“เสียงแบบนี้ไปไม่รอดหรอก” จากคำพูดสบประมาทที่ผ่านหู หนุ่มประมงจึงเดินหน้าพิสูจน์ความสามารถและลบคำดูถูกของคน กระทั่งเอาชนะใจคนฟังอย่างล้นหลาม เจ้าตัวเปิดใจผ่านบทสัมภาษณ์ที่จะเปิดเผยทั้งมุมความรัก ครอบครัว รวมถึงประสบการณ์ออกเรือกับพ่อตั้งแต่สมัยมัธยมต้น ย้ำชัดหากเส้นทางในวงการไปไม่รอด ก็แค่กลับไปออกเรือเหมือนเดิม!
ไม่ได้คาดหวังอะไร! “แค่ร้อง” ออกมาให้ดีที่สุด
“ผมเคยเล่นดนตรีที่ร้านร้านหนึ่ง แล้วผมเคยพูดว่าอยากไปรายการประกวดรายการนู้นรายการนี้ แล้วคนเขาก็ดูถูกเราว่าเสียงแบบนี้ไปไม่รอดหรอก มันก็ฟังดูทั่วไป ไม่ได้แตกต่างจากคนอื่นที่เขาโดนอะไรแบบนี้ เวลาเราเล่นก็มีคนติงว่าร้องเพลงอะไรฟังไม่รู้เรื่องเลย มันเป็นสไตล์ของพวกคนดูที่เขากวนๆ หน่อย ที่คนเล่นดนตรีต้องเคยเจอ”
เล็ก-พงษธร กำบัง หนุ่มวัย 24ปี แจ้งเกิดอย่างเป็นทางการด้วยการคว้าแชมป์ “The Voice Thailand” คนที่ 7 ซึ่งถ่ายทอดผ่านทางช่อง PPTV HD 36 และเหตุผลที่ทำให้เล็กมาแข่งรายการนี้เพราะอยากลบคำสบประมาทที่เคยได้ยินผ่านหูมาจากคนรอบข้างให้ได้
หลังจากที่ได้เริ่มพูดคุยกับเล็ก หนุ่มประมงมากรอยสักจากจังหวัดเพชรบุรี ซึ่งครอบครัวของเล็กมีอาชีพออกเรือหาปลาเป็นหลัก จึงถามถึงความกดดันระหว่างแข่งขัน หนุ่มซื่อ เสียงเหน่อ หมาดกวนคนนี้ ก็ไม่ลังเลที่จะตอบว่าตนเองมีความกดดันในช่วงแรกๆ เพราะอยากจะทำให้ได้
โดยในรอบ Blind Auditions ผู้เข้าประกวดต้องมาโชว์เสียงร้องของตัวเองเพื่อให้โค้ชกดหมุนเก้าอี้หันกลับมาให้ได้ เมื่อสามารถทำรอบแรกออกมาได้ดี จึงไม่ได้กดดันอะไร เพราะโค้ชทั้ง 4 คน พร้อมใจหันกลับมาและอยากได้เล็กมาอยู่ในทีม และสุดท้ายได้ไปอยู่ทีมโค้ช โจอี้ บอย แต่เล็กจะกดดันอีกครั้งตอนร้องเพลงในรอบต่อๆ ไป เพราะกลัวว่าตัวเองจะทำพลาด
กระทั่งรอบสุดท้ายหนุ่มเสียงดีได้เลือกเพลง “อกหักเพราะรักเมีย” ที่เคยร้องในรอบ Blind Audition กลับมาร้องอีกครั้ง จนชนะใจคนฟังด้วยคะแนนโหวตสูงสุดถึง 86 เปอร์เซ็นต์ สิ่งนั้นแสดงให้เห็นว่าเล็กได้แสดงศักยภาพการเป็นศิลปินได้อย่างไม่มีข้อกังขาใดๆ ด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะจับใจคนฟังทั้งประเทศ
“หลังแข่งชนะก็รู้สึกเหมือนเดิมครับ ไม่ได้รู้สึกพิเศษอะไรครับ ผมไม่ได้มีแรงบันดาลใจอะไรนะ ชีวิตก็เปลี่ยนไปเยอะนะ คนก็จะรู้จักเยอะ ไปไหนมาไหนคนก็จะทัก ก็ต้องเทกแคร์แฟนครับเหมือนกันครับ
กลัวความคาดหวังของคนอื่นไหม คือผมมาประกวด ผมแค่มาลบคำสบประมาทแล้วก็ทำตามความฝันของตัวเอง สิ่งที่ตัวเองรักอ่ะ (นิ่งคิด) ผมงงๆ ผมตอบไม่ถูก ขออีกทีๆ ความคาดหวังของคนอื่นหรอ ผมไม่รู้อ่ะ โดยส่วนตัวไม่ค่อยคาดหวังอะไรอยู่แล้วด้วย แล้วถ้าคนอื่นมาคาดหวังอะไร ทุกรอบเราก็จะทำให้เต็มที่ ให้มันออกมาดีที่สุด เขาจะได้ประทับใจเรา ถึงแพ้ก็แพ้อย่างมีความสุข”
ส่วนเนื้อหาของเพลงที่นำมาร้องก็มีเรื่องราวที่มาจากชีวิตจริงๆ ของเล็กอยู่เหมือนกัน แต่ไม่ใช่ทั้งหมดของเพลง จะมีเพียงบางท่อนที่ตรงกับชีวิตของเขา ซึ่งเล็กก็สามารถถ่ายทอดอารมณ์ของเพลงออกมาได้อย่างดี
“เพลงเกี่ยวกับชีวิตผมใช่ไหม (ยิ้ม) จี้จุดด้วยนะ (หัวเราะ) อย่างเช่นเพลงสุดท้าย มันก็เกี่ยวกับตัวผมเหมือนกันนะ คือเรารักใครสักคน นี่คือมุมมองของผมนะ ก็ต้องตีโจทย์เพลงด้วย เอาเรื่องของเราใส่ไปด้วย มันก็เหมือนแบบเรารักใครสักคน แล้วคนนั้นได้จากเราไป เหมือนผมบอกแล้วว่าเพลงรักเธอทั้งหมดของหัวใจผมร้องให้คุณตาที่เพิ่งเสียไป แล้วพวกพี่ๆ แฟนคลับเขาก็อยากให้ร้องของวงพอส ผมก็เลยถือโอกาสนี้ได้ทั้งสองฝ่าย
แต่ก่อนผมเคยเล่นเพลงกลางคืน ตั้งแต่ตอนเข้าปี1 ปี2 ครับ ผมไปรู้จักเพื่อนไง แล้วเขามีพี่เป็นนักดนตรีที่เพชรบุรี แล้ววันนั้นเขาชวนไปบ้านผมก็เลยนั่งเล่น นั่งกินเบียร์กัน เล่นไปเล่นมา พี่เขากลับมาจากเล่นดนตรีพอดี เขาชอบ เขาก็เลยฝากเข้าร้านให้ ซึ่งเล่นไม่กี่วัน แต่ตอนนี้ก็หยุดแล้วครับ คือพอเราได้แชมป์มา ก็ต้องเคลียร์ปัญหาหลายอย่าง ก็เล่นบ้างไม่เล่นบ้าง”
แน่นอนการมี “คอนเสิร์ต” เป็นของตัวเองก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เล็กอยากจะทำ และเล็กก็คิดว่าครั้งหนึ่งในชีวิตทุกคนก็คงอยากจะมีคอนเสิร์ตเป็นของตัวเอง แต่สำหรับเล็กมันยังไม่ถึงเวลานั้น และคิดว่าคงจะอีกนาน แต่หากจะให้ใครมาเป็นแขกรับเชิญ เล็กก็ยืนยันชัดเจนว่าอยากให้ ปู-พงษ์สิทธิ์ คำภีร์ และวงพอส มาอยู่ในคอนเสิร์ตของตนเอง
“แผ่นซีดี” คือครูที่คอยสอนร้องเพลง
ช่วงชีวิตในวัยประถมของเล็ก ได้เริ่มต้นชิมลางการประกวดร้องเพลง โดยคุณครูได้เลือกให้เขาไปแข่งขันประกวดร้องเพลงลูกทุ่ง นั่นจึงเป็นครั้งแรกที่ประกวดและชนะได้รางวัลที่หนึ่งกลับมาด้วย
“ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันนะ ผมไม่ทราบว่าตอนนั้นครูคิดอะไรอยู่ แล้วซึ่งเขาต้องเห็นอะไรแหละผมว่า ไม่งั้นเขาไม่จับออกมาร้องนะ
สมัยก่อนแผ่นซีดีสอนผม พวกแผ่นซีดี คาราโอเกะ แต่ก่อนมันไม่มียูทูบอ่ะ ยังไม่รู้จักยูทูบ มันน่าจะมียัง สมัยก่อนมีไหม มันมีแล้วหรอ ใช่น่าจะมีแล้ว ซึ่งตอนสมัยนั้นอาจจะยังไม่มีโทรศัพท์ด้วยก็เลยไม่ได้ดูอะไรมากมาย ตลาดเยอะแยะเลยครับซีดีสมัยก่อน เพียบ ก็ซื้อเพลงลูกทุ่ง เพราะแต่ก่อนเขาจับร้องเพลงลูกทุ่ง ก็ฝึกลูกทุ่ง”
สำหรับชีวิตวัยเรียนของเขาก็ปกติเหมือนเด็กทั่วไป และแน่นอนตามประสาเด็กเล็กก็บอกว่าต้องมีเรื่องใช้กำลังกันบ้าง ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติในวัยเด็ก และหนุ่มประมงมาดเข้มยังสารภาพว่าตอนเด็กๆ ไม่ได้มีวิชาอะไรที่ชอบ แต่ก็สามารถเอาตัวรอดมาได้
“ไม่ค่อยมีครับวีรกรรมผม ไม่เชิงเด็กดีหรอก เอาตัวเองรอดได้อะไรแบบนี้ มันก็เป็นเรื่องปกติแหละ ต่อยกันอะไรแบบนี้เด็กๆ บางทีทะเลาะกันต่อยกันประสาเด็กๆ อ่ะนะ
อย่างตอนเรียนถ้าผมชอบเรียนอะไรหรอ ไม่ชอบวิชาอะไรเลย แต่ว่าพอเรียนแล้วคิดว่าวิชาสุขศึกษา เป็นคนชอบสุขศึกษาแต่ก็ไม่ได้ชอบอะไรมากนะ ถ้าให้เลือกทั้งหมดเลยนะ ผมว่ามันสบายดี ไม่ต้องอะไรมากครับ
ตอนเด็กๆ อ่ะ ก็บอกพ่อบอกแม่ว่าอยากเป็นพวกตำรวจทหาร ทั่วไปเด็กๆ ทุกคนแหละ แทบทุกคนเลยจะต้องบอกว่าอย่างนี้ โตขึ้นหนูอยากเป็นทหารเป็นหมอ ตำรวจอะไรอย่างนี้ พอโตมาแล้วกลับเป็นคนละอย่างเลย ไม่อยากเป็น
จริงๆ ส่วนตัวเลยผมติดเพื่อนครับ จะเป็นคนที่ติดเพื่อน ติดพี่ ถ้าขาดนี่ก็จะกระวนกระวาย ความรู้สึกผมนะ คือผมต้องมีเพื่อน มีพี่อยู่อ่ะ คือวันหนึ่งเนี่ยขอให้ได้เจอกันนะ ได้คุยกันอ่ะ จะรู้สึกดี แต่ถ้าไม่เจอกันมันรู้สึกเหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง แต่ผมก็จะแยกแยะนะ ครอบครัว เพื่อน
คือผมเป็นคนนิสัยยังไง ก็มีบ้างร่าเริง ตลก ก็ปกติของคนทั่วไป ก็แล้วแต่บางเวลา เวลานี้อารมณ์อยากตลก เวลานี้อารมณ์อยากจะเศร้าก็เศร้า มันเหมือนกันทุกคนผมว่า”
เมื่อผู้สัมภาษณ์ได้สนทนาไปเรื่อยๆ จุดเด่นที่เห็นได้ชัดเจนจากหนุ่มประมงคนนี้เลยก็คือ เป็นคนร้องเพลงเก่ง แต่พูดไม่ค่อยเก่ง จะบอกแบบนี้ก็คงไม่แปลก เพราะนั่นคือเรื่องจริงที่เล็กก็ยืนยันเองว่าเขาพูดไม่ค่อยเก่ง เมื่อโยนคำถามกลับไปว่าหากวันที่เจอเรื่องแย่ๆ ในชีวิตเขาจะจัดการกับปัญหาเหล่านั้นอย่างไร คำตอบที่ได้ก็ชัดเจนตามสไตล์ของหนุ่มขี้เล่น ติดตลก
“ผมเป็นคนที่ชอบกลบเกลื่อนปัญหา สมมติเจอปัญหาอะไรหนักๆ ผมก็คุยกับเพื่อนปกติ ตลก นอกจากมันหนักจริงๆ อ่ะ ผมจะมีเวลาฉุกคิดนิดเดียว ก็เดี๋ยวจะตลกอีกแล้ว เพื่อทำให้มันลืมปัญหานั้นๆ ผมจะเป็นสไตล์แบบนี้นะครับ ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็อาจจะระบายให้เพื่อนให้พี่ฟังแค่นั้นครับ”
ชีวิตหนุ่มประมง “ออกเรือ” เพื่อปากท้อง
หลังจากที่เล็กเรียนจบม.3 ชีวิตชาวประมงก็เริ่มต้นขึ้น เล็กเริ่มไปออกเรือกับพ่อ และในแต่ละครั้งที่ออกเรือจะมีช่วงเช้า และช่วงค่ำ เพื่อไปหาปลามาขายให้แก่เถ้าแก่ที่รับซื้อ สำหรับรายได้เล็กก็บอกว่าพออยู่ได้ พอเลี้ยงครอบครัวได้ ก่อนออกทะเลก็ไม่ได้เตรียมอะไรมากมาย ขอแค่มีน้ำมันกับของกินก็เพียงพอแล้ว และเงินก้อนแรกที่เล็กหามาได้ ก็มาจากการทำประมงช่วยพ่อนั่นเอง
“ถ้าเงินก้อนแรก ผมออกเรือกับพ่อ ถ้าเงินก้อนแรกเลย พ่อเขาจะให้ทุกวัน ก็จะแบ่งเป็นส่วนให้ร้อยละ 25 ร้อยละ 30 ของเงินทั้งหมด ผมก็เอาไปซื้อรถ แต่งรถบ้าง ซื้อนู่นซื้อนี่เงินหมดครับ ไม่เคยได้เก็บเลย พอได้มาก็รู้สึกดีครับ เราทำด้วยตัวเองอ่ะนะ มันก็ต้องรู้สึกดีอยู่แล้ว แต่พอหลังๆ พอหมดก็ต้องขอแม่เหมือนเดิม (ยิ้ม)
ที่บ้านผมนะ จะออกเรือแล้วแต่หน้า ถ้าออกไปแล้วได้วางปลาเลย ก็ทำงานไม่เกิน 5 ชั่วโมงก็เสร็จต่อวัน มันแล้วแต่เราจะออกเช้าหรือออกมืด ออกมืดก็จะออกประมาณ 4โมง 5โมงเย็น ไปปล่อยอวนแล้วก็วิ่งไปเป็นที่ก่อนนะ ที่เราจะทำการหาปลา วิ่งไปเรื่อยๆ ตรงไหนมีปลาเยอะก็ไป มีข้าวมาเยอะๆ พอปล่อยแล้วก็ทิ้งไว้ประมาณสักชั่วโมงแล้วก็สาว ก็มีปลาอกกะแร้ พวกหมึกสายอะไรแบบนี้ พวกปลาเห็ดโคน ปลาสายอ่ะ แล้วแต่หน้าของมันครับ”
สำหรับชีวิตชาวประมงที่ต้องออกไปอยู่ท่ามกลางคลื่นทะเลอยู่บ่อยๆ แน่นอนว่าต้องมีอุปสรรคจากสภาพอากาศที่ไม่สามารถควบคุมได้อย่างพายุ ซึ่งบางทีเขาก็ออกเรือและปล่อยอวนไปแล้ว แต่ก็จะมีวิทยุสื่อสารบอกสถานการณ์ของลมพายุ เพื่อจะต้องรีบกลับเข้าฝั่ง แต่บางทีเล็กก็เคยเข้าฝั่งไม่ทัน แต่ก็ไม่ถึงกับร้ายแรงมากนัก
ชีวิตชาวประมงจริงไหมว่าเรือก็เหมือนบ้าน? แชมป์เดอะวอยซ์ ผู้ทำอาชีพประมงให้คำตอบว่าเรือที่เขาออกไปหาปลานั้น ไม่ใช่เรือลำใหญ่ที่จะสามารถใช้ชีวิตเสมือนบ้านได้
“เรือที่ผมออกเนี่ยมันคนละแบบกับเรือใหญ่ ถ้าเป็นเรือใหญ่อ่ะ เรือก็เหมือนบ้าน คือแบบกินนอนในเรือก็ได้ ทำกับข้าวกินก็ได้ แต่เรือที่ครอบครัวผมมีคือมันเป็นเรือหางยาว ซึ่งมันประกอบอาหารไม่ได้นอกจากเราจะไปตกหมึกแล้วเราเตรียมของเพื่อไปทำกับข้าวบนเรืออันนั้นได้ เรือที่ผมมีคือมันไม่ได้เหมือนบ้าน มันก็เลยแล้วแต่ด้วย แล้วแต่เรือ ถ้าเป็นเรือใหญ่ก็บอกได้ว่าเรือก็เหมือนบ้าน
เวลาออกทะเลแต่ละครั้ง ก็คิดว่าวันนี้จะได้ไหมนะ จะได้ไหม ถ้าไม่ได้ก็ไม่ได้ตังค์อะไรประมาณนี้ ตอนนั้นก็ยังเป็นเด็กไม่ได้คิดอะไรมาก คือก็ต้องคิดอย่างเดียวจะได้ปลาไหม
ผมเคยกินอาหารแปลกๆ ไหม (หลับตานึก) มันก็อาหารของคนอีสานแหละมั้งครับ ก้อยพวกนี้ กินครับ พวกไส้ดี ขมๆเราก็กิน นั่นแหละแปลกสุดของผมแล้ว อาหารพวกนั้น แล้วก็ทางบ้านผมมันก็ไม่ได้แปลก เขาก็กินทั่วไปพวกปลาสดจิ้มกับน้ำจิ้มอะไรแบบนี้
“อย่าตัดสินคน” เพียงเพราะรอยสัก
หนุ่มประมงมาดเข้ม ขี้เล่น รักการแต่งตัววินเทจ อยู่บ้านด้วยกางเกงขาสั้น กางเกงยีนส์ขาดๆ เสื้อยืด รองเท้าแตะ เห็นเขารอยสักเต็มตัวแบบนี้ อาจจะดูโหดๆ สำหรับบางคน แต่เล็กยังมีมุมน่ารักที่ไม่ได้ดูเข้มเหมือนที่เห็นกันภายนอก เพราะเขาเป็นคนที่ชื่นชอบตัวการ์ตูนมิกกี้เม้าส์อย่างมาก
“มิกกี้เม้าส์ชอบก็ตั้งแต่เด็กๆ บวกกับผมชอบเล่นของเก่า ของวินเทจ มิกกี้เม้าส์เขาก็จะมีเสื้อมีอะไรแบบนี้ให้สะสม ก็เลยชอบ แล้วเรารู้ตั้งแต่เด็กอยู่แล้วมิกกี้เม้าส์อ่ะ พวกนาฬิกา เสื้อ มิกกี้เม้าส์นะ แต่ว่าเสื้อนี่ขายไปหมดละ ช็อตๆนะ (หัวเราะ) เดี๋ยวค่อยซื้อใหม่ไม่เป็นไร นาฬิกามิกกี้มีอยู่ 2 เรือน แล้วของสะสมอย่างอื่นก็มีพวกเป็นกางเกง แว่น แล้วแต่ครับ”
ขณะที่ความชื่นชอบในศิลปะอีกด้านก็คือ การสักลายซึ่งชื่นชอบและหลงใหลมาตั้งแต่ตอนอยู่ม.3 ในตอนนั้นงานสักญี่ปุ่นกำลังมาแรง และมีลายที่สวยทำให้ไม่ต้องลังเลที่จะเริ่มสักลายครั้งแรกลงบนร่างกายคือตัว L อักษรภาษาอังกฤษตัวย่อชื่อของเขาเอง โดยที่ไม่ต้องขออนุญาตใครทั้งสิ้น
“ไม่ขอ สักเลยครับ แล้วกลับมาก็โดนด่า ก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่มากก็คือธรรมดาอยู่แล้ว แต่ว่าตอนนั้นเราคิดเราทำงานได้เองแล้วอะไรแบบนี้ ทำอะไรก็ได้ แต่ที่จริงมันไม่ดีนะ อย่าเอาแบบผม มันไม่ดี บอกเขาก่อนดีกว่า เขาเป็นพ่อเป็นแม่อะไรแบบนี้
ผมเริ่มไปสักร้านของเพื่อนครับ แต่ก่อนผมจะสักกับเพื่อน เขาจะอยู่บ้านเดียวกัน ก็สักมาตั้งแต่สมัยเขาสักแรกๆ ตอนนี้เขาเปิดเป็นร้านของตัวเองแล้วอยู่ที่เพชรบุรี
ผมชอบสักแนวโอสคูลครับ แต่ตอนแรกๆอ่ะ ผมสักตัว L แล้วก็มาสักงานญี่ปุ่นเพราะว่างานญี่ปุ่นตอนนั้นกำลังดัง เมื่อผมจบม.3 พอหลังๆ ร้านโอสคูลเริ่มเข้า ก็เลยเริ่มสักโอสคูล เพราะชอบงานโอสคูลครับ ส่วนตรงคอจะมีลายผีเสื้อ หมา ลิง ไม่รู้ผมชอบ ผมเปิดเจอรูปไหนผมก็เอาเลยถ้าผมชอบ ผมไม่สนใจว่าจะเป็นสัตว์ไม่ดีหรืออะไรก็แล้วแต่ ก็เอาเลยครับ แล้วก็มีรูปชื่อพ่อชื่อแม่ แล้วก็รูปครอบครัวซึ่งมีความหมายมาก
สายตาที่ตรงไปตรงมา บอกเล่าให้เห็นถึงความชอบในการสักลาย แต่เรื่องความสะอาดก็เป็นส่วนสำคัญที่ต้องศึกษาร้านสักอย่างละเอียด รวมถึงช่างสักและอุปกรณ์ในร้านซึ่งจะต้องมีความสะอาดด้วยเช่นกัน เพราะเข็มที่จิ้มลงบนเนื้อหากไม่สะอาดก็สามารถมีความเสี่ยงติดเชื้อต่างๆ ได้
และคงหลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับคนที่ชื่นชอบศิลปะการสักลาย แต่จะต้องมีเสียงจากคนรอบข้างที่มองมาเห็นแล้ว กลับรู้สึกไม่ชอบเพียงเพราะภาพลักษณ์ภายนอกเท่านั้น
“มันมีอยู่แล้วครับ ที่เขาเซนซิทีฟทางเรื่องคนสักลายอะไรแบบนี้ บางทีคำพูดเขาแรงเกินไป ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าคนมีรอยสักไปทำอะไรให้เขา ซึ่งมันไม่โอเคอ่ะ ผมไม่โอเคครับ คนจะสักหรือคนไม่สักคุณไม่สามารถมาตัดสินเขาที่ภายนอกว่าเขาจะเป็นคนดีหรือไม่ดี นี่ยังไม่ทันไรเลย ตีความว่าเขาไม่ดี เขาเลว เขาอะไร คนมันก็คิดไปต่างๆ นานาอ่ะนะ ผมว่าอย่าคิดให้มันเยอะเลย มันจะได้อยู่ด้วยกันได้
ตอนนี้ผมก็ไม่ได้วางอนาคตอะไรไว้เลยนะ ผมแบบใช้ชีวิตไปวันๆ หนึ่ง ไม่ได้คิดถึงอนาคต แต่ว่าพอถึงจุดนี้เราต้องคิดบ้าง แต่ผมก็ยังไม่ได้คิด ผมก็พยายามจะคิดนะ เลยยังไม่ได้คิดสักที (ยิ้ม) ผมก็ไม่รู้ว่าเข้าวงการเนี่ยมันต้องทำยังไงบ้าง มันเป็นยังไง ก็ยังงงอยู่เหมือนกัน
ผมก็ยังเป็นเล็กคนเดิม ก็ยังเปื่อยๆไปวันๆเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนนะ ผมก็ยังเหมือนเดิมผมว่านะ ผมพูดไว้ตรงนี้เลย แล้วถ้าผมเปลี่ยนผมจะกลับมาดูเทปเนี่ย (ยิ้ม) ผมยังไม่เปลี่ยนนะ ผมยังเป็นเล็กคนเดิม ผมอยากลองดูสักตั้งหนึ่ง ถ้าไม่ดีก็กลับไปออกเรือเหมือนเดิม
สุดท้ายผมก็ฝากเด็กน้อยคนนี้ด้วยนะครับ ผมจะพยายามทำเต็มที่ในเส้นทางที่ผมเลือกที่ผมรัก ผมพยายามจะทำให้พี่ๆทุกท่านได้รู้สึกมีความสุขไปด้วยกัน ก็ฝากพี่ๆ ทุกท่านติดตามเป็นกำลังใจให้ผมไปเรื่อยๆนะ ผมจะตั้งใจทำมันให้เต็มที่ ขอบคุณพี่ๆ ทุกท่านที่คอยเป็นกำลังใจ คอยเชียร์ผมมาตลอดนะ ผมก็จะทำให้พี่ๆ ทุกท่าน ภูมิใจในตัวผมด้วย แล้วก็ทำให้พี่ๆ ทุกท่านมีความสุข ผมก็เรียบเรียงคำพูดไม่ค่อยถูก พูดไม่ค่อยเก่ง ขอบคุณพี่ๆทุกท่านมากๆ นะ ที่เป็นกำลังใจให้ผมตลอด ขอบคุณครับ”
สร้างครอบครัว “มีลูก” หวังคนในบ้านต้องสบาย “พ่อแม่เลี้ยงผมมายังไงใช่ไหมครับ ให้กินข้าวครับ (หัวเราะ) ก็ปกติทั่วไปเลยครับ กินข้าว กินข้าวเสร็จไปเที่ยว ให้ตังค์ไปกินขนม นี่คือการเลี้ยงลูก ก็เหมือนๆ ทั่วไปครับ ดื้อก็ตี ไม่เคยปลูกฝังอะไรเลย มีแต่พ่อผมเขาบอกอยากให้โตไปเป็นตำรวจอยากให้สอบตำรวจ ซึ่งตอนเด็กๆ ก็ด่าอยู่แล้ว เพราะโตมาไม่เอา บางทีพ่อตีเวลาไปเที่ยวข้างนอกอ่ะ ตอนเด็กๆ อ่ะนะ ก็ต้องกลับบ้านไวๆ ถ้าเข้าช้าก็โดนฟาดเหมือนกัน หวดด้วยก้านมะยมแหละ ก็ร้องดิครับรออะไรล่ะครับ (หัวเราะ) ร้องสิ ร้องอย่างเดียวเลย แหกปากร้อง ผมเป็นลูกคนโตก็เป็นธรรมดาของคนเป็นพี่อยู่แล้วครับ ผมก็อยากดูแลครอบครัวนะให้ดี ไม่อยากให้ลำบาก เหนื่อยพอแล้วอะไรแบบนี้ สมมติต่อไปในอนาคตนะ จะไม่ให้เขาทำอะไรเลย ให้อยู่บ้านพาไปเที่ยวอะไรแบบนี้” จากเด็กที่โดนพ่อแม่ดุบ่อยๆ ในตอนนั้น ปัจจุบันเล็กได้สร้างครอบครัวเป็นของตัวเอง กับภรรยาที่คบกันมาเป็นเวลา 6 ปี จนมีลูกอายุเกือบ 3ขวบที่เป็นโซ่ทองคล้องใจของทั้งคู่ ซึ่งเขาก็ไม่ได้มองว่ามีลูกเร็วไปแต่เป็นเรื่องที่ดีด้วยซ้ำ และไม่ปฏิเสธว่าการมีลูกยิ่งต้องทำให้เขาหาเงินเพิ่มขึ้น เพราะอยากให้ลูกสบาย “ผมว่าก็ดี ลูกจะได้โตทันเรา เราจะได้ไม่ต้องพอแก่ไปแล้วลูกเรายังเล็กอยู่ ถ้ามีลูกตอนอายุเยอะก็จะเป็นแบบนั้น เราแก่แล้วลูกเรายังไม่โตสักที แต่นี่เรามีลูกตอนอายุน้อยเขาก็จะโตเทียบๆ เราไป ก็โอเคนะผมว่า สำหรับความคิดผมนะ อย่าเอ็ดผมนะ (ยิ้ม) พอมีลูกชีวิตเปลี่ยนคือ แต่ก่อนเราสามารถใช้ชีวิตอยู่กับเพื่อนได้บ่อย แล้วก็ไปไหนมาไหนได้ ซึ่งหลังๆ นี่มันก็ไปมั่งไม่ไปมั่ง ก็ต้องแยกแยะ แล้วการเป็นผู้นำครอบครัวที่ดีนะ ผมว่าคือผมก็ไม่รู้อ่ะ ผมก็ใช้ชีวิตปกติ คือให้ความสำคัญกับครอบครัวให้มาก ผมเจอแฟนตอนเรียนมหาวิทยาลัยครับ เรียนมหาฯลัยแล้วก็เจอ แล้วก็สปาร์กกันเลย ก็แซวก่อน ก็แซวปกติ ปฐมนิเทศไง ก่อนจะเข้ามหาฯลัย แซวไปแซวมา ด่าผมด้วย ผมแซวกวนอะไรแบบเนี่ย ไม่รู้ผมจำไม่ได้คำแซว ก็แซวฮาๆ กันแหละ หยอดๆ เขาเรียกหยอด ไปๆมาๆ หลายเดือนอยู่เหมือนกัน กว่าจะจีบติด เอาชนะใจเขายังไง ผมจำไม่ได้แล้ว มันนานแล้ว คือคุยแล้วมันอาจจะเป็นคำพูดนี่แหละครับ หยอดกันไปหยอดกันมา สงสัยหลง (ยิ้ม)” |
สัมภาษณ์โดย : MGR Live
เรื่อง : สวรส พวงเกาะ
ภาพ : พลภัทร วรรณดี
ขอบคุณภาพบางส่วน : เพจเฟซบุ๊ก LEK THEVOICE
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **