมือนพอเราอ่านเยอะๆ เข้า เราก็อยากเขียนเอง รู้สึกว่า ว้า..เรื่องนี้จบไม่เห็นดีเลย ถ้าฉันเขียน ฉันจะจบดีกว่านี้แน่ ก็เลยลองเขียนเล่นๆ แล้วก็ส่งเรื่องทางไปรษณีย์ไปที่นั่นที่นี่ แล้วก็ได้ลงตีพิมพ์

ตอนแรกจะเป็นแนวเรื่องสั้น ที่ได้ลงนิตยสาร “สกุลไทย” “ขวัญเรือน” แล้วก็มาเขียนเรื่องยาวลงที่ “แพรว” อยู่ 2-3 เรื่อง แล้วเมื่อก่อนหนังสือทุกฉบับมันจะมีคอลัมน์ตอบจดหมาย ก็มีคนเขียนมาว่าชอบอ่านเรื่องของเรา พี่เคยไปยืนที่แผงหนังสือนะ แล้วก็คอยไปยืนดู และมันจะมีคนเปิดหนังสือขึ้นมา อ่านเรื่องของเราในหน้านั้น ก็รู้สึกกรี๊ดอยู่ในใจ (ยิ้ม)

สมัยก่อนมันไม่ได้มีโซเชียลฯ อย่างทุกวันนี้ไงคะ ไม่มีการวิเคราะห์วิจารณ์อย่างตอนนี้ เลยต้องไปคอยๆ ไล่เก็บ-ไล่ดู แอบยืนตามแผงหนังสือ
หลังจากนั้นก็มีพี่ๆ ที่ทำละครอย่าง พี่จิ๋ม-มยุรฉัตร (เหมือนประสิทธิเวช) เคยมาขอติดต่อซื้อเรื่อง และเราก็กล้าหาญมาก ขอเขาเขียนบทละครเอง (หัวเราะ) เขาก็ตกลงค่ะ เลยออกมาเป็นเรื่อง “สนิมน้ำค้าง” เป็นละครที่ คุณนก-จริยา (แอนโฟเน่) เล่นเป็นนางเอกเรื่องแรก

จังหวะนั้นเขียนเยอะค่ะ เขียนบททีนึง 2-3 เรื่อง เขียนจนเข้ามหาวิทยาลัย ก็ถือว่าหากินกับการเขียนหนังสือมาเยอะเหมือนกัน

มีอยู่เหตุการณ์นึงจำได้แม่นมาก ตอนนั้นขับรถอยู่คนเดียวแล้วโทรศัพท์ดัง พอรับสายกลายเป็น คุณทมยันตี โทร.มา (ยิ้มกว้าง) เหมือนแกได้อ่านเรื่องของเรา แล้วก็บอกว่าฉอดอย่าหยุดเขียนหนังสือนะ ถ้าคุณไม่หยุดเขียนหนังสือ คุณจะเป็นคนประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียงในเรื่องนี้

ตอนนั้นพี่ก็ตกใจ ช็อก ตายไปเลยตอนนั้น (หัวเราะ) พูดอะไรไม่ถูก นึกออกไหม เราอ่านงานเขียนของท่านที่เป็นสุดยอดนักเขียนมาตลอด แต่ก็ต้องขออภัยค่ะที่สุดท้ายก็ไม่ได้เขียนต่อ (หัวเราะเบาๆ)

งานเขียนเป็นงานที่ต้องใช้สติเยอะค่ะ พอลุกขึ้นมาทำงานแบบที่มันวุ่นๆ เราก็ทำไม่ได้แล้ว แต่ยังเป็นงานนึงที่ชอบนะคะ ก็ไม่แน่ว่าต่อไปข้างหน้า ในวันที่ไม่ได้ทำงานแบบนี้แล้ว เราก็อาจจะย้อนกลับไปเขียนหนังสือก็ได้ ถ้ามีโอกาสหรือว่ามีเวลาพอ



วิถีครีเอทีฟ “คนบ้าที่ทำงานได้”

การที่เราจะต้องหา “ช่องว่างทางการตลาด” อยู่ตลอดเวลา พี่มองว่ามันเป็นความสนุกนะ สำหรับคนทำงาน creative อย่างพวกพี่ มันต้องมีความสนุกในการที่จะคิดให้มันใหม่อยู่เรื่อยๆ

ต่อให้มีคนทำตาม หรือไม่ทำตาม เราก็ต้องหนีตัวเองอยู่แล้ว ต่อให้ไม่หนีใคร ก็ต้อง “หนีตัวเอง” เพราะเราคงไม่สามารถที่จะทำรูปแบบนี้ไปได้เรื่อยๆ เหมือนเราต้องทำงานด้วยความสนุกว่า ฉันมาท่านี้แล้ว ฉันจะไปทางไหนต่อได้อีก

สิ่งที่มันลำบากที่สุดในการทำงานของพี่ฉอดอันนึงก็คือ พี่เป็นคนทำงานแล้วพี่ “ซัดเต็ม” พี่เป็นคนกั๊กไม่เป็น ต่างจากบางคนที่พี่เคยเห็นเขาพูดว่า เวลาทำอันนี้อยู่ เดี๋ยวต้องเก็บกั๊กไว้ก่อน แล้วค่อยไปปล่อยกับอีกอันนึงบ้าง เผื่อไปอันนู้นบ้าง แต่พี่ทำแบบนั้นไม่เป็น (ยิ้ม)

ในทุกๆ งานที่พี่ทำทุกๆ ชิ้น พี่จะซัดเต็มไปก่อนเสมอ และไม่ได้คิดด้วยว่าข้างหน้าจะเป็นยังไง ใส่เต็ม-ใส่เกินไว้ก่อน แล้วข้างหน้าค่อยไปคิดเอาใหม่ เพราะฉะนั้น พี่ก็เลยจะต้องเป็นคนคิดใหม่ตลอดเวลา (ยิ้ม) แล้วก็จะต้องยากลำบากตลอดเวลา

ก็ต้องยอมรับค่ะว่าบางทีที่มันสำเร็จ สมมติเราทำโชว์ของใครสักคนนึง แล้วมันสำเร็จมากๆ feedback มันดีมาก พอถึงเวลาจะทำโชว์ของศิลปินคนเดิมอีกปีนึงถัดมา ก็ต้องมานั่งคิดว่า เฮ้ย..เราจะไปทางไหนกันดี

เป็นคนทำงาน creative ก็ต้องรู้จักคิดทิ้ง-คิดขว้างค่ะ คิดไปเรื่อยๆ เราเล็งผลเลิศชนิดที่ว่า อะไรก็ตามที่ฉันคิด มันจะต้องเจ๋งเสมอ แบบนี้จะเป็น creative ไม่ได้เลย ต้องลองคิด-ลองจับนั่นมาผสมนี่ แต่ส่วนใหญ่ก็ออกมาไม่ได้เรื่องหรอกนะ เละๆ เทะๆ (ยิ้ม)

เวลาที่ประชุม creative กัน พี่จะบอกให้ทุกคนพูด พูดบ้าพูดบออะไรก็ได้ พูดอะไรก็ได้ที่มันเป็นไปไม่ได้บนโลกใบนี้ คนมาฟังแล้วอาจจะคิดว่า บ้าสิ..มันเป็นไปไม่ได้หรอก พี่เลยเรียกตัวเองว่าเป็น “คนบ้าที่ทำงานได้” (ยิ้ม) แต่มันจำเป็นจริงๆ ค่ะ ที่คนทำงานสายนี้ต้องบ้าๆ บอๆ

เราต้องหัดคิดในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ก่อน แล้วเราค่อยๆ มาตัดกรอบเอา เพราะถ้าเราคิดอยู่ในกรอบของความเป็นไปได้ เธอจะต้องคิดเฉพาะสิ่งที่เป็นไปได้เท่านั้น มันก็จะทำให้เราตีกรอบตัวเอง และสุดท้ายก็จะไปไหนไม่รอด

ถามว่ายากไหม ก็ยาก แต่มันต้องสนุกในการคิดสิ่งยากๆ เพราะงานเรามันปนกันหมด ทั้งงาน creative งาน production และงาน marketing แปลว่าเวลาคิดทุกครั้ง เราต้องคิดทั้ง 3 อย่างผสมกันไป

มีอยู่ครั้งนึง พี่เคยรับน้องเข้ามาทำงาน เชื่อไหมว่าเขามาทำอยู่ประมาณ 2-3 วัน แล้วเขาก็หายไปเลย หลังจากนั้นก็มีคนไปตามถามน้องเขาว่าหายไปไหน เขาบอกว่าเขางง เขามานั่งอยู่ในห้องประชุมกับพวกเรา แล้วเขาจับไม่ได้ว่าอันไหนจริง-อันไหนไม่จริง (หัวเราะ) เหมือนน้องทนไม่ได้ แล้วน้องก็หนีกลับบ้านไปเลย

สรุปก็คือน้องเขาเป็นคนธรรมดา แต่พวกพี่เป็นคนบ้าๆ บอๆ เป็นคนประหลาด (ยิ้ม) แต่ว่างานของพวกเรามันต้องเป็นแบบนี้จริงๆ



รัก “แรงกดดัน” ชอบทำงานแบบ "Multitasking"

พี่ไม่ได้ถึงกับเป็นคนที่เบื่ออะไรง่ายๆ เพียงแต่พี่ชอบทำอะไรหลายๆ อย่างพร้อมๆ กันค่ะ เป็นคนที่มีธรรมชาติแบบนั้นตั้งแต่ไหนแต่ไรมา
อย่างตอนเรียนหนังสือ ถ้าเรียนอย่างเดียว คะแนนเราจะแย่มาก (ยิ้ม) แต่ถ้าเรียนหนังสือไปด้วย แล้วทำกิจกรรมอื่นๆ อีกเต็มไปหมด เราจะคะแนนดี เพราะจะรู้สึกตื่นเต้นตลอดเวลา ในการที่เราต้องดูหนังสือมากกว่าคนอื่น

พอตอนมาทำงานก็สังเกตตัวเองว่า ทำงานทีละอย่างไม่ได้ จะชอบทำหลายๆ อย่าง คือในขณะที่พี่ทำ showbiz อยู่ พี่ก็อาจจะทำละครไปด้วย หรือถ้าทำรายการทีวีอยู่ ก็จะมีรายการออนไลน์ไปพร้อมๆ กัน

เป็นคนชอบใช้ชีวิตอยู่ใน “ความกดดัน” ค่ะ (หัวเราะ) ในโมเมนต์ที่มีความกดดันเยอะๆ ทั้งเวลาที่บีบคั้น ต้องคิดให้มันออก มันจะกลายเป็นความตื่นเต้น ความสนุกในชีวิต และทำให้เรามีแรงขับเคลื่อนในการสร้างงานออกมา

แต่ก็มีบ่อยไปค่ะ ที่คิดงานไม่ออก แต่ก็ไม่เป็นไร ถ้าตอนนั้นตัน เดี๋ยวก็ข้ามไปทำอย่างอื่นก่อน อาการของพี่จะเหมือนตอนเด็กๆ ที่ทำข้อสอบค่ะ เหมือนคิดข้อนี้ไม่ออกก็ข้ามไปทำอย่างอื่นก่อน และพี่ก็จะบอกกับทีมแบบนี้เสมอ

ส่วนเรื่องตันจนถึงขั้นคิดจะพักยาว ยังไม่เคยคิดนะคะ แต่พอเราแก่ตัวลงมากๆ ก็จะมีคนถามเสมอว่า เมื่อไหร่จะเกษียณ เมื่อไหร่จะหยุด (ยิ้ม) แต่พี่แค่รู้สึกว่าถ้าตราบใดที่เราตื่นขึ้นมา แล้วยังอยากทำงานอยู่ พี่ว่าเรายังทำงานได้ พี่เลยไม่เคยกำหนดว่า อีกกี่ปีที่ฉันจะหยุด แต่พี่เป็นคนรู้จักตัวเองว่า ถ้าวันไหนตื่นขึ้นมาแล้ว ไม่อยากทำงานแล้ว พี่คงรู้และพี่คงเลิกไปเอง

ส่วนเรื่องพัก พี่มองว่าเราพักได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว เหนื่อยก็พัก เหนื่อยก็นอน แล้วก็ลุกขึ้นมาทำใหม่ แต่ไอ้ชนิดที่จะพักยาว หรือจะไม่ทำแล้ว พี่ว่าเดี๋ยวถึงเวลาก็คงรู้ตัวเอง แต่ถ้าเรายังทำงานได้อยู่ เรายังสนุกอยู่ และงานของเรายังเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นอยู่ เราจะไปคิดทำไมเรื่องการหยุด



ถ้ารักกันจริง ต้องไม่ทำร้ายกัน

การอยู่ในงาน Club Friday มา เจอเรื่องราวความรักมาเยอะ ทำให้พี่มองเห็นว่า “ความรัก” จริงๆ คือการไม่ทำร้ายกัน แค่นั้นแหละค่ะ เพราะเวลารักใคร เราก็ไม่อยากทำร้ายคนคนนั้น รักใครเราก็อยากเห็นคนคนนั้นมีความสุข รักใครเราก็ไม่นอกใจกัน เพราะการนอกใจเป็นการทำร้ายอีกฝ่ายนึง

เพราะฉะนั้น ถ้าความรักของทุกคน ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการไม่ทำร้ายกัน พี่จะเป็นคนซีเรียสมากเวลามีคนเล่าเรื่องการทำร้ายร่างกาย โดยที่ผู้หญิงเป็นฝ่ายถูกทำร้าย พี่รู้สึกว่ามันไม่ได้

ถ้าเราอยากมีความรักที่ดี คือต้องไม่ทำร้ายกัน แค่นั้นมันก็จบทุกสิ่งทุกอย่างได้แล้ว



“ทำให้คนอื่น” คือยันต์แห่งความสำเร็จ

ถ้าให้วิเคราะห์ดูแล้ว งานของพี่ที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ มันจะเริ่มต้นจากความตั้งใจในการจะ “ทำให้คนอื่น” ก่อน

คือปกติแล้วก็ไม่ได้เป็นคนดีอะไรมาก ถึงขั้นคิดว่าฉันต้องทำสิ่งดีๆ อย่าง Club Friday มันเป็นงานที่ตอนเริ่มต้น เราไม่ได้คิดอะไรเลยจริงๆ แต่พอทำไปได้สักพัก วันนึงเรากลับพบว่า มันเป็นงานที่เราได้ช่วยคนเยอะมาก

อย่างน้อยที่สุดในการรับฟังเรื่องราวของคนอื่น วันนี้ต้องยอมรับความจริงว่า เราฟังกันน้อยลงเนอะ (ยิ้มบางๆ) มันมีแต่คนอยากพูด มีแต่คนอยากแสดงความคิดเห็น มันทำให้เราขาดการรับฟัง

มีคนเยอะมากนะคะ ที่เขาต้องการแค่ใครสักคนพร้อมจะช่วยฟัง ทำให้ Club Friday ได้เข้าไปช่วยตรงนี้ เชื่อไหมว่าทุกวันนี้มีคนจำนวนเยอะมาก ที่อยากคุยกับ “พี่อ้อย-พี่ฉอด”

เราได้มีโอกาสทำรายการวิทยุ เพื่อคุยกันผ่านวิทยุแล้ว เรามีไลฟ์สดพี่อ้อย-พี่ฉอด เรามีเปิดเพจ “พี่อ้อยพี่ฉอด ตัวต่อตัว” ที่พี่ต้องเข้าไปนั่งตอบคำถามของทุกคน ที่เล่าเรื่องเข้ามาแต่ละเรื่องยาวมาก เพราะเขาอยากคุยกับเรา อยากเล่าให้เราฟัง อยากให้เราแสดงความคิดเห็น

และตอนนี้ก็มีโปรเจกต์ของการออนทัวร์ โดยที่พี่อ้อย-พี่ฉอดจะเดินทางไปตามโรงเรียน ตามสถาบันต่างๆ เพื่อเปิดโอกาสให้น้องๆ ในสถาบันได้คุยกับเรา และเราก็พบว่า ปัญหาของเด็กๆ ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ อย่างที่ทุกคนคิด มันสามารถเป็นปัญหาสังคมต่อไปในอนาคตได้

พอเรามีโอกาสเข้าไปทำตรงนี้ โดยที่ไม่ได้คิดว่าฉันจะต้องทำดี เป็นคนดี แต่ในที่สุดแล้ว พอกลับมาประเมินผลแล้ว เรารู้สึกว่าเพราะมันมี “ความตั้งใจดี” ในแต่ละงาน ในแต่ละส่วนที่เราทำ พี่เลยมองว่ามันอาจจะเป็นส่วนนึงก็ได้ ที่ทำให้งานมันก็สำเร็จมาเรื่อยๆ



[“The Real Nadech Concert” หนึ่งใน showbiz สุดยิ่งใหญ่ในนาม “CHANGE2561”]
หรืออย่างโชว์ของพี่ทุกๆ โชว์ที่ทำ ก็ยังคงมีการนำเงินรายได้ แบ่งไปทำการกุศลทุกๆ โชว์อยู่ตลอด อย่างเช่นเมื่อตอนต้นปี เราทำ “สี่แยกปากหวาน” เราก็มอบเงินให้กับวงดนตรีจากมูลนิธิคนตาบอด ซึ่งเขามีความตั้งใจ อยากจะได้เครื่องดนตรี อยากได้ห้องบันทึกเสียงเอาไว้ทำงาน

หรืออย่างล่าสุดทำ คอนเสิร์ตณเดชน์ (The Real Nadech Concert) เราก็จะมอบเงินส่วนนึงให้กับมูลนิธิเกี่ยวกับผู้หญิงค่ะ เพราะณเดชน์เขาเป็นพระเอก เขาต้องช่วยผู้หญิง (ยิ้ม)

เราก็จะมีวิธีคิดแบบนี้ตลอด ทั้งๆ ที่มันไม่ได้เป็นคอนเสิร์ตการกุศลนะคะ แต่เราแค่อยากมีเงินส่วนนึงเอาไปทำตรงนี้ เพราะรู้สึกว่าในขณะที่เราทำโชว์ มันมีคนได้มาดูและมีความสุข แต่ในขณะเดียวกัน ยังมีคนอีกตั้งเยอะที่ยังมีความทุกข์อยู่ เพราะฉะนั้น ถ้าเรามีโอกาสได้แบ่งปันกันบ้าง ก็น่าจะเป็นเรื่องดี



“ความสุขร่วมกัน” ส่วนผสมสำคัญทำให้ “ขายได้”

มันไม่ถึงขนาดว่าเป็นสูตรสำเร็จ 100 เปอร์เซ็นต์นะคะ ที่จะบอกได้ว่าต้องแบบนี้ๆ สิ ทำแล้วถึงจะออกมาโดน เพียงแต่ด้วยประสบการณ์ หรือด้วยระยะเวลาที่เราทำงานมานานขนาดนี้ มันก็พอจะรู้ว่าคนดูของเราเป็นใคร และพอจะรู้ว่าคนดูของเรา เขาชอบอะไร-ไม่ชอบอะไร เราพอจะประเมินได้

เพียงแต่ว่ามันไม่ถึงขนาดเป็นหลักสูตรเป๊ะๆ แต่เราพอจะรู้ว่าถ้าเติมอันนี้ลงไป มันมีความน่าจะเป็นของงานออกมาเป็นแบบนี้ๆ นะ ถามว่าเคยผิด-เคยพลาดไหม ก็มีบ่อยค่ะ บางทีอะไรที่ไม่ได้คาดไว้ แต่ feedback ดีมากเลยก็มี หรือบางทีอะไรที่คิดว่าโดนแน่ กลับไม่ค่อยเต็ม-ไม่ค่อยโดนเท่าไหร่ แต่สุดท้ายมันก็เป็นความสนุกในการทำงานค่ะ

อย่างที่บอกค่ะว่าความพอใจของคนเปลี่ยนไปไวมาก เราก็เลยต้องเปลี่ยนตามเขาให้ทัน เพราะการที่เขาเคยชอบแบบนี้ ก็ไม่ได้หมายความว่าพรุ่งนี้เขาจะชอบเหมือนเดิม เราก็เลยต้องเคลื่อนตัวตามคนดูของเราให้ทันด้วย



เวลาทำงานแต่ละอย่าง ความสำเร็จของงานแต่ละชิ้น มันต้องเกิดจากความสำเร็จของทุกๆ ส่วนที่ยอมรับร่วมกัน ไม่ใช่ว่าพี่ทำเสร็จแล้ว พี่บอกพี่ทำสำเร็จแล้ว มันไม่ได้ มันต้องมีความสำเร็จในมุมของคนดูด้วยว่า เขาดูแล้ว happy มีความสุขกับสิ่งที่เราได้ทำลงไปไหม, ศิลปิน-เจ้าของโชว์มีความสุขกับงานที่ออกมา

ลูกค้า-คนจ่ายสตางค์ต้องมีความสุขจากการจ่ายตังค์ แล้วได้อะไรกลับไป, พวกเราคนทำงานทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง ต้องมีความสุขกับงานที่มันออกมา มันต้องเป็น “ความสุขร่วมกัน” การทำงานบางอย่าง เราเลยยึดที่ “ความสุขฝ่ายเดียว” ไม่ได้

ยกตัวอย่าง ถ้านักร้องอยากจะร้องเพลงนี้ แต่คนดูอาจจะไม่ได้อยากดู หรือในที่สุดแล้ว ทีมงานบอกว่าทำโชว์ออกมาแล้ว มันไม่ดีเท่ากับอีกเพลงนึง เพราะฉะนั้น เวลาทำงานมันต้องเอาความสุขและความพอใจของทุกฝ่ายมาไว้รวมกัน

ตรงนี้เลยเป็นงานที่ยาก เพราะทุกครั้งที่ทำงานมันจะมีความคิดเห็นที่ไม่ตรงกันอยู่เสมอ และเราก็ต้องคุยกัน ต้องเถียงกัน บางทีต้องทะเลาะกัน เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ดีที่สุด

และความยากที่สุดก็คงอยู่ที่ว่า มันไม่มีถูก-ไม่มีผิด ไม่ใช่ว่า 1+1 เป็น 2 เพราะฉะนั้น จะไม่มีความคิดเห็นของใครเลยสักคน ที่เป็นสิ่งที่ถูกต้อง 100 เปอร์เซ็นต์ ทำอะไรลงไปอาจจะมีคนอีกส่วนนึงชอบ อีกส่วนนึงไม่ชอบ ทำอะไรลงไปอาจจะมีบางคนชื่นชม บางคนตำหนิ

แต่มันก็คืองานแบบพวกเรา มันเป็นงานที่ต้องใช้อะไรหลายๆ อย่าง เพราะตราบใดก็ตามที่มันไม่มีสูตรตายตัว 1+1 ไม่ได้เป็น 2 เราก็เลยจะต้องคิดกันเยอะมาก

ถามว่าคาดหวังไหมว่าทำงานแต่ละครั้งต้องประสบความสำเร็จ พี่ว่าคนเราคาดหวังด้วยกันทุกคน เราพูดไม่ได้หรอกว่าเราไม่คาดหวัง เพราะถ้าเราไม่คาดหวัง มันจะกลายเป็นว่าเราทำอะไรก็ได้ ทำยังไงก็ได้ และเราก็จะไม่มีความพยายาม เพราะฉะนั้น “ความคาดหวัง” ยังเป็นสิ่งที่จำเป็นค่ะ เพียงแต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของการตั้งใจทำให้สุด





สัมภาษณ์: ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง: อิสสริยา อาชวานันทกุล
ภาพ: วชิร สายจำปา
ขอบคุณภาพ: อินสตาแกรม @djpchod, แฟนเพจ "CHANGE2561"



 
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **



กำลังโหลดความคิดเห็น