xs
xsm
sm
md
lg

"ใครว่าหุ่นน่าเกลียด แต่อุ้มภูมิใจ" ผ่ามรสุมชีวิต "นักเพาะกายหญิงไทย-ระดับโลก!!"

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


รักพัง-ธุรกิจล่ม-ประสบอุบัติเหตุ แม้สาวนักกล้ามจะเผชิญกับ “มรสุมชีวิต” มาหลายสิ่ง ทั้งในอดีตเคยเป็น “แดนเซอร์” สายปาร์ตี้ จนชีวิตพลิกผันให้มาเข้าสู่วงการ “สาวซิกแพก” สายเพาะกาย กระทั่งทุ่มเทร่างกายและจิตใจ เปลี่ยนรูปร่างให้ฟิตแอนด์เฟิร์ม คว้าแชมป์เพาะกายโลกได้สำเร็จ! แต่กว่าจะถึงวันแห่งชัยชนะด้วยความฝันที่ได้ตั้งเป้าเอาไว้ สาวนักกล้ามพร้อมเปิดใจทุกซอกความอดทนที่ได้ผ่านมาอย่างหนักหน่วง

แม้โดนว่า “ไม่เห็นสวย” แต่ฮึดสู้ฟิตต่อไป

หญิงร่างเล็ก สวมเสื้อสปอร์ตบรา พร้อมกล้ามแน่นๆ บวกกับซิกแพคสวยๆ ในฐานะ “นักเพาะกายหญิง” ทีมชาติไทย ซึ่งกำลังนั่งอยู่ตรงหน้าทีมข่าว MGR Live ด้วยอารมณ์ที่สดใสอย่าง อุ้ม-กัญญาภัทร ศิริพรรค เธอคนนี้สามารถครองแชมป์เพาะกายโลก และสร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศไทย ด้วยการคว้าเหรียญทอง ในการแข่งขันเพาะกายและฟิตเนสชิงแชมป์โลกครั้งที่ 10 โดยประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ที่โรงแรมโลตัสปางสวนแก้ว จังหวัดเชียงใหม่ได้ในที่สุด



ไม่เพียงแค่แชมป์โลกเพาะกายที่เธอคว้ารางวัลมาได้เท่านั้น แต่หญิงมีกล้ามอย่างเธอยังเคยคว้าแชมป์เพาะกาย เอเชีย แชมป์เปียนชิพ 2016 รุ่นโมเดลฟิสิกซ์ ความสูงไม่เกิน 160 เซนติเมตร ที่ประเทศภูฏาน และการคว้าอันดับที่ 2 ในการแข่งขันเพาะกายโลก WBPF world championship 2017 ที่ประเทศมองโกเลีย แต่ใครจะเชื่อว่าก่อนชีวิตของเธอจะประสบความสำเร็จในระดับนี้ ต้องผ่านความล้มเหลวในชีวิตมาก่อนเหมือนกัน

การเข้ามาอยู่ในวงการกีฬาเพาะกายของอุ้ม แน่นอนว่ารูปร่างของเธอจะต้องไม่เหมือนคนทั่วไป แต่จะต้องมีการสร้างรูปร่าง สร้างกล้ามเนื้อให้ใหญ่โตไปพร้อมกับการมีสุขภาพที่ดีด้วย แต่รูปลักษณ์ภายนอกที่เธอได้มาพร้อมกับราววัลกลับกลายเป็นว่าต้องโดนคำติ คำวิจารณ์จากคนในสังคมโซเชียลฯ ไปโดยปริยาย

“ตอนแรกๆ ที่อุ้มติดทีมชาติแล้วเหมือนมีกระแส คนก็แชร์รูปเราเยอะอย่างนี้ใช่ไหมคะ แล้วคนก็ด่าเราเยอะมาก แล้วกลับกลายเป็นคนยิ่งแชร์ เขาก็จะพูดว่าแบบเราน่าเกลียดมากเลย ไม่สวยเลย สวยๆ อยู่แล้วทำไมไปทำให้รูปร่างแบบดูไม่ดี แล้วก็เหมือนผู้ชายอะไรอย่างนี้ จนเราก็รู้สึกเฟล ช่วงหนึ่งเราไม่ดูพวกโซเชียลมีเดียเลยค่ะ เรารู้สึกเฟล เฮ้ยทำไมต้องมาด่าเราว่ะ คือเราก็ไม่ได้ชอบอะไรในตัวเขาหลอก แต่เราก็ไม่เคยไปนั่งด่าเขาว่าทำไมพี่แก่จังอะไรอย่างนี้ (หัวเราะ)



อุ้มก็ไม่โอเค ก็เสียใจ แต่กลายเป็นผลดี เพราะกระแสดรามาที่เขาว่าเรา ที่เขาด่าเราน่าเกลียด เราไม่สวยอะไรอย่างนี้ มันกลายเป็นว่าคนยิ่งแชร์ยิ่งรู้จัก ก็กลายเป็นอ่อนี่คืออุ้มอะไรอย่างนี้

คือแล้วแต่ความชอบนะคะ อย่างอุ้มถ้าให้เลือกผู้ชายที่ลงพุง กับผู้ชายที่ออกกำลังกาย อุ้มเลือกผู้ชายที่ออกกำลังกาย แต่บางคนก็บอกน่ากลัว ผู้ชายก้ามปูน่ากลัว มันแล้วแต่ความชอบ เพราะฉะนั้นเราอย่าไปจำกัดความชอบของแต่ละคน มันคือสิทธิของเขาอ่ะ คือเราไม่ชอบก็ไม่ชอบ เราชอบก็โอเคอะไรอย่างนี้ เออนึกออกไหม (หัวเราะ)”

ขณะที่ผู้สัมภาษณ์ถามเธอว่าเคยคิดบ้างไหมว่าวันนี้จะกลายมาเป็นนักเพาะกายหญิงทีมชาติ เธอก็สารภาพให้ฟังว่าไม่เคยคิดเลยด้วยซ้ำ ทั้งครอบครัวของเธอที่ไม่ได้มีทีท่าว่าจะสนับสนุนและไม่โอเคกับสิ่งที่เธอกำลังทำในตอนแรกๆ ที่เริ่มเพาะกาย

“ตอนที่เริ่มแรกๆ นะคะที่บ้านก็ไม่โอเค แม่ก็บอกว่าไม่เอาได้ไหม มันน่ากลัว แต่ด้วยความที่ตอนนั้นรุ่นที่อุ้มแข่ง มันเป็นรุ่นโมเดล โมเดลก็คือนางแบบที่มีกล้ามสวย แต่ไม่ใช่เพาะกาย ไม่ใช่ถึงขั้นเพาะกาย ซึ่งพอแม่มาดูเวลาเราแข่ง เราก็โพสเป็นนางแบบเลย ไม่ได้ว่าเบ่งกล้ามอะไรอย่างนี้ แม่เขาก็เริ่มเห็นรูปร่างอุ้มเปลี่ยนด้วย ด้วยความที่สุขภาพเราดี จากเราเป็นสายปาร์ตี้ ที่นี่เรากลับกลายมาเป็นสายเฮลตี้ แม่ก็งง อุ้มมานั่งกินผักกินปลา ลูกไม่ดื่มอะไรอย่างนี้ แม่ก็แบบ เออชีวิตเราเปลี่ยนจริงๆ แล้วเรากลายเป็นครูสอนออกกำลังกาย มันเหมือนทุกอย่างมันโอเคค่ะ





หลังจากนั้นอุ้มก็บอกแม่ว่า หนูจะเล่นกล้าม (หัวเราะ) แม่ก็บอกอะไรของแก แม่ก็ช็อกเหมือนกัน แต่โชคดีที่คนรอบข้างสนับสนุนความฝันเราตลอด ครั้งแรกที่แข่งแม่ก็เป็นคนทาสีที่ตัวให้ เราก็ไม่รู้ต้องทายังไง ปกติเขาทา 10-15 นาทีก็เสร็จ แม่ทาให้ประมาณ 3 ชั่วโมงยังไม่เสร็จ (หัวเราะ) แล้วก็ตัวด่างน่าเกลียดมาก มันก็เหมือนเราเป็นคนมีความสามารถพิเศษอยู่ในตัว เรียกว่าทำอะไรทำจริง แม่เขาก็เลยเหมือนแบบเออๆ ลองดูแล้วกัน จนวันที่ติดทีมชาติ เขาก็ตกใจเหมือนกัน

แม่เขาก็เชื่อมั่นในตัวอุ้มนะคะ เพราะอุ้มเป็นคนที่ถ้าจะทำอะไรแล้วทำจริง อย่างแดนเซอร์ที่เต้นเนี่ย ก็คืออุ้มไม่เคยเรียนเต้นเลย อยู่ดีๆ ก็มีโคโรกราฟคนหนึ่งเดินเข้ามาบอกว่า อุ้มอยากเป็นแดนเซอร์ไหม แล้วลองมาเรียนเต้นกับพี่ พอไปเรียนเต้นกับเขาแค่ไม่กี่วัน เขาก็ให้เราไปเต้นงานใหญ่ๆ เลย”

สุดท้ายสิ่งที่ทำให้เธอปิดจ็อบการเต้นเพราะว่า เธอเคยคิดว่าความฝันของเธอคือการเต้นให้ศิลปินที่ตัวเองชอบ เหมือนเป็นความฝันที่สูงสุด เมื่อได้ฝันนั้นมา จึงไปจับฝันใหม่ และในตอนนั้นเองอุ้มก็ได้เต้นกับศิลปินวงไทเทเนียม มีทั้งเต้นในคอนเสิร์ต เต้นในเอ็มวี หลังจากนั้นก็ไม่ได้เต้นอีกเลย แต่ไทเทเนียมเป็นศิลปินที่เธอชอบมาก ร้องเพลงได้ทุกเพลง เมื่อวันหนึ่งได้ไปยืนอยู่บนคอนเสิร์ตกับศิลปินที่ชื่นชอบแล้ว จึงรู้สึกโอเคแล้ว เป็นที่สุดในชีวิตแล้วก็ว่าได้

ไม่หยุดทุ่มเท! คว้าแชมป์ “เพาะกายโลก”

“จุดเริ่มต้นที่อุ้มมาเล่นกีฬานี้ก็คือ ตอนนั้นชีวิตอุ้มล้มเหลว เลิกกับแฟนด้วย ประสบปัญหาธุรกิจล้มเหลว เพราะทำร้านอาหาร แล้วก็เหมือนประสบอุบัติเหตุด้วย ตกบันไดหลังหัก และเมื่อก่อนเราเป็นแดนเซอร์ด้วยค่ะ แดนซ์เซอร์ต้องเต้น ต้องใช้ร่างกาย พอเรากระดูกหักเราก็เต้นไม่ได้ แล้วเพื่อนชวนไปเข้ายิม พอเข้ายิม ออกกำลังกายได้แค่ประมาณ 1 เดือน ก็มีคนมาชวนไปแข่งเพาะกาย ก็ลองไปแข่งดูค่ะ พอแข่งครั้งแรก อุ้มก็ได้ที่ 3 ก็เลยรู้สึกว่ามันน่าจะเป็นทางเรา หลังจากนั้นก็แข่งมาเรื่อยๆ จนติดทีมชาติค่ะ

ต้องบอกก่อนว่า การที่อุ้มเคยเป็นแดนเซอร์มาก่อน แล้วก่อนที่อุ้มจะหยุดเต้น ก็เคยเต้นโพลแดนซ์ เต้นเสามาก่อนค่ะ แต่จริงๆ เต้นโพลแดนซ์มันเป็นกีฬานะ แต่ว่าบางทีคนเอาไปทำให้มันดูไม่ดี (หัวเราะ) มันต้องใช้แรงเยอะมาก ใช้กำลังเยอะมาก เวลาเราทำกลับหัวกลับหางอย่างนี้ ก็ต้องใช้แขน ใช้หลัง ใช้ท้อง ใช้ทุกอย่างเลย หลังจากที่เริ่มเต้นโพลแดนซ์มันเริ่มมีกล้าม แล้วพอเข้าฟิตเนสมันก็เลยเหมือนเรามีพื้นฐานที่ดีอยู่แล้ว ก็เลยเหมือนไปไวนิดนึงค่ะ



อุ้มใช้เวลานานไหมกว่าจะได้รูปร่างขนาดนี้ มันขึ้นอยู่กับความพยายามของแต่ละคน แล้วบางคนบอกว่าอุ้ม 4 ปีกว่าทำไมไปไวจัง แต่ถ้าถามว่าดูรูปอุ้มเก่าๆอ่ะ ทุกคนก็จะบอกว่าอุ้มมีกล้ามอยู่แล้ว แต่ด้วยความที่ 4 ปีกว่า แต่เป็น 4 ปีที่อุ้มอยู่ในยิมเกือบทุกวันนะคะ ไม่ใช่ว่าอุ้มเข้ายิมอาทิตย์ละ 2 วัน อุ้มพยายามฝึกซ้อมทุกวัน เพราะฉะนั้นเนี่ยมันอยู่ที่ความพยายาม ความขยันของแต่ละคน ตอบไม่ได้ว่ามันจะใช้เวลานานเท่าไหร่ค่ะ”

สำหรับแรงบันดาลใจในการเพาะกายของสาวอุ้ม เธอเปิดใจให้ผู้สัมภาษณ์อย่างอารมณ์ขันว่า ตอนแรกนั้นเธอไปแข่งแบบงงๆ ด้วยซ้ำ ไม่ได้คิดอะไร เมื่อได้ตำแหน่งมาจึงลองแข่งต่อ แต่กีฬานี้เธอมองว่ามันมีเสน่ห์ตรงที่ ทุกครั้งที่แข่ง ทุกครั้งที่ไดเอต ควบคุมอาหาร จะสามารถเห็นร่างกายของตัวเองเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ทำให้รู้สึกว่าร่างกายเธอมันทำได้ขนาดนี้เลย ทำไมท้องชัดขึ้น ทำไมขาสวยขึ้น สิ่งนี้จึงเป็นเหตุผลที่เธอเลือกที่จะทำต่อไปเรื่อยๆ

[สุดภูมิใจคว้าแชมป์เพาะกายโลกครั้งที่ 10]

“ใช้เวลาเตรียมตัวไม่นานค่ะ ประมาณ 1 เดือนก็ไปแข่ง แล้วก็ไปแบบงงๆ (หัวเราะ) ตอนที่แข่งครั้งแรกก็รู้สึกว่าแบบมันคืออะไร มันมีแบบนี้ด้วยหรอ เห็นผู้หญิงยังโอเค แต่พอเราไปเห็นผู้ชาย กล้ามมันสร้างได้ขนาดนี้เลยหรอ ก็ตกใจเหมือนกัน แต่ก็ชอบนะคะ รู้สึกว่ามันมีเสน่ห์ดี แล้วอุ้มก็เทรนหนักมากเหมือนกัน หนักแบบร้องไห้ ทรมานมาก ตอนนั้นเราก็เริ่มเทรนหนักก็มีโค้ช คือโค้ชหนึ่ง-วรกร นะคะ ก็เป็นนักกีฬาทีมชาติเหมือนกัน

นอกจากเพาะกายอุ้มก็เคยประกวด fit&firm ค่ะ แล้วก็ได้ที่ 1 เหมือนกันค่ะ fit&firm มันจะเป็นเหมือนเราเป็นผู้หญิงที่มีรูปร่างฟิตแล้วก็เฟิร์ม แล้วเราก็เหมือนไปออกทัวร์ตามแต่ละภาค ภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคอีสาน แล้วก็จะไปหาคู่บัดดี้เราที่เป็นผู้ชาย ที่จะจับคู่กับเรา เราก็ไม่รู้ว่าเราจะได้ใครค่ะ พอเราได้คู่ อย่างมีผู้เข้าแข่งขัน 5 คู่ ก็จะต้องมาแข่งกันค่ะ อุ้มก็ได้ผลโหวตแล้วก็ได้คะแนน ชนะเหมือนกันค่ะ โชคดีที่เราได้คู่ดีด้วยก็เลยชนะค่ะ”

“ฟิตหุ่น-สร้างกล้ามเนื้อ” กีฬาที่ต้องต่อสู้กับจิตใจ!

“กีฬาเพาะกายนี้มันโหดนะคะ แล้วมันยากตรงที่เราต้องควบคุมอาหาร แล้วเราก็ต้องออกกำลังกายหนัก แต่ว่าเราไม่สามารถกินอะไรที่เราอยากกินได้ เราต้องกินในโปรแกรมของเรา ซึ่งอาหารที่อุ้มกิน ก็จะเป็นอาหารคลีน ไข่ ไก่ ปลา ผัก แล้วก็ทานไขมันให้น้อย น้ำตาลเราแทบไม่ทานเลย ก็เลยเหมือนร่างกายมันก็จะเพลียอะไรอย่างนี้ แล้วสภาพจิตใจ พอไม่ได้กินขนมเราก็จะรู้สึก ทำไมชีวิตฉันมันแย่ขนาดนี้ (หัวเราะ)”

ถึงแม้ว่าเธอจะได้รูปร่างที่ดีมา แต่ต้องแลกด้วยสภาพจิตใจในช่วงก่อนแข่งที่จะอ่อนไหวง่ายมาก บางครั้งทีเห็นขนมก็ร้องไห้ พอพูดแล้วเธอก็อยากจะร้อง เธอหัวเราะทั้งน้ำตาคลอไปด้วยให้ได้เห็น พร้อมเผยว่ากีฬาชนิดนี้นั้นเป็นกีฬาจิตใจ ถ้าเราสามารถควบคุมตัวเองได้ ต่อไปก็จะสามารถจัดการอะไรทุกอย่างได้หมดเช่นกัน

[เลือกซื้อวัตถุดิบ ทำอาหารคลีนกินเองอย่างมั่นใจ]

“อย่างตื่นเช้ามาอุ้มจะทานไข่ ประมาณ 4-5 ฟอง กับสลัดผัก อาจจะมีขนมปังในช่วงที่ยังไม่ได้แข่งนะคะ แล้วก็มื้อ 2 มื้อ 3 แล้วก็มื้อ 4 จะเป็นไก่ อาจจะเป็นไก่กะเพรา แต่จะผัดเอง แต่ไม่ใส่น้ำตาล ปรุงรสให้น้อยที่สุด ใส่เกลือได้ มื้อสุดท้ายอุ้มจะทานปลา เป็นเหมือนสลัดปลา ปลาทูน่า ปลาแซลม่อน ปลาเนื้อขาวอะไรอย่างนี้ค่ะ

ช่วงที่แข่งอุ้มจะทำอาหารเองทุกมื้อ เพราะว่าเราไว้ใจใครไม่ได้ ถ้าเราไปซื้อ บางทีเขาใส่ผงชูรส ใส่น้ำตาล ใส่เกลือเยอะไปไหม เพราะฉะนั้นก็พยายามทำเมนูให้หลากหลาย ถ้าคนที่ติดตามอุ้ม คนก็จะชมมากว่าอุ้มทำกับข้าวน่ากิน เราเป็นคนเรื่องเยอะในการกิน แล้วถ้าไม่อร่อยเราก็ไม่กินอย่างนี้



เวลาอุ้มทำอาหารหนึ่งครั้ง อุ้มจะกินได้ 2 วัน อย่างวันนี้อุ้มอยากกินต้มข่าไก่ แพกไว้เลย แพกใส่ถุง คือแช่ฟรีซไว้ เสร็จแล้วค่อยมาเวฟอะไรอย่างนี้ ปริมาณอาหารทุกอย่างต้องชั่งค่ะ ชั่งหมดเลยในกีฬานี้ ถ้าตอนไดเอตก็จะกินถั่ว ถั่วจะกินเยอะมาก (ยิ้ม) กินเกินแต่ถั่วเป็นไขมันดีนะคะ แคลอรีถั่วสูงไหม สูง ถ้ากินเยอะก็เกิน ก็ไม่ดีเหมือนกัน แต่ถั่วก็อยู่ท้องค่ะ

มันทรมานนะ มันทรมานมาก คือบางทีก็ถามตัวเองว่า ทำเพื่ออะไร (หัวเราะ) คือมีเงินแต่กินไม่ได้ แต่ว่าสุดท้ายแล้วมันก็คือเป้าหมาย เป้าหมายเราคือการแข่ง แล้วพอเราเห็นเป้าหมาย ก็ยังต้องทำต่อไป วันที่แข่งอ่ะอุ้มน้ำหนักประมาณ 48 แต่ตอนนี้ 55 (หัวเราะ) ขึ้นมา 7 กก.อ่ะ ก็ชอบหุ่นตอนแข่งนะ แต่อยากกินแบบนี้ อยากกินอะไรก็ได้แล้วหุ่นแบบนั้น (ยิ้ม) ทุกอย่างมันก็เนอะ ได้อย่างก็ต้องเสียอย่าง”

ตลอดระยะเวลาก่อนการแข่งขันเพื่อคว้าแชมป์โลกที่เธอต้องควบคุมน้ำหนัก เพื่อให้เห็นรูปร่างที่ชัดเจน เธอเองก็สามารถควบคุมได้เป็นอย่างดี แต่เมื่อเสร็จสิ้นการการแข่งไปแล้ว กลับกลายเป็นว่าน้ำหนักเพิ่มขึ้นมาหลายกิโลกรัม เธอก็บอกมาตามตรงว่าหลังแข่งกินเยอะกว่าเดิม นั้นก็เปรียบเสมือนการให้รางวัลแก้ตัวเธอเองไปด้วย

“ส่วนมากในช่วงที่แข่งอุ้มก็จะทำ Cheat meal ก็คือ 1 มื้ออยากกินอะไรก็กินเลยค่ะ แต่ว่ามื้อเดียวนะคะใน 1 อาทิตย์ แต่ว่าใน 6-7 วันนั้น เราต้องกินแคลอรีต่ำมาก แล้วก็จะมีมื้อเดียวที่เรากินได้แคลอรีสูง บ้างคนลดความอ้วน แล้วก็ฉันต้องมี cheat day แต่ไขมันของเก่ามันยังไม่ออก แล้วทุกคนคิดว่าตัวเองไดเอตอยู่ แล้วก็ไปกินเพิ่มอีก สุดท้ายมันก็ไม่ลง เพราะฉะนั้นมันต้องคำนวณดีๆ ด้วย



ร่างกายของแต่ละคน จะถูกกับอาหารแต่ละชนิดไม่เหมือนกันด้วยค่ะ อย่างอุ้มจะไวกับคาร์โบไฮเดรต ต้องลองผิดลองถูกมาตลอดเรื่องการไดเอตนะคะ ส่วนการออกกำลังกาย การเทรนซึ่งมันมีเบสิกของมันอยู่แล้ว เล่นกล้ามเนื้อหัวไหล่ หน้าแขน หลังแขนก็คือจะมีท่าพื้นฐานเบสิก แต่ที่ผิดวิธีก็อาจจะเป็นเพราะว่าที่เห็นกันเยอะๆ ตอนนี้นะคะ ก็คือเป็นเทรนเนอร์ที่อาจจะไม่ได้มีความรู้ทางด้านนี้มาก ก็ไปคิดท่าเอง เหมือนเรายังไม่ได้หัดเขียน ก ไก่ค่ะ แต่ว่าข้ามขั้นไปแล้ว เหมือนเบสิกมันต้องแน่นก่อน แล้วค่อยไปเล่นท่าที่มันยากขึ้นค่ะ

อุ้มว่าโซเชียลเนี่ยตัวช่วยสำคัญในการออกกำลังกาย บางทีเรากดติดตามคนที่เขาออกกำลังกายใช่ไหมคะ บางทีวันนี้มันก็ไม่ได้อยากไปยิมหรอก แต่เราเห็นเขาออกกำลังกาย มันเหมือนเป็นการช่วยเราได้ หรือไม่ก็ตั้งเป้าก็ได้ ไม่จำเป็นต้องไดเอตเพราะแข่ง อย่างอุ้มอาจจะใช่วิธี เช่นอีก 2 อาทิตย์จะวันเกิดแฟน ฉันอยากหุ่นสวยอะไรอย่างนี้ หรือไม่ก็อีก 3 อาทิตย์ จะงานแต่งเพื่อนอะไรอย่างนี้ เพราะฉะนั้นเราจะเหมือนเริ่มมีแรงบันดาลใจที่จะออกกำลังกายค่ะ”

ลุยเป็นเทรนเนอร์ “ซุป’ตาร์” สุดเซ็กซี่

ความฝันสูงสุดของอุ้มสำหรับกีฬาเพาะกายก็คือการเป็นแชมป์โลก และในตอนนี้เธอก็ได้มาแล้ว ฝันต่อไปจึงเป็นการโฟกัสตัวเองมากขึ้น เพราะหลังจากที่เธอมาเล่นกีฬานี้ ก็ไม่ค่อยมีเวลาให้กับตัวเอง อะไรที่อยากทำ ธุรกิจ หรือเรื่องส่วนตัว เรื่องความรัก ก็เหมือนอุ้มไม่ได้โฟกัสตรงนั้นเท่าไหร่

กระทั่ง เธอเองก็มีความสนใจที่จะทำธุรกิจส่วนตัวเกี่ยวกับ “อุปกรณ์ออกกำลังกาย” ที่สามารถพกไปออกกำลังกายข้างนอกได้ ไม่เพียงแค่นี้อุ้มยังมีแบรนด์ “เสื้อผ้า” โดยคอนเซ็ปต์ที่อุ้มต้องการคือสามารถใส่ไปออกกำลังกายได้ ใส่เที่ยวได้ รวมถึงใส่นอนได้ในชุดเดียวกัน แต่ไม่จำเป็นต้องหุ่นดี หุ่นแบบไหนก็ใส่ได้ ซึ่งตอนนี้กำลังอยู่ในกระบวนการดำเนินการ และจะมีทีมงานคอยช่วยกันดูแลในเรื่องขั้นตอนการผลิตสินค้าออกมาจำหน่ายเช่นกัน

ทุกวันนี้ที่ได้เริ่มสนใจมาทำธุรกิจเป็นของตนเอง แต่อุ้มเองก็ยังคงฟิตหุ่นและออกกำลังกายอยู่เสมอ พร้อมกับอีกหนึ่งสิ่งที่เธอสามารถนำทักษะในการฝึกฝนเพาะกายมาใช้ในปัจจุบันเพื่อสอนคนอื่นได้ ก็คือการหันมาเป็น “เทรนเนอร์” นั่นเอง

“ปีนี้อุ้มจะมีคลาสออกกำลังกายค่ะ ที่อุ้มเริ่มทำคลาสออกกำลังกายเพราะว่ามีหลายคนที่อยากมาเรียนกับเรา แต่บางทีงบในการเรียนมันค่อนข้างที่จะสูง เพราะต้องเรียนทีละคน 1 ชั่วโมงอุ้มจะต้องอยู่กับคุณ เพราะฉะนั้นวันหนึ่งอุ้มจะสอนเต็มที่ก็ได้ประมาณ 5 คน ซึ่ง 5 คนนี่ก็เหนื่อยมากนะ 5 ชั่วโมง หรือ 7-8 คน นี่คือตายแล้ว 8 ชั่วโมงที่อุ้มจะต้องคลุกคลี่กับลูกศิษย์

และคิดว่าปีนี้นะคะ อุ้มจะมีคลาสที่เหมาะสำหรับคนที่มีงบน้อย แล้วก็มีเวลาน้อย อาจจะมาเล่นคลาสอุ้ม คือมีเต้น มีคาดิโอ้ แล้วก็มีสร้างกล้าม เป็นเวลาที่คุณสามารถออกกำลังกายได้ แล้วก็สนุกสนาน มีเพลง มีมิวสิก อะไรอย่างนี้ค่ะ

ตอนนี้ก็มีคนมาเรียนกับเราเยอะนะคะ เพราะว่าคนสนใจเรียนกับเราเยอะ แต่บางทีเวลาเราจำกัด การเดินทางบางทีอุ้มสอนที่ยิมด้วย ที่บ้านด้วย เพราะฉะนั้นเราจะต้องเดินทางไปหาที่บ้าน เดินทางมายิมอะไรอย่างนี้ ซึ่งวันหนึ่งมันจะได้ไม่เอยะมาก ก็เลยมีไอเดียในการสอนคลาสนี้ขึ้นมา ซึ่งคลาสหนึ่งครูอาจจะสอน 10 คน 2 ชั่วโมงก็ 20 คนแล้ว”

คลาสออกกำลังกายของนักเพาะกายอย่างอุ้ม ที่เปิดขึ้นสำหรับคนที่สนใจจะดูแลรูปร่างให้สวยและสุขภาพดี ไม่ใช่แค่คนทั่วไปที่ต้องการมาเรียนกับครูอุ้ม แต่ยังมีเหล่านักแสดงระดับนางเอกของวงการบันเทิงอย่าง คิมเบอร์ลี แอน เทียมศิริ, แต้ว-ณฐพร เตมีรักษ์, พิงกี้-สาวิกา ไชยเดช ไม่แค่นั้นยังมีนักร้องเสียงดีอย่าง ลิเดีย-ศรัณย์รัชต์ ดีน, และ ดา-ธนิดา ธรรมวิมล หรือ ดา เอ็นโดรฟิน ที่ให้ความสนใจมาเรียนกับเทรนเนอร์เพาะกายอย่างเธออีกด้วย





[เทรนเนอร์ผู้อยู่เบื้องหลังความปังของ “ศิลปิน-นักแสดง]

“สภาพร่างกายของแต่ละคน กว่าจะมีรูปร่างที่ดีมันขึ้นอยู่กับพื้นฐานที่เขามีอยู่แล้วด้วย อย่างน้องลิเดียก็เป็นคนที่มีพื้นฐานแข็งแรง มีกล้ามเนื้ออยู่แล้ว แต่ปัญหาของน้องลิเดียคือ งานเขาเยอะ ศิลปินเนอะ นอนน้อย แล้วบางทีอาหารควบคุมไม่ค่อยได้ แต่ลิเดียไม่ค่อยห่วงเขา เพราะว่าเขารู้ลิมิตตัวเอง เขาจะรู้ว่าเขากินได้แค่ไหน เขาก็คุมเรื่องอาหารได้ดี ก็เลยเหมือนว่ามันขึ้นอยู่กับพื้นฐาน ขึ้นอยู่กับความมุ่งมั่นของแต่ละคนค่ะ

ลูกศิษย์ของอุ้มแต่ละคนจะมีปัญหาไม่เหมือนกัน บางคนก็จะไม่ชอบขา บางคนไม่ชอบแขน แขนใหญ่ เพราะฉะนั้น เราเป็นเทรนเนอร์ เราก็จะแก้ปัญหาเขาแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่อย่างหนึ่งที่อุ้มรู้สึกว่าสำคัญมากคือ เทรนเนอร์ต้องสร้างแรงบันดาลใจให้กับลูกศิษย์ตลอดเวลา สมมติว่าเราปล่อยตัว ครูอ้วนมากแล้วก็ไปสอนลูกศิษย์ ถ้าถามลูกศิษย์ก็จะบอกว่าเอ้าครูยังอ้วนเลยเอาง่ายๆ เลย ก่อนแข่งลูกศิษย์อุ้มอ่ะผอมหมดเลยนะ ผอมตามครู เพราะเห็นครูกินอะไรกินตาม ไดเอตตาม แต่พอตอนนี้ครูแข่งเสร็จครูกิน ก็กินตาม อ้วนตามครู (หัวเราะ) ซึ่งมันสำคัญมากที่ว่าเทรนเนอร์จะเป็นแรงบันดาลใจให้กับลูกศิษย์

เราก็ค่อยๆ ปรับทัศนคติเขา แล้วส่วนมากคนจะเชื่อหรือรับข้อมูลผิดๆ มา เราก็จะพยายามค่อยๆ บอกเขา มันจะไม่ได้ในวันหรือสองวัน มันจะต้องใช้เวลานานมากกว่าเขาจะเชื่อเราแล้วก็ทำตามที่เราบอก เราต้องคุยกับเขาก่อนตั้งแต่ครั้งแรกที่มาเรียน จนเวลามาเรียนแล้วค่อยเพิ่มข้อมูลเข้าไปเรื่อยๆ เพิ่มอย่างนี้นะ กินอย่างนี้ เวลานี้ควรกินอะไร แต่ก็ขึ้นอยู่กับเขาด้วย เพราะเขาอยู่กับเราแค่ชั่วโมงเดียว แต่อีก 23 ชั่วโมง เขาอาจจะไปกินอะไรก็ได้ เราไม่รู้ เพราะฉะนั้นมันอยู่ที่ใจอย่างเดียว อุ้มจะไม่เคร่งครัด จะชิวๆ สบาย แต่เขาจะเห็นว่าเรามีวินัย










งัดท่าเด็ด! แนะรูปร่างสุดปัง



3 ท่าออกกำลังกายที่อุ้มชอบนะคะ อุ้มอ่ะชอบเล่นก้น แล้วคนก็จะรู้จักเราเพราะก้นอะไรอย่างนี้ เหมือนคนจะบอกว่าเราก้นเด้งอะไรอย่างนี้ เพราะฉะนั้นท่าที่ชอบ 3 ท่า น่าจะเป็น hip thrust ค่ะ มันจะเป็นท่านอนหงายกับพื้น แล้วก็ยกสะโพกขึ้น แล้วก็เกร็งก้น ท่านี้มันจะได้ก้น hamstring หน้าขา แล้วก็อีก 2 ท่าก็น่าจะเป็นท่า leg lunge ค่ะ เหมือนกับเราก้าวไปแล้วก็ย่อลง แล้วสุดท้ายก็น่าจะเป็น ท่า squat ค่ะ ก็จะเป็นท่าแบบเบสิกเลยคนน่าจะรู้จักค่ะ

คนที่อยากมีรูปร่างดีนะคะ ก็ให้เริ่มอะไรที่จากง่ายๆ ตั้งเป้าหมายให้มันสั้นๆ เพราะบางคนชอบคิดเดี๋ยวฉันจะลดน้ำหนัก 10 กิโล ซึ่งมันเป็นอะไรที่ยากมาก 10 กิโล มันไกลมาก ลองคิดว่าสมมติเราใส่กางเกง XL ใช่ไหมคะ เราก็ตั้งว่าฉันอยากใส่กางเกงใส่ M อะไรอย่างนี้ เป้าหมายให้มันเป็นไปได้หน่อย แล้วก็พยายามอย่าโอเวอร์เหมือนวันแรกมายิม ใส่ใหญ่เลย ฉันอยากผอม สุดท้ายพอวันที่สองไม่ไหวแล้ว ค่อยๆ ค่ะ วันแรกอาจจะยังไม่ต้องเล่นเวทก็ได้

วันแรกคาดิโอ้หรือเดิน 15 นาที ก็ออกกำลังกายแล้ว เต้นอยู่บ้านก็ออกกำลังกายแล้ว เพราะฉะนั้นอ่ะ อย่าหักโหม ให้ค่อยๆ เป็น ค่อยๆไป แล้วก็ที่สำคัญคือ ให้หาความสุขเหมือนบางคนอาจจะไม่ชอบเวทเทรนนิ่ง ไม่ชอบฟิลเลย ก็ไม่ต้องเล่นเวทค่ะ แต่เวทเทรนนิ่งมันเป็นพื้นฐานของกีฬาทั้งหมดเลย ถ้าไม่ชอบจริงๆ ก็ไปหาคลาสที่เหมือนเต้นไปด้วย แล้วยกเวทไปด้วยอะไรอย่างนี้ ก็ให้หาอะไรที่เราทำแล้วมีความสุข เพราะถ้าทำแล้วเรามีความสุข เราจะทำได้นาน แต่ถ้าเราทำแล้วเราฟืน เราจะทำได้ไม่นาน

เพราะฉะนั้นเราต้องหาอะไรที่ทำให้ชีวิตมันสมดุลค่ะ สำหรับคนที่อยากมีรูปร่างที่สวยนะคะ เราจะทำยังไงให้มันถึงเป้าหมายสักที อุ้มแนะนำว่าให้หาทางที่เราชอบ เราต้องหาอะไรที่ทำแล้วเรามีความสุข แล้วเราจะทำได้นาน เราทำได้นาน เราก็จะสามารถทำได้ตลอดไปค่ะ”











หากจะมีความรัก ผู้ชายคนนั้นต้องเข้าใจเรื่อง “ไดเอต”



อุ้มเป็นคนออกกำลังกาย ถ้ามาเจอกับผู้ชายที่ไม่ออกกำลังกายหรือมีพุง บางทีผู้ชายมาคุยด้วยแล้วแบบมีพุง แล้วเรามองพุงเขา ก็เกลียดตัวเองเหมือนกันนะเวลาเป็นแบบนี้ (หัวเราะ) ก็คือเขาต้องออกกำลังกายแน่นอน แล้วก็ต้องชอบอะไรคล้ายๆ กันค่ะ แล้วก็ต้องเข้าใจในเรื่องการไดเอตของเรา ซึ่งก่อนหน้านี้อุ้มก็มีความสัมพันธ์ก็คือมีแฟนแต่ก็เลิก ด้วยความที่เขาไม่เข้าใจเวลาเราไดเอต อารมณ์เราจะขึ้นๆ ลงๆเพราะว่าเราเหนื่อย เรากินอาหารจำกัดอะไรอย่างนี้ ก็จะมีปัญหากับความสัมพันธ์ตลอด

พอถ้าจะคิดว่าเรามีแฟน เขาต้องเข้าใจเราตรงนี้มากๆ ว่าตอนเราไดเอตเราออกไปกินข้าวนอกบ้านไม่ได้นะ หนึ่งคำก็ไม่ได้นะ ไม่ต้องมาชวน บางทีเราไดเอตเขาส่งรูปอาหารมาแล้วเขาไปกินกับเพื่อน นี่โกรธมาก ส่งมาทำไม คือเราอยากกินอะไรอย่างนี้ แต่ก็นั้นแหละ ต้องหาคนที่เข้าใจเรา ไม่ใช่ยอมเราทุกอย่าง ก็คือเข้าใจ แต่ไม่ใช่ยอม ก็เป็นผู้นำเราได้ด้วย แล้วก็ต้องออกกำลังกายค่ะ

เหมือนเวลาที่เราใกล้แข่ง เหมือนเราต้องตัดทุกอย่างเลย เราไม่สามารถมานั่งเสียใจเรื่องนี้ เราต้องโฟกัสแค่เรื่องแข่ง เพราะฉะนั้นจิตใจเราจะอ่อนแอมาก พูดอะไรนิดนึงเราก็จะอ่อนไหว เพราะฉะนั้นต้องเป็นคนที่เข้าใจเราจริงๆ

ความรักที่ผ่านๆ มา ได้เรียนรู้เยอะมาก แต่ว่าโชคดีที่ว่าเราเรียนรู้จากความผิดพลาด ก็เอามาปรับปรุงในตัวเอง คือทุกครั้งที่เราเริ่มหรือจบความสัมพันธ์ไป เราก็รู้ว่าเราจะไม่โทษเขา เราจะไม่โทษผู้ชายอย่างเดียว แต่เรากลับมานั่งมองตัวเองว่าตัวเราก็ไม่ดีเหมือนกันนะ จุดนี้เราต้องแก้ จนเราก็พยายามแก้ตัวเอง ข้อเสียอย่างเมื่อก่อน อุ้มเป็นคนอารมณ์ร้อนมาก แต่ตอนนี้ก็คือไม่แล้ว ค่อยๆปรับ จนเรากลายเป็นคนในเวอร์ชันที่ดีกว่าเดิม เพราะฉะนั้นผู้ชายที่จะเข้ามาในตอนนี้ (แววตาเป็นประกาย) ก็จะเจอเราในเวอร์ชันที่ดีกว่าเดิมอะไรอย่างนี้ (ยิ้ม) คือเราต้องเรียนรู้จากข้อผิดพลาดก่อนๆ ต้องดูตัวเราด้วย

ตอนแรกคิดว่าอายุ 30 อยากแต่งงานมีลูก แต่นี่คือ 32 แล้ว (หัวเราะดัง) ฮัลโหลเนื้อคู่อยู่ไหน ก็ไม่อยากให้มากไปกว่านี้แล้วค่ะผู้หญิงอ่ะเนอะ ถ้ามีลูกก็อายุ 32 33 ก็น่าจะโอเคแล้วแหละ











ต้องเลือกระหว่าง “ดีเจ” กับ “เพาะกาย”



ดีเจก็เคยเป็นค่ะ เป็นทุกอย่างค่ะ (หัวเราะ) ตอนที่เป็นดีเจ ตอนอุ้มเล่นกล้ามแล้ว แต่ว่าครูของอุ้มรู้จักกับครูเอ ไวตามินเอ ซึ่งเปิดโรงเรียนสอนอาคาเดมี่ เป็นแบบดีเจอะไรอย่างนี้ ด้วยความที่เราเป็นแดนเซอร์เพอร์ฟอร์แมนซ์เรามันได้อยู่แล้ว พี่เอก็เลยบอกว่า อุ้มลองมาเรียนไหม แล้วก็ลองดูว่าไหวไม่ไหว ถ้าไหวก็ลองทำงานนี้ดู เพราะว่าดีเจค่อนข้างรายได้ดี

ตอนไปเรียนก็ไม่มีอะไรเลย หูฟังไม่มีอะไรอย่างนี้ ก็ไปแต่ตัว แล้วก็แบบงงๆ แล้วก็ถามว่าชอบไหม ก็ชอบนะคะ มันก็เป็นเหมือนตอนเราเป็นแดนซ์เซอร์ เราอยู่กับเพลงตลอดเวลาอยู่แล้ว เวลาฟังเพลงบีทเราจะเข้าใจง่ายกว่าคนอื่น แต่ด้วยความที่ดีเจปุ่มมันเยอะมาก คือถ้าเรากดผิดปุ่มหนึ่งก็ผิด แต่ตอนที่ทำดีเจ มันแค่เวลาสั้นๆ แล้วเราต้องเลือกแล้ว ดีเจมันทำงานกลางคืน ตี 4 ตี 5 ไม่ได้นอน แต่กีฬานี้มันต้องนอน เพราะถ้าไม่นอน กล้ามไม่โต เราต้องเลือกแล้วว่าเราจะไปทางไหน เราจะไปดีเจชีวิตเราก็จะเป็นอย่างนี้ อุ้มก็เลือกมาทางนี้คือเพาะกาย

ชีวิตดีเจตอนนั้นสนุก แต่อุ้มรู้สึกว่าเราอิ่ม เราเริ่มแก่หรือเปล่าไม่รู้ (หัวเราะ) เหมือนเราอิ่มกับการปาร์ตี้ เหมือนตอนเราเป็นแดนเซอร์เราก็ปาร์ตี้เยอะแล้ว พอเรามองอนาคตไกลๆ เราว่าทางนี้มันน่าจะดีกว่า



สัมภาษณ์โดย : MGR Live
เรื่อง : สวรส พวงเกาะ
ภาพ : กัมพล เสนสอน
ขอบคุณภาพบางส่วน : เฟซบุ๊ก Oummy_thebootymaker
ขอบคุณสถานที่ : Fitstonegym





 
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **



กำลังโหลดความคิดเห็น