ไม่ต้องแปลกใจ!ทำไมใครๆ ก็หลงรักน้องเกลสาวน้อยอูคูเลเล่เสียงใสวันนี้น้องเกลได้กระโดดไปสู่เวทีระดับอินเตอร์ใน “ไต้หวัน” จนสร้างฐานแฟนคลับในเอเชียจำนวนมากไม่แค่นั้นยังท้าทายตัวเองทั้งร้อง เล่น เต้น แร็ปโชว์ทักษะความสามารถกระทั่งได้รับฉายา "LittleElephant" จากชาวไต้หวันไปครอง
แฟนคลับ “ชาวไต้หวัน”คลั่งไคล้หนัก!
สร้างชื่อเสียงให้ไทยอย่างแท้จริง!น้องเกล-โสพิชาอังคะไวมงคล สาวน้อยวัย 13ปี ผู้เข้าร่วมแข่งขันรายการJungle Voiceจนโด่งดังและได้รับความนิยมอย่างมากส่งผลให้ติดอันดับ 1YouTube Trending ของไต้หวันรวมทั้งติดTrendingTop 10 ในเอเชีย อย่างฮ่องกงและมาเลเซียส่วนเพจเฟซบุ๊ก “GailSophicha เกล โสพิชา”ของน้องเกลก็มียอดติดตามเกือบ500,000ชื่อผู้ใช้งานและผลจากการคว้ารางวัล Popular Voteก็ทำให้น้องเกลกำลังจะมีผลงานเพลงภาษาจีนที่ไต้หวันรวมทั้งงานแฟนมีตติ้งที่กำลังจะเกิดขึ้นช่วงเดือนมีนาคมนี้อีกด้วย
นอกจากน้องเกลจะได้ใจกรรมการในรายการแล้วเธอยังได้ใจทั้งผู้เข้าประกวดและคนดูไต้หวันอย่างมากและสิ่งที่ทำให้สาวน้อยคนนี้ผ่านเข้ามาถึงการแข่งขันรอบสุดท้ายน้องเกลคิดว่าน่าจะเป็นแรงเชียร์และกำลังใจจากผู้ชมทุกคนไม่ว่าจะเป็นคนไต้หวันหรือคนไทย ที่มองเห็นถึงความพยายามและความตั้งใจของน้องเกลที่แสดงผ่านการโชว์ในแต่ละรอบได้อย่างลงตัวและการที่เป็นตัวของตัวเองทำในสิ่งที่รักสามารถถ่ายทอดความรู้สึกนั้นไปให้ผู้ชมได้รับรู้และมีความสุขได้จนกระทั่งมีการตั้งฉายาให้น้องเกลอีกด้วย
แฟนคลับที่ไต้หวันได้ตั้ง 2ฉายาให้กับน้องเกล อันแรกคือLittle Elephant เพราะตอนรอบแรกรอบใส่หน้ากาก เกลใช้หน้ากากช้างมาใส่เพราะว่าเธอเป็นตัวแทนจากประเทศไทยและช้างเป็นสัญลักษณ์ของประเทศไทย ถ้านึกถึงช้างก็ต้องนึกถึงประเทศไทย ทำให้ต่อมาหลายคนก็เรียกว่าเธอว่าLittleElephant
“อีกฉายาคือ Gmailตอนแรกน้องเกลก็งงว่าเขาคอมเมนต์ในตอนรายการถ่ายทอดพิมพ์คำว่า Gmailเต็มไปหมดเลยคืออะไรแต่พอภายหลัง พี่ๆทีมงานเขามาอธิบายว่าชาวไต้หวันเขาพิมพ์ชื่อGail ไม่ถูกพิมพ์ผิดเป็น Gmailพอมีคนหนึ่งพิมพ์Gmail คนอื่นๆก็เลยพิมพ์ Gmailตามไปหมดเลย ตอนนี้บางครั้งพี่ๆแฟนคลับบางคน ก็ยังแซวเรียกGmailอยู่เลยค่ะ
แฟนคลับที่ไต้หวันน่ารักมากเลยค่ะตอนแรกก่อนไปแข่งก็กังวลอยู่ว่าคนไต้หวันเขาเป็นยังไงเขาจะชอบเราไหม แต่พอได้สัมผัสจริงๆเขาน่ารักมากเลยค่ะ เขาดีต่อเกลมากบางครั้งไปเล่นคอนเสิร์ตก็มีขนม มีการ์ด มีของกระจุกกระจิกมาให้ทำให้น้องเกลเห็นถึงความตั้งใจของเขาที่ตั้งใจประดิษฐ์การ์ดประดิษฐ์ของขวัญ เพื่อมาให้เกลซึ่งน้องเกลดูแล้วว่าของแต่ละชิ้นต้องใช้เวลาทำนานมากกว่าจะได้
และก็ยังมี messageเข้ามาหาตลอด มาให้กำลังใจมาบอกว่าถ้ามีปัญหาเรื่องภาษาอะไรบอกเขาได้เลยนะเขาพร้อมจะช่วยเต็มที่เลย และที่ประทับใจจนลืมไม่ลงน่าจะเป็นตอนไปเล่นคอนเสิร์ตที่เมืองTaichungตอนนั้นเกลร้องเพลงอยู่แล้วตอนกลางๆเพลงคนไต้หวันที่มาดูเขาทำสัญลักษณ์I love you แบบที่เกลทำตอนแข่งJungle Voice รอบSemi Final เต็มไปหมดเลยเห็นแล้วประทับใจมากเลยค่ะทุกวันนี้ก็เอาภาพนั้นขึ้นเป็นCover ที่ Fanpageอยู่เลยค่ะ”
แน่นอนว่าการใช้เพลงภาษาจีนมาแข่งขันทำให้คนไต้หวันหลงรักและชื่นชมเกลยกใหญ่และการเดินทางมาไกลจากบ้านเพื่อสิ่งที่รักทำให้ได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่างมากเช่นกัน
“สิ่งแรกเลยคือการได้เห็นการทำงานของโปรดักชันในต่างประเทศว่าเขาทำงานกันอย่างไรทุกคนตั้งใจทำงาน แข่งกับเวลาและแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นตลอดการถ่ายทำบางครั้งถ่ายตั้งแต่บ่ายจนถึงเช้าเลยก็มีค่ะทั้งได้ฝึกความอดทน เพราะต้องเรียนพร้อมกับการฝึกซ้อมเตรียมตัวไปแข่งด้วยมันเป็นอะไรที่ยากและต้องใช้ความพยายามมากเลยค่ะ แต่ก็ดีใจที่ผ่านตรงนั้นมาได้
น้องเกลได้พัฒนาหลายอย่างเลยค่ะ อันแรกคือได้ฝึกทักษะการเล่นดนตรีกับวงดนตรีจริงๆเพราะที่ผ่านมาปกติจะเล่นคนเดียว หรือเล่นกับ BackingTrack ทำให้เราต้องเรียนรู้ในการเล่นกับวงให้ดนตรีที่ออกมามีความไพเราะ อันที่สองคือได้ฝึกการPerform บนเวทีโดยที่ไม่มีกีตาร์ หรืออูคูเลเล่เพราะเมื่อก่อนน้องเกลร้องเพลงต้องถือเครื่องดนตรีด้วยทุกครั้ง
อยากมีคอนเสิร์ตเป็นของตัวเองไหมก็อยากค่ะ แต่คงต้องรอเวลาอีกนานเลยค่ะแต่ตอนนี้ก็ไปร่วมแจมกับเพื่อนๆ พี่ๆ คนอื่นก่อน ช่วงปลายเดือนมีนาคมก็จะมีงานคอนเสิร์ตที่ไต้หวันค่ะร่วมกับพี่ๆ ศิลปินอีกหลายคน”
“เสียงเพลง”กับการเดินทางครั้งใหม่
“น้องเกลไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รางวัลPopular Vote ก็รู้สึกดีใจและเป็นเกียรติมากๆค่ะ (ยิ้ม)เพราะการได้รางวัลทำให้เราจะได้ทำซิงเกิลเพลงจีนที่ไต้หวันต้องขอบคุณคนไต้หวันและคนไทยที่ร่วมโหวตให้น้องเกลและคอยเป็นกำลังใจให้น้องเกลมาตลอดจนได้รางวัลนี้มานะคะเพราะระยะเวลาการโหวตรอบนี้นานมากพี่ๆ ทุกคนต้องกดโหวตทุกวันวันละหลายๆ ครั้งบางทีใช้มือถือหลายเครื่องมาโหวตด้วยจนทำให้น้องเกลได้คะแนน1.34 ล้านคะแนนต้องขอบคุณมากๆ เลยค่ะ น้องเกลจะตั้งใจทำผลงานเพลงให้ดีที่สุดเพื่อขอบคุณพี่ๆ ทุกคนค่ะ”
นี่คือความรู้สึกหลังจากกลับมาจากไต้หวันของสาวน้อยอายุ 13ปี ที่รู้จักกันจากการแข่งขัน“Thailand'sGot Talent 2012” ซึ่งกลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้งหลังเข้าร่วมประกวดแข่งขันรายการ“JungleVoice”เรียลลิตี้ประกวดร้องเพลงที่ใหญ่ที่สุดในไต้หวันและหนึ่งในผู้เข้าแข่งขันที่สะดุดตากรรมการรวมทั้งคนดูจนถูกพูดถึงอย่างมากในไต้หวันคงเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก“น้องเกล”ซึ่งเป็นผู้แข่งขันที่อายุน้อยที่สุดในรายการพร้อมงัดทักษะการร้อง เต้นเล่นดนตรี แบบครบเครื่องจนได้รางวัล PopularVote มานั้นและด้วยความน่ารักบวกกับนิสัยเป็นกันเองของน้องเกลทำให้หลายคนต้องตกหลุมรักเข้าอย่างจัง
แม้ว่าการแข่งขันThailand's GotTalent 2012 ในขณะนั้นน้องเกลอายุเพียง6 ขวบจะสิ้นสุดลงแต่ความสามารถที่เกินอายุของน้องเกลไม่ได้สิ้นสุดที่รายการนั้นแต่ยังคงฝึกซ้อมและพัฒนาตัวเองพร้อมเดินตามหาสิ่งที่รักและมีความสุขสู่เวทีระดับอินเตอร์แล้วสาวน้อยคนนี้เคยคิดบ้างไหมว่าจากเวทีประกวดชื่อดังระดับประเทศในวันนั้นตัวเองจะสามารถโกอินเตอร์จนกลายเป็นความภาคภูมิใจของคนไทย
“ไม่ได้คิดเลยค่ะ ตอนที่ไปประกวดตอนนั้นอายุ6 ขวบ แม่อยากให้ไปเพราะเป็นคนขี้อายมากอยากให้กล้าแสดงออก เวทีThailand’sgot talnet เป็นเวทีแรกเลยค่ะส่วนรายการ JungleVoice ก็เป็น รายการที่สองที่ร่วมแข่งขันทั้งสองรายการที่เข้าร่วมปาป๊ากับแม่บอกเสมอว่าอย่าไปคิดว่าเรามาแข่งขันให้คิดว่าเรามาร้องเพลงให้คนดูฟังให้คนดูมีความสุขไปกับสิ่งที่เราทำแค่นั้น ผลการแข่งขันจะเป็นอย่างไรไม่สำคัญเลย
ต้องขอบคุณคนไทยทุกคนที่ร่วมเชียร์ ร่วมโหวตและให้กำลังใจน้องเกลมาตลอดทั้งที่ส่งผ่านมาทางโซเชียลต่างๆเช่น YutubeFacebook Instagram และบางครั้งที่ได้เจอกันตามที่ต่างๆในเมืองไทยน้องเกลรู้สึกภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมสร้างผลงานได้แสดงความสามารถของคนไทยให้ชาวต่างชาติเห็น ซึ่งการแข่งขันรายการ JungleVoice นี้ มีความยากมากทั้งในเรื่องของภาษา และระยะทางต้องใช้ความพยายามมากกว่าเดิมหลายเท่าแต่ก็ได้รับกำลังใจจากคนไทยที่มอบให้มาตลอด
ตอนที่ตัดสินใจเข้าร่วมรายการไม่ได้คาดหวังชัยชนะอะไรเลยค่ะคิดอย่างเดียวว่าเราไปทำในสิ่งที่เรารักและเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่ได้เพื่อมาพัฒนาตัวเอง แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาเป็นสิ่งที่เกินความคาดหมายมากเลยค่ะน้องเกลก็ดีใจมากค่ะที่จะได้มีโอกาสทำซิงเกิลเพลงภาษาจีนที่ไต้หวัน ซึ่งตอนนี้ก็มีการเริ่มคุยบ้างแล้วยังไงฝากติดตามผลงานของน้องเกลด้วยนะคะ”
ขอโชว์สกิลเพลงสากลแบบไม่ยั้ง!
“จริงๆน้องเกลเริ่มสนใจดนตรีตั้งแต่อายุประมาณ3 ขวบค่ะคือตอนนั้น ตามพี่ชายไปเรียนเปียโนแล้วเกิดอยากเรียนบ้างตอนแรกคุณครูก็บอกว่าสอนไม่ได้เพราะเล็กเกินไปให้โตกว่านี้ก่อน แต่ด้วยความอยากเรียนมากก็พยายามขอครูเรียน จนครูใจอ่อนให้ลองมากดคีย์เปียโนดูว่ามีแรงกดไหมปรากฏว่ากดคีย์ได้ครูเลยยอมให้มาเรียนเป็นนักเรียนที่เด็กสุดของครูเลยส่วนการร้องเพลงเริ่มหลังจากเรียนเปียโนมาได้สักพักประมาณอายุ 5ขวบ ก็ไปเรียนร้องเพลงกับเพื่อนๆเป็นเพลงเด็กๆ แต่ครูบอกว่าน้องเกลเป็นคนหูดีเพราะร้องเพลงตรงคีย์ไม่ค่อยเพี้ยน”
นี่คือประโยคเปิดเผยความสนใจในด้านดนตรีของน้องเกลที่เริ่มมาตั้งแต่อายุ3 ขวบความชอบและรักในเสียงเพลงทำให้น้องเกลได้กลายเป็นผู้ผ่านเข้ารอบรายการ“JungleVoice” อย่างไม่น่าสงสัย
“ช่วงสงกรานต์ปี 61คุณครูสอนอูคูเลเล่ได้ชวนน้องเกล ให้ไปร้องเพลงในงานอูคูเลเล่แถวสุขุมวิท และน้องเกลได้อัปโหลดคลิปการแสดงลงในชาแนล Youtube ของตัวเองซึ่งคลิปนี้น้องเกลร้องเพลงHavana และ Rapเพลง Superbassซึ่งมีการใช้เทคนิคที่เรียกว่า Looperเพื่อสร้างเสียงดนตรีหลายๆ ชิ้นขึ้นมา จากคลิปนี้ทางคนที่ไต้หวันเขาเห็นเขาเลยติดต่อมาทาง Fanpageของน้องเกลอยากชวนให้เข้าไปร่วมแข่งขันรายการนี้เพราะรายการเขาเปิดกว้างให้ผู้แข่งขันมาจากหลายๆ ประเทศได้ก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าร่วมรายการJungle Voice ค่ะ”
โดยการแข่งขันจะมีทั้งหมด7 รอบรอบแรกน้องเกลร้องเพลงสากลคือ เพลง Havana และรอบที่ 2 เป็นโจทย์เพลง ได้ร้องเพลงShape of you ส่วนรอบที่3 เป็นโจทย์เพลงอีกเหมือนกันซึ่งเป็นเพลงภาษาจีน ชื่อว่าเพลง Nia Nia (เนียเนีย) ที่ต้องร้องคู่กับกรรมการอย่าง JaniceYan ซึ่งเป็นเพลงภาษาจีนและภาษาท้องถิ่นไต้หวัน รอบที่ 4 เป็นการแข่งขันเป็นทีมมี 8 คนโดยมีชื่อทีมว่า YeTai Mei รอบนี้น้องเกล ร้องเพลงจีนชื่อเพลงว่า 布榖
พอมาถึงรอบที่ 5 ร้องเพลงจีนชื่อว่า 漂向北方S tranger In the North ซึ่งเป็นเพลงแร็ปภาษาจีนเพลงนี้เป็นเพลงที่ยากที่สุดที่ร้องในการแข่งขัน รอบที่ 6 เพลง 我愛你 WoAi Ni เพลงนี้เน้นการ Perform บนเวที โดยที่มีกีตาร์หรืออูคูเลเล่ส่วนรอบสุดท้าย รอบ Finalน้องเกลร้องเพลง 心花開 ซึ่งเพลงนี้เป็นเพลงภาษาท้องถิ่นไต้หวัน
“อุปสรรคใหญ่ที่สุดคือเรื่องของภาษาค่ะ เนื่องจากน้องเกลเพิ่งเรียนภาษาจีนยังไม่สามารถสื่อสารกับคนอื่นด้วยภาษาจีนได้ในการถ่ายทำจึงต้องใช้ล่ามแปลภาษาจีน-อังกฤษ และเพลงที่ร้องรอบหลังๆเป็นภาษาจีนทั้งหมดการฝึกซ้อมจึงต้อง ซ้อมมากกว่าคนอื่นเพราะนอกจากจะ ฝึกการจำเนื้อเพลงและร้องเพลงให้ถูกโน้ตแล้วต้องฝึกเรื่องการออกเสียงสำเนียงในการร้องให้ใกล้เคียงมากที่สุดในเวลาที่มีอยู่จำกัด
อย่างช่วงแรกๆก็มีเวลาซ้อมเยอะหน่อยค่ะแต่ช่วงหลังๆ ก็มีเวลาซ้อมแค่หนึ่งอาทิตย์และอุปสรรคอีกอย่างหนึ่งคือเรื่องระยะทาง เพราะว่าน้องเกลอยู่เมืองไทยจึงไม่สามารถไปฝึกซ้อมกับคุณครูและพี่ๆได้ จึงต้องฝึกซ้อมผ่าน VideoConference ค่ะ
ส่วนเวลาไปประกวดแต่ละรอบก็จะไปอยู่ประมาณ 3-4วัน ไปๆ มาๆ ระหว่างโรงแรมและสตูดิโอ แรกๆ ก็มีปัญหานิดหน่อยเพราะเวลาซ้อม ต้องซ้อมที่โรงแรมอุปกรณ์เครื่องดนตรีต่างๆก็ไม่ค่อยพร้อมเท่าไหร่ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเพื่อให้สามารถซ้อมได้ทันวันถ่ายทำ แต่รอบหลังๆไม่ต้องมีอุปกรณ์เครื่องดนตรีเยอะแล้วก็เลยไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไหร่ส่วนเรื่องอาหารการกินที่ไต้หวัน อาหารอร่อยมากค่ะอันนี้ไม่ต้องปรับตัวอะไรเลย(หัวเราะ)ที่จะต้องปรับตัวเยอะก็น่าจะเป็นเรื่องของภาษาที่เราไม่สามารถสื่อสารกับคนอื่นได้ เช่นนักดนตรีที่จะเล่นBackup ให้ต้องสื่อสารผ่านล่ามอย่างเดียวค่ะ”
กลั่นอารมณ์!ถ่ายทอดผ่านเพลง “ภาษาจีน”
“เหตุผลที่เลือกร้องเพลงจีนเริ่มมาจากการแข่งรอบที่สามมีโจทย์บังคับให้ต้องร้องเพลงจีนเลยต้องพยายามตั้งใจร้องให้ดีที่สุดแต่หลังจากร้องแล้วได้รับผลตอบรับที่ดีมากๆค่ะ และได้รับคำแนะนำจากครูหลายๆคนบอกว่ารอบต่อไปน่าจะร้องเพลงจีนอีกเพราะง่ายต่อการสื่อสารให้คนดูได้ดังนั้นรอบต่อๆ ไปจึงได้เลือกเพลงจีนมาร้องทั้งหมดค่ะ
สำหรับเพลงที่มีท่อนแร็ปจีนด้วยก็เป็นเพลงที่ยากที่สุดแล้วค่ะท้าท้ายตัวเองมากค่ะเหตุผลที่เลือกเพลงนั้นเพราะว่าทำนองมันเพราะด้วยแล้วความหมายของเพลงนั้นก็คล้ายๆเรื่องราวชีวิตของน้องเกลเป็นเหมือนกับคนที่ไปต่างประเทศแล้วต้องไปพิสูจน์ตัวเองค่ะ”
แววตาที่ดูมุ่งมั่นพยายามของเด็กสาวอายุ13 ปีบอกเล่าถึงความท้าท้ายของตัวเองที่เพิ่มขึ้นไม่ใช้เพียงแค่การร้องแบบธรรมดาแต่ต้องมีท่อนแร็ปเพิ่มเข้ามาไม่แค่นั้นเพลงที่นำมาแข่งขันยังมีเนื้อหาที่ตรงกับชีวิตของน้องเกลเพื่อถ่ายทอดให้คนไต้หวันได้รับรู้
“มันคล้ายๆ กับตัวน้องเกลค่ะเพลงจะพูดถึงคนที่เดินทางไปต่างแดนและต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการที่จะพิสูจน์ตัวเองให้คนอื่นเห็น แต่เพลงนี้เป็นเพลงที่ยากมากต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่สุดเพราะมีท่อนแร็ปที่ยาวมากๆ ถึง สองท่อนต้องจำเนื้อเพลงแร็ปและ ต้องออกเสียงให้ชัดเจนทั้งหมดภายในระยะเวลา 10 กว่าวัน แต่ก็เป็นการท้าทายตัวเองเหมือนกับความหมายของเพลงเลยค่ะแต่ในที่สุดก็ทำได้เป็นความภูมิใจมากเลยค่ะ”
ส่วนการทำความเข้าใจเพลงจีนเพื่อให้ถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้น้องเกลเล่าว่า ก่อนอื่นต้องหาคำแปลความหมายของเพลงโดยรวมจากอินเทอร์เน็ตว่าเพลงนี้สื่อถึงอะไรหลังจากนั้นจึงค่อยๆเน้นไปทีละท่อน ว่าท่อนนี้หมายถึงอะไรและจะสามารถสื่ออารมณ์เพลงไปให้ผู้ฟังได้อย่างไร หลังจากนั้น คุณครูก็จะสอนและแนะนำในการPerformว่าควรจะสื่อสารไปในทางไหนให้คนดูบ้าง
“เทคนิคที่ใช้ในรอบแรกก็จะเป็นเทคนิคการสร้างลูป (Loop) ที่เป็นเครื่องสร้างเสียงดนตรีหลายๆ ชิ้นในเพลงเดียวกันโดยเราต้องทำเสียงเครื่องดนตรีแต่ละชิ้น เช่น กลอง เบสกีตาร์ หรือเสียงร้องคอรัสแบบสดๆ ในรายการเลยเทคนิคนี้ต้องฝึกอย่างมากเพราะเราจะพลาดไม่ได้เลยถ้าทำเสียงผิดโน้ตหรือไม่ตรงจังหวะทั้งเพลงก็จะเสียไปหมดเลย ส่วนรอบหลังๆ ก็จะเน้นการPerformบนเวทีให้ถ่ายทอดอารมณ์เพลงให้กับคนดู ให้เขารู้สึก เศร้า หรือสนุก หรือ ยิ้มไปกับโชว์ของเราค่ะ
ถ้าถามถึงศิลปินคนโปรดของน้องเกลก็คือ Taylor Swift ค่ะแต่ถ้าเป็นศิลปินจีน ก็จะเป็นJay Chou แต่หลังจากไปแข่งขันแล้วได้เจอ เหล่าซือที่เป็นกรรมการในรายการหลายคนก็ชอบมากเลยค่ะ มี YogaLin (โยคะ หลิน),Jam Hsiao (เจมส์ เชา),Rainie Yang (เรนนี หยาง)และ Janice Yan(แจนิส ยาน)เหล่าซือในรายการเป็นศิลปินที่เก่งมากเลยค่ะได้เรียนรู้จากเหล่าซือหลายอย่างมากแล้วเอามาพัฒนาตัวเราให้ดียิ่งขึ้น
เมื่อมีโอกาสร่วมงานกับศิลปินไต้หวันน้องเกลรู้สึกเป็นเกียรติและดีใจมากเลยค่ะ เพราะศิลปินบางคนน้องเกลเคยเห็นแต่ในทีวีเช่น HaremYu ในรายการ TheVoice China หลายครั้งแล้วค่ะไม่นึกว่าจะได้มีโอกาสมาร้องเพลงด้วยกันทำให้ได้ประสบการณ์ที่มีค่ามากเลยค่ะเพราะว่าเขาเก่งมากๆช่วยสอนเทคนิคอะไรอย่างนี้ให้น้องเกลด้วยได้เห็นและรับรู้ถึงพลังที่เขาส่งมาให้น้องเกลตอนโชว์
แต่อีกคนอย่างเหล่าซือ Janice Yan ที่ร้องเพลง NiaNia ด้วยกันเหล่าซือสอนเกลหลายอย่างมากเลยค่ะในเรื่องการร้องไลน์ประสานในเรื่องอารมณ์เพลงเหล่าซือเป็นคนน่ารักมากเลยค่ะเกลก็ได้เรียนรู้หลายๆอย่างค่ะ อย่างเรื่องต้องการเป็นระเบียบวินัยต้องอดทน ต้องรู้จักรับผิดชอบค่ะ”
“ครอบครัว”ตัวช่วยสำคัญ ในวันที่สำเร็จ!
ระหว่างที่สาวน้อยเสียงใสต้องใช้เวลาในการบินไป-กลับไทยและไต้หวันอยู่บ่อยๆเพื่อถ่ายทำรายการจึงเป็นสาเหตุให้น้องเกลต้องขาดเรียนหลายวันทำให้ต้องเตรียมตัวไปคุยกับคุณครูแต่ละวิชาให้เตรียมงานหรือการบ้านที่จะให้ทำล่วงหน้ามาให้ก่อนเพราะการแบ่งเวลาอย่างถูกต้องก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อการเรียนของน้องเกลนั่นเอง
“ตอนที่เดินทางไปต่างประเทศช่วงเวลาว่าง เช่น บนเครื่องบินหรือขณะที่รอถ่ายทำก็จะเอางานหรือการบ้านขึ้นมาทำ เพื่อจะสามารถส่งงานคุณครูผ่านทางGoogle Clasroom ได้ทันตอนกลางคืนถ้ามีตรงไหนที่เราไม่เข้าใจก็จะใช้วิธีแชตหรือวิดีโอคอลถามเพื่อนให้อธิบายหรือส่งชีทมาให้ค่ะ และถ้าตอนสอบน้องเกลอยู่ต่างประเทศก็จะขอครูมาสอบภายหลังหลังจากกลับมาแล้วค่ะ
เทอมที่ผ่านมาน้องเกลก็ได้เกรด 3.82ค่ะ ดีใจมากเลยเพราะเป็นช่วงที่ต้องเดินทางไปต่างประเทศเพื่อประกวดบ่อยเลยต้องขาดเรียนบ่อยก็แอบลุ้นเหมือนกันค่ะกลัวผลการเรียนจะตกแต่พอผลออกมา ก็หายเหนื่อยเลยค่ะ”
นอกจากนี้คนสำคัญที่มีส่วนช่วยผลักดันน้องเกลมาถึงจุดนี้ได้คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากครอบครัวซึ่งคอยสนับสนุนตั้งแต่ตอนเพียง3 ขวบเท่านั้น
คนที่สำคัญที่สุดก็คือ ปาป๊า กับ แม่ค่ะเพราะสนับสนุนน้องเกลตั้งแต่เล็กๆเลย ที่เริ่มเรียนดนตรี คอยหาครูสอนดนตรี หรือร้องเพลงที่เก่งๆ เพื่อมาสอนน้องเกล คอยหาเพลงใหม่ๆหรือรูปแบบการเล่นดนตรีใหม่ๆมาให้ แม้กระทั่งตอนประกวดJungle Voiceก็ช่วยหาเพลงที่จะร้องแข่งขันว่าเพลงไหนเหมาะสมกับเกลบ้าง
ส่วนแม่ก็จัดตารางการเรียนและการทำงาน เพื่อไม่ให้กระทบกัน และก็จะมีคุณครูอีกหลายท่านเลยค่ะที่สอนดนตรี สอนร้องเพลงสอนการแสดงบนเวทีให้กับน้องเกลและที่ลืมไม่ได้แฟนคลับทั้งคนไทยและคนไต้หวันที่ให้กำลังใจน้องเกลมาตลอดทั้งผ่านทางข้อความในโซเชียลต่างๆหรือ บางครั้งเจอกันตามที่สาธารณะ ทำให้น้องเกลมีกำลังใจในการฝึกซ้อมเพื่อทำผลงานออกมาให้ดีที่สุดค่ะ
ไม่เพียงแค่คอยจัดสรรเรื่องเวลาในการฝึกซ้อมและทำงานของน้องเกลแต่สิ่งแรกที่ครอบครัวมักจะสอนเธอมาตลอดก็คือเรื่องการแบ่งเวลาให้เป็น
“คือน้องเกลต้องเรียนหนังสือด้วย เมื่อมีกิจกรรมอะไรที่น้องเกลต้องทำเช่น มีการแสดงโชว์ หรือการประกวดอะไร ต้องแบ่งเวลางาน เวลาฝึกซ้อม และเวลาเรียนให้เป็นเพราะถ้าเราแบ่งเวลาและมีวินัยแล้วก็จะสามารถทำงาน โดยไม่กระทบการเรียนได้ ส่วนถ้าเป็นเรื่องการประกวดแข่งขันแม่จะบอกตลอดเลยว่าอย่าไปคิดว่านี่คือการแข่งขันให้คิดว่า เรามาแสดงความสามารถมาทำสิ่งที่เรารักมาโชว์สิ่งที่เราฝึกซ้อมมาให้ดีที่สุดผลการแข่งขันจะเป็นอย่างไรไม่ใช่สิ่งสำคัญสิ่งสำคัญที่สุดคือการทำให้คนดูรับรู้และมีความสุขไปกับโชว์ของเราแค่นั้นก็พอแล้ว
สุดท้ายใครที่อยากจะเป็นนักร้องก่อนอื่นต้องมีความรักในสิ่งที่ทำก่อนค่ะถ้าเรารักการร้องเพลงรักการเล่นดนตรีเราก็จะทำสิ่งนั้นออกมาได้ดีและต้องมีความอดทน ขยันฝึกซ้อมก็จะทำให้เรามีการพัฒนาทักษะที่ดีขึ้นค่ะ”
สัมภาษณ์โดย :MGR Live
เรื่อง :สวรส พวงเกาะ
ภาพ :ธัชกร กิจไชยภณ
ขอบคุณภาพบางส่วน: เฟซบุ๊กGail Sophicha เกลโสพิชา
ขอบคุณสถานที่: COCO Chaophraya Coffee
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **