แม้ท้ายที่สุดแล้ว “เดียร์” เจ้าของปรากฏการณ์ “วิวาห์ ณ โรงพยาบาล” จะอยู่สู้ “มะเร็ง” ต่อไม่ไหวแล้ว แต่ “กุ๊ก” เจ้าบ่าวผู้มีความรักมั่นคงในหัวใจ ยังคงเชื่อใน “ปาฏิหาริย์” ว่ามีอยู่จริง เพียงแค่ไม่ได้ทำให้คนรักของเขามีลมหายใจอยู่ต่อไป แต่ทำให้เธอได้จากไปพร้อมกับ “รักแท้” ที่ใครต่อใครต่างเฝ้าฝันถึง
และบทพิสูจน์บทหนักๆ ของชีวิต ที่บอกเล่าผ่านลมหายใจของคนคู่นี้เอง ที่จะทำให้ใครอีกหลายคน ได้หันมามองเห็นคุณค่าของสิ่งที่ยังคงมีอยู่ในมือ คุณค่าของสิ่งที่เรียกว่า “เวลา” ตราบเท่าที่คนบนฟ้ายังไม่พรากจากเราไป...
ไม่สำคัญว่า “แต่งที่ไหน” สำคัญว่า “แต่งกับใคร”
ภาพสายออกซิเจน-สายน้ำเกลือระโยงระยาง ภายใต้ชุดสีขาวฟูฟ่องของผู้ที่ถูกเรียกว่าเป็น “เจ้าสาว” ซึ่งเคียงคู่มากับรอยยิ้มแห่งความหวังของผู้เป็น “เจ้าบ่าว” ช่างเป็นภาพที่ช่วยสร้างแรงกระแทกบางอย่าง ให้เกิดขึ้นภายในใจของผู้ที่พบเห็นได้อย่างมากมายมหาศาล
โดยเฉพาะเมื่อได้รับรู้ว่า ฝ่ายหญิง “เดียร์-ชนัญธรัฐ ปันทะรส” กำลังป่วยเป็นมะเร็งตับระยะสุดท้าย ยิ่งส่งให้ใครต่อใครต่างชื่นชมในความรัก ที่ผู้ชายคนนี้มีให้ “นางฟ้าของเขา” มากขึ้นเป็นทวีคูณ ผู้ชายที่ชื่อ “กุ๊ก-จักรพันธ์ กิจเจริญไชย”
แม้ว่าหลังจากนั้น สถานะของ “เจ้าสาวหมาดๆ” จะมีระยะเวลาเพียง 9 วัน นับจากวันแห่งการให้คำสัตย์ปฏิญาณแก่กัน เมื่อวันที่ 29 ธ.ค.ปีที่แล้ว ก่อนมาสิ้นสุดในวันที่ 7 ม.ค.ที่ผ่านมา แต่สำหรับ “เจ้าบ่าว ณ โรงพยาบาล” อย่างกุ๊กแล้ว มันคือช่วงเวลาแห่งความประทับใจ และมีความหมายที่สุดแล้วครั้งหนึ่งในชีวิต
“ความรู้สึกของเรา วันนั้นมันคือความสุข (ยิ้มกว้าง) เพราะมันคือการได้ทำให้ผู้หญิงคนนึงมีความสุข ได้ทำในสิ่งที่เขาอยากจะทำมาตลอด มันคือเรื่องที่เราตั้งใจกันเอาไว้ อย่างน้อยๆ การแต่งงานก็น่าจะช่วยให้เขารู้สึกดีได้
จริงๆ เราเคยคุยกันไว้นะครับว่า อยากใช้เพลง “Day 1” มาเป็นเพลงเปิดตอนที่เราเดินเข้างานแต่งงาน เพราะตัวเพลงมันสื่อความหมายถึง ความรู้สึกขอบคุณมากๆ ที่เธออยู่กับฉัน ตั้งแต่วันที่ฉันไม่มีอะไรเลย จนมาถึงวันนี้ได้
ถึงสุดท้ายเราจะไม่ได้ทำความฝันเรื่องนั้นให้เป็นจริง ไม่ได้จัดงานแต่งอย่างที่เคยวาดภาพเอาไว้ แต่สำหรับกุ๊ก มันไม่สำคัญแล้วครับว่าจะแต่งที่ไหน มันสำคัญว่าเราแต่งกับใคร มันสำคัญว่าเรากำลังรู้สึกยังไง กำลังทำให้เขารู้สึกอะไร กุ๊กมองตรงนี้มากกว่า
ก็มีเหมือนกันนะครับที่บางคน-บางคอมเมนต์ เขาพูดถึงการแต่งงานในโรงพยาบาลของเราเอาไว้อีกมุมว่า แต่งในโรงพยาบาลทำไม มันสกปรก (ยิ้มบางๆ) แต่กุ๊กไม่เคยเห็นคำคอมเมนต์พวกนั้นเองนะครับ เพราะที่ขึ้นใน feed ของกุ๊ก จะไม่มีอะไรที่ลบๆ เลย อันนี้เป็นคอมเมนต์ที่เพื่อนเห็นแล้วมาบอก
แต่เราก็มองมันอย่างเข้าใจไปว่า โลกมันมี 2 ด้านเสมอ เขาเลยอาจจะคิดไปแบบนั้น แต่ถ้าเป็นเขาที่ได้มาอยู่จุดนี้ เขาก็อาจจะมีความคิดอีกแบบนึงก็ได้”
ถ้ารู้ว่าหลังจากวันนั้น คู่ชีวิตของตัวเองจะต้องจากไปแน่ๆ ยังจะตัดสินใจแต่งงานกับเขาอีกไหม? ไม่ต้องรอให้เว้นช่องว่างระหว่างลมหายใจ คนตรงหน้าก็ตอบกลับมาทันทีด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “แต่งครับ” ก่อนต่อท้ายด้วยการย้ำถ้อยคำเดิมอีกทีแบบเบาๆ ว่า “แต่ง” คล้ายกำลังคุยกับความรู้สึกภายในใจของตัวเอง หรือไม่ก็คุยกับใครคนนั้น ที่ยังคงอยู่ในใจมาจนถึงวินาทีนี้
“พูดตรงๆ ว่า ที่บ้านกุ๊กเอง เขาก็ห่วงเราอยู่เหมือนกันว่า เราจะเข้าใจไหมว่าโรคนี้มันไปเร็วมากนะ ต้องทำใจนะ ซึ่งกุ๊กก็ปฏิเสธทั้งหมด บอกว่ามันทำไม่ได้หรอก ไม่มีใครทำใจได้หรอกมั้ง แล้วก็ห่วงว่าเราจะทำงานไหวไหม จะใช้ชีวิตต่อไปยังไง แต่ตอนนั้นกุ๊กถามตัวเอง แล้วก็มีแค่คำตอบเดียวก็คือ ยังไงก็จะแต่ง
เพราะจริงๆ แล้ว เรา plan กันไว้ว่าจะแต่งกันอยู่แล้วครับ ตั้งแต่ตอนที่ยังไม่รู้ว่าป่วยเลย เรากำลังอยู่ในช่วงเดินสายไปเจอเพื่อน เจอญาติๆ เพื่อที่จะบอกข่าวกับพวกเขาว่า เราจะแต่งงานกันแล้วนะ
เราเดินทางไปบอกก๊งของกุ๊กแล้วด้วยว่าจะแต่ง ซึ่งถือเป็นตัวหลักคนสุดท้ายแล้วที่ต้องบอก นอกนั้นก็เหลือแค่เรื่องเตรียมงาน แต่หลังจากไปบอกเสร็จ วันถัดมาเดียร์ก็รู้สึกแน่นลิ้นปี่ เราเลยไปตรวจกันที่โรงพยาบาล แล้วก็มาเจอว่าเป็นมะเร็ง”
จากอาการจุกเสียดแน่นท้องก่อนหน้านั้น จนเป็นเหตุให้ฝ่ายหญิงต้องเข้าโรงพยาบาลบ่อยครั้งมากขึ้น แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังไม่เคยตรวจพบสาเหตุที่แท้จริงว่า เกิดอะไรขึ้นกับระบบร่างกายที่รวนผิดปกติ ทั้งคู่จึงไม่เคยคิดระแคะระคายว่าจะเป็นโรคร้าย เดากันไปว่าอาจเป็นอาการของโรคกระเพาะกำเริบมากกว่า
กระทั่งได้มาทราบภายหลังว่า ต้นเหตุที่แท้จริงมาจากเชื้อ “ไวรัสตับอักเสบบี” ที่ลุกลามจนก่อเป็น “มะเร็งตับระยะสุดท้าย” อย่างไม่มีใครคาดถึง
หลังจากที่พอจะตั้งสติจากข่าวร้ายได้บ้าง สิ่งแรกๆ ที่กุ๊กนึกขึ้นได้ ก็คือความฝันเรื่อง “แต่งงาน” เขาจึงตัดสินใจขอฝ่ายหญิงอย่างเป็นทางการครั้งแรกในเดือน ต.ค.ปีที่แล้ว เพราะไม่อยากเสียเวลาไปกับคำว่า “รอ” อีก แต่ก็ถูกมุมมองของคนรักเบรกเอาไว้ ด้วยความรู้สึกเชื่อสุดหัวใจว่า จะต้องหายได้แน่ๆ จึงอยากให้สภาพร่างกายที่กำลังทรุดลงในขณะนั้น ดีขึ้นกว่านี้ให้ได้เสียก่อน แล้วค่อยเดินเข้าเรือนหอไปด้วยกัน
“ตอนนั้นกุ๊กก็ฟังเดียร์นะ เพราะมันต้องมีคนนึงยอม (หัวเราะเบาๆ) ก็เลยตกลงตามนั้นว่า ถ้าเธออยากให้ดีกว่านี้ก่อนก็ได้ ส่วนตัวกุ๊กเองก็กลับมาสำรวจความคิดตัวเองว่า ทำไมเราถึงอยากแต่งไวๆ เป็นเพราะเรายังไม่เชื่อสุดใจ เท่ากับที่เดียร์เชื่อเลยใช่ไหมว่า เดียร์จะหาย กุ๊กก็เลยกลับมาปรับความคิดใหม่ คิดว่าพยายามให้ถึงที่สุดดูก่อน แต่สุดท้าย พออาการเขาดูไม่ดีขึ้นจริงๆ ก็เลยตัดสินใจแต่งเลย วันที่ 29 ธ.ค.
มันก็เหลือเชื่อและดูเวอร์เหมือนกันนะ เพราะวันนั้นมันเป็นวันสุดท้ายเลย ที่เดียร์เขาดูมีสติมากที่สุด มีสติถึงขั้นรู้ว่าจะต้องทำอะไร เพราะหลังจากวันนั้น เดียร์ก็เบลอมากๆ ไม่รู้ว่ากี่โมงแล้ว วันที่เท่าไหร่แล้ว
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเพิ่งลุกขึ้นมานั่ง แล้วนอนลงไป แต่จะลุกขึ้นมานั่งใหม่อีกรอบ หรือไม่รู้แม้แต่ว่ากำลังอมน้ำอยู่ในปาก แล้วหลังจากนั้น วันที่ 7 ม.ค.ช่วง 4 ทุ่ม เขาก็ไป
จริงๆ แล้ว กุ๊กก็เคยเจอกับเรื่องความสูญเสียมาก่อน เพียงแต่มันไม่ได้ส่งผลกับเราเท่าครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นตอนอาแปะ หรือตอนที่แม่กุ๊กเสีย เพราะตอนนั้น กุ๊กอายุแค่ 6-7 ขวบ มันก็เลยทำให้เรายังไม่เข้าใจอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เท่าไหร่
แต่พอมาเกิดกับเดียร์ มันก็ทำให้เราช็อกไปเลย เรา plan เอาไว้หมดทุกอย่างแล้วว่า เดี๋ยวแต่งงานกันที่นี่ ฮันนีมูนที่นี่ แล้วไปเที่ยวต่อกันที่นี่ แต่เราไม่เคยคิดถึงเรื่องความตายมาก่อนเลย”
หยุด “คิดสั้น” เพราะอยากกลับไปเจอ “นางฟ้า”
“มีคิดเหมือนกันว่า อยากไปหาเขาแล้ว อยากไปอยู่กับเขา” ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า ยอมรับผ่านแววตาเศร้าๆ เคล้าเสียงบอกเล่าความรู้สึกที่แทบเบาเท่าลมหายใจ แต่คนที่ฉุดรั้งความคิดฟุ้งซ่านของเขาให้เข้าที่เข้าทางได้ ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็น “จิตใต้สำนึก” ของกุ๊กเอง ที่มาพร้อม “เสียงในความทรงจำ” ของคนรักในวันวาน
“พอคิดแบบนั้นไปสักพัก กุ๊กก็จะคิดถึงเขา คิดถึงว่าถ้าเขารู้ว่าเราคิด(สั้น)แบบนี้ เขาจะพูดยังไง และเราก็กลับมาคิดว่า ถ้าเราคิดสั้น หรือทำอะไรแบบนั้นลงไป เจตนาของเราที่เป็นแบบนั้น มันจะทำให้เราไม่ได้ไปอยู่กับเขา แต่เราจะได้ไปอยู่ในอีกทีนึงที่มันไม่ดี เป็นที่ที่จะต้องวนเวียน ซึ่งมันจะยิ่งทำให้เราไปเจอเขายากกว่าเดิมเข้าไปอีก
กุ๊กเลยคิดกับตัวเองว่า ถ้าเธอไปเป็นนางฟ้า ฉันก็ยิ่งต้องทำบุญ ฉันยิ่งต้องช่วยคนอื่นให้เยอะๆ เพื่อที่จะได้ไปอยู่ชั้นเดียวกับเธอ หรือถ้ามันมีชาติหน้าจริงๆ ฉันก็ยิ่งต้องทำดีมากๆ แล้วก็ภาวนาให้ได้เจอกัน ให้ได้มาพบกันอีก
กุ๊กเชื่อว่าตอนนี้เดียร์ได้ไปอยู่ที่ที่ดี ที่เหมาะที่ควรแล้ว ไม่เจ็บไม่ปวด แล้วก็ไม่ต้องเครียดด้วยว่า จะมีคนมาดูเขาไลฟ์ขายของไหม (หัวเราะเบาๆ) กุ๊กว่าเขาได้อยู่ในที่ที่ดีแล้ว”
[เมื่อครั้งยังไม่มีอาการป่วย]
สิ่งที่พอจะทำได้ทุกวันนี้ จึงคือการผลักตัวเองให้ก้าวไปข้างหน้า แม้จะยังไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงให้ทำตามความตั้งใจสักเท่าไหร่ก็ตาม และต่อให้อยู่ในช่วงเวลาที่ “ความคิดถึง” เหมือนจะเข้ามาทำร้าย แต่เขาก็จะพยายามมองความรู้สึกเหล่านั้นไปในอีกมิติหนึ่ง คือมองให้เห็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่เคยร่วมแบ่งปันกัน และใช้มันมาส่องทางชีวิต ให้ไม่มัวแต่จมอยู่กับความมืดมิดของห้วงอารมณ์
“ทุกวันนี้ กุ๊กก็ยังคุยกับเดียร์อยู่เลยนะ (ยิ้มบางๆ) ส่วนใหญ่จะบอกว่าคิดถึง บอกรัก แล้วก็บ่นไปเรื่อย บ่นให้กับชีวิตที่ไม่มีเธอว่า มันเป็นยังไง มันไม่มีใครเตือน ไม่มีใครมาบ่น มาบอกฝันดี มาทำอะไรให้แบบเดิมๆ ที่เรารู้สึก มันก็จะแปลกๆ เคว้งๆ จนบางทีก็คิดว่า นี่ไม่อยู่แล้วจริงๆ เหรอ นี่มันเรื่องจริงเหรอ (ยิ้มเศร้าๆ) เหมือนยังอยู่ในอารมณ์ของคนไม่ค่อยยอมรับความจริง ซึ่งบางครั้งมันก็ทำให้เราฟูมฟาย
แต่หลายๆ ครั้ง การคิดถึงเขาก็ทำให้เรายิ้มได้ เหมือนที่กุ๊กมาสัมภาษณ์วันนี้ กุ๊กก็ตื่นเต้น แล้วก็กลัวเหมือนกัน ไม่รู้ว่าจะพูดรู้เรื่องไหม จะพูดถูกไหม (ยิ้ม) แต่เราก็คิดว่าได้คุยกับเขา แล้วก็รู้สึกว่าเขาพูดตอบกลับมาว่า บี๋ทำได้นะ เป็นอย่างที่บี๋เป็นนั่นแหละ เต็มที่นะ เหมือนอย่างที่เขาเคยพูดกับเราบ่อยๆ มันก็ช่วยให้ความรู้สึกเราดีขึ้นได้
อีกอย่างกุ๊กโชคดีที่มีเพื่อนดี มีพี่น้องและครอบครัวที่ดีด้วยครับ มันเลยกลายเป็นพลังมาเสริมกำลังใจให้เราได้ ทำให้เราไม่ถึงขั้นซึมเศร้า หนักสุดก็อาจจะแค่เครียดมาก
ถามว่าทุกวันนี้เราพร้อมก้าวต่อไปไหม กุ๊กว่ากุ๊กก็ยังไม่พร้อมเท่าไหร่นะ ยังรู้สึกเปื่อยๆ อยู่เลย ยังไม่อยากทำอะไร แต่คนที่อยู่รอบข้าง เพื่อนหลายๆ คนก็บอกว่ายังไงก็ต้องเดินต่อ กุ๊กเองก็รู้ว่าต้องเดิน แต่แค่ยังจับจุดไม่ได้ ทุกวันนี้รู้แค่ว่าต้องมาทำงาน เพื่อที่จะได้ดึงสติมาให้อยู่กับงาน อยู่กับอย่างอื่น จะได้ไม่ต้องไปฟุ้งซ่าน ฟูมฟาย
กุ๊กว่าธรรมะก็ช่วยได้ครับ ช่วยได้มากๆ ถ้าใครกำลังต่อสู้ในเรื่องที่คล้ายๆ กัน แนะนำให้ลองฟังเทศน์ ฟังเกี่ยวกับเรื่องความตาย สัจธรรมของชีวิต บทไหนก็ได้ที่ฟังแล้วรู้สึกว่าดีกับเรา หรือฟังแล้วเรารู้สึกดี
หรือจะดูหนัง ฟังเพลง อะไรก็ได้แล้วแต่เลย แต่ขอให้รู้ว่าถ้าเราคิดไม่ดี คิดสั้นขึ้นมา ก็ให้รู้ว่ามันไม่ดี ให้รีบพยายามเปลี่ยนอิริยาบถ เปลี่ยนสถานที่ที่อยู่ตรงนั้น
ให้ออกไปข้างนอก ออกไปหาผู้คน ออกไปดูคนที่เขาลำบากกว่าเรา คนที่เขายังทรมานอยู่ อยากจะไปแต่ไปไม่ได้ คนที่เขาป่วยแต่ไม่ได้รับการรักษา แต่เขาก็ยังทนอยู่ได้ อยากให้ออกไปดู ไปหาแรงบันดาลใจ ให้อยู่กับเพื่อน กับคนที่รักเราให้มากๆ”
อีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนสำคัญ ที่ทำให้ผู้ชายคนนี้ยังอยากมีลมหายใจอยู่ นั่นก็คือการอยู่เพื่อทำ “ฝันของเรา” ให้เป็นจริง และทำให้คนบนฟ้าภาคภูมิใจ โดยเฉพาะความฝันเรื่อง “บ้าน” ที่เคยจองกันเอาไว้ ตั้งแต่ช่วงก่อนจะตรวจพบว่าเป็นโรคร้าย แต่หลังจากได้รับข่าวช็อกก็ยังไม่ได้เข้าไปเซ็นสัญญา ซึ่งกุ๊กตั้งมั่นกับตัวเองไว้แล้วว่า จะทำให้ฝันเรื่องเรือนหอเป็นจริงให้ได้
“หลังจากเสียเขาไป กุ๊กก็มานั่งคิดว่า กุ๊กจะกลับไปทำตามที่เคย plan ไว้นะ คือไปเอาบ้านเหมือนเดิม แล้วก็ใช้ชีวิตต่อ เพราะกุ๊กคิดว่าถ้าเป็นกุ๊กที่ตายไป แล้วมองลงมาเห็นเดียร์ ก็อยากมองด้วยความรู้สึกภูมิใจ กุ๊กเลยคิดว่าจะทำตามความฝัน ที่เราวางเอาไว้ด้วยกัน
กุ๊กคิดว่าถ้ากุ๊กสดใส เดียร์ก็คงสดใสด้วย เพราะว่าถ้ากุ๊กแย่มากๆ กุ๊กว่าไม่ใช่แค่เดียร์ที่จะไม่โอเค คนรอบๆ ข้างเราด้วย คนที่เขาเป็นห่วงเรา รักเราด้วย ตอนนี้กุ๊กก็เลยพยายามจะกลับมาใช้ชีวิต กลับมาจัดการมันให้เข้าที่เข้าทางมากที่สุด เพื่อให้เราเดินต่อไปได้”
“มะเร็ง” ไม่น่ากลัว “ปาฏิหาริย์” ยังมีจริง
“เดี๋ยวก็หาย” หลายคนช่วยกันภาวนา ให้พลังแห่งความรักและศรัทธาของคนคู่นี้ มีแรงมากพอที่จะช่วยฟันฝ่า ให้ผ่านด่านก้อนเนื้อร้ายด่านนี้ไปให้ได้ แต่ผลสุดท้าย ผู้คนก็ได้แต่ก้มหน้ายอมรับไปตามๆ กัน ด้วยความคิดที่ว่า “ในที่สุด ปาฏิหาริย์ก็ไม่มีจริง” แต่ไม่ใช่สำหรับผู้ชายคนนี้ เพราะเขายังคงเชื่อมั่นอยู่เสมอว่า “ปาฏิหาริย์ยังคงมีจริง” เพียงแค่ครั้งนี้มันแสดงผลในอีกรูปแบบนึงเท่านั้นเอง
“กุ๊กว่าปาฏิหาริย์มันมีจริงนะ แต่มันก็อยู่ที่เราด้วย ถ้าเรานอนรอให้ปาฏิหาริย์วิ่งมาหาเรา มันคงยากที่จะเกิดขึ้น แต่ถ้าเราวิ่งหาปาฏิหาริย์เอง แล้วถ้ามีเวลามากพอหรือถ้ามีบุญพอ ก็อาจจะเจอปาฏิหาริย์เหล่านั้น
แต่สำหรับเดียร์ เขาคงได้รับปาฏิหาริย์เรื่องอื่น เรื่องที่เขาไม่ต้องทรมานอย่างหลายๆ เคส ที่ต้องทนนอนเจ็บ กุ๊กเลยมองว่าอาจจะเป็นปาฏิหาริย์ก็ได้ที่ทำให้เดียร์ ตายไปพร้อมกับความรัก
มันไม่ได้ดีกว่าหรอกครับกับการที่เขาจากไป แต่แค่มันดีกว่า ถ้าเดียร์ต้องอยู่กับความเจ็บปวดแบบนั้น คงดีกว่าที่เขาจะต้องอยู่ อีกไม่รู้กี่เดือนด้วยความทรมาน
สำหรับคนที่กำลังต่อสู้กับโรคอะไรแบบนี้อยู่เหมือนๆ กัน ก็อยากจะบอกว่าให้เข้มแข็งครับ เหมือนอย่างที่เดียร์เคยบอกกับกุ๊กว่า ต่อให้ต้องเริ่มใหม่กี่ครั้งก็อยากให้สู้
และอยากให้รู้ว่าการสู้ครั้งนี้ เราไม่ได้แพ้อะไรเลย อย่างน้อยเราชนะใจตัวเอง เราชนะใจคนรอบข้างได้ ไม่ว่ามันจะหายหรือไม่หาย แต่ถ้าเราทำมันอย่างดีที่สุดแล้ว เราก็จะภูมิใจในสิ่งที่เราได้ทำ”
ส่วนคำว่า “ปาฏิหาริย์” ที่หลายครอบครัวต่างประสานมือรอคอยนั้น สำหรับคนที่เคยคาดหวังเหมือนๆ กัน บอกจากประสบการณ์ตรงเลยว่า มันน่าจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ มีเงื่อนไขของ “เวลา” มาเป็นตัวแปรสำคัญ คือถ้ารู้ตั้งแต่เนิ่นๆ และมีเวลาตั้งป้อมปราการเพื่อต่อสู้กับตัวบุกทำลาย ผู้ชายคนนี้ก็ยังคงเชื่ออย่างหมดหัวใจว่า มะเร็งไม่ใช่โรคที่ร้ายแรงและน่ากลัว อย่างที่ใครต่อใครให้คำจำกัดความ
“จริงๆ แล้ว กุ๊กว่ามะเร็งมันหายได้นะ ถ้าเรารู้ตั้งแต่เนิ่นๆ หรือเราไปเจอยาดีๆ ตั้งแต่แรกๆ กุ๊กว่ามันหายได้ เวลาคนพูดถึงมะเร็ง คนกลัวเพราะรู้สึกเหมือนตายไปแล้ว ต้องตายแน่นอน
แต่จริงๆ แล้ว กุ๊กว่ามะเร็งก็เหมือนความดัน เหมือนเบาหวาน เหมือนโรคอื่นที่เรื้อรัง ที่เราอยู่กับมันได้ แค่ทำยังไงไม่ให้มันโตขึ้น ให้เราใช้ชีวิตกับมันได้ แค่นี้ก็พอแล้วครับ อาจจะไม่ต้องหายขาด แค่อยู่ได้ก็โอเค
กุ๊กเชื่อว่าถ้าเราได้ยาบางตัวมาตั้งแต่ที่รู้ว่าเป็น อาการของเดียร์ก็อาจจะดีขึ้นเรื่อยๆ ถึงตอนนี้ก็เลยยังรู้สึกเสียดาย ที่ไม่ได้รีบหาทาง ไม่ได้รีบหายาบางตัวมาใช้ตั้งแต่แรก แต่กุ๊กก็พยายามทำให้มันดีที่สุดแล้ว”
อีก 2 ตัวแปรหลัก ที่น่าจะทำให้ผลลัพธ์หลายๆ อย่างเปลี่ยนแปลงไปได้ ถ้ามีเวลาให้ผู้หญิงที่เขารักได้มีเวลาปรับได้มากพอ ก็คือตัวแปรเรื่อง “การกิน” และ “การออกกำลังกาย” ซึ่งคนรักสุขภาพและคอยพยายามดูแลเรื่องนี้มาตลอดอย่างกุ๊ก มองว่าคือช่องโหว่ช่องใหญ่ที่ทำให้เจ้าสาวของเขาพ่ายต่อเซลล์มะเร็ง
“เรื่องอาหารการกิน กุ๊กว่าเกี่ยวมาก เพราะเดียร์เขาจะชอบกินลูกชิ้น แล้วก็กินหมูทอด-ข้าวเหนียวบ่อยๆ เพราะตอนที่ยังเป็นพยาบาลอยู่ โรงอาหารของเขาอาจจะไม่ได้มีอาหารให้เลือกหลากหลายอะไรมาก
และด้วยความที่เขาเป็นคนมัธยัสถ์ด้วย (ยิ้มบางๆ) ทำให้คิดว่ากินแค่นี้ก็พอ แล้วก็กินอาหารแช่แข็ง ฮอตดอก ไก่ทอด ฯลฯ อยู่บ่อยๆ เหมือนกินแค่ให้อยู่ท้อง เพื่อให้มีแรงทำงานต่อไปอีกวันนึงแค่นั้น
พอช่วงหลังๆ กุ๊กก็เตือนเขา แล้วก็ไม่ค่อยให้เขากิน พยายามอธิบายให้เขาฟังว่า กินแบบนี้มันไม่โอเคนะ ไหนจะเรื่องผักอีก ก่อนหน้านี้เขาไม่กินผักเลย แต่กุ๊กก็ทำจนเดียร์มาชอบกินสลัดได้ ขนาดแม่เขายังงงเลยว่าทำไมเดียร์ยอมกินผัก
วิธีของกุ๊กก็คือถามเขาว่า รักปะ ถ้ารักกินให้ดูหน่อยสิ กินให้คำนึง (ยิ้ม) จนทำให้เขารู้สึกว่าผักมันไม่ได้แย่นะ มันทำให้อร่อยได้ ทำให้ 2-3 ปีหลัง เขาหันมากินผักได้
[เพราะดูแลสุขภาพเป็นประจำ เมื่อครั้งร่างกายบอบช้ำแทบไม่รอด “กุ๊ก” จึงยังมีลมหายใจอยู่]
หรือแม้แต่เรื่องการออกกำลังกาย เดียร์เขาก็ไม่ค่อยออกเท่าไหร่ เพิ่งมาเริ่มออกช่วงปีที่ผ่านมานี้เองครับ เพราะด้วยอาการลมพิษ อาการป่วยอะไรหลายๆ อย่าง ที่ทำให้รู้สึกว่าภูมิในตัวเขาเริ่มต่ำแล้ว กุ๊กก็เลยพยายามให้เขาเริ่ม แต่เขาก็ยังไม่ได้ทำอย่างสม่ำเสมอเท่าไหร่
ชุดออกกำลังกายบางชุด กุ๊กเพิ่งพาไปซื้อมาเอง คิดว่าถ้ามี option ครบ น่าจะทำให้อยากออกกำลังกายมากขึ้นได้ (ยิ้ม) แต่สุดท้าย บางชุดก็ยังไม่ได้ใส่ รองเท้ายังใส่ได้แค่ 2 ทีเอง
กุ๊กคิดว่าถ้าร่างกายเขาแข็งแรงพอ เขาก็อาจจะมีแรงต่อสู้กับโรคนี้ได้นานกว่านี้ เหมือนตอนที่กุ๊กรถคว่ำ ถ้ากุ๊กไม่ออกกำลังกาย ร่างกายไม่แข็งแรงมาก่อน กุ๊กว่ากุ๊กก็คงตายไปแล้ว
คิดดูว่าจากตอนแรกน้ำหนัก 70 กก. พอเกิดอุบัติเหตุ ลดลงมาเหลือ 43 กก.เลยครับ เพราะเวลา 20 กว่าวันที่นอนโรงพยาบาล เราไม่ได้กินข้าวเลย แม้แต่กินน้ำยังต้องอมเป็นน้ำแข็ง หรือหยดเป็นซีซีอยู่เลยตอนแรกๆ วันหลังๆ ถึงได้กินเป็นน้ำซุป
เนื่องจากลำไส้ฉีก ต้องตัดไส้ออกด้วย ทั้งตับ ทั้งตับอ่อนก็ช้ำ ข้างในช้ำหมด แต่โชคดีที่มันกระจายทั่วถึง เลยแบ่งๆ กันไป ไม่ได้มีอะไรที่เสียหายมาก แต่โอกาสตายก็เยอะเหมือนกัน แต่กุ๊กก็รอดมาได้
เป็นเพราะ 20 วันที่ไม่ได้กินอะไร ร่างกายของเราก็ใช้พลังงานที่เคยสะสมเอาไว้ในรูปแบบกล้ามเนื้อ คราวนี้กลับมามองเคสของเดียร์ กุ๊กว่าถ้าเดียร์เขามีกล้ามเนื้อเยอะ การที่เขาจะผอมลงอย่างรวดเร็วอย่างที่เป็นอยู่ มันก็จะทำได้ยากขึ้น จะต้องอาศัยเวลามากขึ้น”
จงเห็น “คุณค่า” ถ้ายังเหลือ “เวลาชีวิต”
เป็นเรื่องน่าเศร้าที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า “บทเรียนชีวิต” ที่เกิดขึ้นกับคนคู่นี้ ต้องแลกมาด้วยความสูญเสียครั้งใหญ่ อย่างที่ไม่มีใครอยากลิ้มรสสัมผัส แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว ทางที่ดีที่สุดก็คือการส่งต่อความจริง เพื่อให้เราทุกคนได้เรียนรู้ “ความตาย” และ “ความหมายของชีวิต” ไปพร้อมๆ กัน เพื่อให้ได้ตระหนักอยู่เสมอทุกลมหายใจเข้าออกว่า ความตายไม่ใช่เรื่องไกลตัวอะไรเลย
“มันใกล้ตัวมากครับ เราไม่รู้เลยว่าเราจะตายเมื่อไหร่ อย่างที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ให้เราคิดถึงเรื่องความตาย ไม่ใช่แค่ทุกชั่วโมง แต่ให้คิดถึงตลอด ทุกลมหายใจของเราเลย จะได้ไม่ประมาท ให้ระวังไว้
หลังจากเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นในชีวิต มันยิ่งทำให้กุ๊กมองเรื่องความตายเปลี่ยนไปมาก รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องใกล้ตัวมาก นี่หมอก็บอกให้กุ๊กไปตรวจเหมือนกันนะ เพราะเดียร์เขาเริ่มป่วยมาจากโรคไวรัสตับอักเสบบี แล้วมันเรื้อรัง จนลามไปเป็นเซลล์ผิดปกติก็คือมะเร็ง ซึ่งโรคนั้นมันติดต่อกันทางสารคัดหลั่ง กุ๊กก็เลยต้องไปตรวจ
ถามว่ากลัวไหม มันกลัวอยู่แล้ว แต่กุ๊กมองแบบนี้นะ มองว่าเป็นก็ดี ก็จะได้รู้ว่าเป็น ถ้าจะต้องตายก็ดี จะได้ไปหาเธอไวขึ้นไง (ยิ้มบางๆ) แต่ถ้าไม่เป็นก็ดีอีก ฉันก็ใช้ชีวิตต่อ ลุยต่อ กุ๊กคิดแค่นี้เลย”
ลองมองย้อนกลับไปยัง “บทเรียนจากความประมาท” และ “บทเรียนจากความไม่รู้” ในวันเก่า น่าจะช่วยสะท้อนให้อีกหลายๆ ชีวิตเห็นว่า เรื่องของ “ความตาย” มันใกล้ตัวทุกคนมากแค่ไหน แม้ในวันที่มันพยายามเข้ามาบอกใบ้ ในวันที่กุ๊กและเดียร์ยังคงใช้ชีวิตตามปกติ แม้มีอาการผิดปกติสำแดงออกมาทางร่างกาย ด้วยคิดว่าไม่น่าจะเกิดจากสาเหตุของโรคร้าย
[ช่วงเวลาแห่งความสุขที่เคยใช้ร่วมกัน]
ก่อนหน้านี้ เดียร์เข้าโรงพยาบาลถี่นะครับ คือไม่สบาย เป็นลมพิษ เป็นโรคกระเพาะ มีไปนอนโรงพยาบาล แล้วก็พยายามหาสาเหตุของมัน ถ้าย้อนกลับไปดู เราหาว่าเป็นเพราะอะไร ยังพูดกันอยู่เลยว่าไม่รู้เป็นเพราะอะไร หาไม่เจอ แต่เดี๋ยวกลับมาดีขึ้น แล้วจะมาไลฟ์ขายของเหมือนเดิมนะ
เพราะทุกครั้งที่เข้าโรงพยาบาล ออกมามันก็ดีขึ้น แต่ก็ยังมีอาการแน่น จุกเสียดอยู่เป็นประจำ แต่ก็หาสาเหตุไม่ได้ว่าเพราะอะไร ยาสมุนไพรที่เขาบอกว่ากินแล้วดีมากอย่างขมิ้นชัน กุ๊กก็สั่งมาให้กิน เพราะอยากให้เขาหาย ตัวเขาเองก็เครียดเหมือนกันว่า ทำไมไม่หายสักที แต่เราก็ยังหาสาเหตุไม่เจอ และตอนนั้นก็ไม่ได้คิดเลยว่าจะเป็นมะเร็ง
แต่ปรากฏว่าพอตื่นมาเช้านั้น เดียร์ก็รู้สึกแน่นท้องมาก ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้กินอะไรเลย พอเขาไปเข้าห้องน้ำออกมา เขาก็เรียกกุ๊กให้ลองจับตรงหน้าท้องด้านขวา เพราะรู้สึกเหมือนเจอก้อนกลมๆ อยู่ตรงนั้น แต่ตอนจับก็ไม่รู้สึกเจ็บนะครับ ยังพูดเล่นๆ กับเขาอยู่เลยว่า ขี้หรือเปล่า เดี๋ยวก็หายแล้ว (ยิ้ม) ไปหาหมอดูสิ
พอไปถึงโรงพยาบาล บอกหมอว่าเจอก้อน หมอก็เลยอัลตราซาวนด์ จนได้รู้ว่ามีก้อนที่ตับอยู่ แล้วพอมาดูค่าเลือด ค่ามะเร็ง ก็เจอว่าค่ามันขึ้นสูงหลักแสน ทำให้เขาค่อนข้างมั่นใจว่าน่าจะใช่จริงๆ
กุ๊กก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไมก่อนหน้านี้ค่าตับของเดียร์ถึงไม่ขึ้น แต่หมอเขาก็บอกว่า ตับเป็นอวัยวะที่แข็งแรงมาก มันจะไม่แสดงอาการ จนถึงขั้นที่ไม่ไหวแล้วจริงๆ มันถึงจะแสดงออกมา
คนส่วนใหญ่ที่รู้ว่าเป็นมะเร็งตับ เขาจะมารู้กันระยะหลังๆ แล้ว นอกจากคนที่เขาเป็นตับแข็งอยู่แล้ว แล้วมีการ follow up อยู่ตลอด เขาก็อาจจะตรวจเจอก่อน มันก็จะช่วยให้แก้ไขได้ตั้งแต่เนิ่นๆ แต่เคสของเดียร์ แม้แต่ตัวเดียร์เอง เขายังไม่รู้เลยว่าเขาเป็นไวรัสตับ ไม่มีใครอยากปล่อยให้มันเป็นถึงขั้นนี้”
แค่ได้เห็นรอยยิ้มเศร้าๆ ที่ใช้ปิดประโยคแห่งความสูญเสียของผู้ชายคนนี้ ก็ทำให้รู้ได้ทันทีว่า เขาจำต้องผ่านความรู้สึกเจ็บปวดหนักขนาดไหนตลอดช่วงที่ผ่านมา ถ้าให้บอกออกมาเป็นคำพูด ถอดออกมาเป็นบทเรียน ที่คนคนนึงพอจะถ่ายทอดออกมาได้ ใจความสำคัญก็คงเป็น “บทเรียนเรื่องเวลา” ที่ผู้ชายวัย 31 ปีรายนี้ มองเห็นมันได้ชัดเจนที่สุด
“อยากบอกว่า สำหรับคนที่มีคู่รัก หรือแม้กระทั่งคนที่มีคนที่คุณรักอยู่ จะเป็นพ่อแม่ ครอบครัว หรือใครก็ตาม ถ้าอยากทำอะไรให้รีบทำ เพราะเราไม่รู้หรอกว่าเดือนหน้ามันจะเกิดอะไรขึ้น วันข้างหน้าจะเป็นยังไง อยากกอดให้กอด อยากขอโทษให้รีบทำ
ใครที่โกรธกันอยู่ หรือยังมีที่เรายังรู้สึกมีอคติกับเขา ยังติดอยู่ในใจ กุ๊กว่ารีบไปขอโทษเขาเถอะ อย่างน้อยต่อให้เขาไม่ให้อภัย แต่ถ้าเราได้ไปพูด ไปขอโทษแล้ว เราก็จะได้รู้สึกว่าไม่มีอะไรติดอยู่ในใจเราแล้ว
เอาจริงๆ เมื่อก่อนกุ๊กกับเดียร์ก็ทะเลาะกันบ่อยมาก แต่ไม่ว่าจะทะเลาะกันกี่ครั้ง กุ๊กก็จะขอโทษ ไม่ได้สนใจว่าเราผิดหรือถูก แต่ขอโทษที่ทำให้รู้สึกแบบนี้ เพราะกุ๊กคิดว่าถ้าเราตกลงรักกัน เราก็ไม่ควรจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกไม่ดี
และเราจะพยายามให้ความคิดเรา กับคำพูดที่เราสื่อออกไป เป็นไปในทิศทางเดียวกัน คือสื่อสารให้ตรงกับเรื่องที่รู้สึกจริงๆ มันเลยทำให้ช่วง 2-3 ปีหลัง เราไม่ค่อยทะเลาะกันเท่าไหร่ หรือถ้าทะเลาะก็จะจบง่ายๆ ด้วยการคุยกัน แล้วก็กอดกัน
ถามว่ามีอะไรอีกไหมที่เสียใจ หรือเสียดายที่ไม่ได้ทำกับเขา ก็คงมีแค่เรื่องที่เคยคุยกันไว้อย่าง เรื่องการฮันนีมูน เรื่องไปเที่ยว อยากพาเขาไปอยู่กับธรรมชาติ ทะเล น้ำตก ฯลฯ ซึ่งเราน่าจะได้ทำมากกว่านี้
เพราะที่ผ่านมากุ๊กก็รอ รอวันหยุด รอเทศกาลผ่านไปก่อน รอเราว่างมากกว่านี้ ฯลฯ ทำให้ทุกครั้งที่ได้ไปเที่ยว ไปเจอธรรมชาติ อย่างล่าสุดที่พาครอบครัวไปอยุธยา กุ๊กก็รู้สึกว่าเธอน่าจะได้มาอยู่กับฉันเนอะ มาสูดออกซิเจนตรงนี้ด้วยกัน”
“4 ประโยค หลังตื่น” เพื่อร่างกายและจิตใจ สิ่งที่กุ๊กกับเดียร์ชอบทำเป็นประจำ ทุกครั้งที่ตื่นเช้าขึ้นมาก็คือ เราจะกอดตัวเอง แล้วก็พูด 4 คำให้กับร่างกายตัวเอง ให้จิตใต้สำนึกของเราได้รับรู้ คือพูดว่า “ฉันรักเธอนะ” “ขอบคุณที่ให้ตื่นขึ้นมา” ขอบคุณที่ยังมีลมหายใจอยู่ “ขอโทษถ้าทำอะไรไม่ดี” คือขอโทษที่เมื่อคืนอาจจะเมาหรืออะไรก็ตาม แล้วก็ “ให้อภัยฉันนะ แล้วไปต่อด้วยกัน” เป็นสิ่งที่กุ๊กกับเดียร์ทำกันตลอด เอาไปลองใช้กันได้นะครับ |
ไม่รู้นิยาม “รักแท้” รู้แค่ “รักมาก” ก็รู้สึกดีนะครับ ถ้าใครมองเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเรา แล้วได้ความคิดบางอย่างกลับไป แต่สำหรับตัวกุ๊กเองแล้ว เวลาคนบอกว่าคู่ของเรามันคือ “รักแท้” กุ๊กจะรู้สึกว่าทำไมถึงเรียกแบบนั้น เพราะกุ๊กคิดว่าต่อให้ใครเจอเรื่องแบบนี้ ถ้าแฟนพี่ป่วย พี่ก็ต้องดูแลอย่างที่กุ๊กทำเหมือนกัน ถ้าพี่รักเขา มันแค่นั้นเลย (น้ำเสียงสั่นเครือ) เรื่องที่เกิดขึ้นกับกุ๊ก มันเกิดมาจากพื้นฐานของคำว่า “รัก” กุ๊กก็แค่รักเดียร์มากๆ แล้วก็คิดว่า อะไรที่ทำให้ได้ อะไรที่ต้องทำ ก็ควรจะทำ ถามว่าในอนาคต ถ้ามีรักครั้งใหม่เข้ามาในชีวิต เราจะพร้อมเปิดใจไหม กุ๊กก็ต้องบอกว่ายังไม่เคยคิดเรื่องนี้เลย เพราะแค่จะคิดยังรู้สึกว่าไม่สมควรเลย เขาเพิ่งเสียมาได้ 20 กว่าวันเอง (ยิ้มเศร้าๆ) แต่ถ้าจะให้พูด ก็คงต้องปล่อยให้มันเป็นเรื่องของอนาคตไป คืออาจจะมีหรือไม่มีก็ได้ แต่ยังไงกุ๊กก็มีเดียร์อยู่ในใจอยู่แล้ว กุ๊กมองว่าถ้ากุ๊กเป็นคนที่จากไป แล้วเดียร์เป็นคนที่อยู่ตรงนี้ กุ๊กก็อยากให้เดียร์เต็มที่กับชีวิตไปเลย ยิ่งทำใจได้เร็วเท่าไหร่ เธอก็จะยิ่งอยู่กับสังคม กับโลกความจริงได้ดีขึ้นเอง และที่สำคัญ ถ้าเราจะไปรักใครในอนาคต ใจเราคงต้องพร้อมสมบูรณ์ก่อน ไม่ได้รู้สึกว่าอยู่ในอารมณ์เศร้า ต้องหาใครมาแทนใครอีกคนนึง เพราะถ้าอีกคนเขารู้สึกว่าเราเอาเขามาแทนใคร มันก็คงไม่ดี |
ขอให้เชื่อมั่น โรคนี้ “แพ้กำลังใจ” ตลอดเวลาที่เดียร์รักษาตัวอยู่ กุ๊กกับเดียร์ยังเชื่อเสมอว่าโรคนี้มันหายได้ เราพูดประโยคนี้กันตั้งแต่วันแรกเลยว่า “เธอรู้ใช่ไหมว่าโรคนี้มันแพ้กำลังใจ รู้ใช่ไหมว่ามันแพ้พลังขับเคลื่อนข้างใน” เราเลยจะพยายามให้กำลังใจกันอยู่ตลอด บางทีคนไข้เขาก็ใจสู้กว่าเราอีกนะ (ยิ้ม) คนที่เป็น บางครั้งเขาทำใจได้แล้ว แต่คนที่ไม่ได้เป็น กลับทำใจไม่ได้มากกว่าอีก บางทีก็มีร้องไห้ต่อหน้าเขาด้วย ซึ่งกุ๊กว่าบางครั้งมันบั่นทอนกำลังใจที่เขามีเหมือนกันนะ จากที่เขาเชื่อว่าเขาจะหาย แต่พอเห็นคนนั้นร้อง คนนี้ร้อง มันก็เกิดความสงสัย เหมือนเวลาเราเข้าใจอะไรอยู่ที่มันถูกแล้ว แต่มีคนมาบอกอะไรผิดๆ พร้อมๆ กันหลายๆ คน สักพักนึงเราก็จะเริ่มเชื่อว่า หรือที่เราคิดว่ามันถูก มันไม่ได้ถูกอย่างที่คิดแล้วหรือเปล่า [สดใสร่าเริง กำลังใจดีอยู่เสมอ คือความแข็งแกร่งที่ "เดียร์" แสดงออกให้คนอื่นๆ เห็น] เวลากุ๊กอ่อนแอ เขาจะชอบเอามือมาแตะ (เอามือขึ้นมาจับที่หน้าอกข้างซ้ายเบาๆ) แล้วก็บอกเราว่า เข้มแข็งหน่อย เค้าไม่เป็นไร มีอยู่ครั้งนึง หมอเข้ามาพูดว่า หมอเสียใจด้วยนะคะที่มันเป็นแบบนี้ กุ๊กเองก็จะจับมือเขา เพื่อให้เขารู้ว่า ฉันอยู่ตรงนี้นะ ไม่ต้องกลัว แต่กลับกลายเป็นว่า พอเราจับมือเขาปุ๊บ เขาหันมาบอกว่า ฉันไม่เป็นไร ฉันโอเค แกนั่นแหละโอเคหรือเปล่า (ยิ้ม) ตัวเดียร์เอง เขาพยายามจะเข้มเข็ง สดใส พยายามไม่เครียด ไม่ร้องไห้ กับสิ่งที่มันเป็นอยู่ เพราะเขาคุยกับตัวเองแล้วว่า ฉันจะไม่ร้องไห้ให้กับเรื่องนี้แล้ว และตั้งใจจะเข้มแข้งเพื่อคนอื่น กุ๊กเห็นเขาร้องไห้ครั้งสุดท้ายคือช่วงหลังปีใหม่ (น้ำตาคลอ) แต่ที่เขาร้อง กุ๊กว่าเขาไม่ได้ร้องให้กับตัวเองที่เป็นโรคหรอก กุ๊กรู้สึกว่าเขาร้องไห้ให้กับความรัก กับการที่เขารักแม่เขามาก กุ๊กว่าเขาร้องไห้ให้กับการอยากมีชีวิตอยู่ต่อ การอยากจะทำอะไรที่เขายังอยากจะทำอยู่ |
เลิกเป็น “เพลย์บอย” เพื่อให้ได้รักเธอ จริงๆ กุ๊กรู้จักเดียร์มาก่อนหน้านี้ ประมาณ 8-9 ปีแล้วครับ แต่เราเพิ่งมาคบกันจริงๆ รวมเวลาแล้วแค่ 4 ปีหลัง เหมือนเราเคยคุยกันเล่นๆ ว่า ถ้าอายุ 30 แล้ว ต่างคนต่างไม่มีใคร เราก็ลองมาคบกันไหม (ยิ้ม) แต่จริงๆ กุ๊กก็แอบชอบเดียร์มาก่อนหน้านั้นอยู่แล้วนะ เพียงแต่เราคิดว่าเรายังไม่ดีเท่าไหร่ ตัวเดียร์เองก็ยังไม่ค่อยไว้ใจกุ๊กเท่าไหร่ก่อนหน้านั้น อาจจะเป็นเพราะสมัยก่อน กุ๊กก็ถือว่าเจ้าชู้เหมือนกัน เหมือนผู้ชายกะล่อน (ยิ้ม) แต่ไม่ใช่ว่าคบทีละ 8 คนนะ คบทีละคนครับ เอาจริงๆ เหมือนเราแค่อยากได้รับการยอมรับจากคนรอบข้างมากกว่า เวลากุ๊กไปเจอผู้หญิงคนไหน กุ๊กก็จะเอามาปรึกษาเดียร์ จนเรารู้ไส้รู้พุงกัน (หัวเราะเบาๆ) จนสุดท้าย เราก็มานั่งคุยกันว่า เราไม่ได้เหมือน playboy ที่อยากคบผู้หญิงไปเรื่อยๆ แต่จริงๆ แล้ว เราอยากจะหยุดอยู่กับใครสักคนนึง เพื่อรักเขาจริงๆ แล้วก็อยากให้เขาใช้ชีวิตอยู่กับเรา สาเหตุที่ทำให้คบไปเรื่อยๆ อาจจะเพราะกุ๊กเคยคบกับคนคนนึง แล้วเราก็จริงจังมากๆ แต่กลับโดนหักหลัง หลังจากนั้นมาเลยคิดว่ามีไว้คุยหลายๆ คนดีกว่า เวลาที่คนนี้ทำให้เราเสียใจ เราจะได้ไม่ต้องแคร์ แล้วหนีไปคุยกับอีกคนที่ทำให้เราสบายใจก็ได้ กุ๊กคิดแบบนั้นมาตลอด จนได้มาเรียนรู้เรื่องความคิด เรื่องชีวิตมากขึ้น ทำให้เข้าใจว่าจริงๆ แล้วเราโทษอย่างอื่นมาตลอด แต่เราไม่เคยมองเข้ามาในตัวเองเลย และจริงๆ แล้ว นกอินทรีย่อมดึงดูดนกอินทรีด้วยกันเอง ฉะนั้น ก็ต้องมามองว่า เราทำตัวให้เป็นนกอินทรีแล้วหรือยัง หรือยังทำตัวเป็นนกกระจอก แต่กลับอยากได้ผลตอบแทนที่ดีๆ ยิ่งพอมีโอกาสได้ทำความรู้จักเดียร์ ช่วงตอนขับรถไปงานแต่งเพื่อนที่สมุย เลยได้นั่งรถไปกับเขา และวันนั้นแหละที่ทำให้รู้สึกว่า ผู้หญิงคนนี้เจ๋งว่ะ ชอบว่ะ สิ่งที่ทำให้เดียร์จากผู้หญิงคนอื่นๆ ก็มีเรื่องความเป็นเพื่อนกัน และนิสัยของเขา ความมีน้ำใจ การไม่คิดร้ายกับใครเลย อันนั้นคือประเด็นหลักๆ ที่ทำให้กุ๊กรู้สึกว่า ผู้หญิงคนนี้เป็นคนดี เข้ากันได้กับทางครอบครัวของเราหมดเลย เขาวางตัวดี ก็เลยยิ่งรู้สึกว่า เธอต้องมาอยู่ที่บ้านฉันได้แน่เลย ก็เลยยิ่งสปาร์กแรงขึ้นไปอีก (หัวเราะ) กุ๊กเลยคิดว่าถ้าเขาดี เราก็ต้องดีด้วย ถึงจะอยู่ด้วยกันได้ ศีลมันต้องเสมอกัน ที่สำคัญ กุ๊กอยากให้เดียร์รู้สึกภูมิใจในตัวของเราบ้าง เหมือนที่กุ๊กภูมิใจในตัวเดียร์ว่า เธอเก่ง เธออดทน เธอเข้มแข็งมากเลย หรือเธอดีกับคนที่บางทีก็ไม่รู้ว่าเขาดีกับเธอหรือเปล่า แต่เขาก็เลือกที่จะยืนยันที่จะทำดีต่อ ส่วนเรื่องเลิกเจ้าชู้ก็เพราะเดียร์เป็นคนเด็ดขาดมากด้วย เขาเคยบอกไว้เลยว่า ถ้าจับได้หรือรู้ทีหลัง เขาจะไม่เอาเลย และกุ๊กก็มองว่ามันไม่ใช่เรื่องที่น่าจะเสี่ยง เรารู้ว่าเรามีอะไรอยู่ในมือ และเราก็ไม่อยากจะเสียมันไป |
เพราะเราคือ “พลังบวก” ของกันและกัน กุ๊กกับเดียร์จะเชื่อเรื่องความรู้สึก เรื่องความคิด เรื่องพลังงานที่ดึงดูดกัน คือถ้าเราคิดบวก คิดดี ร่างกาย ชีวิต งาน ทุกอย่างของชีวิตก็จะดีตาม และตั้งแต่เราคบกัน ก็มีแต่เรื่องบวกๆ เข้ามาตลอด จนมาเจอเรื่องนี้ (อาการป่วยจากโรคมะเร็ง) นี่แหละครับ ที่เป็นด้านลบที่เกิดขึ้น ส่วนความสัมพันธ์ของเรา น่าจะเหมาะกับคำว่าเป็น “แรงผลักดัน” หรือ “แรงขับเคลื่อน” ของกันและกัน น่าจะตรงตัวที่สุด ถ้าเทียบกับผู้หญิงคนอื่น บางคนเขาอาจจะคิดว่า เป็นผู้หญิงต้องอยู่ภายใต้อำนาจผู้ชาย แต่เดียร์จะไม่มีความคิดแบบนั้น เขาจะคอยเป็นคนขับเคลื่อน ทำให้กุ๊กขยับ บางอย่างที่เราทำก็ตั้งใจทำเพื่อเขาจริงๆ เขาชอบพูดว่า “เค้าเชื่อว่าบี๋ทำได้ บี๋ไม่ต้องกลัวอะไรเลย ทำเลย ลุยเลย สู้ๆ เค้าเป็นกำลังใจให้ เค้าอยู่ตรงนี้” (พูดไปยิ้มไป) เดียร์จะชอบพูดให้กุ๊กคิดว่า ถ้ากลัวแล้วจะได้อะไร แต่ถ้าไม่กลัวแล้วจะได้อะไร นิยามความรักสำหรับเรา 2 คน กุ๊กว่ามันคือการให้อภัย เข้าใจ แล้วก็ดูแลกันและกันครับ เราเคยคุยกันว่า ความรักมันคือฐานของความสัมพันธ์ของเรา ส่วนเรื่องความใส่ใจ การดูแล การให้อภัย มันคือสิ่งที่ช่วยต่อยอด ให้ความรักของเราเดินได้ต่อไป |
สัมภาษณ์: ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง: อิสสริยา อาชวานันทกุล
ภาพ: วชิร สายจำปา
ขอบคุณภาพ: เฟซบุ๊ก “TuaKook Kook Kitjaroenchai”
ขอบคุณสถานที่: "My Fitness" ห้างฯ Supreme Complex (สามเสน)
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **