“1,600 กม.” คือระยะทางที่ชายคนนี้ พิชิตเทือกเขาที่สูงที่สุดของโลก ด้วยการก้าวผ่านสองเท้าของเขาเอง บนความสูงเหนือระดับน้ำทะเลกว่า 5,000 ม. กินเวลานาน 48 วัน ต้องต่อสู้กับภาวะแพ้ความสูง นอนสลบไปหลายวัน ก่อนมุ่งหน้าสู่เส้นชัยบนเทือกเขาหิมาลัย หอบความฝันที่ถูกเติมเต็มกลับประเทศไทย ด้วยหัวใจที่เปลี่ยนไปตลอดกาล...
ตั้งเป้าระดับโลก ทำสิ่งที่คิดว่า “เป็นไปไม่ได้”
“ทุกครั้งเราจะตั้งเป้าหมาย ที่แม้แต่ตัวเราก็คิดว่าเราทำไม่ได้ และใช้เวลา 1 ปีเพื่อฝึกซ้อม ทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ให้เป็นไปได้ ผมพยายามทำแบบนี้ทุกปีๆ จนกระทั่งปีล่าสุด ก็ไปวิ่งที่หิมาลัยได้สำเร็จ”
จุ๋ง-ดร.ชุมพล ครุฑแก้ว นักวิจัยผู้มีหัวใจรักการวิ่ง ย้อนรอยบอกเล่าถึงความคิดเบื้องหลัง ที่ก่อให้เกิดหนังสือ "ผู้ซึ่งหิมาลัยไว้ชีวิต" ขึ้นมา โดยยืนยันผ่านประสบการณ์ตรงว่า เป็นรายการวิ่งที่โหดหินที่สุดแล้ว เท่าที่เคยพิชิตมาทั้งหมดตลอด 3-4 ปี
“เพราะลักษณะของรายการนี้ เป็นการวิ่งตามแนวภูเขาหิมาลัย ก็อย่างที่ทุกคนทราบว่า หิมาลัยเป็นเทือกเขาสูงที่สุดในโลก ทั้งประเทศเนปาลอยู่บนแนวเทือกเขานี้ และคนจัดรายการนี้ เขาก็เลือกจุดสตาร์ทตรงชายแดนฝั่งตะวันออกสุดของเนปาล และวิ่งขึ้นลงบนแนวเขาไปเรื่อยๆ จนถึงชายแดนฝั่งตะวันตกสุด
เพราะฉะนั้น คนจะสมัครวิ่งในรายการนี้ได้ ต้องปีนเขาเป็น, โรยตัวได้, มี first aid (เครื่องมือปฐมพยาบาลเบื้องต้น), ต้องเคยขึ้นที่สูง 5,000 ม.มาแล้ว ฯลฯ คือต้องดูแลตัวเองได้ทุกอย่าง และในเป้ที่เราแบกไปด้วย ก็จะมีสัมภาระ มีเต๊นท์ มีอาหาร บางช่วงที่ผ่านบ้านคน แหล่งท่องเที่ยว เราก็มีซื้อของได้ แต่ในหลายๆ ช่วงมันจะไม่ผ่านสถานที่ที่ผู้คนอาศัยอยู่ด้วย
[บนเทือกเขาหิมาลัย ที่ความสูง 5,700 ม. เหนือระดับน้ำทะเล]
จากปกติแล้ว แค่ไม่ต้องแบกของ บางคนขึ้นไปบนความสูงสัก 3,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล คนทั่วไปก็จะเริ่มมีอาการ “แพ้ความสูง” แล้ว เพราะอากาศบนที่สูงจะเบาบางลง เนื่องจากออกซิเจนมีน้อยลง ทำให้ร่างกายทำงานผิดปกติ จนอาจจะร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
ดังนั้น เราต้องมีสติและรู้ตัวอยู่ตลอด เพื่อให้สามารถประคองตัวเองให้อยู่รอดต่อไปได้ ซึ่งก่อนที่จะเดินทางถึงจุดสตาร์ท เขาให้ทุกคน tracking 5 วัน เพื่อให้ปรับความคุ้นชินก่อน แต่ถึงอย่างนั้น พอปีนขึ้นไปบนนั้น ผมก็ยังมีอาการอยู่ดี ต้องแข่งไปสัก 2 อาทิตย์ ร่างกายถึงจะเริ่มชินกับความสูงได้
ระหว่างเดินทางตลอด 48 วัน ผมก็มีทั้งความรู้สึกดี ความรู้สึกแย่ปะปนกันในแต่ละวัน บางครั้งถึงขั้นป่วยหนัก นอนสลบไปหลายวันก็มี มันมีอะไรหลายอย่างเกิดขึ้นเต็มไปหมด”
[ความทรงจำ ณ วันที่เกือบต้องถอนตัว (1,800 ม.เหนือระดับน้ำทะเล)]
แน่นอนว่ารายการสุดหฤโหดอย่าง “Great Himal Race 2017” ที่ ดร.จุ๋งพาตัวเองไปกระโจนใส่เส้นชัยมาได้สำเร็จ ไม่ใช่การแข่งวิ่งสุดท้าทายรายการแรก แต่เขาเคยตระเวนไปเก็บประสบการณ์ตามแนวเขายอดนิยมแห่งต่างๆ มาแล้วรอบโลก
ไม่ว่าจะเป็นการแข่งวิ่งรอบภูเขาไฟฟูจิ เป็นระยะทาง 170 กม.ที่เรียกว่า รายการ “Ultra-Trail Mountain Fuji (UTMF)”, รายการวิ่งที่ฮ่องกงยาว 300 กม. ซึ่งมัดรวมเอาการวิ่งแบบ Ultra-Trail ทั้ง 4 รายการมาไว้ที่เดียวอย่าง “Hong Kong Four Trails” หรือแม้แต่การแข่งวิ่งรอบเทือกเขาแอลป์ในอิตาลี "Alpine Endurance Trail Race" รวมระยะทาง 350 กม. ก่อนจะมาคว้าเส้นชัยครั้งใหญ่สุดอย่างเทือกเขาหิมาลัย
[วิ่งรอบ "เทือกเขาแอลป์" 350 กม.]
[พิชิต 300 กม. “Hong Kong Four Trails”]
ถามว่าพาตัวเองไปฝ่าความลำบาก แถมยังต้องเสี่ยงตายขนาดนั้นไปเพื่ออะไร ดร.จุ๋งได้แต่ส่งยิ้มเย็นๆ กลับมาให้ ก่อนบอกเล่าช่วงเวลาแห่งความทรงจำ ที่เปลี่ยนความคิดและชีวิตไปตลอดกาล
“ตอนอยู่บนนั้น ทุกวันผมไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ แต่เราจะมีอุปกรณ์ส่งข้อมูลไปดาวเทียม เพื่อจะบอกว่าเราอยู่ตรงไหน ซึ่งมันส่งข้อความได้ และผมก็ส่ง message กลับเมืองไทย ไปเข้าเซิร์ฟเวอร์ของแฟนผม เพื่อให้เขาอัพเดตแฟนเพจให้ แฟนๆ ที่เขาติดตามข่าวเราอยู่ จะได้รู้ว่าเราถึงไหน สภาพเป็นยังไงบ้างแล้ว
จนวันสุดท้ายที่จบ ผมก็ทิ้งข้อความ ถือธงชาติไทยวิ่งเข้าตะเข็บชายแดน ผมส่งข้อความไปว่า เวลา 48 วัน จากชายแดนตะวันออก ไปชายแดนตะวันตก ระยะทาง 1,600 กม. ข้ามภูเขามาทั้งหมด ผมไม่ได้พิชิตอะไรเลย นอกจากตัวเอง
อันนั้นคือความรู้สึกที่อยากบอก ที่เราทำจบได้ ผมดีใจมากเลย แต่ก็ไม่ได้อยากกลับมาโม้นั่นโม้นี่ เหมือนครั้งอื่นๆ ที่เคย เพราะเรารู้สึกว่าที่เราจบกลับมาได้ เพราะธรรมชาติปรานีเราต่างหาก ถ้าธรรมชาติไม่ปรานี เราคงไม่สามารถจะกลับมาได้ด้วยซ้ำ
เหมือนกลับมาครั้งนี้แล้ว ความคิดเราก็เปลี่ยนไปเลย และมันก็เปลี่ยนชีวิตเรามากนะครับ ทั้งการมองเรื่องสภาพแวดล้อม เรื่องผู้คนรอบข้าง และสำคัญที่สุดคือเรื่องราวภายในจิตใจของผมเอง”
“นักวิ่งเท้าเปล่า” การค้นพบจากความเจ็บปวด
[สมัยยังตระเวนวิ่งมาราธอนตามงานต่างๆ]
ถ้าจะบอกว่า ดร.จุ๋ง มีวันนี้ได้เพราะความผิดพลาด ก็คงไม่เกินจริงเกินไปนัก หลักฐานมีให้เห็นเด่นชัดตั้งแต่เมื่อ 10 กว่าปีก่อน ในวันที่เขายังคงเป็น “นักวิ่งล่าเหรียญ” ตามรายการแข่งขันวิ่งมาราธอน และยังคงให้ค่ากับ “ความเร็วของการวิ่ง” เป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่ต้องพิชิตให้ได้ จนกลายเป็นการทำร้ายตัวเองโดยไม่รู้ตัว
“ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมพยายามหาอุปกรณ์หลายๆ อย่างมาช่วยให้ตัวเองวิ่งได้เร็วขึ้น เพื่อให้เวลาวิ่งแข่ง เราจะได้เปรียบกว่าคนอื่น ทั้งที่จริงๆ แล้ว มันไม่ใช่ปรัชญาที่แท้จริงของการวิ่งด้วยซ้ำ แต่ก็ต้องยอมรับครับว่า ตอนนั้นสิ่งที่ผมคิดหลักๆ คือเรื่องผลการวิ่งแข่งจริงๆ
เรื่องรองเท้าก็เป็นอีกอย่างนึง ที่ผมตั้งใจเลือกเพื่อให้วิ่งได้เร็วขึ้น ก็เลยพยายามเลือกที่เล็ก กระชับ บางเบา แต่สุดท้ายมันมีข้อเสีย ทำให้ปมประสาทที่เท้าของผมมีปัญหา
จากปกติระหว่างนิ้วกลางกับนิ้วนาง จะมีเส้นประสาทแยกเป็น 2 เส้น และจุดที่แยกตรงนั้นจะเรียก "ปมประสาท" ซึ่งปมประสาทที่เท้าของผมถูกบีบมากเกินไป เพราะรองเท้ามันเล็กมาก ยิ่งเราไปวิ่ง ยิ่งทำให้ปมประสาทตรงนั้นถูกอัด พอโดนบีบบ่อยๆ เข้าก็เกิดการ
พอไปหาคุณหมอ คุณหมอก็บอกว่าต้องตัดปมประสาทออก แต่ผมก็ไม่ได้ทำตามนั้น แล้วตัดสินใจกลับมารักษาด้วยตัวเอง ทำหลายวิธีเลย ทั้งหาเจลมาคั่นเพื่อให้นิ้วมันห่าง จากที่เคยใส่รองเท้าเล็ก ก็ใส่ใหญ่กว่านั้น 3 เบอร์เลย แต่พอวิ่งแล้ว เจลที่คั่นไว้มันก็หลุดออกอยู่ดี
[ช่วงรักษาปมประสาทเท้า จึงหันมาฝึก "วิ่งเท้าเปล่า" เมื่อทำสำเร็จก็ถ่ายทอดแก่คนอื่นๆ]
สุดท้าย ผมเลยตัดสินใจรักษาตัวเอง ทั้งหันมาปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ แข่งไตรกีฬา แล้วก็หันมาฝึกวิ่งเท้าเปล่า ให้ได้ความเร็วเท่ากับตอนใส่รองเท้า ซึ่งต้องฝึกอยู่ถึง 2-3 ปี กว่าจะกลับมาวิ่งได้เร็วเท่าเดิม คือวิ่ง 10 กม.ได้ภายใน 40 นาที หรืออาจจะเร็วกว่าเดิมด้วยซ้ำไป”
ขอยืนยันผลการทดลองผ่านร่างกายของตัวเอง แล้วบอกอย่างเต็มปากเต็มคำเลยว่า เบื้องหลังความสำเร็จบนเส้นทางสองเท้าทุกวันนี้ที่ได้มา เหตุผลหลักๆ มาจากการฝึก “วิ่งเท้าเปล่า” จนชำนาญ จึงเสริมให้ร่างกายได้รู้จักศักยภาพที่แท้จริงของตัวเอง
[นักวิ่งเท้าเปล่า ผู้เดินตามรอย ดร.จุ๋ง]
“เราต้องจินตนาการเวลาใส่รองเท้า มันก็เหมือนเฝือกที่เป็นแท่นรอง ซึ่งจะทำให้เราไม่สามารถใช้กล้ามเนื้อทั้งหมดที่มีอยู่ในเท้าได้ รวมถึงส่วนข้อต่อด้วย ทั้งที่ปกติข้อต่อส่วนต่างๆ ของร่างกายเรา จะช่วยให้แข็งแรงได้
แต่ถ้าเราใส่รองเท้า มันก็เหมือนเราใส่เฝือกเอาไว้ มันทำให้เราไม่ได้ใช้ศักยภาพของกล้ามเนื้อข้อต่อที่มีอยู่เป็นร้อยๆ มัด ซึ่งจะช่วยให้เราวิ่งดีขึ้น รวมไปถึงเส้นประสาทด้วย
เพราะฉะนั้น ที่ผมวิ่งได้ถึง 1,000 กม.อย่างทุกวันนี้ ส่วนนึงก็มาจากการที่เราฝึกวิ่งเท้าเปล่ามาก่อน จนทำให้เท้าเรา สอนท่าวิ่งที่ถูกต้องให้กับร่างกายของเราได้เอง
และถ้าไม่มีจุดเปลี่ยนในวันนั้น วันที่ได้รับบาดเจ็บจากการวิ่ง ผมก็คงไม่ได้กลับมาสู่การวิ่งเพื่อเป้าหมายจริงๆ คงไม่ได้ฝึกถอดรองเท้าวิ่ง จนทำให้เราสามารถวิ่งได้นุ่มนวลมากขึ้น วิ่งได้ไกลขึ้น และไม่บาดเจ็บเหมือนเดิมอีกต่อไป”
เห็นได้ชัดว่าผู้ชายคนนี้ คือคนที่พยายามก้ามข้ามผ่าน “ขีดจำกัด” ในชีวิตของตัวเองมาโดยตลอด ทั้งขีดจำกัดทางด้านร่างกาย ในการต่อสู้กับ “อาการเจ็บปวด” ของกล้ามเนื้อ จนดีขึ้นได้ด้วยการรักษาสูตรวิ่งเท้าเปล่า หรือแม้แต่ขีดจำกัดทางด้านจิตใจ ในการต่อสู้กับความฝันที่คิดว่า “เป็นไปไม่ได้” แล้วทำให้มันเกิดขึ้นจริง
“แน่นอนว่าร่างกายของคนเรามีขีดจำกัด และผมก็พยายามจะก้าวข้ามขีดจำกัดนั้นมาทุกปีๆ ขณะเดียวกัน ในใจเราก็ยังได้เรียนรู้อะไรอีกหลายๆ อย่าง จากรายการวิ่งทั้งหมดที่เคยไปมา โดยเฉพาะที่หิมาลัย
สำหรับผม ความพยายามและการฝึกฝนเป็นเรื่องสำคัญมาก อย่างที่เขาบอกกันว่า ถ้าเอา “พรสวรรค์” คูณกับ “ความเพียร” แล้วเราจะได้ “ทักษะ” ขึ้นมา แล้วถ้าเอา “ทักษะ” มาคูณกับ “ความเพียร” เราก็จะได้ “ความสำเร็จ”
เพราะฉะนั้น ผมก็คิดว่าถ้าเราทุกคน รู้จักใส่ความเพียร ใส่ความพยายามเข้าไปในทุกส่วนของชีวิต สุดท้าย เราก็จะได้ความสำเร็จในเรื่องที่เราใฝ่ฝัน กลับคืนมาเป็นรางวัลให้แก่ตัวเองได้ในที่สุด”
กูรูคอนเฟิร์ม “เรื่องวิ่งเรื่องกล้วย” ผมเป็นคนชอบคิดวางแผน จะทำอะไรก็ชอบหาข้อมูลล่วงหน้าในการวิ่งแต่ละครั้ง พอหาข้อมูลได้มากๆ เข้า เราก็อยากแบ่งปัน ก็เลยรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ ตั้งแฟนเพจบนเฟซบุ๊ก "เรื่องวิ่งเรื่องกล้วย" ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ให้ข้อมูลเรื่องนี้เป็นกลุ่มแรกๆ เลย แนวความคิดมันเกิดมาจากการคุยกัน แล้วมองตรงกันว่า มีคนหันมาวิ่งกันเยอะขึ้นเรื่อยๆ แต่มีไม่กี่คนที่จะวิ่งต่อเนื่องได้ยาวๆ เหมือนวิ่งแป๊บๆ ก็เลิกไป ส่วนเหตุผลก็มีทั้งเหนื่อยบ้าง เจ็บบ้าง โดยเฉพาะเหตุผลสำคัญคือ นักวิ่งขาดความรู้ อาจจะมีประเด็นว่าวิ่งแล้วเหนื่อย ซึ่งวิธีแก้ก็คือให้คิดว่ามันก็เป็นเรื่องปกติ และถ้าเราวิ่งต่อไปสักระยะ ความเหนื่อยก็อาจจะลดลงก็ได้ หรือถ้ารู้สึกว่าเหนื่อยปุ๊บ ก็ให้จำความรู้สึกนั้นไว้ แล้ววิเคราะห์ดูว่าเราอาจจะวิ่งมากเกินไปหรือเปล่า ดังนั้น เราก็ต้องมีการพักด้วย เพื่อให้ร่างกายได้ซ่อมแซม และทำให้เราแข็งแรงกว่าเดิม เช่น พอเว้นการวิ่งไปสักวัน 2 วัน กลับมาวิ่งอีกที เราจะวิ่งได้มากกว่าเดิม และจะเหนื่อยช้าลงไปเอง แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าเราไปทำอะไรเกินลิมิตที่ร่างกายจะปรับได้ เราก็จะได้รับบาดเจ็บ สำคัญที่สุดคือ เราต้องรู้จักฟังร่างกายของตัวเอง เพื่อให้รู้ว่าความรู้สึกไหนคือเหนื่อย ความรู้สึกไหนคือเมื่อย ความรู้สึกไหนคือเจ็บ ความรู้สึกปวดเมื่อยแค่ไหน ที่ยังอยู่ในลิมิตของการพัฒนาการ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้แหละครับที่ผมและเพื่อนๆ พยายามรวบรวม และบอกเล่าให้คนอื่นๆ มาโดยตลอด |
“หิมาลัย” ครั้งหนึ่งในชีวิตที่ “คุ้มที่สุด” ตอนไปวิ่งที่หิมาลัย ผมตัดสินใจลาออกเลย เพราะเราใช้เวลารวมทั้งหมดนานถึง 2 เดือน มันเลยเป็นเหตุผลที่ทำให้คิดว่า จะต้องไปแล้วให้คุ้มที่สุด ก็เลยเอาทั้งกล้องโกโปร กล้องวิดีโอ โดรนก็เอาไป มีทุกอย่าง เพื่อจะเก็บข้อมูลให้คุ้มค่าที่สุด ทำให้ของหนักมาก และเป็นที่มาที่ว่า ทุกวันผมจะอัดเสียง-อัดคลิปของตัวเองเก็บไว้ตลอด ช่วงแรกๆ จะใช้วิธีอัดเสียงผ่านมือถือ หลังๆ จะใช้กล้องโกโปรที่คาดหัวเอาไว้ตลอด 24 ชั่วโมง กดอัดทุกครั้งที่ผมนึกอะไรได้ สุดท้าย ภายในเวลา 48 วันที่อยู่บนนั้น ผมอัดคลิปไปเกิน 1,000 คลิป (ยิ้ม) จนกลายเป็นที่มาของการกลับมาแปลงข้อมูลทั้งหมดเป็นหนังสือ พอกลับถึงไทยปุ๊บ ผมก็เอาคลิปทั้งหมดส่งเป็นฮาร์ดดิสก์ ไปให้ คุณเกริกศิษฏ์ พละมาตร์ นักเขียนกวีซีไรท์ปี 2549 เลย ให้เขาช่วยเรียบเรียง จนออกมาเป็นหนังสือ เขียนเอาไว้แบบละเอียดเลยว่า ผมไปที่ไหนมาบ้าง ความสูงเท่าไหร่ เผื่อใครอยากไปจัดทริป แกะรอยการเดินทาง จะได้ทำได้ ส่วนคลิปอีก 1,000 คลิปอันนั้น ผมก็จัดการเอาไปตัดต่อ จนออกมาเป็นสารคดีที่ยาวประมาณ 50 นาที เผยแพร่อยู่บนแฟนเพจ "บันทึกสองเท้า" ให้ทุกคนเข้าไปดูกันแบบฟรีๆ ได้เลยครับ |
[คนรู้ใจ ที่เป็นขาลุยแนวเดียวกัน]
สัมภาษณ์: รายการ "พระอาทิตย์ Live"
เรียบเรียง: ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง: อิสสริยา อาชวานันทกุล
ขอบคุณภาพ: แฟนเพจ "บันทึกสองเท้า", เฟซบุ๊ก "Jung Chumphol Krootkaew"
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **