xs
xsm
sm
md
lg

จาก(อดีต)โจร..ขอกลับใจ! ผันตัวสู่เจ้าของธุรกิจเงินล้าน-นักพูดสร้างแรงบันดาลใจ!! [มีคลิป]

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


 
'ขายยา-ขี้ขโมย-แมงดา' ความผิดพลาดครั้งใหญ่ในชีวิตนำไปสู่เส้นทางสีดำในเรือนจำ ใครจะคิดว่าชีวิตที่มองไม่เห็นหนทางให้เดินต่อจะกลับมีแสงสว่างขึ้นได้ 'ติ๊ก-สิริทัศน์ สมเสงี่ยม' อดีตผู้ที่เคยเลือกทางผิด หลังนอนคุกชีวิตเปลี่ยน ผันตัว สร้างธุรกิจ-เป็นวิทยากรสร้างแรงบันดาลใจ แถมยังเป็นนักเขียนออนไลน์ที่มีคนติดตามมากกว่า 1 แสนคน!!

โชคดีที่ติด 'คุก'

เคยได้ยินคำบอกนี้อยู่เสมอว่า 'ชีวิตคนเรานั้นเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นได้' ถ้าเลือกถูกทางก็ดีไป แต่ถ้าเลือกผิดทาง ชีวิตอาจต้องพบกับหายนะ! เช่นเดียวกับ 'ติ๊ก-สิริทัศน์ สมเสงี่ยม' ที่เคยทำเรื่องผิดพลาดที่สุดในชีวิต จนพาชีวิตไปสู่พื้นที่สีดำในเรือนจำ!

“ผมเกิดและโตในสลัม เกิดมาท่ามกลางสิ่งแวดล้อมแย่ๆ ปากซอยก็มีโสเภณีมาขายตัว ท้ายซอยก็มียาเสพติด กลางซอย ก็มีอบายมุขครบทุกอย่าง ผมโตมาแบบนั้นถ้าถามว่าความฝันในวัยเด็กผมอยากเป็นอะไร ผมอยากมีบ้านเป็นของตัวเอง

ถามว่าเริ่มเข้าสู่วงการสีดำในตอนไหน จริงๆ ก็เริ่มตั้งแต่เด็ก สันดานของผม มันเริ่มเป็นคนขี้ขโมยตั้งแต่อยู่ในครอบครัวแล้ว ผมเคยขโมยถังแก๊สของพ่อ-แม่ไปขาย เพื่อเอาตังค์ไปเล่นเกม ขโมยพระเครื่องของพ่อไปขาย เพื่อนำเงินไปใช้จ่าย ก้าวแรกในวงการสีดำของผมเริ่มจากการขโมยรถ

ผมเคยไปอยู่วงการอาบอบนวด เป็นทั้งแมงดา เป็นเอเจนซี่ติดต่อคนเข้ามา และใช้ชีวิตเลวๆ มาแทบจะครบทุกรูปแบบแล้ว ตลอดเวลาที่เดินเข้าไปในวงการเหล่านี้ผมคิดอย่างเดียวคือเรื่อง 'เงิน'

 
ผมอยากได้เงินก็มีรุ่นพี่คนหนึ่งที่ขายยาเสพติดอยู่ ผมก็ไปเสนอตัวกับเขาว่าอยากขายยาด้วย ผมเห็นเขาใส่ทอง ผมเห็นเขามีรถ และใช้ชีวิตอย่างร่ำรวย ตอนนั้นเราอายุ 17 ปี ก็อยากได้ อยากมีแบบเขาบ้างเลยทำให้ตัดสินใจไปในทางที่ผิด สุดท้ายก็จบลงที่คุก”

แน่นอนว่าเรือนจำอาจเป็นสถานที่ที่หลายคนเข้าใจว่าเป็นที่รวมของผู้ที่เคยทำผิดพลาดในชีวิต แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ตัดสินว่าชีวิตของเขาเหล่านั้น เลวร้ายหรือว่าย่ำแย่ไปตลอด

ทว่า หลายคนที่เลือกเดินทางผิดชีวิตก็ไม่ได้ผุดได้เกิดอีกเลย แต่ชีวิตของเขากลับตรงกันข้าม เขาพาตัวเองขึ้นจากหุบเหวแห่งหายนะ ด้วยเหตุการณ์ที่จุดประกายความรู้สึกผิด จนคิดได้ว่าจะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองเสียใหม่

“พอได้เข้าไปเห็นข้างใน มันลำบากมาก มีแต่สิ่งแวดล้อมที่แย่ไปกว่าตอนที่เราเป็นเด็กอีก มันมีการทำร้ายร่างกายกัน มีหลายอย่างอยู่ในนั้น พอได้ไปเห็นปลายทางของคนที่ทำชั่วก็คิดอะไรได้หลายอย่าง ผมขายยาผมเลยได้เข้าไปนอนในคุก

คนข้างๆ ผม เป็นอันธพาลก็เลยได้มานอนในคุก ถัดไปอีกคนมีคดีรุมโทรมผู้หญิง หรือรักขโมย ทุกคนมารวมกันในนี้หมดเลย ผมได้เห็นปลายทางแล้วว่าถ้าทำไม่ดี เราก็ต้องมาอยู่ที่นี่ ผมขอใช้คำว่า 'โชคดีที่ติดคุก' ตั้งแต่ที่ติดคุกทำให้ผมเริ่มคิดที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตัวเอง ผมเริ่มคิดที่จะเดินในเส้นทางที่ดีขึ้น”

กว่าจะ 'สำเร็จ' ก็ 'ล้ม' มาแล้วหลายครั้ง!

“ผมคิดได้ว่าการจะเป็นคนดีต้องเริ่มต้นจากการไม่ทำอะไรเลวๆ ผมก็เลยเลิกทีละอย่าง เลิกรักขโมย เลิกเกี่ยวข้องกับยาเสพติด เลิกยุ่งเกี่ยวกับวงการอาบอบนวด ผมเลยเลิกทีละอย่าง ไม่ได้เลิกวันเดียวหมดทุกอย่าง ผมใช้เวลาเปลี่ยนแปลงตัวเองเป็น 10 ปีจนกว่าจะมีวันนี้”

แม้ระยะทางสำหรับการปรับตัวจะต้องใช้เวลานานหลายปี แต่ก็ถือเป็นก้าวที่ดีสำหรับคนที่เคยหลงผิดมาก่อน เขาเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองทีละนิด เริ่มละทิ้งสิ่งไม่ดีไปทีละอย่าง จนได้มาพบกับหนังสือเล่มหนึ่งที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิตเขาไปตลอดกาล

“ผมไปอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง เขาบอกว่าถ้าเราไม่สามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้ เราสามารถทำอะไรก็ได้ที่ใกล้ตัว แต่ทำมันแบบยิ่งใหญ่ ผมก็มาคิดว่าแล้วเราจะทำอะไรที่มันยิ่งใหญ่ เราทำไม่ได้หรอก ความรู้เราไม่มี ผมเลยมองเห็นอาชีพก๋วยเตี๋ยวที่ผมโตมากับมัน ผมมองเห็นอาหารที่คนต้องกินทุกวัน

ในบ้านเรามีฝีมือมากในระดับหนึ่งผมเลยเริ่มเอาหลักการนี้มาคิดว่า ในเมื่อเราไม่สามารถไปเป็นนักบินได้ เราไม่สามารถไปเป็นตำรวจ เป็นทหารได้ เราไม่สามารถยิ่งใหญ่อย่างคนอื่นได้ เราก็ทำในสิ่งที่เรามีอยู่ให้มันยิ่งใหญ่ โดยการเปิดร้านก๋วยเตี๋ยวบุฟเฟ่เจ้าแรกในโคราช”

ทว่า ร้านก๋วยเตี๋ยวบุฟเฟ่ที่เริ่มต้นขึ้นก็ทำได้แค่ให้คนรู้จัก ยังไม่ถึงขั้นประสบความสำเร็จเสียทีเดียว แต่เขาก็ยังไม่ยอมแพ้กับมันง่ายๆ ซึ่งสิ่งที่นำมาสู่ความสำเร็จจนเป็นที่มาของร้าน 'เตี๋ยวใบสั่ง' ในตำนานก็คือการปล่อยโปรโมชั่นจากประสบการณ์ตรงของตัวเอง


 
“ทุกอย่างมันมาจากประสบการณ์ของตัวเองทั้งนั้นเลย อย่างแรกมาจากความยากจน ผมเคยอยากกินก๋วยเตี๋ยวแต่ไม่มีเงินซื้อ และต้องยืมมอเตอร์ไซต์เพื่อนขับไปที่ร้านก๋วยเตี๋ยว ยังไม่ทันถึงร้านก็โดนตำรวจจับซะก่อน เสียค่าปรับ 200 บาท ก๋วยเตี๋ยวก็ไม่ได้กินเพราะไม่มีเงิน

พอเรามีโอกาสได้เปิดร้านก๋วยเตี๋ยว ก็มาคิดถึงตรงนี้แหละว่าถ้าคนเขาไปโดนตำรวจจับมา และเขาไม่มีเงินกินข้าวเหมือนเราตอนนั้นจะทำยังไง ผมก็เลยปล่อยโปรโมชั่นซะเลย คือ ใครมีใบสั่งเอามาแลกก๋วยเตี๋ยวร้านผมได้ ให้กินฟรี ตอนนั้นร้านของผมก็เลยเป็นที่รู้จักขึ้นมา”

แม้ธุรกิจร้านอาหารของเขากำลังดำเนินไปได้สวย โดยสร้างรายได้อย่างมหาศาลถึงหลักแสนบาทเลยทีเดียว! แต่อุปสรรคก็มีตามมาด้วยเช่นกัน เขายอมรับว่าเกิดจากความคิดที่ผิดพลาดจึงทำให้ธุรกิจที่กำลังไปได้ดี ต้องหยุดชะงักลง!

“สมัยก่อนผมยังมีแนวคิดที่ผิด คือ เวลาเห็นใครทำอะไรแล้วได้ดี ผมจะไปทำตามเขา เช่น ยุคนั้นโคราชเปิดร้านนมดีมาก ใครๆ ก็ฮิตเปิดร้านนมกัน ผมเห็นเขาเปิดร้านนม ผมเปิดบ้าง เห็นเค้าขายน้ำปั่นคนยืนต่อคิวเยอะ ผมก็เปิดบ้าง ผมเห็นเขาทำอะไรแล้วดี ผมทำตามเขาหมด แต่ผมกลับทำได้ห่วยกว่าเขา กระจอกกว่าเขา ผมถึงเจ๊ง

ผมเหลือ 6 หมื่นบาทสุดท้าย ตอนนั้นขับรถผ่านร้านจิ้มจุ่มร้านหนึ่ง เราเห็นคนเยอะมาก ก็มีความคิดอยากเปิดร้านจิ้มจุ่มอีก ซึ่งก่อนหน้านี้ผมต้องบอกว่าเคยเปิดร้านจิ้มจุ่มมาแล้ว 2 ครั้ง ก็เจ๊งทั้ง 2 ครั้งเลย มาคราวนี้บอกแฟนว่าลองดูอีกสักครั้งแล้วกัน จึงเกิดเป็นร้าน 'จิ้มจุ่มหม้อเบ้อเร่อ'

แม้จะเรียนมาน้อยและไม่เคยรู้จักคำว่าแฟรนไชส์ (สาขาย่อย) แต่ธุรกิจที่เขาทำกลับสร้างชื่อเสียง จนมีคนมาติดต่อขอซื้อสาขาไปทำต่อในเวลานั้น ขณะที่ปัจจุบันเขาไม่ได้ทำร้านจิ้มจุ่มแล้ว ทำเพียงแต่ร้านก๋วยเตี๋ยวตรงข้ามเรือนจำโคราช ซึ่งเจ้าตัวเปิดใจอย่างตรงไปตรงมาว่าการขายแฟรนไชส์ไม่ได้ทำให้ผู้มาซื้อมีธุรกิจเป็นของตัวเองได้จริงๆ

“ขายแฟรนไชส์มันก็มีข้อบังคับตรงที่ผู้มาซื้อจะต้องทำตามระเบียบที่เราวางไว้ ส่วนกำไรเขาก็จะได้น้อย เท่ากับว่าคนที่ซื้อแฟรนไชส์เราไป เขาไม่ได้เป็นเจ้าของจริงๆ เป็นแค่คนมายืนขายวัตถุดิบให้เรา ผมไม่อยากให้เป็นแบบนั้น ผมอยากให้ทุกคนเป็นเจ้าของธุรกิจจริงๆ

ซึ่งการจะเป็นเจ้าของธุรกิจต้องได้บริหารจัดการทุกอย่างเองจริงๆ ไม่ใช่มาซื้อแล้วเอาเงินมาให้คนอื่นใช้ ผมเลยไม่ขายแฟรนไชส์แล้วดีกว่า
ผมขายสูตรแล้วอยู่เป็นพี่เลี้ยงดูแลเขาอีก 1 ปี สอนเขาสร้างแบรนด์ ให้คำปรึกษาแนวคิดต่างๆ ค่าคอร์สแค่ 999 บาทเองครับ ผมสอนเขาเป็นเวลา 1 ปี เพื่อให้เขาได้สร้างอาชีพเป็นของตัวเองในอนาคต”

 
สร้างแรงบันดาลใจ จาก 'อดีต' ที่เลวร้าย

แน่นอนว่าการประสบความสำเร็จในธุรกิจร้านอาหารสำหรับคนอื่นๆ ถือเป็นเรื่องที่น่าชื่นชม แต่ถ้าความสำเร็จนั้นเกิดขึ้นจากคนที่เคยทำผิดพลาดอย่างหนักมาก่อน ถือเป็นเรื่องที่น่าทึ่งเข้าไปใหญ่ ซึ่งนอกเหนือไปจากการเป็นเจ้าของธุรกิจร้านอาหารที่ว่าแล้ว เขายังมีอีกบทบาท นั่นคือการเป็นนักสร้างแรงบันดาลใจผ่านงานเขียนของตนเอง

“เริ่มมาจากว่ามีคนถามผมทางอินบ็อกซ์เยอะมากว่าเขาอยากมีธุรกิจแบบเรา หรือผมทำงานประจำอยู่แต่อยากมีรายได้เพิ่ม ต้องทำยังไง คำถามเหล่านี้เข้ามาทุกวัน ก็เลยเกิดเป็นแนวคิดว่าเราควรจะเขียนอะไรสักอย่างหนึ่ง ให้ผู้คนได้นำไปปรับใช้ เริ่มจากเขียนลงโซเชียลฯ ก่อนว่าชีวิตเราเป็นใคร มาจากไหน ผ่านอะไรมาบ้าง

เรื่องเลวร้ายที่ผมทำ ผลมันออกมาเป็นยังไง แต่พอผมปรับเปลี่ยนวิธีคิด ชีวิตผมเปลี่ยนแปลงไปยังไง ผมประสบความสำเร็จได้ยังไง เรียกได้ว่าผมออกมาสะท้อนเรื่องราวของตัวเองว่าจากคนเลวๆ คนหนึ่ง สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองมาเป็นแบบนี้ได้ยังไง”

หลังจากที่เขาเริ่มถ่ายทอดเรื่องราวแฝงด้วยแง่คิดการสู้ชีวิตผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว จนมีผู้อ่านเข้ามากดไลค์-กดแชร์กันอย่างถล่มทลาย ไม่เพียงเท่านั้น ข้อคิดที่สะท้อนผ่านมุมมองของเขายังไปเข้าตา 'ณาธร โฮมคาณาวงศ์' ซึ่งได้กลายเป็นแรงหนุนสำคัญให้เขาเขียนหนังสือเป็นของตัวเอง


 
“ถ้าถามผมว่าเป้าหมายในชีวิตของผมคืออะไร ผมบอกเลยว่าเป้าหมายของผมไม่เคยเปลี่ยนเลย แต่ผมเปลี่ยนวิธีการ เป้าหมายของผมคือ ผมอยากเป็นคนดี ผมอยากเป็นเศรษฐี ผมคิดว่าถ้าเรามีชีวิตที่ดีขึ้นและสุขสบายแล้ว เราจะมีศักยภาพในการออกไปช่วยคนอื่นๆ ในสังคมได้อีกเยอะ

ผมอยากทำโรงเรียนสร้างอาชีพคน ให้คนมาเรียนฟรี ด้วยความที่ผมผ่านประสบการณ์ในการขายอาหารต่างๆ มาเยอะ เท่ากับว่ามีอาชีพในตัวผมเยอะมาก ผมก็พร้อมที่จะสอนทุกคนฟรี เพราะการยื่นเงินให้คนๆ หนึ่ง พอเขาใช้เงินหมด พรุ่งนี้เขาจะกลับมาหาเราใหม่ แต่ถ้าเราให้อาชีพ เขาจะหาเงินด้วยตัวเอง มันจะดีทั้งเราและเขา”

จากตรงนี้เห็นได้เลยว่าชีวิตเขาได้เดินทางสู่เส้นทางใหม่ๆ ที่ดีขึ้นอย่างที่เขาก็ไม่เคยคาดคิด แต่หนึ่งคนสำคัญ คือพ่อ 'สัมพันธ์ สมเสงี่ยม' ซึ่งน่าจะภาคภูมิใจในการเปลี่ยนแปลงของลูกชายในครั้งนี้มากที่สุด

“รู้สึกภาคภูมิใจในตัวเขานะ ทุกวันนี้ก็ถือว่าเขาเดินมาได้ถึงจุดๆ หนึ่ง ผ่านการเริ่มต้นแล้ว ตอนนี้รอแต่จะเดินไปข้างหน้าอย่างรุ่งโรจน์กว่านี้ มาถึงจุดนี้ผมว่ายังไม่ถึงจุดอิ่มตัวของเขาหรอก ผมรู้ว่าคนอย่างเขายังมีแรงบันดาลใจอยู่ในตัวเขาอีกเยอะ”

สุดท้าย ติ๊ก ได้เปิดใจทิ้งท้ายว่า แม้โลกข้างนอกจะชื่นชมชีวิตเขาที่ลุกขึ้นเปลี่ยนชีวิตตัวเองได้ แต่สำหรับเขาเองก็ยังรู้สึกเจ็บปวดทุกครั้งที่ต้องเล่าเรื่องราวของตนว่าเคยติดคุกมาก่อน แต่แม้จะเป็นอดีตที่ไม่น่าจดจำ เขากลับภูมิใจที่มันสามารถเป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่นได้

“ผมเจ็บปวดทุกครั้งที่ผมพูดเรื่องแบบนี้ เวลาที่ผมต้องบอกว่าเคยเป็นแมงดามาก่อน เคยค้ายาเสพติดมาก่อน หรือเป็นโจรขโมยรถมาก่อน แต่สิ่งที่ทำให้ผมเจ็บที่สุดคือการต้องบอกว่าเราเคยติดคุกมาก่อน แต่ทำไมผมต้องพูด เพราะชีวิตชั่วๆ ของผม มันมีประโยชน์กับคนดีๆ”

(ชมคลิป)


สัมภาษณ์ : รายการฅนจริงใจไม่ท้อ
เรียบเรียง : ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง : พิมพรรณ มีชัยศรี



 
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **



กำลังโหลดความคิดเห็น