xs
xsm
sm
md
lg

สะเทือนขวัญ “เกาะสีชัง” สื่อนอกรัวข่าว ไทยซ้ำรอยฆ่าข่มขืนต่างชาติ!

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


กระทบทั้งเกาะ! ผู้ค้า - ผู้ประกอบการเช่ารถครวญ คดีฆ่าข่มขืนแหม่มเยอรมันทำพิษ ทำนักท่องเที่ยวพากันกลับขึ้นฝั่ง ซ้ำชาวบ้านต้องอยู่กันอย่างหวาดผวา ขณะที่สื่อทั่วโลกกระพือข่าว นักท่องเที่ยวต่างชาติเอาชีวิตมาทิ้งที่ไทยอื้อ ด้านกูรูการท่องเที่ยวชี้ “ชุมชน - รัฐ” ต้องหันมาใส่ใจความปลอดภัยนักท่องเที่ยวมากกว่าเดิม ก่อนที่เมืองไทยจะเหลือแต่ “ชื่อเสีย” ให้โลกจดจำ!!! 

ฆ่าข่มขืนสาวเยอรมันบน “เกาะสีชัง” ดังทั่วโลก!!

แม้จะจับตัวฆาตกรโฉดมาได้แล้ว แต่เหตุการณ์ความเศร้าสะเทือนใจยังไม่จางหายไป สำหรับกรณีของ “กร - รณกร ร่มรื่น” ลูกจ้างเรือเก็บขยะเทศบาลตำบลเกาะสีชัง อายุ 24 ปี ที่ก่อเหตุข่มขืนและฆ่า Miss Beelte Miriam นักท่องเที่ยวสาวสัญชาติเยอรมัน อายุ 27 ปี ก่อนจะนำศพไปซ่อนที่บริเวณโขดหินทางขึ้นยอดเสาธง พระจุลจอมเกล้า อ.เกาะสีชัง จ.ชลบุรี จนกลายเป็นประเด็นร้อนให้พูดถึง และพาให้นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์สะเทือนใจในลักษณะเดียวกัน ดุจดั่งภาพยนตร์ที่ฉายวนซ้ำฉากเดิม ที่ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นบนสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของไทย!

สำหรับเหตุการณ์นี้ เกิดขึ้นเมื่อช่วงค่ำของวันที่ 7 เม.ย.62 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เกาะสีชัง ได้รับแจ้งว่า พบศพถูกฆาตกรรมอำพราง ถูกใบไม้แห้งและก้อนหินทับถมอยู่ ใบหน้าและศีรษะของเธอถูกทุบด้วยของแข็งจนมีบาดแผลฉกรรจ์ ส่วนบริเวณขาหนีบมีเลือดไหลออกมาจำนวนมาก อยู่บริเวณทางขึ้นยอดเสาธง พระจุลจอมเกล้า



เจ้าหน้าที่จึงกระจายกำลังค้นหาผู้ต้องสงสัย และเจอเข้ากับ กร - รณกร ซึ่งเป็นชาวบ้านในพื้นที่ พร้อมของกลางคือก้อนหินและเสื้อผ้าเปื้อนเลือด ต่อมาเขาให้การรับสารภาพว่า ก่อนก่อเหตุตนเองได้เสพยาไอซ์เข้าไปและเกิดอารมณ์ทางเพศ เมื่อเห็นนักท่องเที่ยวสาวรายนี้ผ่านมา จึงเข้าไปตีสนิทและขอมีเพศสัมพันธ์ แต่เหยื่อไม่ยินยอม จึงใช้กำลังข่มขืนจนสำเร็จความใคร่ แต่กลัวว่าผู้เสียหายจะไปแจ้งตำรวจ จึงใช้ก้อนหินทุบศีรษะเหยื่อจนเสียชีวิตและทำการอำพรางศพ ด้านผู้ก่อเหตุถูกแจ้งข้อหา ข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่น ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ปิดบังซ่อนเร้นอำพรางศพ และเสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 โดยผิดกฎหมาย

ทันทีที่เหตุการณ์นี้ถูกเผยแพร่ออกไปผ่านสื่อ ก็กลายเป็นข่าวดังทั่วทั้งในประเทศและทั่วโลก เนื่องจากเป็นคดีร้ายแรงที่มีผู้เสียชีวิตเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ อีกทั้งสถานที่เกิดเหตุอย่าง “เกาะสีชัง” ก็ยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังอันดับต้นๆ ของ จ.ชลบุรี และของประเทศไทยอีกด้วย



แน่นอนว่าเหตุอื้อฉาวที่เกิดขึ้น ย่อมทำให้สื่อต่างประเทศชื่อดังหลายสำนัก ต่างพากันเล่นประเด็นนี้ โดย "The Mirror" ระบุว่า จำนวนนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษและยุโรป ที่เดินทางแบกเป้ไปแบ็กแพกในไทย ถูกทำร้ายและถูกฆาตกรรมมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างมีนัยสำคัญ

เช่นเดียวกับกรณีที่เกิดขึ้นกับ ฮันนาห์ วิทเธอริดจ์ นักท่องเที่ยววัย 23 และ เดวิด มิลเลอร์ วัย 24 ที่ถูกฟาดด้วยจอบ จนเป็นเหตุให้ชีวิตที่เกาะเต่า ทางตอนใต้ของประเทศไทย เมื่อปี 57 ส่งผลให้ทางการของหลายประเทศ ต้องออกประกาศเตือนประชาชนของตัวเอง ที่เดินทางมายังประเทศไทยว่า ให้ระวังตกเป็นเหยื่อของการถูกทำร้ายและถูกข่มขืน

"โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเทศกาลฟูลมูนปาร์ตี้ หรือเทศกาลอื่นๆ ซึ่งจัดขึ้นในช่วงกลางวัน หรือใกล้แหล่งจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ว่าจะเป็นนักท่องเที่ยวเพศหญิงหรือชายก็ตาม ให้ระมัดระวังการรับเครื่องดื่มจากคนแปลกหน้า หรือไม่วางเครื่องดื่มของตัวเองทิ้งไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเกาะเต่า, เกาะสมุย, พัทยา และตามงานเทศกาลฟูลมูนปาร์ตี้บนเกาะพงัน”



ส่วน"The Sun" ก็กล่าวถึงเหตุการณ์นี้ว่า อาชญากรรมที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่เกิดขึ้นในไทย และมีความคล้ายคลึงกัน โดยเฉพาะคดีที่เกิดขึ้นบนเกาะเต่า ไม่มีคำอธิบายว่าเหตุใดแบ็กแพกเกอร์จำนวนมากมาย จึงต้องจบชีวิตที่นี่ จนถูกเรียกว่าเป็น "เกาะแห่งความตาย" เช่นเดียวกับในช่วงฤดูร้อนปีที่แล้ว กรณีที่เกิดขึ้นกับนักท่องเที่ยวสาวชาวอังกฤษ ที่อ้างว่าถูกข่มขืนบนหาดทรายรี และเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ใช้เวลานานถึง 2 เดือน จึงยอมรับแจ้งเหตุและดำเนินการตามกฎหมาย

ทั้งนี้ เมื่อประมาณต้นปีที่แล้ว มีกระแสข่าวเกี่ยวกับการเตรียมยกให้ “เกาะสีชัง” ให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมภาคตะวันออกในอนาคต เนื่องจากมีสถานที่ท่องเที่ยว ,ประเพณีไทยและวัฒนธรรม และที่สำคัญ มีวังในสมัยรัชกาลที่ ๕ ที่สมบูรณ์แบบ โดยหวังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญและแตกต่างจากที่อื่น และจะมีการพัฒนาในส่วนอื่นๆ อีกหลายด้าน

แต่เมื่อมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับนักท่องเที่ยว เห็นทีว่าเกาะแห่งนี้ ควรยกระดับ “ความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว“ ขึ้นมาพิจารณาก่อนเป็นอันดับต้นๆ

ท่องเที่ยวกระทบ ซบเซาทั้งเกาะ!!

“การท่องเที่ยวที่เกาะสีชัง สาธารณูปโภค โครงสร้างพื้นฐาน สิ่งอำนวยความสะดวกของนักท่องเที่ยวเกี่ยวกับความปลอดภัย ตอนนี้ได้มีการรณรงค์และมีความช่วยเหลือจากภาครัฐเข้าไปพัฒนามาแล้ว สำหรับกรณีนี้เป็นเรื่องที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น ดังนั้นถ้าถามว่ากระทบต่อการท่องเที่ยวมั้ย ก็คงมีบ้าง โดยเฉพาะประเทศต้นทางคือเยอรมนี หรือแถบยุโรป เพราะเมื่อข่าวออกไปแล้ว ความปลอดภัยหรือความเสี่ยงของนักท่องเที่ยว มันส่งผลต่อความเชื่อมั่นและการตัดสินใจซื้อแผนการเดินทาง”

ดร.สานนท์ อนันทนนท์ อาจารย์ประจำคณะการจัดการและการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยบูรพา ได้แสดงความคิดเห็นแก่ทีมข่าว MGR Live ถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นด้านภาพลักษณ์การท่องเที่ยวในบ้านเราขนาดไหน เมื่อเกิดเหตุร้ายกับชาวต่างชาติซ้ำแล้วซ้ำเล่า



“สำหรับวันสงกรานต์ ผมเชื่อว่าอาจจะยังไม่กระทบ เนื่องจากมีการแพลนไว้แล้วในระยะยาวเพื่อมาสนุกสนานในเทศกาลนี้ แต่ว่าในระยะยาวต่อไปมันย่อมไม่เป็นผลดีต่อการท่องเที่ยว โดยเฉพาะสถานการณ์ประเทศไทยในปัจจุบัน ในสายตาของบางประเทศ ความมั่นทางการเมืองของเราก็ยังไม่ได้รับการยอมรับอย่างเต็มที่ และมีผลต่อการตัดสินใจเหมือนกัน ยิ่งมาบวกกับเรื่องความปลอดภัยอีก ในระยะยาวจะมีผลได้ถ้าเราเกิดกรณีแบบนี้ขึ้นบ่อยๆ

หากเทียบกับกรณีเกาะเต่า มันเกิดเหตุติดกันมากพอสมควร เกาะเต่าเรื่องราวกำลังจะซา กลายเป็นว่ามีเรื่องใหม่ขึ้นมา โดยเฉพาะคนเยอรมัน หากศึกษาพฤติกรรมการท่องเที่ยวของเขา เขาจะไม่เลือกสถานที่ที่มีความเสี่ยงอยู่แล้ว เขายินดีจ่ายราคาสูง เขาไม่เชื่อว่าสินค้าที่ถูกคือสินค้าที่ดี”



กูรูด้านการท่องเที่ยวได้เสริมในประเทศนี้ต่อไปว่า กรณีนี้ เจ้าหน้าที่สามารถจับตัวผู้กระทำผิดมาได้เร็ว เมื่อเราดำเนินการรวดเร็ว ทางประเทศของผู้เสียหายเขาก็ยังพอเห็นถึงความกระตือรือร้นในการแก้ไขปัญหา แต่เรื่องอุบัติเหตุและความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว นอกจากหน่วยงานภาครัฐที่มีส่วนรับผิดของโดยตรง ชุมชนมีส่วนสำคัญอย่างมาก

“เกาะสีชังมีพื้นที่ไม่ใหญ่มาก แต่อยู่ห่างจากตัวฝั่ง เจ้าหน้าที่ก็อาจไม่เพียงพอ แต่ด้วยความที่เป็นเกาะขนาดไม่ใหญ่ ถ้าผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าไปสร้างระบบ ช่วยส่งเสริมการจัดการ ซึ่งตรงนี้เป็นการแก้ปัญหาระยะยาวที่ดีกว่าใช้เจ้าหน้าที่ของรัฐเข้มงวด เพราะยังไงก็ดูแลได้ไม่ทั่วถึง ชาวบ้านจะได้ช่วยดูแลได้ เพราะการท่องเที่ยว นอกจากสร้างรายได้แล้ว ตัวชุมชนเองจะเกิดความรัก ความหวงแหนวัฒนธรรม และภูมิใจในท้องถิ่น มันจะเกิดการสร้างรายได้ จะกลายเป็นชุมชนที่ช่วยกันเป็นหูเป็นตา

การท่องเที่ยวเป็นอุตสาหกรรมที่ทำรายได้ให้ประเทศมหาศาล ดังนั้นทุกคนอยากได้รายได้ แต่ก็อยากให้ทุกคนตระหนักถึงผลในระยะยาวหรือการท่อเที่ยวแบบยั่งยืนด้วย เราเองก็จะต้องเอาใจใส่และพัฒนา หรือแม้กระทั่งตัวชุมชนเองก็ต้องเข้าใจถึงวัฒนธรรมที่แตกต่างของนักท่องเที่ยว”



สำหรับเหตุการณ์ล่าสุดที่เกิดขึ้นบนเกาะสีชังนั้น ฝ่ายที่ถูกกระทบหนักสุด เห็นทีจะเป็นชาวบ้านและผู้ประกอบการในพื้นที่ ที่พากันหวาดผวาและเกรงจะกระทบต่อการประกอบอาชีพ โดย พิมนิภา อินทร์แจ้ง ผู้ประกอบการรถเช่าในพื้นที่เกาะสีชัง ได้แสดงความคิดเห็นถึงเหตุการณ์นี้ว่า รู้สึกตกใจและหวาดกลัวต่อสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะอยู่บนเกาะจนอายุ 55 ปี ก็ไม่เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ จึงเกรงว่าอาจมีผลต่อการท่องเที่ยวในช่วงวันหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ โดยเฉพาะอาจทำให้นักท่องเที่ยวไม่กล้าเช่ารถจักรยานยนต์ขี่ท่องเที่ยวตามลำพัง

ขณะที่ทางด้านของนักท่องเที่ยวนั้น ต่างพากันทยอยกลับขึ้นฝั่ง ส่วนคนที่เดินทางเข้ามา ก็มีจำนวนลดลงจนบางตา แต่ก็ยังมีนักท่องเที่ยวบางคนที่กล่าวว่า ไม่ได้รู้สึกกังวลต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะเห็นว่าเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ก็มีมาตรการป้องกันเหตุอย่างเข้มงวด และตนเองก็เคยเดินทางมาเกาะแห่งนี้หลายครั้งแล้ว



ทั้งนี้ ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้ประเมินจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเดินทางเข้ามาในประเทศไทย ซึ่งคาดว่าในปีนี้จะมีจำนวนสูงถึงกว่า 40 ล้านคน และนักท่องเที่ยวจากแถบยุโรป มีแนวโน้มที่ดี ทั้งจากเยอรมนี และฝรั่งเศส แต่ ณ วันนี้ที่เกิดเหตุฉาวขึ้น ก็เป็นไปได้ที่ตัวเลขนักท่องเที่ยวข้างต้นก็อาจจะมีแนวโน้มลดลงได้อีก

นี่ยังไม่นับรวมปัญหาหมอกควันและฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ทางภาคเหนือ ที่ทำให้นักท่องเที่ยวจำนวนมากยกเลิกการจองที่พักและการท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่กำลังจะมาถึงไปเป็นจำนวนมาก

หรือว่าประเทศไทยที่ได้รับสมญานามว่า ไทยแลนด์ แลนด์ ออฟ สมายล์ จะกลายเป็น ไทยแลนด์ แดนอันตราย สำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ไปเสียแล้ว ...

ข่าวโดย : ทีมข่าว MGR Live



 
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **



กำลังโหลดความคิดเห็น