“ผมโกหกทุกอย่าง” เคลียร์ดรามา “ป๊อบ ปองกูล” ปมรัก-สาม-เศร้า เลือก “ปลา” เพราะไม่อยากสูญเสีย ส่วน “โบว์” เหลือเพียงพาร์ตเนอร์ธุรกิจ เรื่องงานอะไรจะเกิดก็เกิด ด้านคนดูแลศิลปินเผย ดรามามาไวไปไว คาดงานไม่หดเพราะคนที่รักยังมีอยู่!
เลือก “ปลา” เพราะไม่อยากเสียเธอไป
ยังคงเป็นประเด็นร้อนแรงให้ได้ตามกันต่อ สำหรับเรื่องราวความรักของนักร้องเสียงนุ่ม “ป๊อบ-ปองกูล สืบซึ้ง” ที่ออกมาสารภาพว่า เจ้าตัวทำการ “คบซ้อน” กับหญิงสาว 2 คน คือ “ปลา” แฟนสาวนอกวงการที่คบหากันมานานถึง 14 ปี ที่เพิ่งพากันเข้าสู่ประตูวิวาห์ไปหมาดๆ และ “โบว์” แฟนสาวที่สังคมทั่วไปรับรู้ว่าทั้งคู่ดูใจกันมากว่า 10 ปี และเปิดร้าน “ก๋วยเตี๋ยวบ้านผี” ร่วมกันอีกด้วย
ทันที่ที่งานมงคลสมรสของ “ป๊อบ - ปลา” ที่ถูกจัดขึ้นหลังจากที่ “ป๊อบ” ฉลองวันเกิดให้แก่ “โบว์” เพียง 1 วัน ถูกเปิดเผยออกมานั้น ก็กลายเป็นหัวข้อการพูดคุยครั้งใหญ่บนโลกโซเชียลฯ นักสืบออนไลน์ทั้งหลายต่างพากันขุดคุ้ยเส้นทางรักสามเส้าของ คน 3 คน จนพาให้แฮชแท็ก #ป๊อบปองกูล ทะยานขึ้นสู่อันดับต้นๆ ในโลกทวิตเตอร์
สำหรับสาเหตุที่ทำให้เรื่องราวนี้กลายเป็นที่พูดถึงอย่างมาก เนื่องจาก “ป๊อบ ปองกูล” เป็นศิลปินที่ได้ชื่อว่าเป็น “เจ้าพ่อเพลงอกหัก” อันดับต้นๆ ของวงการเพลงบ้านเรา โดยแต่ละเพลงมีเนื้อหาเข้าถึงอารมณ์ของฝ่ายที่ผิดหวังในความรักในอย่างบาดลึกไปถึงขั้วหัวใจ
ล่าสุด ความชัดเจนของเรื่องราวดรามานี้ ถูกเปิดเผยผ่านปากเจ้าบ่าวหมาดๆ ที่ตั้งโต๊ะแถลงข่าว ณ Star Hollywood Studio พุทธมณฑลสาย 5 โดยมีใจความสำคัญว่า เขาได้คบผู้หญิง 2 คนในเวลาเดียวกัน มันเกิดขึ้นจากความผิดของตนเองทั้งหมด เขาสร้างโลกขึ้นมาสองใบ ทั้งคู่ไม่เคยเอะใจ ที่โกหกเพื่อให้ทั้งคู่อยู่ด้วย และตนเองขี้ขลาดเกินไปที่จะบอกความจริง
“ผมไม่มีความสุขในการคบซ้อน ตอนนี้คุยกับครอบครัวทั้ง 2 ฝ่ายแล้ว ขอบคุณที่ครอบครัวทั้งคู่เข้าใจ หลังจากคุยกับโบว์ โบว์เข้มแข็งกว่าเยอะ ตอนนี้ลดความสัมพันธ์กับโบว์ หลังจากนี้เป็นเพียงพาร์ตเนอร์ทางธุรกิจ การตัดสินใจเลือกภรรยา ผมแต่งงานเพราะผมต้องไม่เสียเขาไป ผมไม่ได้เลือก ผมปล่อยมันไปตามสถานการณ์ของมัน
ผมรู้สึกผิดมากที่ทำร้ายชีวิตคนคนหนึ่งไป 10 ปี ในงานแต่งผมหายไปช่วงนึงเพื่อไปหาคุณโบว์ ผมคุยกันในรายละเอียดทั้งหมดว่าเกิดอะไรขึ้นที่ผ่านมาคืออะไร ผู้หญิง 2 คน เป็นผู้หญิงที่ไม่มีปัญหากัน ในวันที่เกิดเรื่องราว ผมต้องคิดถึงความรู้สึกทั้งสองฝ่ายมาก่อน ผมยอมรับว่าผิด อยากแบน อยากให้ออกนอกประเทศไปเลยก็ได้”
แน่นอนว่าเมื่อมีข่าวแบบนี้ออกมา ก็ทำให้สมาชิกโลกออนไลน์และแฟนคลับจำนวนไม่น้อย พากันประณามพฤติกรรม “คบซ้อน” ในชีวิตจริง ดูจะสวนทางกับผลงานที่ผลิตมา ซ้ำยังประกาศกร้าว “จะไม่ติดตามผลงานของเขาอีกต่อไป”
จากการตรวจสอบตารางงานของศิลปินผู้นี้ก็พบว่า ในแต่ละเดือนมีงานเข้ามาอย่างสม่ำเสมอ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นงานแสดงตามร้านอาหาร งานอีเวนต์ต่างๆ และงานตามเทศกาล ซึ่งมีการเดินสายทั่วประเทศ ส่วนผลงานบนจอแก้วที่สามารถตามชมได้ในช่วงนี้ คือการเป็นโค้ชคนใหม่ในรายการ The Voice Thailand 2018
นอกจากนี้ ยังมีตัวอย่างผลงานเพลงล่าสุดที่เพิ่งปล่อยออกมา คือเพลง “พรุ่งนี้ค่อย…” มีเนื้อหาพูดถึงการผิดศีลข้อ 3 รู้ดีว่าผิดแต่ก็จะทำ หัวใจมันไม่ฟัง ขอเวลาทำตามหัวใจ ซึ่งจังหวะเวลาในการปล่อยเพลงนี้ดันตรงกับช่วงที่เกิดเรื่องดรามาขึ้นอย่างพอดิบพอดี
ส่วนคอนเสิร์ตใหญ่ที่จะมีขึ้นในวันที่ 30 - 31 มีนาคม 2562 นี้ คือ “คอนเสิร์ต 4 แยกปากหวาน ตอน 2562 สี่แยกครองเมือง” นอกจากหนุ่มป๊อบแล้ว แล้ว ยังมี “อ๊อฟ-ปองศักดิ์ รัตนพงษ์” , “ว่าน-ธนกฤต พานิชวิทย์” , และ “โอ๊ต-ปราโมทย์ ปาทาน” ร่วมด้วย
ในระหว่างการแถลง เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า กังวลเรื่องผลกระทบเรื่องงานหรือไม่ นักร้องเสียงนุ่มให้คำตอบว่า “ตอนนี้หัวใจผมแตกสลาย ไม่มีสมองไปคิดเรื่องอื่น อะไรจะเกิดก็เกิดได้เลยครับ ผมสำนึกและมันเป็นสิ่งที่ผมควรจะได้รับ ผมขอโทษแฟนเพลงและผมเสียใจในการกระทำของผม ยินดีที่เราเคยรู้จักกันครับ”
คาดไม่กระทบงานและเงิน ข่าวฉาวมาไวก็ไปไว!
แน่นอนว่า นอกจากความชัดเจนของเรื่องราวนี้จากปากนักร้องเสียงนุ่มแล้ว ยังมีอีกประเด็นคือการตั้งคำถามถึงอนาคตต่อจากนี้ในการทำงานในวงการเพลงของเขา ทีมข่าว MGR Live ได้พูดคุยกับ เต๋า - เดชณรงค์ มีประโลม ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการวงและดูแลศิลปินมานานกว่า 7 ปี และปัจจุบันเป็น Artist Manager ให้กับวง getsunova ซึ่ง “ป๊อบ ปองกุล” นักร้องหนุ่มผู้ตกเป็นข่าวดังในขณะนี้ ก็เป็นศิลปินที่อยู่ในค่ายเดียวกันก็คือ White music ภายใต้สังกัด GMM Grammy นั่นเอง
ผู้จัดการวงดังให้ความเห็นถึงประเด็นร้อนนี้ ผ่านมุมมองของผู้ที่ใกล้ชิดและเคยดูแลศิลปินหลายวง ว่าการจัดการกับดรามาชามโตที่เกิดขึ้นกับตัวศิลปินไม่เพียงแค่กรณีนี้ของ “ป๊อบ” สิ่งที่ต้องทำอย่างแรก คือการออกมาชี้แจงให้สาธารณชนหมดข้อสงสัย และที่สำคัญ ต้องมีสติ ซึ่งป๊อบได้ทำในส่วนนี้แล้ว
“เวลามีประเด็นขึ้นมา โดยทั่วไปตามข่าวดาราก็จะเป็นการแถลงข่าว ก็ต้องนัดสื่อมาแถลงข่าว แต่ไม่ใช่ว่าทันทีทันใด ณ เวลาที่เกิดเรื่อง ไม่ใช่ว่ามีข่าวมาปุ๊บแล้วออกไปโต้เลย ก็ต้องรอเวลาและโอกาสที่เหมาะสมก่อน ว่าข้อมูลมันครบถ้วนอะไรยังไงครับ ผู้จัดการก็ต้องปรึกษากับทางตัวศิลปินด้วย ถ้าเป็นเรื่องจริงยังไงมันก็คือเรื่องจริงอยู่แล้ว ยังไงมันหนีไม่ได้
ถ้าเป็นผู้จัดการศิลปินก็คงจะไม่มีสิทธิที่จะไปอะไรกับเขาเพราะว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของเขาครับ เพียงแต่ว่าถ้ามันเป็นเรื่องจริงก็ปฏิเสธอะไรไม่ได้ ยังไงถึงเวลาความจริงมันก็ต้องปรากฏอยู่แล้ว อาจจะต้องรอเวลาและโอกาสที่เหมาะสมในการชี้แจงมากกว่าครับ
สำหรับศิลปินยังไงก็ต้องตั้งสติครับ ใจเย็นๆ แต่ถ้ามันเป็นเรื่องไม่จริง ก็ค่อยๆ อธิบายเหตุผลกันไป ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ขอโทษ ยอมรับไป ยังไงมันก็ต้องบอกสังคมอยู่แล้วแหละ แต่ว่าก็ไม่ต้องใช้อารมณ์ ต้องตั้งสติ ทุกอย่างอยู่ที่สติครับ”
ส่วนเรื่องของผลกระทบด้านรายได้และงานในวงการเพลงต่อจากนี้จะมีผลหรือไม่นั้น ผู้จัดการศิลปินดังวิเคราะห์ว่า ไม่น่าจะกระทบ เพราะอย่างที่รู้ กระแสข่าวดรามาบ้านเรา มาไวก็ไปไว
“เอาจริงๆ เราอยู่วงการนี้เราก็รู้ว่ามันเป็นข่าวดังแป๊บเดียว เดี๋ยวก็ไป วงการมายามันเป็นแบบนี้แหละ เพียงแต่อยู่ที่เราที่จะทำให้มันดูซอฟต์ที่สุด นุ่มนวลที่สุด ไม่ได้ไปเถียงสื่อ เพราะเราก็ต้องน้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่ากับสื่ออยู่แล้ว ก็ต้องค่อยๆ ประนีประนอม คุยกันดีๆ คุยกันด้วยเหตุและผล ไม่ต้องออกไปเถียงสังคม ยังไงเราสู้สังคมไม่ได้อยู่แล้ว
ผมว่าไม่มีผลกระทบเท่าไหร่ครับ เพราะว่าอย่างศิลปินไปเล่นตามสถานที่ต่างๆ มันถูกวางไว้หมดแล้ว เรามีหน้าที่ไปเล่น ไม่ได้เกี่ยวว่าภาพลักษณ์ของบุคคลนั้นจะเป็นยังไง แต่เรื่องผลกระทบกับงาน ผมว่าไม่น่าจะเกี่ยวเท่าไหร่ เพราะว่าคนจ้างเขาก็น่าจะแยกแยะออก ไม่ใช่อย่างศิลปินบางท่านที่มีคดีความอะไรแบบนั้น โอเค อันนั้นมันเรื่องของเจ้าภาพแล้ว
ส่วนในกรณีของคุณป๊อบ ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน ไม่รู้เลยว่าจะเป็นอะไรยังไง แต่ส่วนมากถ้าเป็นคอนเสิร์ต มันจะมีการขายบัตรออกไปหมดแล้ว ยังไงคนที่เขารักก็ยังรักอยู่ เขาก็ยังเชื่อในตัวของศิลปินคนนั้นอยู่ครับ”
สุดท้าย ในฐานะที่ดูแลศิลปินมานาน ผู้จัดการวงดนตรีชื่อดังมองว่า หน้าที่ของคนดูแลศิลปินคือการคอยแนะนำการวางตัวต่างๆ ไม่สามารถไปก้าวก่ายชีวิตส่วนตัวได้ แต่หากเมื่อมีข่าวในทางลบ และศิลปินออกมายอมรับการกระทำของตนเอง สังคมคงไม่ใจร้ายเกินกว่าที่จะไม่ให้อภัย
“ในความคิดเห็นของผมนะครับ ถ้าเขาออกมายอมรับความจริง ผมว่าสังคมให้อภัยอยู่แล้วล่ะ สังคมคงไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้น ถ้าเขาออกมาขอโทษว่าทำผิดจริง ผมว่าโอเค จบ ทุกอย่างจบ อย่างที่ผ่านๆ มา ที่เราเห็นๆ กัน
จริงๆ แล้วเรื่องนิสัยส่วนตัวเราห้ามเขาไม่ได้อยู่แล้วครับ แต่ว่าเราก็พยายามบอกว่ามันต้องอย่างนี้ๆ นะ ประมาณนี้นะ ที่มันดูไม่น่าเกลียด มันดูสุภาพ แต่เรื่องนิสัยส่วนตัวพอหลังงานเราห้ามเขาไม่ได้แล้ว สมมติว่าเขาจะไปเที่ยวไปอะไร เราห้ามเขาไม่ได้ แต่ถ้าอยู่ในงานต้องมีสัมมาคารวะ ตรงต่อเวลา เราต้องช่วยดูภาพลักษณ์ให้มันโอเค อะไรก็ว่ากันไป”
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **