xs
xsm
sm
md
lg

เปิดบ้าน! ล้วงทุกมุม “ป๊อป-อารียา” สู้ชีวิตดูแลแม่ป่วยหนัก โสดก็สุข-สตรองได้

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


 
'เพราะไม่รู้แม่จะอยู่ได้อีกนานเท่าไหร่' ล้วงชีวิต 'ป๊อป-อารียา สิริโสภา' ดูแลแม่ป่วยหนักเกือบ 10 ปี 'โรคทางสมอง-สั่นเกร็งตลอดเวลา' ล่าสุด สูญเสียการมองเห็นทั้งสองข้าง สังคมยกให้เป็นไอดอลผู้หญิงเก่งและแกร่งแห่งปี! ทั้งยังเปิดบ้านสร้างสตูดิโอสอนโยคะ 'เน้นสนุก-รักษาสุขภาพ-ไม่คิดกำไร' เผย เรื่องความรักไม่ใช่เรื่องใหญ่ ไม่มีคู่ก็สตรองได้!

ปลดล็อกปมในใจ..จะดูแลแม่ให้ดีที่สุด!

“โชคชะตาของพ่อ-แม่ เราไม่รู้เขาจะตายเมื่อไหร่ บางคนก็ตายเร็ว บางคนก็ตายช้า บางคนก็ไปบ้านพักคนชรา เราไม่รู้อนาคตของเขา แต่เรามีโอกาสได้เลี้ยงเขา ได้ดูแลเขา มันแก้ปมหลายๆ อย่างที่อยู่ในใจเราไปได้”

“ป๊อป-อารียา สิริโสภา” เปิดหมดทุกความรู้สึก หลังดูแลแม่วัย 73 ปีที่ป่วยด้วยโรคเกี่ยวกับกล้ามเนื้อทางสมองมากว่า 10 ปี แม้ก่อนหน้านี้คุณแม่ของเธอมีชีวิตที่ปกติดีทุกอย่าง แถมยังเป็นวิศวกรหญิง อาศัยอยู่ที่สหรัฐอเมริกา แต่ชีวิตต้องเปลี่ยนไปตลอดกาล เมื่อพบความผิดปกติเกิดขึ้นที่สมอง

“ต้องบอกก่อนว่าเรามีบุญมากๆ ที่มีโอกาสได้อยู่กับแม่ ถ้าแม่สบาย แม่ไม่กลับจากอเมริกานะ เธอเป็นวิศวกร เธอเป็นหัวหน้าวัดอยู่ที่มิชิแกน เป็นประธานของวัด มีทุกอย่างเลย มีเพื่อนฝูง มีเพื่อนเป็นเจ้าของร้าน มีเพื่อนเป็นหมอ แม่เป็นใหญ่เป็นโตที่มิชิแกนของเขา

ซึ่งโรคที่แม่เป็น คนไทยจะเข้าใจผิดว่าเป็นโรคสมองที่เกี่ยวกับความจำ แต่จริงๆ ความจำเขาดีมาก ความคิด-ความอ่าน ยังดีมากๆ อยู่เลย แต่เป็นอีกสมองหนึ่งที่เกี่ยวเนื่องกับกล้ามเนื้อ ซึ่งจะสั่นไม่หยุด ปากสั่น มือสั่น นิ้วหงิกงอ จะเหมือนพาร์กินสัน แต่ร้ายแรงกว่า

 
ส่วนเหตุผลก็ไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร อาจจะเป็นที่รัฐมิชิแกนมีปัญหาเรื่องสารตะกั่วในน้ำ มีข่าวดังทั่วโลกว่าท่อน้ำมีสารตะกั่วปน เรื่องน้ำมันใกล้ชิดกับร่างกายมนุษย์ ซึ่งในอนาคต ไม่รู้มนุษย์จะเป็นยังไง เราใส่พิษเข้าไปในน้ำ ในอากาศ ในดิน ในอาหารการกินของเราเยอะมาก ถ้าคนรับไม่ได้ ก็จะเป็นมะเร็ง มะเร็งก็จะมากขึ้น”

น้ำเสียงสั่นเครือระหว่างการสนทนา เธอเล่าต่อไปว่าโรคของแม่เธอนั้นพบได้น้อยเกินกว่าจะแบ่งออกเป็นกลุ่มได้ ทั้งในทวีปเอเชียเองก็ยังไม่มีใครพบผู้ที่ป่วยด้วยโรคลักษณะนี้สักเท่าไหร่

“โรคนี้ที่แม่เป็น มันน้อยเกินไปที่จะมีกลุ่มได้ หมอบอกมันไม่ใช่พาร์กินสันด้วย แต่มันใกล้เคียงที่จะเปรียบเทียบได้ ด้วยความที่เราเป็นครู เราก็ต้องสังเกตตัวเราเอง สังเกตนักเรียน สังเกตแม่ เพราะเราจะกายภาพกันทุกเช้า จะสังเกตกล้ามเนื้อ ผิวที่เขียวหรือหน้าที่ตอบลงไป การกิน การนอน สังเกตทุกอย่างเลย

เรากำลังมองเขาและต้องปลงไปด้วยนะ เป็นการเห็นตัวเอง เราห่างกัน 20 ปีเอง บางทีงอแง หงุดหงิดตัวเองก็จะไปอ้อนกับแม่ บอกแม่ ถ้าแม่ไปแล้ว ใครจะดูแลหนู แม่เอาคืนใช่ไหม ตอนเด็กๆ หนูดื้อมาก แม่จะให้หนูมีลูก แต่หนูไม่มีลูกให้แม่ นี่แม่แกล้งใช่ไหม อยากให้หนูอยู่บ้านใช่ไหม

มันต้องสลับ พลิกให้ได้กับสิ่งที่มันเศร้า แล้วให้มันร่าเริงให้ได้ เพราะว่าเรามีโอกาสได้อยู่ในโลกนี้ ได้แค่นี้ เราไม่รู้เขาจะไปเมื่อไหร่ เวลาเรามีกี่ครั้ง คริสต์มาสมีกี่ครั้ง วันเกิดกี่ครั้ง เวลาผ่านไปเร็วมาก”

 
ขณะที่ล่าสุด อาการป่วยของคุณแม่ยังไม่มีทีท่าจะดีขึ้น เธอเล่าให้ฟังว่าตอนนี้แม่ได้สูญเสียการมองเห็นไปแล้ว เนื่องมาจากต้อหินที่กดทับเส้นประสาทตา จนทำให้ตาบอดทั้งสองข้าง ถือเป็นสิ่งที่เธอต้องรับมือกับความเจ็บปวดนี้ให้ได้

“มันอยู่ที่ว่าแม่ได้นอนพักผ่อนหรือเปล่า อาการสั่นของแกทำให้แย่ลง กล้ามเนื้อก็จะค่อยๆ หายไป ตอนนี้ไม่มีโอกาสได้ยืนเท่าไหร่เลย ซึ่งกล้ามเนื้อหายไปไม่พอ มันตอบลง เห็นเลยว่ามีแต่กระดูกมากขึ้น พลังก็หมดเร็ว การที่ต้องอยู่ในความมืดตลอดเวลา บางทีแกลืมว่าแกตาบอด เราก็ไม่รู้จะบอกยังไงดี

บางทีตื่นเช้ามา แม่ถามทำไมมันมืดจังเลย แต่แดดจ้าอยู่ข้างนอก น้ำตาก็จะไหล เราจะบอกเขายังไงดี ก็บอก แม่อย่ามองเลย โลกไม่มีอะไรหรอก แค่แสงสว่าง มันไม่มีอะไรหรอก”

อย่างที่เห็นผ่านอินสตาแกรมของเธอที่ได้มีการลงภาพและวิดีโอการพูดคุยหยอกล้อกัน ระหว่างเธอกับแม่อยู่เสมอ จนเข้าใจว่าเธอนั้นสนิทกับแม่หรือน่าจะมีความทรงจำผูกพันกันมาตั้งแต่เธอยังเด็ก ทว่า ความจริงแล้วเธอเปิดใจกับเราว่าตนมีปมในใจกับครอบครัวมาโดยตลอด

 
“เป้าหมายสูงสุดของพ่อ-แม่เราที่ให้ไปอยู่มิชิแกนคืออยากให้เป็นหมอ แต่เราไม่อยากเป็นหมอ เขาก็ให้มีเป็นแฟนหมอ เราก็ไม่เอา ไม่เอาเด็ดขาด ส่วนน้องชายก็ไปเรียนหมอ พอเราเรียนจบก็จะขอแม่ไปเที่ยวอิตาลี เราได้เกียรตินิยม มีงานทำ ขอไปเที่ยวอิตาลี พักผ่อนสัก 6 เดือนได้ไหม เพราะไม่เคยพักผ่อนเลย

ตอนนั้นทะเลาะกันหนักเลย อาจเป็นเพราะเราใกล้จะบิน เหมือนนกกำลังจะออกจากรัง แม่เขารับไม่ได้ เขาก็ออกโรงด้วยความแรง บอกว่า ฉันไม่รู้จะเลี้ยงลูกสาวไปทำไม อนาคตเธอก็ต้องแต่งงาน มีผั- เป็นฝรั่ง ฉันก็เลี้ยงเธอให้เป็นเมียฝรั่ง เธอมีประโยชน์อะไรบ้างในชีวิตฉัน ฉันไม่ต้องการเธอแล้วในชีวิตนี้

เธออยากทำอะไรก็ทำไป ฉันจะส่งลูกชายฉันเรียนหนังสือ ลูกชายฉันจะไปเป็นหมอ เธอจะเป็นศิลปินก็ไป ไม่ต้องกลับมาหาฉันนะ น้ำตาร่วงเลยนะ จะไม่ร่วงได้ยังไง มันฝังใจว่าลูกสาวคืออะไรที่เป็นส้วมหน้าบ้าน ทำไมคนไทยชอบพูดอะไรทางลบให้กับลูกสาวฟังก็ไม่รู้

แต่มันดีนะ บอกตรงๆ ว่ามันทำให้เราแข็งแรงขึ้น ใครเป็นส้วมหน้าบ้าน ใครเป็นของสาธารณะ มาลองดูสิ ใครมาทำกับฉัน เดี๋ยวจะโดน มันก็ทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น แล้วก็ไม่ยอมใครเท่าไหร่ในตอนเด็กๆ แต่ตอนนี้ไม่สนใจแล้ว ใครอยากทำอะไรก็ทำไป”

โยคะ = ยารักษา

“โยคะมันไม่ได้ช่วยแค่เรื่องการรักษาอย่างเดียวนะ มันดัดร่างกายเราไม่พอ ดัดหลัง ดัดคอ มันดัดสันดานด้วย มันดัดให้สันดานของเราให้ดีขึ้น จากคนที่นอนดึก เฉื่อยชา ไม่เอาไหน บางทีก็ลอยๆ สมาธิกระจาย มันทำให้เรารู้หน้าที่ของเรา และรู้จักสังเกตตัวเอง”

กว่า 6 ปีที่เธอได้รับบทบาทเป็นครูสอนโยคะประจำบ้าน ด้วยการเริ่มต้นแบบไม่ได้ตั้งใจ จากนักเรียนเพียงไม่กี่คน จนล่าสุดมีนักเรียนที่เดินทางมาเรียนโยคะกับเธอมากกว่า 200 คนแล้ว! เธอย้อนเหตุการณ์ครั้งนั้นให้ฟังว่าการเป็นครูสอนโยคะที่บ้านนั้นเริ่มมาจากเสียงเคาะประตู

“บอกก่อนว่า ก่อนหน้านี้เป็นคนที่รักอิสระสูงมาก แต่คนเราถ้ามีอิสระสูงมาก ก็ต้องมีความรับผิดชอบสูงด้วย เมื่อก่อนจะนอนดึก จะดื่ม จะเที่ยวดึกขนาดไหน วันรุ่งขึ้นก็ยังไปได้ต่อ แต่หลังอายุ 30 หรือ40ไปแล้ว พอได้ดื่มนะ มึนแล้วค่ะ(หัวเราะ)

ย้อนกลับไป เราเรียนโยคะมาเพื่อรักษาตัวเอง แต่ช่วงหลังกลายเป็นว่ามีเพื่อนบ้านมาเคาะประตูบ้าน ขอเรียนโยคะด้วยหน่อย เราก็บอกไปว่าไม่ได้สอนโยคะนะ เขาบอกก็เห็นออกทีวีว่าสอนโยคะที่เชียงใหม่

กลุ่มนักเรียนโยคะ
 
จากนั้นก็มาปรึกษาแม่ว่ายังไงดี แม่ก็ว่าดี แม่ก็จะมีหน้าที่ในการจำชื่อนักเรียน จนถึงตอนนี้สอนที่บ้านมา 6 ปีได้แล้ว ซึ่งก่อนหน้าเรียนนี้ที่สมุย ได้มีโอกาสสอนที่ Absolute Yoga อยู่ช่วงหนึ่ง และได้ไปสอนโยคะอยู่ที่เชียงใหม่ เราไปสอนอยู่หลายที่เลย

แต่ไม่เคยคิดว่าจะสอนที่บ้านตัวเอง ไม่ได้ตั้งใจจะทำอย่างนั้น แต่พอทำไป มันก็ฝึกให้เราเป็นนักเรียนตลอดเวลา เพราะการที่เป็นครูจะคล้ายๆ หัวหน้าทัวร์ เราต้องรู้มากกว่าเขาสักหน่อยหนึ่ง ถ้าไม่รู้ก็ต้องไปหาข้อมูลแล้วมาให้ความรู้

มันก็ทำให้เราขยัน เพราะมีคนมาจี้ มีคนมาถามว่าครูคะ ทำท่าแบบนี้ทำยังไง มันบังคับให้เราต้องขยันด้วย ฉะนั้น การที่เป็นครูก็ต้องเป็นนักเรียนที่ดีก่อน การเป็นนักเรียนเป็นสิ่งที่ทำให้เรามีสมาธิกับตัวเราเอง ได้สังเกตตัวเราเองมากขึ้น สมาธิจึงจะอยู่กับตัวเอง มันคือการฝึกตัวเอง

แต่การเป็นครูคือการฝึกสมาธิให้ไปอยู่กับคนอื่น มองเขาเพื่อไม่ให้เขาบาดเจ็บ แต่ต้องพอดี ไม่เยอะเกินไป ไม่น้อยเกินไป นี่คือความเมตตา คือ ความเป็นครู”

ด้วยความที่บ้านหลังปัจจุบันของเธอมีพื้นที่ไม่เพียงพอสำหรับจำนวนนักเรียนที่มากขึ้น นี่จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เธอเดินหน้าสร้างบ้านใหม่ ซึ่งเคยซื้อที่ดินไว้เมื่อหลายปีมาแล้ว เพื่อเปิดเป็นสตูดิโอสอนโยคะริมทะเลสาบ ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายในการเรียนแต่ละครั้ง ด้วยวิวหลักล้านแต่เธอกลับคิดค่าเรียนโยคะแค่หลักร้อยเท่านั้นเอง

 
“พื้นที่จริงๆ เล็กมาก รับคนเกิน 8 คน ถือว่าเยอะแล้ว ส่วนสถานที่ใหม่ พูดตรงๆ ว่าไม่ใช่นักธุรกิจ เป็นคนไม่ชอบเช่าสถานที่ ไม่ชอบคิดราคาให้คนแพง ไม่ได้คิดเพื่อกำไร แรกๆ ให้เขาหยอดเงิน เป็นการบริจาค หลังๆ เขาขอเลย ให้นักเรียนจัดการกันเอง เขาขอราคา เราก็คิด250 บาท เวลาเกือบ 2 ชั่วโมงนะ เราเล่น 90 นาทีขึ้นไป

เราอยากให้คนมาที่นี่แล้วเหมือนมีสนามเด็กเล่น ที่เอาความเป็นเด็กออกมาได้ ยืดตัวได้ เรามีพ่อ-แม่ พ่อผ่าตัดหลัง 2 รอบแล้ว เขาวิ่งเยอะเกินไป วันละ 10 กิโลฯ ซึ่งพ่ออายุ 70 แล้ว หมอบอกว่ามันเยอะเกินไป ส่วนแม่ นอนเยอะเกินไป ตอนนี้มีแผลกดทับ หมอบังคับให้ยืนหน่อย เพราะแกกระดูกเปราะ

ดูสิ พ่อฉันออกกำลังกายเยอะเกินไป แม่ออกกำลังกายน้อยเกินไป เราหวังว่าเราจะได้เรียนรู้จาก 2 คนนี้ ฉันต้องทำอะไรที่พอดี ทั้งการออกกำลังกายหรือการสอนโยคะ เติมพลัง เติมสิ่งดีๆ ให้กับร่างกาย นอนหัวค่ำ ขับถ่ายปกติ จริงๆ การอยู่นิ่งๆ แบบนี้ มันทำให้เรามีปัญญามากกว่ามีความรู้อีกนะ”

เยียวยาผู้อื่น แต่ไม่ลืมรักษา(ใจ)ตัวเอง

กว่า 8 ปีที่เธอดูแลแม่มาโดยตลอดอย่างไม่คลาดสายตา ทั้งต้องสร้างกำลังใจให้ผู้ป่วยให้มีสุขภาพใจที่ดีอยู่เสมอ ซึ่งเราก็แอบสงสัยเหมือนกันว่า สำหรับผู้ที่ต้องเติมพลังใจให้ผู้อื่น ขณะที่จิตใจตัวเองต้องแบกรับทุกสิ่งเอาเพียงลำพัง เธอจะมีวิธีเยียวยาหรือบำบัดตัวเอง ท่ามกลางเส้นความเป็นความตายด้วยวิธีแบบไหนกัน

“เคยถึงขั้นซึมเศร้านะ พูดตรงๆ เคยอยู่กับแม่ ดูแลแม่แบบไม่ไปไหนเลย ไม่ออกกำลังกาย แม่จะตื่น แม่จะหลับ แม่กินก็ทำตามที่แม่ทำ เราจะตายนะ เพราะร่างกายคนเราถูกสร้างมาให้เคลื่อนไหว ให้ทำนั่น ทำนี่ แล้วเราซึมเศร้า

แรกๆ ก็ออกไปเดินที่สนาม เดินรอบหนึ่งสักครึ่งกิโลฯ เดิน 10 รอบ เดินบ้าง วิ่งบ้าง หาทางเอาเหงื่อออก พยายามหายใจลึกๆ พยายามให้มันออกไป เพราะมันอึดอัดมาก ก่อนหน้านี้เครียดมาก ทำไมเป็นแบบนี้ ทำไมทุกคนต้องขว้างปัญหาให้ฉันแก้ไขตลอดเวลา แค่ฉันไม่มีลูก ไม่ได้แปลว่าฉันอยากไปรับผิดชอบชีวิตคนอื่นนะ

ทำไมต้องเป็นฉันคนเดียว ทำอะไรได้ จะไปกรี๊ดกร๊าดกับแม่ แม่ก็ค่อยๆ แย่ลง จะไปกรี๊ดกร๊าดกับใครดี เราเอาลูกเทนนิสมา ไปตีผนัง จะปลดปล่อยยังไงดี ให้ไปกินเหล้าเหรอ ทำไม่เป็นค่ะ (หัวเราะ) ไม่มีอะไรวิเศษเท่ากับการให้เหงื่อออกแล้ว กีฬานี่แหละวิเศษที่สุดแล้ว กระตุ้นเอนดอร์ฟิน ทำให้เรามีพลัง มีความสุข มันดีที่สุดแล้ว”

 
อย่างที่ทราบกันว่าพื้นที่บนอินสตาแกรมส่วนตัวของเธอนั้น เต็มไปด้วยโมเมนต์แห่งรอยยิ้มระหว่างเธอและแม่ เราติดตามเรื่องราวผ่านทางโซเชียลมีเดียของเธอมานาน พบว่ามีแต่ภาพและข้อความที่เป็นพลังบวกทั้งสิ้น ซึ่งเหตุผลอย่างหนึ่งที่เธอบอกกับเรา ก็เพื่อเป็นการเก็บบันทึกและสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อื่น

“การอยู่ในโลกของไอจี หรืออินเตอร์เน็ต เราเป็นคนที่อยู่ในวงการตรงนี้ มันไม่อยากจะลงแค่เรื่องที่เป็นเชิงลบ ลงโมเมนต์การร้องไห้ มันรู้สึกว่าตอนนั้นมันแย่ที่สุดของตัวเราเอง และเราจะถ่ายวิดีโอตัวเอง มันก็ไม่ใช่ เราอยากจะเอาความทรงจำ หรือสิ่งดีๆ เก็บไว้ เพราะวันหนึ่งถ้าแม่ไม่อยู่แล้ว เราจะได้กลับไปดูอดีตได้

อย่างลายมือแม่สวยๆ รื้อมาก็ไม่กล้าทิ้ง เพราะกลัวว่าจะไม่ได้เห็นอีกแล้ว แม่ค่อยๆ ตายไปเรื่อยๆ บางทีแม่หมดกำลังใจ แม่น้อยใจว่าทำไมไม่เอาแม่ไปทิ้งข้างนอก ทิ้งกับคนขายของเก่า แม่ตลก (หัวเราะ) ทิ้งกับคนขายของเก่า รับซื้อไหม แม่เก่า ตู้เย็นเก่า

ตรงนี้มันก็เป็นเมมโมรีของเราเอง คนอื่นเขาเห็น เขาก็ได้แรงบันดาลใจจากเรา บางทีสิ่งที่เราได้เรียนรู้ ทั้งการที่เรามีบ้าน มีแม่ มีโยคะ สิ่งที่เราเรียนรู้ก็คือ ทุกอย่างในชีวิต มันคือการบริหาร บริหารเวลา การกิน การนอน บริหารคนในบ้าน บริหารรถยนต์ การจ่ายภาษี แล้ววันหนึ่งถ้าเราบริหารไม่ทัน เราก็จะเครียดจัด
ป๊อปกับคุณพ่อ

 
บางอย่างก็ต้องรู้ว่าอะไรที่จะบริหารได้ และอะไรที่บริหารไม่ได้ อะไรที่ต้องยอมรับมันไป เรามีความรู้สึกตั้งแต่แม่เข้ามาในชีวิตเรา ย้อนไป 6-7 ปีก่อน เรารู้สึกว่าทำไมเป็นกรรมของฉัน คิดแบบนี้เลย รู้สึกเลยว่าทำไมต้องเป็นฉัน ทำไมฉันต้องเป็นลูกสาวคนโต

ซึ่งตอนแรกน้องชายจะให้แม่ไปอยู่กับเขา แต่มันเป็นไปไม่ได้ แม่เขารู้ว่าคนที่ดูแลดีที่สุดคือลูกสาว แต่ไม่ใช่ลูกคนโปรด จริงๆ ทุกอย่างมันท้าทายอยู่ตลอดเวลา เราก็หาเงินเองได้ เราต้องภูมิใจในตัวเองว่าเราไม่เคยขอเงินใคร เราไม่ขอเงินพ่อแม่ตั้งแต่เรียนจบมหา'ลัย

เราส่งเงินให้พ่อไปจ่ายค่าบ้านที่ตรัง เงินเรากระจายไปหลายที่ ให้เขามีความสุขของเขา เขามองเราไม่ใช่แค่ลูกสาว แต่รู้ว่ายังไงเราก็เอาตัวเองรอดได้ ยังไงก็ต้องนำคนอื่น เราเป็นคนที่ ถ้าตัวเองมีความสุข แต่พ่อแม่ น้อง ไม่มีความสุขด้วย หรือไม่สบาย เราก็อยู่ไม่ได้หรอก”

ถ้ามีคู่แล้วทุกข์..อยู่คนเดียวดีกว่า!

“ถามว่าเคยรู้สึกว่าตัวเองต้องมีคู่ไหม มันนิยายนะ คิดว่ามันจะดูเป็นนิยายมากไปหรือเปล่า ตั้งแต่แองเจลิน่ากับแบรดพิตต์เลิกกัน มันยังมีความรักอยู่จริงๆ หรือเปล่าบนโลกใบนี้” (หัวเราะ)

เปิดประเด็นเรื่องความรักกันแบบไม่มีกั๊ก! แม้ที่ผ่านมาจะมีคนผ่านเข้ามาให้หัวใจชุ่มฉ่ำอยู่บ้าง แต่ก็ดูเหมือนว่าชีวิตรักของเธอจะไม่ได้โดดเด่นเท่าไรนัก อาจเพราะเวลาทั้งหมดที่มีในตอนนี้อยู่ที่การดูแลครอบครัวเป็นหลัก ซึ่งเธอเองก็ยอมรับกับเราว่า ความรักไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุดในชีวิต

“ความรักไม่ใช่เรื่องใหญ่ ไม่ใช่จุดสำคัญของชีวิต เราอยู่บนโลกนี้มาแทบจะพึ่งตัวเองตลอดเวลา พึ่งพ่อแม่ไปถึงส่วนหนึ่ง จบเสร็จก็เรียนหนังสือ ทำงานหาเงิน ปัจจุบันอยู่กรุงเทพฯ มา 6-7ปี ถามว่ามีใครที่เราโทรศัพท์ร้องไห้ ไปเล่าให้ฟังไหม ก็ไม่มีนะ

ถ้าทุกข์มากๆ ก็เก็บไว้กับตัวเองดีกว่า ไม่ใช่เรื่องที่เราจะแชร์ให้ใคร ส่วนใหญ่คนอื่นจะเล่าให้เราฟังว่าเป็นยังไงมากกว่า แต่สำหรับคนที่มีคู่ จริงๆ ก็ดีใจด้วยนะคะ ใครที่แต่งงานมีครอบครัวที่มีความสุขก็ดีใจกับเขาด้วย แต่ขอร้องอย่าเปรียบเทียบกับเรา

 
เพราะเรายังไม่เคยเจอแบบนั้น ที่อยากจะแต่งงาน มีครอบครัวหรือมีลูกด้วย นี่เป็นความรู้สึกส่วนตัวนะคะ ผู้ชายไม่ใช่ทุกคนนะ ส่วนใหญ่วันเกิดถึงวันตายผู้ชายเป็นเด็ก เด็กที่ของเล่นแพงขึ้น เด็กผู้ชายได้ปืน ได้สตาร์วอร์ส ได้รถแข่ง ได้เบสบอล ได้ฟุตบอล ได้ของเล่น

ขณะที่เด็กผู้หญิงวันเกิดถึงวันตาย ผู้หญิงได้อะไร ได้ความเป็นแม่ ได้ตุ๊กตามาเลี้ยง ได้ของมาทำขนม ได้เสิร์ฟคนอื่น ผู้หญิง ที่ดีต้องเป็นช้างเท้าหลังไป”

สำหรับคนที่จะเข้ามาในชีวิต เธอมองว่าการเริ่มต้นจากความเป็นเพื่อนสำคัญที่สุด เพราะเกิดขึ้นจากความสบายใจ ปลอดภัย และรู้สึกเชื่อมั่นไว้ใจ อีกทั้งการเป็นพาร์ตเนอร์ที่ดี ซึ่งเป็นทั้งผู้นำและผู้ตามได้นั้นสำคัญสำหรับชีวิตคู่ด้วยเช่นกัน

“คนที่เข้ามา ต้องมาในลักษณะที่เรารู้สึกสบายใจ อบอุ่นใจ ปลอดภัย สำคัญที่สุดเลย ไม่ใช่มาแล้วรู้สึกว่ามาเกาะฉันหรือเปล่า ฉันจะเหนื่อยหรือเปล่า ส่วนเรื่องการใส่ใจก็สำคัญนะ คนเราถ้ามันจะทำอะไรให้ได้ดี ต้องใส่ใจ ใส่ใจเรื่องการเป็นหมอ ใส่ใจเรื่องเล่นกีตาร์ ใส่ใจเรื่องการร้องเพลง คนเราจะทำอะไรได้ดีต้องใส่ใจ

รวมถึงต้องเป็นพาร์ตเนอร์ชิปที่ดีด้วย เราเห็นด้วยกับคนที่แต่งงานเพราะมีลูกด้วยกันนะ ให้มันรู้สึกอบอุ่นไป แต่ในยุคปัจจุบัน จริงๆ แล้วเราว่าต้องช่วยเหลือกัน ต้องเปลี่ยนแปลงความเป็นพาร์ตเนอร์กันแล้วล่ะ เราเห็นด้วยบางทีอยากจะให้เขานำ บางทีเราก็นำเปลี่ยนกันบ้าง

 
ชีวิตคู่ มันเหมือนการเดินทางด้วยกันไปสักพัก บางทีพอหินเข้ารองเท้า เราก็ต้องนั่ง บอกอีกคนว่า ขอเอาหินออกจากรองเท้าก่อนนะ นี่ฉันมีปัญหาเรื่องนี้ เรื่องนั้น ถ้าฉันไม่เอาหินออกจากรองเท้าจะทำให้เท้าเจ็บ เก็บกด จะระเบิดออกมา มันไม่งาม

ฉะนั้น คนที่จะเข้ามาได้ ต้องเป็นเพื่อนก่อนนะสำคัญที่สุด เพราะเราไว้ใจ ต้องให้เกียรติกันพอสมควร ถามว่ามีบ้างไหม ก็มีบ้าง แต่พูดตรงๆ ตอนนี้โอเคมากๆ การที่เราอยู่แบบนี้ ดูแลแม่ไป”

เชื่อเลยว่าเป้าหมายของความรักของแต่ละคนล้วนต่างกัน บางคนอาจคิดว่าการได้แต่งงานสร้างครอบครัว คือ เป้าหมายสูงสุดของชีวิตคู่ ทว่า เธอเองกลับไม่เห็นด้วยกับคำกล่าวที่ว่า ชีวิตคู่ ต้องแต่งงานเท่านั้นถึงจะประสบความสำเร็จ

“แล้วคนที่หย่าล่ะ ประสบความสำเร็จแล้วไม่มีการหย่าเลยเหรอ แล้วถ้าประสบความสำเร็จ แต่งงานแล้วถ้าไม่มีความสุขล่ะ สามีตบตี มีเด็กมีเล็ก ไม่สนใจ แต่ยังประสบความสำเร็จเพราะแต่งงาน ยังอยู่จนถึงวันตาย ดีใจด้วยค่ะ ถ้าคิดอย่างนั้น

เรื่องความรักเป็นสิ่งที่เราอยากให้คู่ของเราเป็น เราคาดหวังอะไรจากเขา ก็ใส่กับตัวเอง เราต้องการคนที่มั่นคง ก็ใส่กับตัวเองหน่อย ต้องการคนที่ใจเย็น ก็ใส่กับตัวเองหน่อย ต้องการคนที่ไว้ใจได้ พึ่งพิงได้ ก็ใส่กับตัวเองก่อน

อย่าไปหาจากภายนอก แต่ควรเติมเต็มตัวเองให้ภายในเราเต็มก่อน ถ้าเราขาดความรักจากพ่อ เราหาคนให้มาเติมเต็มเหมือนพ่อเติมให้เราที่ขาดอยู่ จะมีความสุขจริงๆ หรือเปล่า ถ้ายังวัดความรักอยู่ที่วัตถุ หรือวัดความรักด้วยอะไรก็ไม่รู้”

“เกิด แก่ เจ็บ ตาย” เรื่องธรรมดา

“ถ้าเข้าใจธรรมะจริงๆ ก็จะรู้ว่าธรรมชาติของธรรมะ คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย มันหนีไม่พ้น ถ้าโชคดีไม่อยากจะเกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็ต้องตายก่อนแก่ (หัวเราะ) ถ้าคนที่โชคดีกว่าก็ต้องตายเลย ต้องตายเร็วด้วยนะ แต่เราเลือกได้ด้วยเหรอ”

แม้เธอจะเกิดและเติบโตอยู่ที่ต่างประเทศ แต่ต้องบอกเลยว่าทัศนคติเกี่ยวกับการมองโลกและการใช้ชีวิตของเธอ นั้นอิงอยู่กับพระพุทธศาสนา เธอย้อนความทรงจำวัยเด็กให้ฟังว่าเคยถูกคุณพ่อบังคับให้สวดมนต์ และนั่งสมาธิตั้งแต่อายุ 8 ขวบ ซึ่งไม่ต้องจินตนาการเลยว่าเด็กอายุ 8 ขวบกับการนั่งสมาธิจะเป็นเช่นไร

“พ่อ-แม่ให้สวดมนต์ตั้งแต่เด็กเลยนะ อยู่อเมริกาก็สวดมนต์ทุกคืน นั่งสมาธิตั้งแต่ 8ขวบ พ่อ-แม่กลัวอย่างเดียวว่าเราจะเป็นฝรั่ง ที่บ้านในมิชิแกนก็จะมีพระผู้ใหญ่ที่ครอบครัวนิมนต์มาทุกเดือน ท่านจะให้เดินจงกลม และไปนั่งวิปัสสนา

แต่เริ่มแรกที่ถูกพ่อแม่บังคับ ตอนเด็กๆ ก็ต่อต้าน มันไม่ได้สวยงามขนาดนั้น เด็ก 8 ขวบใครจะนั่งสมาธิ ตอนนั้นยังบ่น อยากดูออโต้แมส อยากดูอิคคิวซัง ต่อรองว่าการดูอิคคิวซังก็เหมือนการนั่งสมาธิแล้วนะ แต่ก็ทะเลาะกับพ่อ-แม่ตลอด เพราะไม่อยากนั่งสมาธิ

 
แต่มีจุดเปลี่ยนที่ พ่อ ไปบวชที่ จ.สุราษฎร์ธานี กลับมาแล้วเปลี่ยนไปเป็นอีกคนเลย จากผู้ชายที่สูบบุหรี่ก็เลิกสูบบุหรี่ จากผู้ชายที่กินเหล้า เต้นรำ ก็เลิก พานั่งสมาธิทุกวันตลอดเวลา จับลูกไปนั่งสมาธิ จับให้สวดมนต์ อะระหัง สัมมา ตั้งแต่เด็ก แต่เราก็แอนตี้นะ ไม่เข้าใจแปลว่าอะไร ทำไมต้องพูดสิ่งที่ไม่เข้าใจ

ด้วยความที่ภาษาไทยก็ไม่รู้ แต่บังคับให้เราสวดมนต์ให้ได้ จนกระทั่งอายุ 12 พ่อบอกว่าเรากลับมาเมืองไทยช้า เขาจะสอบกันแล้ว เราก็ต้องอ่านหนังสือย้อนหลังไปเยอะมาก แล้วกลัวจะไม่ทันเพื่อน พ่อจับให้นั่งสมาธิ ให้อยู่กับลมหายใจให้เป็น ให้จิตใจว่าง ให้โปร่งใส ให้จิตเรานิ่ง

หลังจากที่นั่งไปได้ครึ่งชั่วโมง แล้วมาอ่านหนังสือ ผลออกมาว่าสอบได้ดีมาก หลังจากนั้นเราอยากทำอะไรก็ตามให้ออกมาดี จะอยู่กับตัวเอง อยู่กับลมหายใจ คล้ายๆ ว่าเราฝึกโยคะมาตั้งแต่เรายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคือโยคะ ทั้งที่เป็นคนไฮเปอร์นะ เป็นคนที่คิดเยอะ คิดซับซ้อน แต่พอคิดน้อยลงก็จะมีความสุขมากขึ้น”

 
สำหรับเธอนั้น หากถามว่าธรรมะที่ได้เรียนรู้มาตลอดชีวิตที่จริงแล้วคือสิ่งใด เธอยอมรับว่าแรกเริ่มก็มีข้อสงสัยเกี่ยวกับธรรมะอยู่บ้าง แต่ภายหลังก็ค้นพบว่าธรรมะที่จริงนั้น ไม่ต้องมองไปไกลถึงสิ่งอื่น แต่ คือ การรู้จักจิตใจของตัวเอง

“เคยมีคำถามนะว่า ทำไมต้องเป็นอย่างนั้น ทำไมต้องเป็นอย่างนี้ การให้เงินเยอะแปลว่าต้องขึ้นสวรรค์สูง ถ้าให้เงินน้อยก็ขึ้นสวรรค์ต่ำ เราไม่เข้าใจ มันไม่ใช่ธรรมะที่เราเข้าใจนะ แต่ธรรมะที่เราเรียนรู้มาตั้งแต่เด็กคือการวิปัสสนาการรู้จักตัวเอง รู้จักลมหายใจ ใช้สมาธิฝึกให้โล่งสมอง มันทำให้อ่านหนังสือได้ง่ายขึ้น

สิ่งที่เราเรียนรู้มาตลอดเวลาไม่ใช่แค่เรื่องศาสนา แต่ทั้งธรรมะ ทั้งตัวเอง ทุกอย่างทั้งหมดมันคือจิตของเราที่มันเคลื่อนไหวตลอดเวลา ตื่นขึ้นมาต้องมีอะไรทำ นิ่งเป็นไหม ดับจิตของตัวเองเป็นไหม
ส่วนเรื่องบุญก็เชื่อนะว่า สิ่งดีๆ คนดีๆ เข้ามาในชีวิตเรามากขึ้น ตั้งแต่เราดูแลแม่ ชีวิตของเราดีขึ้นนะ ไม่ใช่แย่ลง แต่อุปสรรคที่ต้องยอมรับให้ได้ว่า แม่เราค่อยๆ ตายลงไปเรื่อยๆ

ทุกคนต้องยอมรับว่าเกิด แก่ เจ็บ ตาย ถึงวันหนึ่งก็ต้องถึงตาเราต่อไป แต่วันนี้ เรามีโอกาสได้เจอ มีโอกาสได้สัมผัส ตื่นทุกเช้ามา ถามว่าคิดอะไรอยู่ เราคิดว่าได้เจอแม่อีกแล้ว แค่นี้ก็มีความสุข

ทั้งต้องฝึกให้ตัวเองอย่าคิดถึงเรื่องอดีตหรืออนาคต เพราะคิดแล้วก็ยึดติดว่านี่บ้านฉัน เพชรพลอยของฉัน ของๆ ฉัน ทุกอย่างคือวัตถุ แล้วจะเข้าใจธรรมะจริงๆ ว่าวัตถุมันไม่มีความหมายเลย ถ้าสุขภาพไม่แข็งแรง”


เรื่องโดย พิมพรรณ มีชัยศรี
ภาพ พลภัทร วรรณดี



 
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **





กำลังโหลดความคิดเห็น