เปล่า... เธอไม่ใช่เจ้าของชุดรอบไฟนอล ที่ผู้คนหยิบมาวิจารณ์กันอย่างหนักหน่วงบนเวที “Miss Universe” อยู่ในตอนนี้ แต่คือ 1 ใน 19 ดีไซเนอร์ไทย ที่ถูกเลือกให้มารับหน้าที่ประกาศความภาคภูมิใจ ผ่านการออกแบบ “ชุดผ้าไหม” ในงานเลี้ยงต้อนรับสาวงามระดับโลก จนได้รับคำชื่นชมอย่างท่วมท้นสู่ระดับสากล
และคือหนึ่งในคนที่พา “แบรนด์ไทย” ไปโกอินเตอร์ได้อย่างแท้จริง โดยย้ำชัดว่าหน้าที่ของดีไซเนอร์ที่ดีนั้น ไม่ใช่สักแต่ออกแบบ แต่ต้องตัดเย็บออกมาแล้ว ส่งให้ผู้สวมใส่คนนั้น ดูดีกว่าตอนตั้งชุดไว้แขวนโชว์!!
ประกาศฝีมือ “ดีไซเนอร์ไทย” ผ่านเวที “Miss Universe”
[“ชุดราตรีผ้าไหม” ที่ออกแบบให้ Miss Universe ในงานเลี้ยงต้อนรับ]
แม้ผลการประกวดของเวทีสาวงาม “Miss Universe 2018” จะสร้างความขุ่นข้องหมองใจบางประการให้แก่กองเชียร์ชาวไทย โดยเฉพาะประเด็นเรื่องการออกแบบเครื่องแต่งกายรอบไฟนอลของ “นิ้ง-โศภิดา กาญจนรินทร์” ตัวแทนสาวไทยที่ได้ผ่านเข้ารอบ 10 คนสุดท้าย
แต่ในขณะเดียวกัน ฝีมือดีไซเนอร์ไทยที่ได้ฝากเอาไว้ผ่าน “แฟชั่นชุดราตรีผ้าไหมไทย” ในค่ำคืนก่อนการประกวด ในงานเลี้ยงต้อนรับ “สาวงามระดับโลก” ก็ยังคงติดตาตรึงใจอยู่ในความทรงจำของใครต่อใคร ทั้งยังช่วยผลักให้ “นักออกแบบไทย” ทั้ง 19 ราย ได้อยู่ในสปอตไลต์ในระดับนานาชาติไปพร้อมๆ กัน แน่นอนว่าต้องรวมไปถึงเจ้าของแบรนด์ “Patinya” วัย 40 ปีคนนี้ด้วย ผู้ตั้งชื่อห้องเสื้อสุดรักตามชื่อจริงของตัวเอง “กีต้าร์-ปฏิญญา เกี่ยวข้อง”
“การได้เป็นส่วนนึงของดีไซเนอร์ไทยทั้ง 19 แบรนด์ ในการออกแบบและทำชุดผ้าไหมไทย ให้กับ Miss Universe ปีล่าสุด ต้าร์ถือเป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจสำหรับแบรนด์ Patinya เลยนะคะ เพราะถือเป็นงานระดับนานาชาติ มันเป็นงานที่สร้างชื่อเสียงให้แก่คนไทย ประเทศไทย และวงการดีไซเนอร์ไทย
การที่ได้มาร่วมออกแบบในโปรเจกต์นี้ ต้าร์ถือว่าเป็นอีกสเต็ปนึงที่ทำให้เกิดกระแส ทำให้คนกลับมามองผ้าไหมไทย ทำให้คนทั้งโลกรู้ว่าดีไซเนอร์ไทยเก่งแค่ไหน ซึ่งถือเป็นความภาคภูมิใจของต้าร์นะ แม้จะเป็นส่วนเล็กๆ ของการออกแบบ แต่อย่างน้อย ต้าร์ว่าส่วนเล็กๆ ผสมกันเยอะๆ ก็จะทำให้มันเกิดขึ้นได้”
โดยแรงบันดาลใจในการออกแบบชุดราตรีที่ตัดเย็บขึ้นมาจาก “ผ้าไหมมัดหมี่” ของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในครั้งนี้นั้น กีต้าร์บอกว่าส่วนหนึ่งได้มาจาก ภาพการฉลองพระองค์ของสมเด็จพระบรมราชินีนาถในแต่ละยุคสมัย
“เราเกิดในประเทศไทย มีสมเด็จพระบรมราชินีนาถที่ใส่ผ้าไหมไทยได้งดงามและเลอค่าที่สุดในโลก เทียบกับคนอื่นแล้ว ต้าร์ว่าพระองค์ถือว่าเป็นไอดอลวงการแฟชั่นให้กับต้าร์ได้เสมอ ตั้งแต่ต้าร์เด็กๆ แล้ว ชุดก็เลยออกมาในรูปแบบที่มีด้านข้างเหมือนสไบ และมีรูปทรงบางอย่าง ที่ได้มาจากฉลองพระองค์
เรียกว่าเป็น sense เล็กๆ จากภาพที่เราจดจำมาตั้งแต่ยังเด็กๆ บวกกับที่ต้าร์ research เกี่ยวกับฉลองพระองค์ที่สมเด็จพระบรมราชินีนาถของเราทรงสวมใส่ในอดีต แล้วเอามาปรับให้มีความเข้ากับ Patinya ให้มีความเป็นสากล และให้เหมาะกับคาแรกเตอร์ของนางงามแต่ละคนด้วย”
[เบื้องหลังความพยายาม 1 ใน 19 ผู้สร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทย]
แต่กว่าจะออกมาเป็นผ้าพลิ้วโทนสีหวานได้อย่างที่เห็นในค่ำคืน “Thai Night” ก่อนวันประกวดจริง ก็เล่นเอาคนทำถึงกับเหงื่อตกอยู่เหมือนกัน ด้วยข้อจำกัดหลายๆ อย่างของ “ผ้าไหม” ที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็น “ผ้าปราบเซียน” เลยก็ว่าได้ ซ้ำยังต้องออกแบบให้ครบทั้ง 5 ชุดตามที่ได้รับมอบหมาย จึงถือเป็นอีกหนึ่งงานที่ท้าทายชีวิตการเป็นดีไซเนอร์ของเธอคนนี้ไม่น้อยเลยทีเดียว
“การเอาผ้าไหมไทยมาทำชุดแบบนี้ก็ถือว่ายากค่ะ เพราะมันเป็นงาน craft เป็นงานที่ละเอียดอ่อนมาก และความยากของมันก็อยู่ตรงที่ เขาจะให้ผ้าเรามา 1 พับ ประมาณ 5 หลา
หมายความว่าต้าร์จะไม่สามารถทำผิดพลาดได้เลย เพราะเขาจะไม่มีผ้าแบบเดียวกันมาให้ต้าร์อีกแล้ว เนื่องจากการทอ 1 ครั้ง มันทำออกมาได้แค่ 1 ผืนเท่านั้น ดังนั้น ความผิดพลาดมันต้องไม่เกิดขึ้น
ประกอบกับตัวผ้าที่ได้มา มันเป็นผ้าหน้าแคบประมาณ 14-15 นิ้ว พอมาวาง pattern แบบหน้ากว้าง 60 นิ้ว ให้ออกมาเป็นชุดยาว มันยากมาก ต้องอาศัยประสบการณ์ในการวางผ้าค่อนข้างเยอะ
และครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรกที่ต้าร์ไม่เอาผ้าอื่นมาเสริมเลย เพราะอยากโชว์ผ้าไหมไทยที่ต้าร์ได้มา และอยากใช้แบบไม่ให้เหลือเลยแม้กระทั่งเมตรเดียว เพราะต้าร์รู้ว่ากว่าที่ชาวบ้านจะทอมันได้ 1 ผืน เขาใช้ระยะเวลานาน ดังนั้น ถ้าจะให้ต้าร์เอาผ้าผืนนี้มาตัดทิ้ง หรือทำให้มันเสียมูลค่า ต้าร์ไม่อยากทำ ต้าร์อยากใช้ทุกส่วนของมันให้คุ้มค่าที่สุด มันก็เลยกลายมาเป็นความยากตรงจุดนี้ด้วย”
[ภาพออกแบบ | ชุดจริงที่กีต้าร์ทำให้หนึ่งในผู้เข้าประกวด Miss Universe จาก "Canada"]
[ภาพออกแบบ | ชุดจริงที่กีต้าร์ทำให้หนึ่งในผู้เข้าประกวด Miss Universe จาก "Bulgaria"]
อีกหนึ่งอุปสรรคที่เธอต้องรับมือในงานดีไซน์ครั้งนี้ก็คือ “การออกแบบโดยไร้นางแบบ” หมายความว่าในระหว่างขั้นตอนสเกตช์ภาพ ร่างแบบ ตัดเย็บ เก็บรายละเอียด จนกระทั่งออกมาเป็นชุดชุดนึงนั้น กีต้าร์ไม่เคยมีโอกาสได้ให้ “นางงาม” คนที่จะสวมใส่ในวันจริงคนนั้น ได้ลองชุดและวัดตัวกันแบบเจอตัวเลยสักครั้งเดียว ซึ่งแตกต่างจากรูปแบบการทำงานปกติแบบหน้ามือเป็นหลังมือ
“จากปกติแล้ว เวลาตัดชุดให้นางแบบใส่ เราจะมีคาแรกเตอร์ตั้งเอาไว้เลยว่า ผู้หญิงของ Patinya จะเป็นแบบไหน การออกแบบก็จะเสริมความเป็นตัวตนของผู้หญิงคนนั้น แต่การออกแบบชุดให้นางงาม มันยากตรงที่เราได้เห็นแค่รูป
สิ่งที่ต้าร์ทำได้ในตอนออกแบบก็คือ ตัดตามสัดส่วนที่ทางกองประกวดบอกเอาไว้ และจินตนาการในหัวเอาเองว่าจะออกมาเป็นแบบนี้ๆ นะ คือถ้าจะให้ต้าร์ไปลองเองก็ไม่ได้ไงคะ เพราะสัดส่วนนางงามเขาเป็นสัดส่วนแบบ 35-25-38 (ยิ้มในแววตาขี้เล่น) แต่หุ่นเรามันเป็นแบบนี้ (ทำมือเป็นแนวเส้นตรงลงมา แบบไร้ส่วนเว้าส่วนโค้ง)
[ภาพออกแบบ | ชุดจริงที่กีต้าร์ทำให้หนึ่งในผู้เข้าประกวด Miss Universe จาก "British Virgin Islands"]
[ภาพออกแบบ | ชุดจริงที่กีต้าร์ทำให้หนึ่งในผู้เข้าประกวด Miss Universe จาก "Belize"]
[ภาพออกแบบ | ชุดจริงที่กีต้าร์ทำให้หนึ่งในผู้เข้าประกวด Miss Universe จาก "Bolivia"]
คือต้าร์ว่าเวลาออกแบบเสื้อผ้า ถ้าจะให้ออกมาสวยจริงๆ มันต้องเป็น personality ของเขา จะได้ดูว่าเขาเป็นแนวไหน เขา strong เขา soft เขา feminine เขามีความ sexy เขามีความ masculine แค่ไหน แต่เราก็ไม่ได้มีโอกาสเห็นตรงนั้น เพราะไม่ได้เจอเขา ได้เห็นแต่ในรูป งานนี้มันก็เลยกลายเป็นความยากไปอีกระดับนึง
และผ้าไหมที่เอามาใช้ในครั้งนี้ ต้าร์ก็กุ๊นมือเองทุกอันเลยนะคะ (ยิ้ม) ทั้งเรื่องการวางผ้าบน pattern ที่ลายมันต้องต่อชนกันพอดีเป๊ะ ทั้งรายละเอียดด้านข้างทุกอย่าง มันต้องได้รูปทรง ใส่แล้วต้องให้สรีระออกมาสวย
ซึ่งต้าร์ว่าสิ่งเหล่านี้ มันคือคุณสมบัติสำคัญของการเป็นดีไซเนอร์ ไม่ใช่คุณออกแบบได้อย่างเดียว แต่สิ่งที่คุณออกแบบมา มันต้องสวมใส่ออกมาแล้ว สวยกว่าตอนแขวนด้วย”
ทุกครั้งที่ออกแบบ กีต้าร์วางจุดยืนเอาไว้ชัดเจนว่า จะต้องใส่ “ความเป็น Patinya” ลงไปในการดีไซน์ด้วย เช่นเดียวกับการออกแบบครั้งล่าสุดให้แก่สาวงามระดับโลก Miss Universe 2018 ที่เดินทางมาประกวดถึงดินแดนไทย เธอก็ยังคงคอนเซ็ปต์ผสาน “ความเป็นไทย” เข้าไว้กับ “ความคลาสสิก” ตามสไตล์แบรนด์ของเธอ ซึ่งไม่เคยปล่อยให้เสื้อผ้าออกมาดูเชย แต่อัดแน่นไปด้วยความเรียบโก้และเซ็กซี่อยู่ในชุดเดียว
“จุดแข็งของเราคือ นอกจากการออกแบบที่เป็น timeless แล้ว ต้าร์เชื่อว่าคุณภาพการตัดเย็บ รายละเอียดทุกอย่างที่ต้าร์ใส่เข้าไปในชุด มันแฝงความยากอยู่ในตัว คนที่ทำเสื้อผ้า ถ้าดูเสื้อผ้า Patinya ใกล้ๆ จะรู้เลยว่า มันเป็นเสื้อผ้าที่ไม่ได้ทำกันง่ายๆ”
ไม่ง่ายแต่ไม่ยาก ปั้น “แบรนด์ไทย” ให้โกอินเตอร์!!
แค่สร้างแบรนด์เสื้อผ้าขึ้นมา แล้วทำให้อยู่รอดได้ในเมืองไทยก็ว่ายากแล้ว แต่การพาแบรนด์ปั้นมือแบรนด์นึง ไปสู่ระดับสากลนั้นย่อมยากยิ่งกว่า โดยเฉพาะการผลักให้เดินไปจนถึง “นครแห่งดวงดาว-เมืองแห่งวงการมายา” อย่างลอสแองเจลิส แค่คิดก็รู้สึกหืดขึ้นคอแทน
แต่กับเธอคนนี้กลับเป็นหนึ่งในดีไซเนอร์ไทยที่รับหน้าที่นั้นได้อย่างเต็มภาคภูมิ คือการนำเอาแบรนด์สุดรักไปจัด “โชว์เต็มรูปแบบ” ฝากไว้บนรันเวย์ “LA Fashion Week” เมื่อปีที่ผ่านมา รวมถึงการขยายตลาดบุกต่างประเทศมาตั้งแต่เมื่อ 4 ปีก่อน ได้สำเร็จอย่างสวยงามมาแล้วด้วย ผ่านงาน “Spring Collection 2014”
“จุดเริ่มต้นมาจาก มี celebrity ที่ดังมากๆ ของสิงคโปร์คนนึง เขาใส่เสื้อผ้าของ Patinya ที่วางขายที่พารากอน เขาเห็นแล้วเขาชอบ แล้วเขาก็โพสต์ในโซเชียลฯ พูดถึงแบรนด์ไทยด้วยว่า ทุกครั้งที่มาไทย สิ่งแรกๆ ที่เขาจะทำคือ การไป shop ของ Patinya มันเลยทำให้ลูกค้าทั้งคนจีน, คนสิงคโปร์, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย ฯลฯ ที่ชื่นชอบในสไตล์เขา พูดถึงแบรนด์ของเรามากขึ้น
หลังจากนั้น ต้าร์ก็ได้มีการทำ trunk show ที่สิงคโปร์ เพราะว่าต้าร์มีการวางขายอยู่ในเว็บไซต์ของตัวเอง ต้าร์ก็เลยพอจะเช็กได้ว่า ลูกค้าต้าร์มาจากสิงคโปร์อันดับ 1 จากนั้นก็รวบรวมข้อมูลลูกค้า ส่ง invitation ไปถึงเขาดูว่า จะเป็นไปได้ไหมถ้าต้าร์ไปจัดงานที่สิงคโปร์ ในโรงแรมเป็น private show อยากเชิญให้มาดู มาสัมผัส และมาเจอกับต้าร์
ต้าร์ทำแบบนี้มาตลอดทุกปีเลยค่ะ ตั้งแต่ปี 2014 มาจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งมันก็ได้ผลตอบรับจากลูกค้านะคะ และทุกครั้งที่ต้าร์ทำ ต้าร์จะรับลูกค้าด้วยตัวเอง ต้าร์ให้ใจกับลูกค้าเสมอ เพราะต้าร์ถือว่า sale experience มันเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับคนที่เป็นดีไซเนอร์อย่างเรา
คือเราจะสามารถออกแบบอะไรก็ได้ แต่ถ้าเราไม่สามารถทำได้ตรงจุดของตัวลูกค้าจริงๆ ต้าร์ว่ามันก็ไม่เกิดประโยชน์นะ ดังนั้น เวลาที่มีงานที่ต้องพบกับลูกค้าตัวจริง ต้าร์จะไม่เคยพลาดเลย เพราะต้าร์มีความรู้สึกว่าทุกคนเป็นคนสร้างแรงบันดาลใจในการ create เสื้อผ้าให้ต้าร์ ให้ต้าร์ได้เก็บรวบรวมข้อมูล และสามารถทำให้เราออกแบบชิ้นงานมาได้ตรงจุดที่สุด”
“ไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยาก” คือคำตอบของนักออกแบบลุคเปรี้ยว-เฉี่ยว-เก๋รายนี้ เมื่อถูกถามถึงเบื้องหลังเส้นทางในการพา “แบรนด์ปั้นมือ” ไปโกอินเตอร์ ขอเพียงมี “ความใส่ใจ” ในทุกๆ รายละเอียดของการดีไซน์ แล้วสุดท้ายผลงานที่ออกมา มันจะทำหน้าที่ของมันเอง
“ถ้าเราทำด้วยใจตั้งแต่เริ่มต้น ถ้าเราใส่ใจในคุณภาพ คนต้องเห็นความสามารถ เห็นคุณค่า เห็นคุณภาพของสินค้าของเรา ดังนั้น อะไรก็ตามแต่ ถ้าเราทำมันสุดๆ แล้วเนี่ย มันจะเกิดสิ่งที่ดีขึ้นในชีวิตเสมอ
คือถ้าคุณทำเสื้อผ้าที่ไม่ได้เกิดจากความตั้งใจจริง คนมองออกอยู่แล้ว แต่ถ้าคุณทำชิ้นงานที่เป็นงาน craft งานที่ใส่ใจ ใช้ material ที่ดี เป็นงานที่ใช้ช่างฝีมือจริงๆ ทุกคนต้องเห็นผลงานและอยากยกย่อง ต้าร์เชื่อว่าต้องเริ่มจากเราต้องเต็มที่กับสิ่งที่ทำก่อน แล้วทุกคนจะเห็นความเต็มที่ของเราในท้ายที่สุดค่ะ
ถ้าให้มองจริงๆ แล้ว ต้าร์ว่าถ้าใครที่อยากออกแบบเสื้อผ้าออกมาขาย สมัยนี้ไม่ใช่เรื่องยากเลย แต่การจะทำให้แบรนด์มันเป็นแบรนด์ นั่นแหละที่ยากกว่า เพราะถ้าแค่ทำเสื้อผ้าออกมาขายในไอจี (อินสตาแกรม) ต้าร์ว่าทุกคนทำได้ดี เพียงแต่ต้องโฟกัสเรื่องของคุณภาพ เรื่องของการไม่เอาเปรียบผู้บริโภค
แต่การที่จะสร้างแบรนด์ขึ้นมา มีคอลเลกชั่นที่มันครบสมบูรณ์ มีโปรดักชัน มีการวางแผนการตลาดหรือการโปรโมตตลอดทั้งปี มีการทำ merchandise ที่มันถูกต้อง มีการ order ผ้า หรือเลือกใช้ของที่มีคุณภาพมากๆ ต้าร์ว่ามันเป็นเรื่องไม่ง่าย
เสื้อผ้า Patinya ทุกชิ้น ถ้าดูจะรู้เลยว่า ผ้าต้าร์ import จากเมืองนอกมา ต้าร์บินไปเกาหลี, จีน, ฝรั่งเศส ฯลฯ ดังนั้น ทุกชิ้นที่ต้าร์ทำ มันคือสิ่งที่ดีและคัดสรรมาแล้ว เพราะต้าร์เชื่อว่าเสื้อผ้าที่สวย นอกจากเรื่องดีไซน์ที่มันโดน แบบที่มันสวยแล้วเนี่ย เรื่อง cutting, pattern, ประสบการณ์ในการทำเสื้อผ้ามาในระยะยาว มันจะช่วยทำให้ชิ้นงานนั้นๆ มีคุณค่า
เชื่อไหมว่า sample (ชุดจำลองตัวแรก สำหรับตัวอย่างการตัดเย็บ) ของต้าร์ ตั้งแต่คอลเลกชั่นแรก จนมาถึงทุกวันนี้ ต้าร์เก็บเอาไว้ทุกชิ้นเลยนะคะ ไม่เคยขายเลย เพราะต้าร์คิดว่าไม่แน่วันนึง อีกสัก 20-30 ปี ถ้าต้าร์ตายไป ถ้าจะมี exhibition อันนึงให้แบรนด์ ต้าร์ก็อยากให้เขาเห็น archive เก่าๆ ของต้าร์ (พูดไปยิ้มไป)
นี่ก็เป็นอีกหนึ่งความฝันเล็กๆ ของตัวเองนะคะ ที่อยากให้คนเห็นว่า การทำเสื้อผ้าเนี่ย มันไม่ได้ยาก แต่มันก็ไม่ได้ง่ายเสียทีเดียว ถ้าคุณใส่ใจในรายละเอียด”
ในเดือน ม.ค.ที่จะถึงนี้ ห้องเสื้อ “Patinya” ก็จะมีอายุครบ 8 ปีพอดี ซึ่งถ้าวัดจากแค่ระยะเวลาการเติบโตแล้ว หลายคนอาจมองว่าแบรนด์นี้โตเร็ว แต่ถ้าลองวัดจากระยะเวลาแห่งการดิ้นรน อยู่บนเส้นทางสายแฟชั่นจริงๆ จะรู้เลยว่า ความสำเร็จของเธอคนนี้ ไม่ได้เกิดจากการดังเปรี้ยงปร้าง แต่ผ่านการค่อยๆ ไต่เต้าขึ้นมาอย่างทรหดและอดทนต่างหาก
“ต้าร์ทำงานในวงการแฟชั่นไทยมาได้ 16-17 ปีแล้วนะคะ เริ่มจากการทำรายการกับทาง Chic Channel มาตั้งแต่เริ่มต้น แล้วต้าร์ก็มาเป็น Fashion Editor ให้นิตยสาร Seventeen อีก 7-8 ปี ก่อนที่ต้าร์จะเปลี่ยนไปทำ Brand Manager ของ Pandora Thailand คนแรก ซึ่งนำเข้าจิวเวลรี่มาจากเดนมาร์ก และต้าร์ก็เป็น บก.แฟชั่นที่นิตยสาร Marie Claire ด้วย
ทุกวันนี้ ต้าร์ก็ยังทำทั้ง 2 งานควบคู่กันไป คือเป็นดีไซเนอร์ด้วย และเป็น Digital Content Curator ให้กับทาง L'Officiel Thailand ด้วย ต้าร์อยู่ในวงการนี้มาหลากหลายรูปแบบ ต้าร์เห็นหลายๆ คนทำคอลเลกชั่นมาก่อนที่ต้าร์จะทำเอง ต้าร์เคยทำคอลเลกชั่นเล็กๆ ฝากขายที่ Playground ทองหล่อ ต้าร์เคยร่วมเป็นดีไซเนอร์ทำแบรนด์เสื้อผ้า กับบางแบรนด์ในอดีตมาก่อน
ต้าร์เคยทำแบรนด์ที่ no name มากๆ ออกมาขาย ชื่อแบรนด์ว่า “Meaningful” ซึ่งตั้ง shop อยู่ที่เซ็นทรัลเวิลด์ ตั้งแต่ก่อนที่ไฟจะไหม้ที่นั่นอีก สาเหตุที่ต้าร์ตั้งชื่อแบรนด์ของตัวเองแบบนั้น เพราะอยากจะสื่อว่าทุกอย่างที่ต้าร์ออกแบบ ทุกสิ่งที่ต้าร์ทำ มันจะต้องมีความหมายเสมอๆ
ถึงแม้แบรนด์นั้นจะไม่ได้มีความเป็นมืออาชีพเหมือนอย่างแบรนด์ “Patinya” ทุกวันนี้ แต่ก็เป็นแบรนด์ที่ทำด้วยใจ มันเป็นการฝึก เป็นเหมือนห้องทดลองในชีวิตการออกแบบ ให้ต้าร์ได้เรียนรู้ทุกอย่างจากมัน ต้าร์ต้องไปเจอช่าง pattern เอง ต้าร์ต้องไปเดินเลือกผ้า สัมผัสเสื้อผ้า ลอง fitting ชุด มีการลองตลาดการวางขายทุกอย่างตลอด 5 ปีที่ผ่านมา และ feedback ของแบรนด์ในตอนนั้นก็ดีขึ้นเรื่อยๆ
จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ที่เซ็นทรัลเวิลด์นั่นแหละค่ะ ที่เหมือนกลายมาเป็นจุดเปลี่ยนของแบรนด์ ทำให้ต้าร์ได้กลับมานั่งคิดอีกครั้งนึงว่า ต้าร์ควรเลิกทำหรือเปล่า เพราะภาพที่ต้าร์เห็น ตอนไปตรวจ shop ของตัวเองที่นั่น ต้าร์บอกเลยว่าต้าร์มีน้ำตากับมัน
ทั้งตัวหุ่น เสื้อผ้า ถุงกระดาษ ฯลฯ ทุกอย่างที่เป็น Meaningful ต้าร์ไม่สามารถเอาอะไรกลับบ้านหมดเลย เพราะมันไหม้ไปหมดเลย หุ่นต้าร์หักครึ่งตัว คาอยู่กับชุด แล้วเผาไหม้ไปด้วยกัน พอต้าร์เห็นภาพนั้นแล้ว สิ่งแรกคือต้าร์มีความรู้สึกว่าสงสารเสื้อผ้าที่ต้าร์ทำมาก และคิดกับตัวเองว่าต้าร์ควรเบรกสักพักดีไหม เพราะภาพที่ต้าร์เห็นมันหดหู่นะในมุมมองของต้าร์ เพราะมันคือสิ่งที่เรารักมากๆ ด้วย
และหลังจากวันนั้น ต้าร์ก็หยุดพักการทำเสื้อผ้าไปเลย 5 เดือน (ยิ้มเนือยๆ) แต่เชื่อไหมว่ามันเป็น 5 เดือนที่คิดถึงการไปบ้านช่างทุกวัน ตั้งแต่ตอน 3 ทุ่มจนถึง 5 ทุ่ม คิดถึงการไปสำเพ็ง คิดถึงการได้ช่วยช่างสอยกางเกง-กระดุม เหมือนกับช่วงเวลาที่เราหยุดทำงานไป มันทำให้ต้าร์คิดได้ว่า ต้าร์รักงานนี้และคิดถึงมันแค่ไหน เลยกลายมาเป็นจุดเริ่มต้นของแบรนด์ Patinya อย่างทุกวันนี้”
กำเนิดดีไซเนอร์ จาก “จักรถีบ” ของคุณยาย
ถ้าให้พูดถึง “บุคคลแห่งแรงบันดาลใจ” คนหลักๆ ในชีวิตของกีต้าร์แล้ว คงต้องยกตำแหน่งให้แก่ “คุณยาย” และ “คุณแม่” ผู้สร้างสภาพแวดล้อมแห่งการสร้างสรรค์ จนซึมซับเข้าไปในเซลล์ของเด็กวัย 7 ขวบในวันนั้นได้ โดยเฉพาะกิจกรรม “ตัดชุดตุ๊กตาบาร์บี้” และ “ออกแบบชุดนอนทำมือ” ซึ่งนำทีมโดยคุณยาย ผู้เป็นอดีตช่างตัดเสื้อมือฉมัง ที่ส่งให้ “เลือดดีไซเนอร์” ตกทอดมาถึงหลานสุดที่รักจนถึงทุกวันนี้
“บ้านต้าร์ก็จะมีจักรถีบ 1 ตัวอยู่บนห้องนอนคุณยาย และต้าร์ก็นอนกับคุณยาย ทุกครั้งที่เห็นคุณยายทำ ด้วยความเป็นเด็ก เราก็อยากทำบ้าง ที่ต้าร์ใช้จักรถีบตัวนี้เป็น รู้วิธีการร้อยด้าย รู้วิธีการดึง การปรับฝีเข็ม เพราะว่าคุณยายสอนต้าร์ตั้งแต่ตอนเด็กๆ มันเหมือนเป็นความสุขเล็กๆ ที่เราได้ลองทำ และสิ่งเหล่านั้นมันก็ฝังอยู่ในเลือด และสะสมอยู่ในตัวเรามาโดยตลอด
ส่วนคุณแม่ของต้าร์ ถึงจะเป็นทนายความก็จริง แต่ท่านเป็นทนายความที่มีความเปรี้ยวและชอบแต่งตัว จะรับนิตยสารแฟชั่นที่บ้าน ทั้งขวัญเรือน, กุลสตรี, แฟชั่นรีวิว และต้าร์ก็จะเอามาเปิดดูตลอด ซึ่งหนังสือพวกนี้ ถ้าใครจำได้ เซ็กชั่นหลังๆ มันจะมีงาน drawing design เป็น pattern อยู่ในนั้น ที่ต้าร์ต้องคอยตัดเก็บไว้ทุกครั้ง ตั้งแต่ช่วงอายุ 12
คุณพ่อเองก็ชอบซื้อตุ๊กตาบาร์บี้มาให้ลูกๆ เล่น ทำให้ต้าร์กับน้องสาวได้เล่นด้วยกัน เชื่อไหมว่าเรามีตุ๊กตาประมาณ 30-50 ตัวได้ และชุดที่เขาออกแบบมา บางครั้งมันก็ไม่ถูกใจต้าร์ ต้าร์ก็เลยต้องบอกคุณยายว่า ต้าร์อยากทำชุดให้เขาใหม่ ดังนั้น การเล่นของต้าร์, คุณยาย, น้อง และคนในบ้าน ก็จะกลายเป็นการเอาชุดตุ๊กตาบาร์บี้มาตัดใหม่ให้ จนน่าจะซึมซับอะไรหลายๆ อย่างมาจากตรงนั้น
[“คุณยาย” บุคคลแห่งแรงบันดาลใจ | “คุณพ่อ-คุณแม่” ผู้ให้อิสระในชีวิตกีต้าร์]
ประกอบกับเราเป็นคนชอบเรียนศิลปะ เป็นเด็กชอบวาดรูป จะมีอารมณ์ติสต์นิดๆ คือชอบมองฟ้า มองดิน มองอากาศ แล้วก็เป็นคนที่ emotional มากๆ กับเรื่องต่างๆ ต้าร์ว่าทั้งหมดนี้มันก็เป็นส่วนนึง ที่มาเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบ และทำให้ต้าร์กลายมาเป็นดีไซเนอร์ค่ะ”
ถึงแม้ว่าทุกวันนี้จะไม่มีคุณยายอยู่คอยชื่นชมความสำเร็จของกีต้าร์อีกแล้ว เพราะท่านเพิ่งจากไปเมื่อ 2 ปีที่แล้วด้วยวัย 99 ปี แต่เธอก็ยังคงรู้สึกเสมอว่า บุคคลแห่งแรงบันดาลใจคนนี้ยังคงอยู่ด้วยตลอดเวลา อย่างน้อยๆ ก็อยู่ในสายเลือดและนิสัยที่ซึมซับมา นั่นก็คือ “เลือดดื้อ” ที่ส่งผ่านดีเอ็นเอมาแบบครบถ้วน
“สิ่งที่เรามีเหมือนกันคือความดื้อค่ะ (ยิ้มบางๆ) แล้วก็การมี passion ในสิ่งที่ทำ คุณยายต้าร์ไม่เคยเรียนหนังสือ แต่เขาอ่านหนังสือออกทุกตัวด้วยตัวเอง และท่านก็เป็นคนใฝ่รู้ด้วย ซึ่งต้าร์ว่ามันเป็นส่วนที่ต้าร์ได้มาจากคุณยายนะ ต้าร์ได้ความเข้มแข็ง และความใฝ่รู้ คือถ้าต้าร์ตัดสินใจลงมือจะทำอะไร ต้าร์มั่นใจเลยว่าต้าร์ต้องทำให้ได้”
เช่นเดียวกับเรื่อง “เส้นทางความฝัน” ที่ผู้หญิงคนนี้ไม่ยอมแพ้หรือปล่อยให้มันผ่านไป หลังค้นพบตัวเองตั้งแต่วัย 7-8 ขวบแล้วว่า อยากเป็น “แฟชั่นดีไซเนอร์” พอเรียนจบชั้นมัธยมปุ๊บ กีต้าร์จึงขออนุญาตครอบครัว ไปเรียนต่อ Foundation (หลักสูตรการเรียนปรับพื้นฐาน) ที่อังกฤษในทันที เพื่อมุ่งสู่มหาวิทยาลัยด้านศิลปะประจำเมืองผู้ดี “London College of Fashion (LCF)” ในเครือ University of Art London (UAL) จนจบหลักสูตรปริญญาโท Master of Arts (MA) ตามเส้นทางนักออกแบบอย่างที่ตั้งใจไว้
“ต้าร์ไปตั้งแต่อายุสักประมาณ 21 ค่ะ แล้วก็ไปอยู่ที่นั่น 3 ปีครึ่ง และต้าร์ก็บินไปคนเดียวด้วย คุณพ่อคุณแม่ไม่ได้ไปส่ง เราเองก็ไม่เคยไปอังกฤษมาก่อน แต่ก็ต้องจัดการทุกอย่างเอง ทั้งเรื่องโรงเรียน ที่พัก การเรียนรู้ ฯลฯ เกิดจากตัวเอง 100 เปอร์เซ็นต์ มันเลยทำให้ต้าร์เป็นคนแข็งแกร่งได้อย่างทุกวันนี้
เพราะก่อนที่จะไปเรียน คุณแม่บอกว่าถ้าทำได้หมดด้วยตัวคนเดียว แม่จะให้ไป แต่ถ้ายังต้องพึ่งคนอื่นอยู่ แม่จะไม่ให้ไป ดังนั้น ต้าร์ก็ใช้ความดื้อ ความ strong ของตัวเองนี่แหละค่ะ ทำให้เขาเห็นว่าการที่เราอยากไป ไม่ได้ไปเพราะสนุกอย่างเดียว ไม่ได้ไปเพราะมองว่ามันคือความโก้เก๋ ที่ได้เป็นเด็กนอก แต่ต้าร์ไปด้วย passion จริงๆ ว่า สิ่งที่ต้าร์อยากได้มาตลอดชีวิตนี้ ต้าร์ต้องทำให้ได้
[สมัยใช้ชีวิตตามฝัน เป็นนักเรียนนอกที่อังกฤษ]
พอไปถึง ต้าร์ก็ได้เรียนทุกแขนงเลยค่ะ ตั้งแต่กราฟิกอินทีเรีย, แฟชั่นดีไซน์, Fine Arts ฯลฯ แม้แต่ด้านจิวเวลรี่ดีไซน์ ตอนเรียนจบหลักสูตร อาจารย์ที่เป็นคนสอน เดินมาบอกต้าร์ว่า คุณจะเก่งมากๆ เลย ถ้าคุณไปเป็นจิวเวลรี่ดีไซเนอร์ เพราะต้าร์เป็นคนที่ให้รายละเอียด และจะมีความเป็น perfectionist หน่อย งานทุกอย่างต้าร์จะละเอียดมาก
แต่ต้าร์ก็บอกอาจารย์ไปว่า ถ้าคุณส่งฉันไปเรียนต่อด้านนั้น ฉันจะกลับเมืองไทย ฉันจะไม่เรียน (ยิ้ม) เพราะฉันมาที่นี่เพื่อจะเป็นแฟชั่นดีไซเนอร์ ก็เลยพยายามโต้แย้งกับอาจารย์ไป”
พูดได้เต็มปากว่า ถ้ากีต้าร์ไม่ชัดเจนกับตัวเองว่าอยากเป็นอะไรมาตั้งแต่แรก อาจไม่มีใครได้เห็นแบรนด์ไทยระดับสากลอย่างในวันนี้ เพราะในสมัยนั้นประเทศไทยยังไม่มีมหาวิทยาลัยไหนรองรับ “หลักสูตรการออกแบบ” แม้แต่คณะศิลปกรรมศาสตร์ สาขาศิลปะการออกแบบพัสตราภรณ์ ใน ม.ธรรมศาสตร์ ก็ยังไม่ได้ก่อตั้ง การตัดสินใจสละสิทธิ์ในมหาวิทยาลัยชั้นนำที่สอบติดในเวลานั้น จึงกลายมาเป็นกุญแจแห่งความสำเร็จในวันนี้
“ตอนนั้นต้าร์รู้สึกว่าต้าร์ไม่อยากต้องไปเสียเวลาเรียน ในสิ่งที่ต้าร์ไม่ได้ชอบจริงๆ ถ้าต้าร์เลือกชีวิตต้าร์ได้ ต้าร์ก็อยากเลือกในสิ่งที่ต้าร์ชอบ แล้วก็อยากทำมันจริงๆ ต้าร์เลยเลือกที่จะสละสิทธิ์ทั้งหมด แล้วขออนุญาตคุณแม่ไปเรียนหลักสูตรแฟชั่นดีไซเนอร์ที่อังกฤษ แต่ไม่ใช่ว่าต้าร์มองว่าการจะเป็นดีไซเนอร์ ต้องไปเรียนเมืองนอกอย่างเดียวนะคะ เพียงแต่สมัยต้าร์ มันยังไม่มีคณะที่เปิดสอนทางด้านนี้
[สมัยเก็บประสบการณ์ด้านแฟชั่น อยู่ที่อังกฤษ]
และการได้ไปอยู่ที่มัน มันก็สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับต้าร์ได้เยอะมากจริงๆ ทั้งการได้สัมผัสเสื้อผ้าสวยๆ การได้เห็น runway collection ได้เห็นแบรนด์ต่างๆ ก่อนที่เขาจะนำเข้าเมืองไทย เพราะตอนนั้น เมืองไทยอาจจะมีแค่ Mango หรือแบรนด์ที่ไม่ได้อยู่ในระดับหรูหรามาก การที่ไปอยู่อังกฤษ มันเหมือนเป็นการฉีดวัคซีนให้เด็กคนนึง
ต้าร์ได้ไปดูเสื้อผ้า Alexander McQueen, ต้าร์ได้ไปสัมผัสชุด Stella McCartney, ต้าร์ได้ไปสัมผัสเสื้อผ้าระดับ high-end ตอนอยู่เมืองนอก อาจจะไม่ได้มีปัญญาซื้อ แต่การที่ได้เข้าไปเห็นจริงๆ มันทำให้เราอยาก create งานอะไรสวยๆ ขึ้นมา
อย่างทุกวันนี้ พอต้าร์มาเป็นดีไซเนอร์ ต้าร์ไม่ได้เป็นดีไซเนอร์เพราะเทรนด์ ต้าร์เป็นเพราะต้าร์อยากทำเสื้อผ้าสวยๆ มากๆ อยากเห็นคนใส่เสื้อผ้าสวยๆ อยากใช้ material ดีๆ อยากลง detail ในการทำเสื้อผ้าให้มันดูสวย มากกว่าการทำเงิน”
ความสำเร็จที่แท้จริง ไม่ใช่ “เพื่อตัวเอง” แต่ “เพื่อคนอื่น”
เวลายิงคำถามเกี่ยวกับเรื่องราว “เบื้องหลังธุรกิจ” ไปให้นักสู้ผู้ปลุกปั้นแบรนด์ส่วนใหญ่ตอบ มักจะมีช่วงเวลาแห่งความท้อแท้ แฝงกลับมาให้ผู้สัมภาษณ์ได้รับรู้ร่วมกันไปด้วยเสมอๆ แต่นักออกแบบสาวมั่นรายนี้กลับต่างออกไป เพราะเธอให้คำตอบแบบไม่ต้องคิดนานเลยว่า “ไม่เคย” มีช่วงไหนที่รู้สึกท้อเลยตั้งแต่สร้างแบรนด์มา และยังไม่เคยมีวันไหนเลยที่เสียใจต่อการเลือกตัดสินใจทำมัน
อย่างมากที่สุดที่เคยรู้สึก ก็คงมีเพียงแค่การต้อง “ดิ้นรนต่อสู้” ให้หนักขึ้น หรือยอมเหนื่อยมากขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ทำให้กีต้าร์รู้สึกอยากถอดใจ เพราะเธอมีหลักยึดเหนี่ยวจิตใจอยู่ที่ “พี่น้อง Patinya” อีก 25-30 ชีวิต ที่ทำให้รู้สึกว่าไม่ได้กำลังต่อสู้อยู่ตัวคนเดียว หรือต่อสู้เพื่อตัวคนเดียวนั่นเอง
“อย่างช่วงปีที่แล้ว การขายค่อนข้าง drop ลงเยอะ เราก็รู้สึก struggle มากๆ เหมือนกัน เพราะในทุกๆ เดือน ค่าใช้จ่ายที่เรามีมันเยอะมหาศาล แต่สิ่งนึงที่ต้าร์คิดเสมอคือ ต้าร์ทำธุรกิจไม่ได้ให้ตัวเองรวยคนเดียว แต่เราทำเพื่อให้ทุกคนในออฟฟิศมีเงินในการเลี้ยงชีพตัวเองด้วย
ทั้งช่าง pattern, ช่างตัดผ้า เขายังมีครอบครัวที่อยู่ข้างหลังที่ต้องดูแล ดังนั้น สิ่งเหล่านี้จะเป็นกำลังใจสำคัญสำหรับต้าร์มากเลย ต้าร์ไม่ได้ทำธุรกิจเพื่อตัวเอง แต่ต้าร์ทำเพื่อให้ทุกคนสามารถเลี้ยงชีพและเลี้ยงครอบครัวได้ มันก็ถือเป็นงานมหาศาลมากนะคะ ที่คนคนเดียวจะสามารถหาเงินมารับผิดชอบค่าใช้จ่ายเดือนละ 1 ล้านบาทในการดูแลทุกคน
บางครั้งต้าร์ยังคิดเลยว่า ครอบครัวต้าร์ก็ไม่มี (ยิ้ม) และที่บ้านต้าร์ก็ไม่ได้ต้องการเงินจากต้าร์ คือต้าร์สามารถหาเงินมาใช้คนเดียวได้ แล้วทำไมต้าร์ต้องเหนื่อยและหาเงินมหาศาลขนาดนี้ในการดูแลผู้คน
แต่พอต้าร์หันกลับไปมองอีกมุมนึง พอเราเห็นว่ามีพนักงานมากมายที่ต้าร์ดูแลอยู่ เขามีโอกาสน้อยกว่าต้าร์มากๆ การที่ต้าร์จะทำให้เขาเพิ่มอีกนิดนึง ต้าร์อาจจะเหนื่อยหน่อย แต่มันก็คือความสุขของสิ่งที่ต้าร์ได้ทำ คือต้าร์ได้มีแบรนด์เสื้อผ้า และพวกเขาก็ช่วยในทุกงานให้ต้าร์ได้ประสบความสำเร็จ
การที่ต้าร์เหนื่อยในการขายอีกนิดนึง เพื่อให้เขาดูแลครอบครัวและตัวเองได้ มันเลยกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยมากเลย ที่ทำให้ต้าร์ฮึดได้อีกครั้งนึง เพราะฉะนั้น ไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นยังไงก็ตามแต่ ต้าร์ก็ต้องสู้ ต้องหาวิถีทางมาเลี้ยงคนใน “ครอบครัวปฏิญญา” ให้ได้
ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นการทำงานยูนิฟอร์ม ไม่ว่าจะเป็นงานขายเล็กๆ น้อยๆ ที่ต้าร์สามารถทำได้ ต้าร์ก็จะทำ ต้าร์ไม่เคยปฏิเสธงานที่ได้เงินน้อยเลย เพราะคุณแม่-คุณยายสอนต้าร์เสมอว่า อย่าหมิ่นเงินน้อย อย่าคอยวาสนา
คือไม่ว่างานที่เขาเสนอมาให้เรา มันจะเป็นหลักพัน หรือหลักหมื่นต้นๆ แลกกับเวลา ต้าร์ก็ไม่เคยที่จะไม่อยากทำ เพราะต้าร์คิดว่าเงินเล็กๆ น้อยๆ ผสมกันเยอะๆ มันก็เป็นก้อน และสามารถขับเคลื่อนธุรกิจต้าร์ให้ไปข้างหน้าได้ในอนาคต”
เปรียบไปแล้วคงไม่ต่างกันนักกับคำว่า “ประสบความสำเร็จ” ที่เธอคนนี้ได้ตีความเอาไว้ ผ่านเสื้อผ้าคอลเลกชั่นล่าสุด “The Serendipity Journey of Successful Woman” ซึ่งตั้งใจมอบให้เป็นของขวัญแก่หญิงแกร่งทุกคน ผู้มีความรักและหลงใหลในสิ่งที่ทำ และยังไม่ลืมมอบความสุขเหล่านั้นให้แก่คนอื่นๆ ด้วย
“คำว่า successful ของต้าร์ ไม่ได้หมายความว่า คุณต้องทำงานในองค์กรที่ยิ่งใหญ่ ไม่จำเป็นจะต้องมีตำแหน่งที่ใหญ่โต คุณไม่จำเป็นต้องเป็นนายกฯ หญิง คุณแค่มี passion ในสิ่งที่ทำ คุณอาจจะเป็นแม่บ้านที่ดูแลลูกและสามีได้ดีมากๆ คุณอาจจะเป็น single mom ที่ strong และขายของในไอจี
คุณอาจจะเป็นคนขายลูกชิ้นที่หาเงินเลี้ยงครอบครัว 3 ครอบครัว คุณอาจจะทำอะไรก็ตามแต่ แต่คุณมีความสุขกับสิ่งที่ทำ คุณทำให้แก่คนอื่นมากกว่าตัวเอง ต้าร์ถือว่ามันคือความสำเร็จแล้ว
และต้าร์อยากถ่ายทอดมันออกมาผ่านคอลเลกชั่นล่าสุด ต้าร์อยากจะมอบมันให้เป็นถ้วยรางวัล เป็น reward ให้กับคุณว่า ไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ตามแต่ ถ้าคุณประสบความสำเร็จ คุณก็จะได้ถ้วยเหล่านี้ไป มันก็เลยเป็นคอลเลกชั่นที่ทำออกมาเพื่อมอบให้ผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จในชีวิตทุกคน”
มองว่าตัวเองประสบความสำเร็จในชีวิตแล้วหรือยัง? ผู้หญิงตรงหน้าตอบคำถามนี้ผ่านมุมมองของตัวเองว่า “ในระดับนึง” เพราะเธอเป็นคนชอบตั้งเป้าหมายให้ตัวเองในทุกปี แล้วก็ชอบที่จะทำให้สำเร็จตามนั้นในทุกๆ ปีเช่นกัน
“ความสนุกของการเป็นมนุษย์มันก็คือจุดนี้แหละค่ะ คือการตั้ง goal ไว้ แล้วถ้าคุณทำมันได้ ก็เรียกว่าประสบความสำเร็จ และต้าร์ก็เคยมีเหมือนกันนะ ที่ตั้ง goal บางอันไว้ แล้วไม่ประสบความสำเร็จ แต่ถามว่าต้าร์เพิกเฉยกับมันไหม ก็ไม่นะ คือถ้าปีนี้ที่ตั้งไว้ไม่ประสบความสำเร็จ เดี๋ยวปีหน้าต้าร์ต้องทำให้สำเร็จ
ต้าร์จะไม่เคยดึงตัวเองให้ไปถึงจุดที่มัน down ที่สุด และจะไม่เคยพาตัวเองให้รู้สึก peak ที่สุดด้วย เพราะต้าร์มองว่าทุกอย่างมันเปลี่ยนไปตามเวลา ดังนั้น goal ของคนเรามันก็เปลี่ยนไปได้ตลอด
ส่วน goal ที่ต้าร์ตั้งเอาไว้ในปีหน้า อย่างแรกเลย คงปล่อยให้ตัวเองได้ท่องเที่ยวอย่างมีความสุขเหมือนเดิม อย่างที่ 2 คือต้าร์อยากขยาย Patinya ไปในเอเชียมากขึ้น จะเริ่มทำจริงจัง อย่างที่ 3 คือเว็บไซต์ Patinya จะเป็นเว็บไซต์เพื่อ shopping และจะมี content สนุกๆ มากขึ้น
อย่างที่ 4 คือต้าร์จะพยายามผ่อนคลายกับชีวิตตัวเองมากขึ้น จะไม่กินข้าวเที่ยงบนโต๊ะทำงานแล้ว ถามว่าต้าร์บ้างานไหม ต้าร์ว่าต้าร์เป็น ต้าร์เป็นคนชอบทำงาน การทำงานของต้าร์มันคือความสุข แต่พอเริ่มอายุ 40 แล้ว ต้าร์ก็เริ่มรู้สึกว่าต้าร์จะต้องใช้ชีวิตให้มากกว่านี้แล้ว จะพยายามไม่เครียดแล้ว (ยิ้ม)
อย่างที่ 5 คือต้าร์จะมีเวลาให้ครอบครัวและเพื่อนมากขึ้นกว่าเดิม เพราะที่ผ่านมาตลอด 20 ปี ต้าร์ว่าต้าร์ให้เวลาคุณพ่อคุณแม่ น้องๆ และหลาน น้อยไปนิดนึง รวมถึงเวลาเจอเพื่อนสนิทด้วย ดังนั้น ต้าร์จะจัดสรรเวลาให้ดี จะพยายาม balance ชีวิต อยู่กับคนที่เรารักมากขึ้น”
สรุปสั้นๆ คือเธอกำลังพยายามทำชีวิตให้อยู่ใน “ความสมดุล” แม้แต่เรื่องการบริหารธุรกิจก็ยึดหลัก “พอเพียง” เป็นที่ตั้ง เพื่อให้งานที่รักสามารถหมุนไปได้อย่างยั่งยืน
“ต้าร์จะไม่ทำธุรกิจที่มันเกินตัว คือโอกาสที่เข้ามาในชีวิตเรามันเยอะมากๆ แหละ มีหลายๆ คนเห็นต้าร์ทำนู่นทำนี่ เขาก็ติดต่อมาอยากให้ Patinya ไปวางขายที่นั่นที่นี่ ซึ่งบางครั้งต้าร์มานั่งดู cost แล้ว มันเกินกำลังของต้าร์ บางทีต้าร์ก็ต้องปฏิเสธไปก่อน
หลายๆ คนอาจจะบอกเรามาว่า ทำไมไม่ลองทำล่ะ แต่ต้าร์มีความรู้สึกว่าเราต้องรู้ความสามารถของเรา และต้องรู้ในสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ว่า มันพอดีหรือพอเพียงหรือเปล่า คืออย่าทำอะไรเกินตัว มันเหมือนการบินสูงไป ตกลงมาก็เจ็บ ดังนั้น เอาเท่าที่เรารู้สึกว่าโอเคก็พอแล้ว”
อย่าปล่อยให้ “เบื่อ” เสาะหาแรงบันดาลใจจาก “รอบโลก” จริงๆ แล้ว แรงบันดาลใจส่วนใหญ่ของต้าร์มาจาก “อารมณ์” เป็นหลัก ชุดที่ออกแบบมา มันก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของต้าร์ ณ โมเมนต์นั้นแหละว่า ต้าร์ inlove ต้าร์อกหัก ต้าร์ผิดหวัง ต้าร์เศร้า หรือต้าร์ deep แค่ไหน มันมาจากอารมณ์ต้าร์ส่วนนึง ประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์เลยแหละ ถ้าคอลเลกชั่นไหนเห็นมันหวานนิดนึง ทุกคนก็จะเดาได้ว่า ต้าร์ inlove อยู่หรือเปล่า (ยิ้ม) ถ้าคอลเลกชั่นไหนเห็นมันคมๆ เฉียบๆ ดาร์กๆ หน่อย เพื่อนสนิทก็จะเดาได้ว่า ต้องอกหักแน่ๆ เพราะคอลเลกชั่นของต้าร์จะค่อนข้างเป็นไปตาม feeling ของตัวเองพอสมควร ประกอบกับต้าร์เป็นคนชอบเดินทาง เพราะฉะนั้น แรงบันดาลใจในการออกแบบของต้าร์ก็มาจากตรงนั้นด้วย การได้พบปะคน การได้รับวัฒนธรรมใหม่ๆ ในแต่ละที่ ต้าร์เคยออกแบบคอลเลกชั่นนึง ซึ่งได้แรงบันดาลใจที่ปักกิ่ง, บางคอลเลกชั่นได้แรงบันดาลใจจากปารีส จากลอนดอน จากเซียงไฮ้ จากหลายๆ ที่เลยที่ต้าร์ได้ไป และคราวหน้า ต้าร์น่าจะได้คอลเลกชั่นจากแรงบันดาลใจที่อิสตันบูล ซึ่งต้าร์แพลนไว้ว่า ต้าร์จะไปเยือนในปีหน้า ไปอยู่สัก 5 วัน เพื่อที่จะกลับมา แล้วก็ทำคอลเลกชั่นที่ serve กับความเป็นอิสตันบูล เพราะฉะนั้น ทุกครั้งที่ต้าร์ไปท่องเที่ยว สิ่งที่ต้าร์ทำคือ ไปเพื่อซึมซับหลายๆ อย่าง ไปเพื่อเก็บ detail มาต่อยอดในการดำเนินชีวิตตัวเองและในการทำคอลเลกชั่นด้วย ถ้าจะให้ยกตัวอย่างสักคอลเลกชั่นนึงที่ได้จากการเดินทาง คงเป็นตอนทำ Pre-Spring Collection ที่ชื่อ “Forbidden Love” เป็นความรักที่ไม่เปิดเผย ซึ่งมันมาจากการที่ต้าร์ได้ไปเยือนปักกิ่ง มันเกิดมาจากการที่ต้าร์ได้ไปเห็นเฉดสีของ “พระราชวังต้องห้าม” detail ตรงจุดนั้นเลยถูกถ่ายทอดออกมา ทำให้ dress ของต้าร์บางตัวมีความเป็นชุดกี่เพ้า มีบางส่วนที่เป็นเสื้อคอจีน มีการใช้ผ้า silk satin ที่เขาใช้ทำชุดประจำชาติของคนจีนจริงๆ รวมถึงเฉดสีต่างๆ ที่จะลิงก์ ให้ดูมีความเป็นปักกิ่งด้วย สำหรับต้าร์แล้ว การออกไปเจอผู้คน ออกเดินทาง ออกไปลองใช้ชีวิต ออกไปทำในสิ่งที่คุณชอบ ออกไปคุยกับคนแปลกๆ แต่ต้องปลอดภัยนะ (ยิ้ม) มันจะทำให้คุณดึงสิ่งใหม่ๆ ในชีวิตได้ ถ้าคุณยึดติดอยู่กับสภาพแวดล้อมเดิมๆ กลุ่มคนเดิมๆ คุณก็จะมีความจำเจ ต้าร์เป็นคนนึงนะ ที่สามารถคุยกับทุกคนบนโลกนี้ได้เลย แต่เราก็จะมี space ของเราว่า เราจะให้เขาเข้ามาหาเราได้มากน้อยแค่ไหน ดังนั้น การพบปะพูดคุย เดินทางท่องเที่ยว เปิดโลกทัศน์ให้ตัวเอง มันจะทำให้เรามีแรงบันดาลใจในการทำงานทุกอย่าง เพราะการอยู่กับสิ่งเดิมๆ มันก็ทำให้เราเบื่อ และตัวต้าร์เอง ถ้าต้องอยู่กับสิ่งเดิมๆ เยอะๆ ต้าร์ก็เบื่อเหมือนกัน |
น้ำตาจะไหล ก๊อบฯ ไม่เกรงใจ “เจ้าของแบรนด์” ของต้าร์โดน copy เยอะมากเลยค่ะ ต้าร์เคยมีโมเมนต์ที่เดินไปเจอ แล้วเห็นเองมากับตาเหมือนกันนะคะ และสิ่งที่ต้าร์รับไม่ได้ที่สุดก็คือ เขาเอารูปต้าร์ไปขายของก๊อบฯ ของตัวเอง มันทำร้ายจิตใจต้าร์ไปนิดนึงนะ เพราะคุณเอารูปที่ต้าร์ใส่ชุดของต้าร์ แล้วไปโพสต์ขายของก๊อบฯ ของตัวเอง ก็เข้าใจนะคะว่าแม่ค้าบางคน เขาอาจจะไม่ได้รู้จัก “กีตาร์-ปฏิญญา” หรอก แต่คนที่เริ่มเอารูปต้าร์ไปให้คนอื่นในการวางขาย มันใจร้ายไปนิดนึงนะ ลองคิดดูว่าถ้าเป็นคุณล่ะ ที่ก่อตั้งแบรนด์ที่คุณรักมากๆ คุณสร้างชิ้นงานที่คุณรักมากๆ ขึ้นมา แล้วเขาเอารูปคุณไปขายของก๊อบฯ คุณจะรู้สึกยังไง การเอาใจเขามาใส่ใจเรา เป็นสิ่งสำคัญนะคะ ดังนั้น จุดนี้เป็นเรื่องที่ทำร้ายจิตใจต้าร์มากเลย ถ้าจะให้พูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็คงต้องถามตัวคนซื้อและคนก๊อบฯ แหละว่า ถ้าวันนึงแบรนด์ต้าร์เกิดขายไม่ได้เลย และไม่มีการออกแบบเสื้อผ้าสวยๆ ออกมา ไม่สามารถสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศ หรือไม่สามารถสร้างความภาคภูมิใจในฐานะดีไซเนอร์ไทย คุณจะ happy กับมันหรือเปล่า การผลิตชิ้นงาน 1 ชิ้น มันไม่ใช่แค่ออกแบบ ทำขึ้นมา แล้วก็เอาไปขายนะคะ มันต้องผ่านกระบวนการหลายอย่างมากมายในแต่ละสเต็ป ดังนั้น ถ้าผู้บริโภคเห็นความสำคัญของลิขสิทธิ์ทางปัญญาของนักออกแบบ คุณจะเลิกซื้อของ copy และคนที่ทำของเหล่านั้นขาย เขาก็จะอยู่ไม่ได้ แต่ถ้าคุณยังสนับสนุน ต้าร์ก็ไม่รู้ว่าพอถึงวันนึง ดีไซเนอร์ไทยอาจจะไม่เหลือในประเทศนี้เลยก็ได้ หรือแม้แต่ “Patinya” วันนึงอาจจะถึงวันที่ไม่สามารถทำธุรกิจเสื้อผ้าสวยๆ ให้คุณเห็นแล้วก็ได้ มันก็อยู่ที่ตัวคุณแต่ละคนที่จะช่วยกันนั่นแหละค่ะ เพราะลำพังตัวต้าร์เอง ต้าร์ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะต้าร์อยากสร้างสรรค์ของสวยๆ ออกมาให้ทุกคน แต่ถ้าไม่สนับสนุนของจริง แต่ไปส่งเสริมของ copy วันนึงแบรนด์ต้าร์โบกมือบ๊ายบายไป มันก็ช่วยไม่ได้นะ เพราะต้าร์ก็คงอยู่ไม่ได้เหมือนกัน |
ไม่ต้อง “จำชื่อ” แค่ “จำภาพ” ก็พอ ต้าร์รู้ว่าดีไซเนอร์ไทยเป็นดีไซเนอร์ที่มีความสามารถมากๆ เก่งมากๆ ทุกงานจะมีความ international มาก ถือว่าโดดเด่นมากเลยนะคะ ถ้าเทียบในเวทีเมืองนอกแล้ว และต้าร์ว่าดีไซเนอร์ไทยเรา สามารถไปได้ไกลกว่านี้ได้อีกเยอะ ถ้าเราได้รับการสนับสนุนจากหลายๆ ฝ่าย ทุกครั้งที่ต้าร์ออกงานเมืองนอก ต้าร์ใส่เสื้อผ้าตัวเอง หรือใส่เสื้อผ้าของดีไซเนอร์ไทย ทุกคนจะชื่นชมในชุดที่ต้าร์ใส่เสมอๆ และงานที่ต้าร์ออกคืองาน global fashion ด้วยนะคะ ไม่ใช่งานธรรมดา แต่เป็นงานของคนแฟชั่นจริงๆ เคยมีคนเดินเข้ามาหาต้าร์ โดยที่เขาอาจจะออกเสียงชื่อต้าร์ไม่ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่สิ่งนึงที่เขาบอกต้าร์ก็คือ “I might forget your name but I’ll remember your dress” (ยิ้ม) ซึ่งคำนั้นมันทำให้เรารู้สึกว่าผ้าของเรา มันติดตาเขา การที่คนจำภาพ จำลุคของเราได้ แสดงว่าเสื้อผ้าของเรา มันถ่ายทอดคาแรกเตอร์ของเราและทำให้เขาประทับใจได้ มันก็คือสิ่งที่เรา happy มากๆ แล้ว |
ปัญหาโลกแตก “ลูกค้า VS ดีไซเนอร์” ที่ต้าร์เจอมีน้อยมากนะคะ เพราะลูกค้าต้าร์น่ารักทุกคน แต่ก็จะมีบางคนที่เขาอยากได้แบบนี้ๆ โดยไม่เชื่อเรา และพอเราทำออกมา มันก็ไม่สวยอย่างที่เขาคิด สิ่งที่มีปัญหาคือ ต้าร์ต้องมาแก้ปัญหา ที่เกิดจากปัญหานั้นอีกที จริงๆ แล้ว ต้าร์อยากจะบอกกับลูกค้าทุกคนเลยว่า ทุกชิ้นงานที่ต้าร์ทำให้ คือต้าร์อยากให้คุณสวย ดังนั้น การที่คุณปรับแบบเยอะมากๆ แล้วมันออกมาไม่เป็นดังใจคุณ บางทีต้าร์ไม่มีความสุขนะ ถ้าคุณเชื่อในตัวดีไซเนอร์ ในคนที่ทำเสื้อผ้าให้คุณ คุณก็ต้องไว้ใจเขาในสิ่งที่เขากำลังรังสรรค์ให้คุณอยู่ คือสิ่งที่คุณจะช่วยได้ก็คือ อาจจะบอกจุดบกพร่อง แนะเรื่องโทนสี หรือจุดไหนที่คุณไม่มีความมั่นใจ เพื่อให้เราได้แก้ไขให้ แต่พอเราออกแบบ ออกความคิดเห็นมาแล้ว เราก็อยากให้คุณเชื่อมั่น เพราะชิ้นงานที่มันออกมา มันไม่ใช่ชุดของคุณคนเดียว แต่มันเป็นผลงานของดีไซเนอร์ด้วย เลยอยากให้ลูกค้าทุกคนตระหนักถึงจุดนี้ด้วย สำหรับตัวต้าร์เอง ต้าร์มีความรู้สึกว่า สิ่งที่ต้าร์พูด ต้าร์พูดจากใจจริงๆ ดังนั้น ถ้าลูกค้าฟังสิ่งที่ต้าร์พูด เขาจะรู้เลยว่าต้าร์ไม่เคยมีอีโก้ ไม่เคยใส่ทัศนคติส่วนตัวในทางที่ไม่ดีให้แก่ลูกค้า เพราะฉะนั้น สิ่งที่ต้าร์แนะนำ และทำให้เขาได้เห็น เขาจะต้องเชื่อ ต้าร์ไม่เคยปฏิเสธว่าต้าร์ไม่ทำให้ แต่ต้าร์จะลองให้ดูว่า ถ้าเป็นเรื่องความยาวที่เขาไม่ชอบ ต้าร์ก็จะหาตัวอื่นมาลองให้เขาดูว่า ถ้ามันยาวประมาณนี้จะสวยกว่า จะพยายามทำให้เขาได้เห็น ให้เขาเชื่อว่าเราพูดจากความรู้สึก จากมุมมองจริงๆ ซึ่งต้าร์ว่าแบบนั้นจะทำให้ทุกคนเชื่อนะ เหมือนเวลาใครแนะนำเราในสิ่งดีๆ ทุกคนต้องมี sense บางอย่างที่จะสามารถจับต้องได้อยู่แล้ว ที่สำคัญ ต้องเริ่มจากความจริงใจก่อนค่ะ ถ้าเราจริงใจให้แก่ลูกค้าทุกคน พวกเขาก็จะสัมผัสได้ แล้วก็จะส่งความรู้สึกเหล่านั้นกลับมาให้เราเหมือนกัน |
สัมภาษณ์: ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง: อิสสริยา อาชวานันทกุล
ภาพ: ธัชกร กิจไชยภณ
ขอบคุณภาพ: แฟนเพจ "Patinya" และอินสตาแกรม @guitarpatinya
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **