“นี่มันไม่ใช่ที่อยู่ของเธอ เธอเหมาะกับรันเวย์" คำพูดของดีไซเนอร์ชื่อดังของเมืองไทยเมื่อได้เจอ อัญ-ณัฎฐ์ญดา หอมพระยาธรณ์ สาวกระเป๋ารถเมล์หุ่นเป๊ะสาย 539 ที่เก็บเงินฉีกตั๋วให้ผู้โดยสารมากว่าสิบปี ผู้ไม่เคยรู้ตัวเลยว่าตนเองมีองค์โมเดล โลกโซเชียลฯ แพร่กระจายข่าวนี้จนดังเปรี๊ยง
ทีมข่าว MGR Live ขอมาอัปเดตชีวิตเกือบ 2 ปีของเธอที่ถูกเจียระไนสู่วงการนางแบบที่ผู้หญิงหลายคนใฝ่ฝัน แม้ปัจจุบันงานเดินแบบแฟชันโชว์ ถ่ายแบบยังมีอยู่ แต่เธอยังไม่ลืมอาชีพกระเป๋ารถเมล์ ยังคงทำเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว แถมใจบุญเจอคนพิการให้ขึ้นฟรีอีก!
ปฏิบัติการณ์พลิกโฉมองค์โมเดล
หลังจากที่คุณเจี๊ยบ - เอกมล อรรถกมล ดีไซเนอร์ สไตลิสต์แถวหน้าของเมืองไทย เจ้าของห้องเสื้อ EAGGAMON ด้วยความบังเอิญรถเสียต้องขึ้นรถเมล์ จึงเจอของดี สะดุดตาขั้นสุด ด้วยความสูงของกระเป๋ารถเมล์หน้าเก๋ สูง 174 เซนติเมตร ผิวเข้ม หน้าไทย จึงได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว “Eaggamon Attagamon”
“ไปสะดุดตาเธอคนนี้เข้าให้บนรถโดยสารประจำทางสาย 539 ใช่แล้วครับเธอคือ ‘น้องอัญ’ กระเป๋ารถเมล์คันดังกล่าวนั่นเอง เราว่าผู้หญิงคนนี้มีองค์ซ่อนอยู่ ‘องค์โมเดล’ หน้าไทยแท้ ผิวเข้ม รูปร่างบาง ลีน แขนขาเล็ก กะด้วยสายตาน่าจะสูงเฉียด ๆ 174 และแล้วก็ได้ยินเสียงของหัวใจพูดว่า …”นี่มันไม่ใช่ที่อยู่ของเธอ เธอเหมาะกับรันเวย์”
“พี่เจี๊ยบมาเจออัญ เป็นอะไรที่บุพเพฯ มากเลย ปกติพี่เจี๊ยบจะใช้รถส่วนตัว แต่วันนั้นพี่เจี๊ยบก็ขึ้นรถเมล์มา เพราะเขาโบกแท็กซี่แล้วยังไม่มีมา แล้วเจอรถเมล์ อัญมาพอดี เขาก็เลยขึ้นมา เพราะพี่เจี๊ยบรีบไปงานด้วย เขาก็มองเรา เราก็เดินไปเก็บตังค์เขา เขาก็บอกว่า ไปอนุสาวรีย์ฯครับ เราก็เก็บตังค์พี่เขา เราก็แปลกใจทำไมพี่เขามองเราบ่อยจัง พอคนใกล้จะลงหมดแล้ว เขาถึงเดินมาทักอัญ
พี่เขาก็เดินมาแนะนำตัวว่า พี่เจี๊ยบ เอกมล นะครับ เป็นสไตลิสต์ ดีไซเนอร์ และเจ้าของห้องเสื้อ ตอนนั้นพี่เขาทำรายการกับเพื่อนเขา เขาก็เลยอยากจะได้อัญไปร่วมรายการ เป็นรายการที่เปลี่ยนคนธรรมดาจับมาแต่งตัวให้ดูสวย ก็เลยสนใจอัญ เลยแลกเบอร์และเฟซบุ๊กกันไป
จริงๆอัญไม่ใช่ไม่เชื่อพี่เขานะคะ แต่เราคิดว่า เขาคงไม่มาโทร.เรียกเราหรอก พี่เขาอาจจะมีตัวเลือกของเขาเยอะอยู่แล้ว พอวันต่อมาพี่เขาก็ติดต่อมาเอง อัญตัวชาขนลุก ตัวเย็นไปหมดเลย อึ้ง ไม่เคยดีใจอะไรขนาดนี้ พ่อแม่ดีใจมาก ในชีวิตมีแบบนี้ด้วยเหรอ ผ่านมาตั้งหลายปี
เราไม่คิดว่าหุ่นอย่างเรา รูปร่างแบบเราจะมายืนอยู่ตรงนี้ได้ ไม่เคยเจอเรื่องราวแบบนี้มาเลยไม่คิดว่าจะมีโอกาสขนาดนี้ เป็นจินตนาการของผู้หญิงสูงๆ คนหนึ่ง คือแน่นอนอยู่แล้วว่าเรามีความฝันจะเป็นนางแบบ แต่ยังไม่เจอช่องทางและโอกาสที่ดี คิดว่าเรามาจากครัวครัวที่ธรรมดา ไม่มีลู่ทางอะไร ส่วนตัวอัญเป็นคนที่ขี้อายมาก เขิน เหมือนกับไม่ได้เปิดโอกาสให้กับตัวเอง
พี่เจี๊ยบทำให้เราไปเจอทิศทางใหม่และเปลี่ยนบุคลิกตัวเองด้วย หลังจากนั้นก็ได้ร่วมงานกับพี่เจี๊ยบ มีถ่ายทำรายการไปแล้ว ชื่อรายการบุษบาริมทาง ช่วงที่รายการยังไม่ออก พี่เจี๊ยบก็พาไปซ้อมเดินแบบ สอนเดินแบบให้อัญ จับแต่งหน้าทำผม ใส่ชุดแฟชั่นสวยๆ เปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลย จากลุคกระเป๋ารถเมล์มาเป็นนางแบบ มองตัวเองในกระจกหลังแต่งตัวเสร็จก็งง ว่ามาถึงตรงนี้ได้ยังไง
ตอนแรกก็ร้องไห้หนักมาก เพราะรู้สึกปลื้มปริ่ม ขอบคุณโอกาสมากๆให้เรามาอยู่ตรงนี้ได้ ถึงเราอาจจะไม่ใช่นางแบบมืออาชีพ แต่เรามายืนอยู่ตรงนี้ได้ ภูมิใจแล้ว ถึงจะใช้คำว่า “นางแบบกระเป๋ารถเมล์” มันก็ภูมิใจที่สุด เพราะเรามาจากตรงนี้แล้วได้เจอพี่เจี๊ยบ
พี่เจี๊ยบคือคนที่ให้โอกาสอัญคนแรกเลยที่เข้ามาสู่รันเวย์ตรงนี้ ได้มาจากการที่พี่เจี๊ยบเจอ แล้วก็ชักชวนมาอยู่ตรงนี้ เป็นที่ปรึกษาในหลายๆเรื่อง
อัญไม่ได้คิดว่าเราจะไปได้ไกลมั้ย คิดว่ามาถึงตรงนี้ก็ทำให้มันดีที่เราจะสามารถทำได้ เรามีความสามารถอะไรเราก็ทำไป
เดินแบบครั้งแรกเลยที่สีลมซอย 2 ช่วงปลายปี 2560 ของแบรนด์ EAGGAMON คอนเซ็ปต์ Jungle chic พี่เจี๊ยบก็เทรนเรา ตอนนี้ทำงานประจำด้วยก็จะเจอพี่เจี๊ยบแค่อาทิตย์ละวัน สองวันเอง ซ้อมได้แค่เสาร์อาทิตย์ก็ไปเดินแล้ว
เป็นครั้งแรกที่ใส่รองเท้าส้นสูง โครงเครงมาก เดินหลายรอบเหมือนกัน ตอนแรกก็มีปัญหาเรายังเดินแข็งๆอยู่ สีหน้าก็ยังไม่มีความมั่นใจในตัวเองเท่าไหร่ที่เห็นได้ชัดหลังจากที่เดินไปแล้ว ตอนนี้อัญก็ยังไม่ได้เก่งมากเลย ปรับปรุงตัวเองไปเรื่อยๆตรงนี้ที่ไม่โอเค ก็ต้องปรับตัวเองหน้ากระจกบ้าง
หลังจากนั้นก็มีงานถ่ายแบบ เดินแบบ เริ่มไปแคสงานเอง โดยมีพี่เจี๊ยบให้คำปรึกษา ที่ผ่านมาก็มีเดินแบบแฟชั่นโชว์ให้พี่เจี๊ยบ งานแพรวเวดดิ้ง ตอนนั้นใส่ชุดไทยเดิน เป็นชุดเจ้าสาว และไปเดินแบบที่ประเทศจีน ที่เซี่ยงไฮ้ เดินให้กับดีไซเนอร์ไทย เป็นผ้าไทย ใส่ประมาณ 6 ชุด ก็มีทั้งนางแบบฝรั่ง จีน ไทย ทำให้มีประสบการณ์ เปิดโลกกว้างมากขึ้น
เหมือนเราเจอมืออาชีพทำให้เรารู้สึกว่าต้องพัฒนาตัวเอง ก็พยายามจำจากรุ่นพี่นางแบบที่เราเดินด้วย แล้วเราก็นำมาปรับเปลี่ยนปรับปรุงตัวเอง เพราะจุดอ่อนของเราคือความขี้อาย ความไม่กล้าแสดงออก บางทีซ้อมมาอย่างดีเลย แต่พอไปเจอเวทีก็ตื่น แต่ก็เริ่มเข้าทีเข้าทางแล้ว
ล่าสุด ไปเดินแบบให้น้องนักศึกษาเรียนออกแบบเสื้อผ้ามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ วิทยาเขตพระนครใต้แล้วได้รางวัลชนะเลิศ ก็รู้สึกภูมิใจ คือเราไปใส่ชุดให้เขา แล้วน้องได้รางวัลชนะเลิศ น้องก็ขอบคุณเรา เราก็ขอบคุณน้องที่เชิญเราให้ไปเดินแบบครั้งนี้ เป็นชุดสไตล์มาดาม พร้อมขึ้นเรือ น้องเก่งมาก ชุดสวยมาก น้องๆนักศึกษาเขาก็ความสามารถรอบด้านแต่งหน้าทำผมกันเอง
เพื่อนล้อ! ปมด้อย “เปรตเดินดิน”
ย้อนไปในวัยเด็กเราก็สูงที่สุดในห้อง ผอม เพื่อนก็ล้อ “เหมือนเปรต” แบบเปรตเดินดินแบบนี้ค่ะ เราสูงที่สุดในกลุ่ม และในห้องด้วย ตอนนั้นเราคิดว่ามันคือปมด้อย แถมเรายังผิวสีอีกด้วย ตัวสูงด้วย ผอมด้วย
ตอนนั้นด้วยความเป็นเด็ก เพื่อนล้อ เพื่อนก็ตัวเล็กๆ มันก็เป็นธรรมดาที่เด็กจะล้อเลียนกัน แต่ตอนนั้นเราก็คิดว่า ทำไมเราต้องเกิดมาตัวสูง ทำไมไม่เหมือนเพื่อน อยากตัวเล็กๆ คิดว่าเป็นปมด้อย
แต่พอโตขึ้นมาเราก็มองโลกกว้างขึ้น ได้เห็นอาชีพ เห็นนางแบบ เราก็รู้สึกว่าดูดีขึ้น ทุกวันนี้ก็พอใจที่เราได้มาเจอโอกาส จากเด็กธรรมดาคนหนึ่งได้มาเปลี่ยนตัวเอง เปลี่ยนลุค ได้แต่งตัวสวยๆ ได้ใส่ส้นสูง ในชีวิตไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อนเลย เหมือนเปลี่ยนชีวิตให้เราในทางที่ดีขึ้น
การเป็นนางแบบนั้นสอนให้เรารู้ว่า เราต้องทำตัวเหมือนไม้แขวน ทำอย่างไรให้เดินออกมาแล้วเสื้อผ้าเขาดูดี ส่วนใหญ่อัญก็จะดูคลิปฝึกตาม ว่าเราชอบนางแบบคนไหนก็จะหามาดู และเรื่องสีผิวนั้นเดี๋ยวนี้สีผิวเหยียดกันไม่ได้แล้ว ผิวสีดีเสียอีกแต่งได้หลายลุค แต่งหน้าได้หลายแนว
มีพี่ลูกเกด พี่ซินดี้ พี่แพนเค้ก เป็นต้นแบบในการเดินแบบ ชอบดูเขาบ่อยๆเวลาเดินแบบ ชอบลุค หน้า การเดิน ชอบทุกอย่างเลย ก็จะเข้าไปดูในคลิปเพื่อฝึกเดินแบบให้ได้อย่างพี่เขา
จำได้ว่าตอนที่เรียนประถม อาจารย์เขาจะต้องถามประวัติส่วนตัวว่าอยากเป็นอะไร อัญก็เขียนไปว่า แอร์โฮสเตส และ นางแบบ 2 อาชีพ เขียนไปด้วยความเป็นเด็ก คิดยังไงเราก็เขียนไปอย่างนั้นเลย อัญเป็นคนที่ขี้อายค่ะ เราอยากเป็นนะ แต่ตัวเราไม่กล้าแสดงออกพอ และไม่เจอลู่ทางด้วย ก็ทำงานกับพ่อกับแม่ ก็คือมาจากครอบครัวธรรมดา ไม่ได้เจอแบบนี้ คนชักจูง
ตอนนี้ก็รับฟรีแลนซ์เดินแบบไปก่อน ถ้าเราเริ่มมีเงินเก็บสะสม ก็อยากทำธุรกิจส่วนตัวกับน้อง เราไม่รู้ว่าวันข้างหน้าเราจะได้ไปสักแค่ไหน ก็ต้องเก็บเงินไว้ให้มากที่สุด เหมือนถ้าเราไม่ได้ทำตรงนี้แล้วเราก็ต้องมีธุรกิจครอบครัว อยากจะทำที่คุยกับน้องกับพ่อแม่ หรืออาจจะช่วยพ่อทำรถเมล์ต่อ ทุกวันนี้ก็กำลังหาลู่ทางอยู่ ก็เก็บเงินไว้ก่อน
ทุกวันนี้ก็ช่วยกันสร้างไปก่อน คิดว่าอยากจะเรียนภาษาอังกฤษเพิ่ม เพราะสำคัญมาก เพราะเราต้องเจอดีไซเนอร์ หรือช่างภาพชาวต่างชาติ อย่างล่าสุดก็มีช่างภาพฝรั่งจากมิลานติดต่อมาทางเฟซบุ๊ก ถามว่าสนใจมาแคสติ้งกับเขาหรือเปล่า เพราะ com.card ของอัญมีแต่ถ่ายเสื้อผ้าชุดแฟชั่นยังขาดชุดว่ายน้ำ อัญจึงปรึกษาพี่เจี๊ยบ พี่เจี๊ยบบอกว่าเป็นโอกาสดีแล้วแหละเพราะถ้าจะโกอินเตอร์ก็ควรมี ดังนั้นเลยอยากเรียนภาษาเพิ่มค่ะ เพื่อพัฒนาตัวเองและงานในอนาคต
ไม่อายทำกิน! อาชีพครอบครัว
อันที่จริงอาชีพกระเป๋ารถเมล์เป็นอาชีพเสริม ปกติมีงานประจำทำงานเป็นพนักงานห้าง เป็น PC ขายชุดชั้นใน และเวชสำอาง วันหยุดก็มาช่วยพ่อแม่เป็นกระเป๋ารถเมล์ ถ้าแม่ไปธุระ ก็มาขึ้นแทนแม่ พ่อก็ขับรถเมล์ สาย 539 เป็นรถร่วม ขสมก.จากอ้อมน้อยไปอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ คือเป็นธุรกิจครอบครัวเล็กๆ เพราะเถ้าแก่ให้พ่อกับแม่ผ่อนรถเมล์เป็นรายวัน 5 ปี จ่ายเถ้าแก่วันละ 2,000 บาท หักจากการเติมก๊าซ ก็เหลือส่วนที่เราต้องได้ รถเสียเราก็ซ่อมเอง ตอนนี้ก็ผ่อนได้ไป 8 เดือนแล้ว
แรกๆก็อายกลัวเจอเพื่อน เรามีเพื่อนเยอะ แล้วเราเป็นกระเป๋ารถเมล์ แต่ไม่ได้อายในอาชีพ แต่เป็นคนพูดน้อย เวลาจะคุยกับผู้โดยสารจะไม่ค่อยพูดเลย ก็จะช่วยพ่อดูเวลาผู้โดยสารขึ้นลง จะช่วยบอกป้าย จะคอยซับพอร์ตดูคนขึ้นลง ประตูปิดเปิด จะช่วยพ่อดูตรงนี้
อัญเป็นกระเป๋ารถเมล์ตั้งแต่อายุ 15 ช่วง ม.ต้น จำได้ ก็ช่วยพ่อแม่ ตอนนั้นยังไม่ได้เป็นเต็มตัว ก็ช่วยเก็บไปด้วย ช่วยฉีกตั๋ว งูๆปลาๆ พ่อแม่ก็เอาขึ้นรถไปด้วยตั้งแต่เด็กๆ
พ่อแม่อัญยึดอาชีพนี้เพราะเขาทำงานได้ทั้งคู่ และเอามาเลี้ยงพวกอัญ ส่งเรียนไปด้วย พ่อแม่อัญมีลูก 3 คน ตอนนั้นวัยกำลังเรียนกันหมดเลย พ่อแม่ส่งเรียนเองหมดเลย เวลาเลิกเรียนก็ไปดักขึ้นรถ แล้วก็กลับบ้านพร้อมกัน บางทีก็มานั่งบ่อยไม่ได้ เพราะเราก็เป็นลูกจ้าง เป็นรถบริการ หนูเป็นพี่คนโตสุด ก็จะพาน้องเข้าบ้านก่อน แต่กว่าพ่อแม่จะปล่อยให้กลับบ้านเองก็ต้อง ป.5-ป.6 แล้ว ถึงจะอยู่กันได้
3 คนพี่น้องทำเป็นกันหมดค่ะอาชีพกระเป๋ารถเมล์ แต่ตอนนี้เขาแค่โตขึ้น ก็ต่างกันต่างแยกย้ายกันไปทำงานของตัวเวอง แต่จะมีอัญที่อยู่เป็นหลัก ก็คือช่วยพ่อแม่ทำตรงนี้ด้วย เพราะน้องๆก็มีอาชีพของเขา ไม่ค่อยได้อยู่บ้านเหมือนหนู
จำได้เลยครั้งแรกที่เป็นกระเป๋ารถเมล์โดยไม่มีแม่ไปด้วย อัญก็ลืมราคา ก็ถามผู้โดยสารเลยว่า เคยไปเท่าไหร่คะ ถามแบบนี้เลย แล้วผู้โดยสารก็ใจดีด้วย เขาก็ว่าเคยไป 15 บาท เพราะราคาจะเปลี่ยนตามระยะทาง ราคามากสุดก็ 20 บาท เราจะเป็นรถแอร์
รถเมล์คันแรกออกตี 04.50 น. ก็ต้องตื่นเตรียมรถถึงท่ารถตอนตี 4 ดึกสุดกลับมา 5 ทุ่ม วิ่ง 4 รอบ วนไป-กลับ บางทีรถติดหนักๆก็กลับบ้านดึกแล้ว พ่อก็ต้องวนไปเติมก๊าซ รอเข้าบ้านพร้อมกัน มากสุด 4 รอบ ถ้าน้อยกว่านี้ก็ 2-3 รอบ แต่อยู่ที่เวลาออกรถด้วย
เวลาจะทานข้าวก็ต้องทานตอนผู้โดยสารลงไปหมดแล้ว เพราะเดี๋ยวจะส่งกลิ่น เราต้องเซฟตัวเองเรื่องกิน ถ้าเช้าๆซื้อข้าวไม่ทันก็กินนม แล้วก็ขึ้นรถเลย เพราะเป็นรถแอร์เราต้องเข้าใจด้วย เวลาผู้โดยสารขึ้นจะส่งกลิ่น
และหากผู้โดยสารเขาเอาของที่มีกลิ่นเข้ามาแล้วนั่งกันหลายๆคน แล้วเราเป็นรถบริการ เราก็ต้องบอกเขาให้มัดปากถุงดีๆ คือบ่อยมาก ต้องเตรียมเรื่องนี้ด้วย เพราะฉะนั้นเราต้องเป็นตัวอย่าง เราต้องไม่กินให้เขาเห็นด้วย
ประสบการณ์บนรถเมล์ทำให้เธอเจอผู้โดยสารหลากหลายรูปแบบแต่ด้วยความ “ใจเย็น” จึงผ่านไปได้ด้วยดี
“เจอหลายรูปแบบค่ะ เหวี่ยงก็มี แต่ส่วนใหญ่ผู้โดยสารน่ารัก ด้วยบุคลิกของหนูเป็นคนไม่ค่อยพูด เรากับคุณแม่ไม่เคยเหวี่ยงผู้โดยสาร แยกแยะ เพราะว่าเป็นงานบริการ แม่สอนไม่ให้อายทำกิน คือหนูเติบโตมาจากอาชีพนี้ เพราะว่าพ่อแม่ส่งเสียให้เรียนมา สามคนพี่น้อง จากอาชีพที่พ่อแม่ทำ พ่อแม่เป็นกระเป๋ารถเมล์ เขาช่วยส่งเสียนพวกหนูสามคนมาตลอด พ่อแม่สอนตลอดว่าไม่ให้อายทำกิน แล้วบ้านเราคือฐานะไม่ได้เลิศหรู เรามาจากพื้นๆเลย ก็ต้องยิ่งทำกินให้ยิ่งมี มีกินมีใช้ เพราะถ้ามัวแต่อาย การเงินมันก็จะขัดสน พ่อแม่สอนให้คุยกับผู้โดยสารดีๆ จะได้ไม่มีปัญหาในการทำงาน
ทุกวันนี้ถ้าไม่ได้รับงานเดินแบบก็ยังทำกระเป๋ารถเมล์อยู่ แต่ก็แล้วแต่แม่ว่าจะให้ขึ้นเมื่อไหร่ บางทีพ่อก็สลับคนขับ ให้อัญเป็นกระเป๋าให้ ก็อยากขับรถเมล์เหมือนกันนะคะ แต่ไม่แมนพอ เดี๋ยวนี้ผู้หญิงขับรถเมล์เยอะ ต้องหูตาดี ประมาทไม่ได้ ใจร้อนไม่ได้ พ่อก็ไม่เคยสอนให้ขับ เพราะว่าไม่ใช่ทางของอัญ เป็นกระเป๋ารถเมล์ดีแล้ว ช่วยพ่อ
ตอนนี้อัญอายุ 26 ทำมาแล้ว 11 ปี แต่ก็ไม่ได้ทำทุกวัน บางอาทิตย์ก็ไม่ได้ขึ้นเลยก็มี แม่ไม่ได้เรียก บางทีพ่อกับแม่มีธุระก็สลับให้คนขับมาขึ้นคนอื่น เช่น เพื่อนพ่อ หรือเป็นรุ่นน้องที่อยู่ที่อู่
รายได้แต่ละวันไม่เท่ากันเลยค่ะ บางวันก็รถน้อยมี สายคู่แข่งก็มี เฉลี่ยแล้วก็เหลือพอกินพอใช้ ไม่ได้เหลือมากเลย เหมือนเป็นรายได้ที่หมุนเวียนวันต่อวัน เราหยุด เราขาดไม่ได้ เพราะว่าอาชีพนี้ มันใช้เงินวันต่อวันจริงๆ ไม่ได้เป็นเงินก้อน เพราะเวลารถเสีย เราก็ซ่อมเองด้วย
รับมือปัญหาสารพัดบนรถเมล์
เคยเจอผู้โดยสารอาเจียนแต่ตอนลงรถไปแล้ว แล้วเราก็ไปเก็บทีหลัง แต่แม่เคยเจอ เราก็ต้องบอกเค้า ไปเหวี่ยงเขาไม่ได้ เพราะว่าเขานั่งมาธรรมดา เขาอาเจียน เราก็เข้าใจ ก็มาทำความสะอาดเอง ถ้าผู้โดยสารเยอะๆเราก็มาขออนุญาต แต่เขาก็ขอโทษเราด้วย ผู้โดยสารที่เมารถ ก็มี
เราเป็นกระเป๋ารถเมล์บางทีเราก็เจอผู้โดยสารพูดแข็งๆใส่แต่เราพูดดีใส่เขา แต่มาพูดกับเหมือนเราก็เป็นแค่กระเป๋ารถเมล์ แต่อัญมีวิธีจัดการคือ เราเป็นคนใจเย็นอยู่แล้ว จะเจอรูปแบบไหนก็นิ่ง บางทีก็วุ่นๆ ออกรอบเช้า ไม่มีตังค์ทอนผู้โดยสารเพราะไม่ได้แลกเหรียญมา วุ่นวายมาก ก็จะมีเรื่องนิดๆหน่อยๆ เท่านั้นเอง ไม่ค่อยเจอปัญหาหนักๆ
ไม่เคยเจอเด็กช่างตีกันบนรถ เพราะสายนี้จะผ่านแต่มหาวิทยาลัย ราชภัฏ คือเขาก็จะมีระเบียบของเขาอยู่แล้ว ส่วนใหญ่จะมีปัญหาที่ผู้โดยสารเบียดกันขึ้นมา ก็ต้องคอยบอกคนให้ขยับเข้าไปเพื่อจะให้ผู้โดยสารคนใหม่ขึ้นมาได้ บางทีรถขาดระยะ รอนานแล้ว บางทีรถติดนานมาก กว่าจะหลุดมาแล้วคนมายืนออรอกัน เราต้องช่วยให้เขาก้าวขึ้นไปให้ชิดๆกันเลย เพื่อจะแบ่งปันให้ผู้โดยสารที่ขึ้นมาใหม่ รถมันขาดระยะ เราก็เข้าใจว่าผู้โดยสารอยากกลับบ้าน เราก็ต้องคอยซับพอร์ตมากๆเลยเรื่องนี้ คนข้างล่างก็อยากขึ้น คนข้างบนก็จะมายืนออกันไม่ได้ ก็ต้องช่วยกันเขยิบ มีน้ำใจให้กัน
ก็จะช่วยตะโกนบอก ว่าช่วยเขยิบเข้าไปหน่อยนะคะ รถขาดระยะ เพราะต่างกันต่างรีบกลับบ้าน จะเจอปัญหาแบบนี้ ก็จะขอให้ช่วยความร่วมมือ บางคนกดโทรศัพท์ไม่ได้สนใจ เราก็ต้องไปบอกตัวต่อตัวเลยว่า พี่คะเขยิบไปหน่อยนะคะ ผู้โดยสารมาใหม่จะได้นั่งได้ บางคนไปยืนออตรงประตู กลัวประตูหนีบเขา เพราะคนแน่นสุดๆ
แต่ผู้โดยสารก็จะน่ารัก เป็นผู้โดยสารประจำจะรู้ว่าต้องเป็นยังไงเวลาขึ้นรถ แต่ถ้าเจอปัญหารถติด รถระยะห่าง ก็ต้องรีบเดินเข้ามาเลย แต่ต้องชิด มัวมากดโทรศัพท์ไม่ได้นะคะ จะต้องบอกเรื่องนี้บ่อยมาก
คนโรคจิตเคยได้ยินแต่ข่าวนะ ส่วนของอัญยังไม่เคยเจอ เพราะกลางคืนเราจะเปิดไฟสว่างทั่วรถเลย อัญคิดว่าผู้โดยสารทุกวันนี้ก็ซับพอร์ตตัวเองด้วย เพราะข่าวออกบ่อย เขาก็จะเซฟตัวเองด้วย
ก็เคยมีผู้ชายมาชมว่าหุ่นดี “น้องหุ่นดีจัง” เป็นกระเป๋ารถเมล์เหรอ ไม่น่าเชื่อเลย ก็จะบอกว่ามาช่วยพ่อช่วยแม่ค่ะ เขาชมเราก็ขอบคุณค่ะ ส่วนใหญ่ก็จะแปลกใจเพราะไม่เคยเจอกระเป๋าตัวสูงเหมือนอัญ หัวจะติดเพดานรถอยู่แล้ว
หลังจากออกสื่อไปก็มีคนจำเราได้ ก็มีน้องๆ ราชภัฏฯ ผู้โดยสารขาประจำ บางวันไม่เจออัญ ไปเจอกระเป๋ารุ่นพี่ ก็จะถามหาอัญ แล้วนางแบบยังทำงานอยู่มั้ย
กระเป๋ารถเมล์เป็นงานครอบครัว ได้เงินวันต่อวัน ช่วยเอาเงินค่าบ้าน ส่งบ้าน ค่าใช้จ่ายที่บ้านเยอะค่ะ คือตอนทำงานห้างก็ได้เงินเดือนเป็นหลัก แล้วก็ช่วยพ่อแม่ด้วย สองอย่างทำควบคู่กันไป แต่ตอนทำงานประจำขึ้นกระเป๋ารถเมล์จะน้อยมาก เพราะงานประจำกฎระเบียบจะเยอะ หยุดอาทิตย์ละวัน ช่วงเปลี่ยนงานก็จะว่างงานเป็นเดือน ก็จะมาช่วยพ่อแม่ตลอด
บางทีก็รู้สึกเหนื่อย ทำงานไม่เคยได้หยุด แต่ทำไงได้ล่ะคะ ครอบครัวเราต้องทำงาน เพื่อให้ได้เงิน เพราะเรามาจากครอบครัวธรรมดา ไม่ได้มีอะไรมาก่อน พ่อแม่ช่วยกันสร้างเอง บ้านหลังหนึ่งก็อยู่รวมกัน ก็ภูมิใจแล้ว แต่ก็ยังส่งบ้านอยู่นะ สามคนพี่น้องก็ช่วยกันส่งบ้าน ขอแค่ขยันทำกินเอาตัวรอดพ่อแม่ก็หายห่วงแล้ว
งานบริการต้องใจเย็น กระเป๋ารถเมล์ ต้องหูตาไว
ปัญหาที่มีก็คือการเฉี่ยวชน ความใจร้อน คืออาชีพนี้เป็นอาชีพบริการ บางทีผู้โดยสารขึ้น เราจะออกตัวรถเลยไม่ได้ บางทีเจอสายคู่แข่ง กระเป๋าก็ต้องหูตาไวด้วย ส่วนคนขับก็ต้องใจเย็นด้วย อาชีพนี้คืองานบริการจริงๆพลาดนิดเดียวจะมีแต่เสีย อยู่บนท้องถนน อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้เสมอ เราเป็นงานบริการ คนขับก็ต้องมีหน้าที่คอยขับรถ ส่งผู้โดยสารเข้าป้าย ดูรถระหว่างทาง คือต้องเซฟเรื่องอุบัติเหตุด้วย
ส่วนกระเป๋าก็ต้องหูตาไว ช่วยคนขับเป็นหูเป็นตาเวลาขึ้นลงอย่างนี้ เราจะมัวเล่น หูตามองทางอื่นไม่ได้ ต้องมองหน้าประตู มองผู้โดยสารไว้ อัญคิดว่าปัญหาจะน้อยลง ความใจร้อนก็ไม่ควรเกิด
เราก็ไม่อยากให้เกิดอุบัติเหตุหรือว่ามีปัญหาในเส้นทาง เราต้องช่วยกันดูเลย ถ้าเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมามันจะไม่ดี จะมีก็เฉี่ยวชนบ้าง เบรกไม่ทัน ขับเร็วบ้างก็มี ก็ต้องรับไปในสิ่งที่ทำ แต่พ่อเป็นคนใจเย็น
ในส่วนของการที่ผู้โดยสารโทร.ร้องเรียนยังไม่เคยเจอ แต่คนอื่นก็มี เรื่องการรับส่งป้าย ออกตัวเร็ว หรือบางทีโบกไม่ได้รับ พวกนี้ต้องอาศัยหูตาไวจริงๆ กระเป๋ารถเมล์ก็ต้องคอยซับพอร์ตในเรื่องขึ้นลงและดูแลผู้โดยสาร ส่วนคนขับก็ต้องหูตาไวมองคนขึ้นหรือยัง บางทีช่วงค่ำๆคนอยากกลับบ้าน รถก็จะเริ่มไม่มีแล้ว เราต้องรับเกือบทุกป้าย บางทีบางคนเขาก็ยืนป้ายเปลี่ยวๆ คนเดียว อาชีพนี้เป็นอาชีพที่บริการ และต้องใจเย็นเป็นหลัก
ถ้าถามว่า กระเป็ารถเมล์เมื่อบ้างมั้ย จริงๆแล้ว ยืนนานๆก็เมื่อยนะคะ แต่ก็ต้องยืน เพราะงานบริการเราต้องให้ผู้โดยสารนั่ง เขาเสียค่าโดยสาร เราเป็นกระเป๋ารถเมล์ คืออาชีพเราเราบริการ ก็หาพิงๆเอาเวลาคนเยอะๆ แต่ก็ยอมรับว่าเมื่อย แต่ก็ชินแล้ว แรกๆก็ปวดขา ปวดส้น นานๆเข้าก็จะชินไปเอง ยืนทรงตัว เวลารถเลื่อนเราต้องทรงตัวเป็นหลักด้วย
ไม่เก็บตังค์ ผู้พิการขึ้นฟรี!
ถ้าเจอผู้โดยสารตาบอด เป็นใบ้ อัญก็ไม่เก็บตังค์เขานะ เราก็จะหาที่นั่งให้เขา เวลาลงก็จะส่งเขาลงฟุตปาธ แล้วก็เดินไปเลย ส่วนใหญ่จะเจอคนตาบอดบ่อย แถวอ้อมน้อยจะมีขาประจำอยู่ เราก็จะแอบเป็นห่วงเขาเวลาเค้าลงรถก็ยังอยู่บนถนน เราก็พาเขาขึ้นฟุตปาธเดินไปเลย พอเขาขึ้นฟุตปาธได้เราก็จะโล่งใจ เขาก็ขอบคุณเรา ที่เราไม่เก็บตังค์เขา ขอบคุณเรามาก เขาก็เหมือนไม่อยากให้เป็นภาระเราเวลาเดิน อัญคิดว่ากระเป๋ารถเมล์หลายๆคนถ้าเป็นคนพิการก็จะไม่เก็บเงินนะคะ ไม่เก็บเพราะว่า เขาก็ไม่สมประกอบเหมือนเรา ไม่เก็บดีกว่า
อย่างเวลามีเด็ก ผู้สูงวัย ผู้หญิงตั้งครรภ์ ผู้พิการขึ้นมา ก็จะหาที่ให้เขา ก็ขอจากผู้โดยสารที่นั่งอยู่ ก็จะบอกว่าขอให้ผู้พิการนั่งหน่อยนะคะ ตะโกนบอกเลย ก็จะยืนมองจนกว่าเขาจะให้คนพิการนั่ง บางทียืนๆกันอยู่ บางคนก็ก็ไม่ลุก เราก็จะเรียกจนกว่าเขาจะให้นั่ง แต่ส่วนใหญ่ก็ลุกให้นั่งกันค่ะ ผู้โดยสารน่ารัก แต่ตอนแรกก็อาจจะมองหน้ากันก่อนว่าใครจะลุก เราเป็นกระเป๋ารถเมล์เราต้องพูด เพราะบางทีเขามีแขนข้างเดียว ถ้าเราไม่บอกไม่พูด รอให้นั่งเองจะไม่ได้ เพราะอย่างเวลาคนขับเบรกจะมีปัญหา เมื่อเราเห็นแล้วว่าเขาพิการ เราก็ช่วยประคองหาที่นั่ง
คนเป็นลมบนรถเมล์ก็มี ก็จะหาที่นั่งให้ บางครั้งรถติดเป็นชั่วโมงเลยช่วงเย็นคนเลิกงาน ก็จะมีคนเป็นลม เขาก็จะบอกเราแล้ว เราก็ขออนุญาตจากผู้ชายที่นั่งอยู่ มียาดมบนรถตั้งให้ผู้โดยสารอยู่แล้ว
เหตุสุดวิสัยบนรถเมล์ก็จะมีแบบเบรกกะทันหันแล้วผู้โดยสารก็ล้ม เราก็ยกมือไหว้ บางทีรถคันหน้าเบรกกะทันหัน พ่อเลยก็เบรกไปด้วย เราก็ตกใจมาก กลัวผู้โดยสารจะเป็นอะไร เราก็จะถามว่าเป็นอะไรมั้ยคะ เพราะบางทีก็มีผู้สูงอายุด้วย เราก็เป็นห่วง
สายบุญ เข้าวัด ปฏิบัติธรรม
ชอบเข้าวัด ปฏิบัติธรรม เวลาว่าง ช่วงที่เราไม่ได้ทำงานก็ไป ชอบธรรมะมาตั้งแต่เด็ก ด้วยความที่เป็นคนใจเย็นด้วย รู้สึกจิตใจนิ่งๆเย็นๆ เพื่อนก็จะบอกเลยว่า มีด้วยเหรอคนแบบนี้ คือเป็นคนที่พูดน้อย อารมณ์เย็น และชอบเข้าวัด รู้สึกว่าชอบวัฒนธรรมไทย ชอบวัดไทย ชอบไปดูพิพิธภัณฑ์ ชอบปฏิบัติธรรมมากจนรู้จักแม่ชีตามวัด เคยไปปฏิบัติธรรมวัดแถวบ้านก็ วัดท่าไม้ กับวัดกระโจมทอง ไปทีก็ 3 วัน 5 วัน ก็จะไปกับเพื่อนตลอดเลย ใครว่างช่วงไหนก็นัดไปเข้าวัดกัน
เป็นคนไม่เที่ยวกลางคืน ทำงานอย่างเดียว หลักๆก็จะเข้าวัด ถ่ายรูปก็มีแต่ในวัด จะเจอเพื่อนแต่สายธรรมะ ใจเย็นเหมือนกัน รุ่นพี่ที่ปฏิบัติธรรมเหมือนกันก็จะสร้างกลุ่มติดต่อกัน เรามาสายนี้ก็รู้สึกว่าสอนชีวิตเราได้ด้วยควบคู่กันไปทั้งทางโลกและทางธรรม
ก่อนและหลังเข้าปฏิบัติธรรมจิตใจเราเปลี่ยนแปลงไป รู้สึกจิตใจสุขุม มีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น เพราะปฏิบัติธรรมเป็นกรรมฐานเยอะ ที่วัดสอนกรรมฐานเยอะมาก ทำให้จิตนิ่ง มีความรอบคอบในการใช้ชีวิตมากขึ้น ทำให้เราเป็นคนดีขึ้น รู้จักแบ่งปันช่วยเหลือ
อัญชอบทางนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว ชอบสวดมนต์ ในสามพี่น้องอัญก็ใจเย็นสุด เป็นพี่ที่ยังไงก็ได้ และยังโชคดีที่ชอบเจอเพื่อนที่คุยไปคุยมาไปปฏิบัติธรรมมาด้วยเหรอ จะมีเพื่อนสนิทๆไม่กี่คน ทำงานประจำแต่ว่างปุ้บก็พากันไปทำสังฆทาน ปล่อยนกปล่อยปลา
เวลาเราทุกข์ หรือไม่ประสบความสำเร็จเรื่องใดเรื่องหนึ่งอัญก็จะชอบนึกถึงธรรมะ ก็ไปปฏิบัติธรรมดีกว่า ทำให้เราปล่อยวางเรื่องที่คิดมาก ช่วยได้จริงๆ ทำให้ไม่ใจร้อนทำให้เราแก้ปัญหาและมีสติ
สัมภาษณ์โดย ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง : สวิชญา ชมพูพัชร
ภาพ: วชิร สายจำปา
ขอบคุณสถานที่ : Jeab's house ที่พักนักเดินทาง
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **