xs
xsm
sm
md
lg

อยากปลุกใจ กลับเสี่ยงปลุกระดม!! "หนักแผ่นดิน" เนื้อเพลงลบ ย้ำประวัติศาสตร์เดือด

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


“คนหนักแผ่นดินคือคนเห็นต่างจากรัฐบาล”นักวิชาการหวั่นประวัติศาสตร์“สังหารหมู่” ซ้ำรอยหากใช้เนื้อหารุนแรงปลุกระดมประเทศเตือนให้ใช้เพลงแง่บวกก่อนการเมืองจะเดือดเพราะ"เพลงรักชาติแง่ลบ"เป็นเหตุ!!

ทบ.สั่งเปิด-ปิด"เพลงแนวปลุกใจ"

จากกระแสบทเพลง“หนักแผ่นดิน” ที่ พล..อภิรัชต์คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.)และเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)สั่งเปิดเพลงแนวปลุกใจทหารพร้อมให้ สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย(พท.)ไปฟังเพลงหนักแผ่นดินเนื่องจากชูนโยบายตัดงบกลาโหม10 เปอร์เซ็นต์และยกเลิกการเกณฑ์ทหาร

สำหรับเพลงหนักแผ่นดินหากจะนำมาเปิดจริงๆก็ทำให้คนในสังคมกลับมองเห็นถึงความไม่เหมาะสมที่จะเอามานำเสนอเพราะเป็นเพลงที่เคยใช้ปลุกระดมเพื่อต่อต้านคอมมิวนิสต์ก่อนจะนำมาสู่การล้อมปราบนักศึกษาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์จนเกิดการต่อสู้และสูญเสียในที่สุด

โดยเพลงหนักแผ่นดินได้แต่งขึ้นมาเมื่อปี พ..2518ออกอากาศทางสถานีวิทยุจ..กรมการสื่อสารทหารบกกองทัพบก ในการต่อสู้ทางการเมืองกับ“ขบวนการคอมมิวนิสต์” ช่วงพ..2518-2523 แต่งโดย พ..บุญส่งหักฤทธิ์ศึก ขับร้องโดยส..อุบลคงสิน และ ศิริจันทร์ อิศรางกูรณ อยุธยา และยังถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ชื่อ“หนักแผ่นดิน” กำกับโดยสมบัติ เมทะนี แสดงนำโดยสมบัติเมทะนี และนัยนา ชีวานันท์ทั้งนี้เพลงดังกล่าวมีเนื้อร้องว่า

คนใดใช้ชื่อไทยอยู่กายก็ดูเหมือนไทยด้วยกัน ได้อาศัยโพธิ์ทองแผ่นดินของราชันย์แต่ใจมันยังเฝ้าคิดทำลาย คนใดเห็นไทยเป็นทาสดูถูกชาติเชื้อชนถิ่นไทย แต่ยังฝังทำกิน กอบโกยสินไทยไปเหยียดคนไทยเป็นทาสของมัน

หนักแผ่นดินหนักแผ่นดิน คนเช่นนี้เป็นคนหนักแผ่นดิน(หนักแผ่นดิน) หนักแผ่นดิน หนักแผ่นดินคนเช่นนี้เป็นคนหนักแผ่นดิน(หนักแผ่นดิน)

คนใดยุยงปลุกปั่นไทยด้วยกันหวังให้แตกกระจาย ปลุกระดมมวลชนให้สับสนวุ่นวายเพื่อคนไทยแบ่งฝ่ายรบกันเอง
คนใดหลงชมชาติอื่นชาติเดียวกันเขายืนข่มเหงได้สินทรัพย์เจือจานก็ประหารไทยกันเองทีชาติอื่นเกรงดังญาติของมัน

คนใดขายตนขายชาติได้โอกาสชี้ทางให้ศัตรูเข้าทลายพลังไทยให้สลายทางสู้เมื่อศัตรูโจมจู่เสียทีมันคนใดคิดร้ายราวี ประเพณีของไทยไม่ต้องการ เกื้อหนุนอคติ เชื่อลัทธิอันธพาลแพร่นำมันมาบ้านเมืองเรา”


นอกจากนี้อีกด้านของฝั่งการเมืองอย่างพรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ก็ได้แนะทางฝ่ายทหารให้ไปหาฟังเพลง"ประเทศกูมี"แทนน่าจะสะท้อนความจริงได้มากกว่า

ถ้าอยากฟังเพลงที่ทันสมัยควรฟังประเทศกูมีหลายๆรอบจะดีกว่า ซึ่งถึงตอนนี้เพลงประเทศกูมียอดวิวกว่า56 ล้านวิวแล้วเทียบกันแล้วย่อมเห็นได้ว่าประชาชนต้องการฟังอะไรและมีจุดยืนทางการเมืองอย่างไรทุกคนอยากเห็นความเปลี่ยนแปลงของประเทศ”

ทว่าหลังจากที่มีกระแสสั่งเปิดเพลงเหล่านั้นออกอากาศได้ไม่นานทางกรมกิจการพลเรือนทหารบกก็ได้แจ้งให้ผู้จัดรายการสถานีวิทยุในเครือกองทัพบกงดเปิดเพลง หนักแผ่นดินมาร์ชกองทัพบก และความฝันอันสูงสุดในรายการวิทยุของ ทบ.ทั้งหมดเพราะหวั่นผู้ไม่หวังดีบิดเบือนและจะทำให้สังคมนำไปตีความในทางที่ผิด

ก่อนหน้านี้ทางดร.ศิลป์ชัยเชาว์เจริญรัตน์ นักวิชาการด้านศาสนวิทยาก็ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ก“ศาสนวิทยา dr.SinchaiChaojaroenrat โดยเล่าประวัติเพลง“หนักแผ่นดิน”ว่าเป็นการปลุกเร้าคนฟังให้เกลียดชังคนเห็นต่าง

ถ้าวิเคราะห์จากนักวิชาการด้านศาสนวิทยาชื่อดังอย่างดร.ศิลป์ชัยเชาว์เจริญรัตน์ที่แสดงความคิดเห็นผ่านปลายสายกับทีมข่าวMGR Liveเพิ่มเติมถึงกรณีการนำเสนอเพลงหนักแผ่นดินได้มองว่าเนื้อเพลงเช่นนี้สามารถฝังเข้าไปในใจทั้งยังเป็นวิธีการสะท้อนให้เห็นการปลูกฝังอุดมการณ์อีกด้วย

โดยการร้องเพลงอย่างนี้ก็แล้วแต่ว่าจะปลูกฝังแบบไหนและยังมีการสร้างภาพยนตร์พระเอกก็คือ สมบัติ เมทะนีซึ่งเป็นที่นิยมนั่นทำให้อุดมการณ์เหล่านี้ฝังลึกเป็นวิธีการปลูกฝังอุดมการณ์ในใจของประชาชนแต่เพลงนี้มันถูกแต่งและนำเสนอในปีพ..2518 เพียงแค่ภายในปีเดียวพอวันที่ 6..2519 เท่านั้นเอง ก็มีวันมหาวิปโยค

แสดงว่าเพลงมันได้ผลแล้วคนก็ถูกปลุกเร้าปลูกฝังจนกระทั้งมีความเกลียดชังคนที่มีแนวคิดที่ชื่อว่าคอมมิวนิสต์หรือว่าคิดแตกต่างในเรื่องเหล่านี้คิดแตกต่างจากอุดมการณ์รัฐนี้ไม่ได้เลยนะพอถึงวันที่สถานการณ์มันสุกงอมความเกลียดชังคนมันเต็มที่เราจึงเห็นภาพที่นักศึกษาที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์หรือพวกเอียงข้างถูกแขวนคอแล้วมีการฆ่ากัน ทำร้ายกันแล้วคนก็หัวเราะรู้สึกสะใจคนไทยเวลานั้นรู้สึกสะใจที่ได้ทำอย่างนี้ทั้งๆ ที่คนในประเทศเมืองพุทธก็น่าจะมีใจเมตตากรุณา หรือสงสาร แต่เวลานั้นไม่มีใครสงสารเพราะเพลงหนักแผ่นดินมันกระตุ้นเร้าให้เห็นว่ามันสมควรแล้วที่คนเหล่านี้จะต้องโดนแบบนี้”

“ปลูกฝังอุดมการณ์”รักชาติ-รักแผ่นดิน!?

เมื่อย้อนกลับมาถามถึงประเด็นที่ในอดีตสมัยนั้นต้องมีการเปิดเพลงเพราะเหตุผลอะไรดร.ศิลป์ชัยกล่าวว่า เวลานั้นรัฐบาลมองว่าคนที่มีความคิดเห็นในเชิงลัทธิคอมมิวนิสต์จะไม่เอาระบอบกษัตริย์และไม่เอาเรื่องศาสนาจึงกลัวว่าจะมากระทบอุดมการณ์ของประเทศจึงสร้างเพลงนี้ขึ้นมาเพื่อให้คนเกลียดชังคนที่มีความคิดอย่างนี้ขณะเดียวกันนอกจากเกลียดชังแล้วก็สอดส่องกันและกันด้วยถ้าใครมีอะไรที่เห็นแตกต่างในประเด็นเรื่องเหล่านี้ก็เหมือนหนักแผ่นดินเป็นศัตรูของรัฐไปหมด

รัฐบาลในยุคนั้นก็แต่งเพลงนี้ขึ้นมาแล้วก็ให้มีการขับร้องแพร่กระจายทางวิทยุ โทรทัศน์ทุกวันเลยแล้วก็โรงเรียนทุกโรงเรียนก็สอนให้นักเรียนร้องคนไทยทุกคนเลย ร้องได้แล้วก็ซ้ำๆมันก็เหมือนเพลงฮิตเหมือนเราได้ยินในโทรทัศน์ทุกวันวิทยุทุกวัน คนไทยทุกคนร้องได้หมดเลย”

หากดูจากเนื้อหาที่บอกว่า“คนใดใช้ชื่อไทยอยู่กายก็ดูเหมือนไทยด้วยกัน”ตรงนี้ก็คือ เพลงเน้นปลุกความรักชาติแล้วมองหาศัตรูที่เป็นคนไทยด้วยกันแน่นอนว่าบริบทของสถานการณ์ก็อาจจะเป็นพวกคอมมิวนิสต์แต่ที่จริงแล้วก็ไม่จำเป็นต้องเป็นอย่างนั้นแค่มีความคิดเห็นที่แตกต่างกันในบางเรื่องก็สามารถถูกมองว่าเป็นศัตรูของชาติ

ขณะเดียวกันเนื้อเพลงนี้เหมือนกับให้คนไทยสอดส่องคนไทยด้วยกันถ้าใครที่คิดไม่เหมือนเราในเรื่องนี้ที่คิดเรื่องนโยบายรัฐไม่เหมือนกับที่รัฐบอกถือว่าเป็นศัตรูนะครับแล้วก็ยิ่งกว่านั้นโดยเนื้อเพลงไม่ใช่แต่เป็นศัตรูแบบทั่วไปแต่มองว่าเป็นคนที่หนักแผ่นดิน

หนักแผ่นดินมีความหมายโดยนัยยะว่าไม่สมควรอยู่อยู่แล้วเป็นภาระหรือเป็นปัญหาของประเทศกับมิติที่สองก็คือเป็นคนเนรคุณต่อชาติโดยลักษณะของเนื้อหามันออกมาอย่างนั้นแล้วก็แน่นอนว่าโดยลักษณะทำนองปลุกใจให้ฮึกเหิมแล้วใช้ถ้อยคําหนักแผ่นดินย้ำๆเป็นลักษณะการตอกย้ำให้เห็นว่าให้อยู่ไม่ได้ไม่ควรจะอยู่ในแผ่นดินนี้แล้วกระตุ้นให้เกิดความเกลียดชังพอเพลงนี้ได้ฟังมากๆหรือร้องมากๆไม่มีทางเลยที่จะไม่เกิดความเกลียดชังต่อคนที่เห็นต่างจากเรานะครับ

ส่วนนัยยะทางการเมืองของเพลงนี้ที่ชัดเจนก็คือคนที่หนักแผ่นดินก็คือคนที่มีความคิดเห็นทางการเมืองแตกต่างจากนโยบายของรัฐแต่ก็แล้วแต่ว่ารัฐจะกำหนดไว้อย่างไรยกตัวอย่างเช่น ชาติ ศาสน์กษัตริย์ ก็แล้วแต่ว่า ชาติศาสน์ กษัตริย์ต้องเป็นแบบไหนถ้าเกิดว่าคิดเห็นต่างในบางเรื่องก็จะถูกเหมารวมว่าพวกนี้ต่อต้านระบบบางทีสมมติว่าคนเห็นต่างเรื่องชาติ ศาสนา ก็เท่ากับว่าต่อต้านชาติไปด้วยคนคิดเห็นแตกต่างเรื่องม.112ก็เท่ากับว่ามีปัญหาเป็นปฏิปักษ์กับชาติไปด้วยเพราะฉะนั้นอะไรนิดหน่อยถ้าลองไปแตะอะไรในเรื่องอย่างนี้คือถือถูกว่าเป็นปฏิปักษ์กับชาติและกลายเป็นคนหนักแผ่นดินรวมไปหมดเลย”

แน่น่อนว่าเพลงเหล่านี้ถูกเขียนโดยใส่จิตวิทยาการเมืองเป็นจิตวิทยาการแต่งเพลงดังนั้นต้องยอมรับว่าการแต่งเพลงโดยทั่วไปนั้นเข้าถึงอารมณ์ความรู้สึกคนได้ดีสามารถซึมลึกไปในจิตใจหากใส่เนื้อหาในทางดีก็จรรโลงใจแต่ถ้าใส่เนื้อหาในทางไม่ดีก็พาให้คิดไปในทางไม่ดี

แต่ในทางจิตวิทยาจะมีผลลัพธ์มากครับเพราะถ้าคนได้รับการกล่อมเกลาจากเพลงจากบทดนตรี จนกระทั่งเชื่ออย่างนั้นเราเชื่อแล้วเราคิดแบบนั้นมีรสนิยมแบบนั้นถ้าเนื้อมันชักนำเราไปในทางดีมันก็ดีแต่ถ้ามันชักนำเราไปในทางที่เกลียดชังมองคนอื่นก็หวาดระแวงและไม่เปิดใจในการรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างถ้าคนซึมลึกเข้าไปแบบนี้ก็น่าห่วงประเทศนั้นก็เต็มไปด้วยความหวาดระแวงและไม่พร้อมจะคุยกันด้วยเหตุด้วยผล

ก็ต้องบอกว่าเรื่องของเพลงปลุกใจก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกชาติก็คงมีอย่างน้อยเพลงชาติทุกชาติก็ย่อมจะเชิญชวนหรือว่าชักนำให้คนเรารักชาติมันก็มีอยู่แล้วแต่ต้องระวังว่าการใช้บทเพลงอะไรก็แล้วแต่ในเชิงให้คนรักชาติต้องเน้นให้รักชาติในแง่บวกอย่าไปรักชาติในแง่ลบมากเพราะว่าถ้ามันชักนำไปในทางไม่ดีแล้วมันซึมลึกในใจคนมีผลต่อใจคนมากกว่าที่คิด

สุดท้ายเลยก็กลัวว่าเหตุการณ์แบบสมัยก่อนจะเกิดอีกเพราะเมื่อก่อนตายกันเยอะเป็นวันมหาวิปโยค แสนเศร้าเป็นบาดแผลแล้วทุกวันนี้ก็ยังแก้ไขไม่จบเลยคนยังเกลียดกันเพราะเรื่องนี้อยู่เพราะไม่มีการจัดการไม่มีการตัดสินว่าตกลงใครผิดใครถูกเพราะฉะนั้นความเจ็บช้ำมันยังคงมีบาดแผลเหลือถึงทุกวันนี้แล้วไม่ใช่แผลเป็นนะแต่เป็นแผลสดอยู่เลยแล้วถ้าเกิดทหารมีการพูดว่าจะเปิดเพลงนี้อีกมันก็เท่ากับว่า 1.สร้างบรรยากาศแห่งความกลัวขึ้นมาทันที2.มันทำให้เกิดการแตกแยกในประเทศเพราะมีคนที่เห็นต่างในแต่ละฝั่ง3.ทำให้ประเทศยังตกอยู่ในความเป็นเผด็จการก้าวไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยเป็นระบบที่ปกติทั่วโลกเป็นกันไม่ได้เสียที”

ข่าวโดย MGRLive



 
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **



กำลังโหลดความคิดเห็น