เขาคือชายผู้อยู่เบื้องหลังตำแหน่ง “เบอร์ 1” ในฐานะบริษัทผู้ผลิตขวดแก้วรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน อย่าง “บางกอกกล๊าส” คือชายผู้เคยปลุกให้แบรนด์ “โดฟ” ในเครือยูนิลีเวอร์โด่งดังเป็นพลุแตก จากไม่เคยมีใครได้ยินแม้แต่ชื่อ คือชายผู้ไม่เคยเชื่อในคำว่า “ทำไม่ได้” และพร้อมจะสนุกไปกับความท้าทายใหม่ๆ จนถูกใครต่อใครในวงการบริหาร ขนานนามให้เป็น “เพชรเม็ดงาม” ที่หาตัวจับได้ยากที่สุดคนหนึ่งในเมืองไทย!!
พึ่ง “แม่ทัพ 2 ภาค” บริหารตามสไตล์ “เพชรเม็ดงาม”
“ส่วนตัวแล้ว ผมไม่ได้มองว่าตัวเองเก่งอะไรมากมาย แต่คิดว่าตัวเองโชคดีที่แวดล้อมด้วยคนเก่งมากกว่าครับ ทั้งเพื่อนร่วมงาน ทั้งหัวหน้า และลูกน้องที่เคยมีมา คือบุคคลสำคัญที่มีส่วนช่วยเป็นอย่างมาก ที่ทำให้ชีวิตการทำงานที่ผ่านมาของผมประสบผลสำเร็จ”
แก้ว-ศิลปรัตน์ วัฒนเกษตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส จำกัด (บีจีซี) หรือที่ใครๆ คุ้นหูกันจากชื่อบริษัทยักษ์ใหญ่ในเครือ “บางกอกกล๊าส” ผู้ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์แก้วรายใหญ่ที่สุดของไทยและภูมิภาคอาเซียน เปิดใจบอกเล่าความรู้สึกกับผู้สัมภาษณ์เอาไว้อย่างนั้น เมื่อถูกถามถึงสมญานามที่คนในวงการบริหารมอบให้ว่าเป็น “เพชรเม็ดงาม” ในวงการอุตสาหกรรม
ด้วยความสามารถที่รวมอยู่ในตัวคนคนเดียวอย่างหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการบริหาร, การตลาด, การจัดการ, การควบคุมไลน์ผลิต ไปจนถึงการดูแลเรื่องทรัพยากรบุคคล ถามว่าอะไรทำให้นักบริหารแก่ประสบการณ์ มีความรู้เป็นตาสับปะรดได้ขนาดนี้ ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าก็สามารถให้คำตอบได้ทันทีว่า แค่ต้องรู้จักบริหารทั้งจาก “มุมบน” และ “มุมล่าง” ให้ได้พร้อมๆ กัน
“จุดแข็งของผมที่คนส่วนใหญ่พูดถึงก็คือ ผมค่อนข้าง hands on คือรู้เรื่องประมาณนึงว่าจุดไหนเกิดปัญหาอะไรขึ้นบ้าง เพราะผมจะมีการอัปเดตข้อมูลกับทีมทำงานแต่ละฝ่ายอยู่ตลอดในทุกสัปดาห์ ทำให้มองเห็นปัญหาในจุดเล็กๆ ที่อยู่ข้างล่างตรงนั้น ในขณะที่เราก็บริหารจากมุมด้านบน จากมุมผู้บริหารมองลงไป และสมดุลทั้งสองมุมมองไปพร้อมๆ กันด้วย
ที่ใช้หลักการบริหารแบบนี้ เพราะผมคิดว่าตัวผมเองไม่ได้เก่งไปหมดทุกเรื่อง อย่างน้อยคนที่อยู่หน้างานตรงนั้นตามแต่ละส่วน เขาต้องเก่งกว่าเราแน่นอน เพราะฉะนั้น เขาจึงสามารถแนะนำเราได้ว่า น่าจะแก้ไขจุดไหน ยังไงถึงจะดี แล้วเราก็ค่อยเอามาชั่งน้ำหนักและตัดสินใจอีกทีว่าอะไรเหมาะที่สุด”
คุณสมบัติของการ “อ่านคนออก” มองดูแล้วรู้ว่าคนไหนเหมาะกับงานอะไร ก็ถือเป็นจุดที่ขาดไม่ได้สำหรับคนที่จะขึ้นมา “บริหารคน” เพราะท้ายที่สุดแล้ว คนข้างบนคงไม่สามารถเอาตัวลงไปทำทุกอย่างเองได้ คนในทีมจึงเปรียบเสมือน “แม่ทัพ” ที่ถูกเลือกให้เดินตามกลยุทธ์การตลาดที่วางเอาไว้ โดยเฉพาะ “แม่ทัพฝ่ายบุคคล” และ “แม่ทัพฝ่ายการเงิน” ที่ผู้บริหารหัวคิดทันสมัยรายนี้ เทน้ำหนักให้ความสนใจมากที่สุด
“สำหรับผม แม่ทัพคนหลักๆ ที่สำคัญมากๆ มีอยู่ 2 ฝ่ายครับ คือฝ่ายบุคคลกับฝ่ายการเงิน ฝ่ายบุคคลที่มีหน้าที่เลือกคน ทำยังไงให้คนอยากอยู่กับทีมไปได้เรื่อยๆ ส่วนฝ่ายการเงินก็มีหน้าที่ดูแลให้บริษัทมีผลประกอบการที่ดี แต่ไม่ได้หมายความว่า ฝ่ายอื่นไม่สำคัญนะครับ เพียงแต่คนที่ผมมักจะทำงานด้วยหลักๆ แล้ว จะเป็น 2 ฝ่ายนี้มากกว่า”
ลองเทียบกับสมัยที่เคยดำรงตำแหน่งสำคัญ ให้แก่แบรนด์สินค้าอุปโภคบริโภคระดับโลกอย่าง "ยูนิลีเวอร์" แล้ว ในเนื้องานเกี่ยวกับการบริหารคน แก้วมองว่าไม่แตกต่างกันมากนัก โดยจะเน้น 3 ข้อหลักๆ เริ่มจากข้อแรกคือ จะบริหารอย่างไรให้คนมีความรู้สึกในการทำงาน, ปูทางให้พวกเขามีหนทางเติบโตในสายงานอย่างที่ควรจะเป็น และข้อสุดท้ายคือดูแลเรื่องสวัสดิการต่างๆ ให้พนักงานแต่ละคนอย่างเหมาะสมที่สุด
ส่วนจุดที่แตกต่างกัน เมื่อเบนเข็มจากการบริหารสายอุปโภคบริโภค มาเป็นสายอุตสาหกรรมแก้วแบบนี้ ก็คือเรื่อง “จังหวะในการทำงาน” ด้วยความที่บริษัทเดิมเป็นเครือข่ายยักษ์ มีสาขาในหลายประเทศ การบริหารจึงเน้นหนักไปที่การทำตามระบบที่มีอยู่เดิม ต่างจาก “บีจีซี” ที่มีโอกาสให้ท้าทายตัวเอง ด้วยการลองผิดลองถูก เสนอไอเดียสดๆ ใหม่ๆ ออกไปได้มากกว่า
“สิ่งที่เราต้องทำเมื่อมาเป็นผู้บริหารองค์กรของไทยเองแบบนี้ก็คือ เราต้องรู้จักมีความคิดริเริ่มมากขึ้น รู้จักเสาะแสวงหาสิ่งที่แปลกใหม่ มองหาจุดที่จะสามารถเอามาปรับใช้กับบริษัทของเราให้ได้มากขึ้น
และโดยปกติแล้ว ผมจะค่อนข้างเชื่อมั่นในจุดยืนของตัวเองพอสมควร (ยิ้ม) ประมาณว่าถ้าคิดอะไรออกไปแล้ว ต้องทำให้ได้ แล้วถ้าใครบอกว่าไม่ได้ ก็ต้องมีทางเลือกอื่นมาเสนอ เพราะผมไม่เชื่อในคำว่า “ทำไม่ได้” ผมเชื่อว่าทุกอย่างทำได้บนโลกใบนี้ มันอยู่ที่ต้นทุนของการทำมากกว่าว่า จะทำมากหรือทำน้อย และเราพร้อมที่จะทำมันไหม”
ไม่ตั้งใจ “สร้างแบรนด์” แค่อยากช่วยสังคมเพราะ “มีกำลัง”
["โครงการรักษ์น้ำ" เริ่มจากบริเวณรอบโรงงาน เพื่อความยั่งยืน]
ทุกวันนี้ กำลังการผลิตต่อปีของ บริษัท บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส จำกัด (บีจีซี) อยู่ที่ราวๆ 1 ล้านตัน ซึ่งถือว่ามียอดสูงสุดในอาเซียนแล้ว โดยเปอร์เซ็นต์การผลิตครึ่งหนึ่งคือ “ขวดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์” นอกเหนือไปจากนั้นก็จะเป็นขวดแก้วประเภท soft drink เช่น โซดา, น้ำอัดลม ฯลฯ มีประเภทอาหาร เช่น ซอส, ซุบไก่ ฯลฯ รวมถึงขวดยารูปแบบต่างๆ ด้วย
เรียกได้ว่า “จุดยืน” บนส่วนแบ่งการตลาดของที่นี่ ยังคงชัดเจนและมั่นคงมาโดยตลอด และคงต้องยกความดีความชอบส่วนหนึ่งให้แก่ “กลยุทธ์การสร้างแบรนด์” ที่ผู้ชายคนนี้ยึดเอาไว้เป็นแนวทางในการบริหารเสมอๆ นั่นก็คือสโลแกนที่ว่า “คุณภาพดี-บริการดี-ในราคาที่เหมาะสม”
ถามตรงๆ ว่า “โครงการคืนสู่สังคม” หรือที่เรียกกันว่า CSR (Corporate Social Responsibility) ที่ทำอยู่ทุกวันนี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งของการเสริมสร้างแบรนด์ด้วยหรือไม่ ทั้งโครงการผลิตเลนส์แว่นตาแจกเด็กๆ ผู้ยากไร้, โครงการแจกรองเท้า, สร้างโรงเรียน หรือแม้แต่สร้างทีมนักเตะเยาวชน ป้อนเข้าสู่สโมสรฟุตบอลบางกอกกล๊าส (Bangkok Glass FC) นักบริหารหนุ่มรายนี้จึงให้คำตอบทันทีว่า ไม่เคยมองผลพลอยได้ในแง่นั้นมาก่อนเลย
[สโมสรฟุตบอลบางกอกกล๊าส (Bangkok Glass FC)]
“ผมไม่ได้มองว่ามันเป็นหนทางในการสร้างแบรนด์อะไรจากตรงนี้นะครับ แต่ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องของ “หน้าที่” ของคนที่มีกำลังในสังคมมากกว่า ที่ควรจะต้องช่วยเหลือสังคม เหมือนคนที่แข็งแรงมากกว่า ก็ต้องช่วยเหลือคนที่แข็งแรงน้อยกว่า เป็นเรื่องปกติที่เราต้องทำอยู่แล้ว ในฐานะที่อยู่ร่วมสังคมเดียวกัน
แต่ถ้าให้มองผลดีในแง่ธุรกิจว่าทำแบบนี้แล้วจะได้อะไร ก็อาจจะช่วยสร้าง “ความภาคภูมิใจ” ให้แก่พนักงานในองค์กรครับ แถมยังมีกิจกรรมให้เขาสามารถออกไปร่วมเป็นอาสาสมัครได้ด้วย ซึ่งจะนำมาสู่ความรู้สึกผูกพันกับองค์กรในที่สุด”
[เรียนรู้วิธีการบำบัดและจัดการน้ำอย่างยั่งยืน]
ทุกวันนี้ ทางบีจีซีเลือกที่จะคืนสู่สังคม โดยเน้นไปที่โครงการหลักโครงการเดียว นั่นก็คือ “โครงการรักษ์น้ำ” เพราะมองเห็นว่าน้ำคือทรัพยากรหลักๆ ที่ทางบริษัทนำมาใช้ในการผลิต ผู้บริหารองค์กรจึงอยากช่วยอนุรักษ์มันเอาไว้
โดยเริ่มทดลองระบบจัดการน้ำ จากบริเวณรอบๆ โรงงานของเราในแต่ละแห่งดูก่อน ซึ่งมีทั้งการติดตั้งระบบบำบัดน้ำในคลอง, ออกเงินให้แต่ละบ้านในชุมชนติด “เครื่องดักไขมัน” ก่อนปล่อยลงน้ำ ไปจนถึงการลงพื้นที่ไปช่วยขุดลอกคูคลองกันอย่างจริงจัง
เรื่องการจัดระบบ “รีไซเคิลขวดแก้ว” ก็เป็นอีกหนึ่งความพยายาม ที่ผู้ชายคนนี้หมั่นออกแรงผลัก ให้โครงการเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ จากทุกวันนี้ที่วางรากระบบเอาไว้ จนสามารถเก็บขวดหลังการขายคืนมาเพื่อรีไซเคิลได้แล้ว 50-60 เปอร์เซ็นต์ และคาดหวังว่าจะทำให้ตัวเลขขึ้นไปแตะอยู่ที่ 70-80 เปอร์เซ็นต์ได้ในอนาคต
“ทุกวันนี้เราก็พยายามจัดการเรื่องระบบจัดเก็บให้ดีขึ้น ด้วยการตั้ง “ศูนย์จัดเก็บแก้ว” กระจายไปตามจังหวัดต่างๆ ตอนนี้รวมประมาณ 20 กว่าแห่ง เพื่อเก็บแก้ว 2 สีหลักๆ คือ “สีน้ำตาล” กับ “สีใส” เพื่อนำมาเข้าสู่กระบวนการผลิตใหม่อีกครั้งนึง
[จริงจังเรื่องการ "รีไซเคิลขวดแก้ว"]
โดยนอกจากเราจะมีการตั้งศูนย์ของตัวเองแล้ว ก็ยังมีการร่วมมือกับศูนย์ตามชุมชนที่ช่วยจัดเก็บแล้ว ซึ่งเราเข้าไปช่วยพัฒนาระบบ พัฒนาการจัดเก็บให้ดียิ่งขึ้น เพราะนอกจากจะช่วยเรื่องรักโลกแล้ว ยังช่วยให้เรามีต้นทุนที่ต่ำลงด้วย
แต่เรื่องแบบนี้ ยังเป็นเรื่องที่ยากในระดับนึงสำหรับบ้านเมืองเรา ส่วนนึงเป็นเพราะทางภาครัฐไม่มีมาตรการอะไรเอาไว้จูงใจคน ต่างจากในต่างประเทศ อย่างที่เยอรมัน เขาจะกำหนดเรื่องการจัดเก็บขวดแก้วเอาไว้เลยว่า ในตอนที่ซื้อจะให้คนออกค่าขวดไปก่อน แล้วพอเก็บไปคืน ถึงจะได้เงินภาษีคืนกลับไป 50 เซนต์ หรือ 1 ยูโร
หรือแม้แต่เรื่องการแยกขยะ เขาจะมีการจัดเก็บที่เป็นระบบ คือมีรถขยะมาเก็บขยะแต่ละประเภทตามวันที่กำหนดไว้ เช่น วันพุธจะเป็นวันที่เก็บขยะประเภทเศษอาหารอย่างเดียว และแต่ละบ้านก็จะแยกขยะแต่ละประเภทเอาไว้อย่างชัดเจน ทำให้โรงงานในเยอรมันสามารถเก็บขวดแก้วกลับคืนมาได้ทั้งหมด 100 เปอร์เซ็นต์แล้วทุกวันนี้ คือไม่ว่าจะขายแก้วออกไปเท่าไหร่ ก็สามารถเก็บคืนกลับมารีไซเคิลได้หมด”
พร้อมลุย “ตลาดส่งออก” ไม่หวั่น “พลาสติก” มาแทนที่
ครองตำแหน่ง “เบอร์ 1” ในฐานะผู้ผลิตและจำหน่วยบรรจุภัณฑ์แก้วรายใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียนมาแล้วก็หลายสมัย ถามว่ารู้สึกกดดันบ้างไหมที่ต้องนั่งแท่นบริหารภายใต้การถูกจับตามองแบบนี้ หนุ่มนักเรียนนอกดีกรีปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจ จากมหาวิทยาลัยเดนเวอร์ สหรัฐอเมริกา บอกเลยว่าไม่เคยรู้สึกไปในทิศทางลบเช่นนั้น แต่กลับมองว่าเป็นเรื่องน่าสนุกเสียมากกว่า เพราะมั่นใจเสมอว่าจะสามารถบริหารในแบบของตัวเองได้
และถึงแม้ในปัจจุบัน จะมีบรรจุภัณฑ์ชนิดอื่นเข้ามารับส่วนแบ่งการตลาดไป โดยเฉพาะประเภท “พลาสติก” ที่มีให้เห็นหลากไซส์หลายรูปแบบการใช้ แต่จากมุมมองนักบริหารคนนี้แล้ว เขาไม่รู้สึกหนักใจอะไร ซ้ำยังมองเห็นว่า “เทรนด์รักโลก-ลดใช้พลาสติก” น่าจะเป็นผลดีต่อตลาดการผลิตแก้วมากกว่าเสียด้วยซ้ำ
“เราอาจจะต้องมองว่า โดยภาพรวมแล้วอุตสาหกรรม packaging เองทุกวันนี้ก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ การกินดื่มก็มีมากขึ้น การใช้แก้วในสินค้าต่างๆ มากขึ้น ทำให้ความต้องการของตลาดมามากขึ้น ถึงแม้ว่าจะมีคู่แข่งทางการตลาดที่ใช้วัสดุอื่นเข้ามามากขึ้นด้วยก็ตาม ผมเลยไม่ค่อยรู้สึกหนักใจอะไรเท่าไหร่
ทุกวันนี้ คู่แข่งสำคัญของแก้ว คือพลาสติก ซึ่งถ้าพิจารณาจากเทรนด์ในหลายๆ ที่แล้ว โดยเฉพาะในยุโรป ตอนนี้พลาสติกโดนข้อจำกัดเยอะมาก หรือแม้แต่เมืองไทยเองที่เริ่มมีการพูดถึงมากขึ้นแล้ว แต่ก็ถือว่ายังน้อยอยู่ดีถ้าเทียบกับต่างประเทศ
[ตั้งเป้า "รีไซเคิลขวดแก้ว" จากการเก็บคืนให้ได้ 70-80 เปอร์เซ็นต์ ตามนโยบายธุรกิจเพื่อสังคม และเพื่อลดต้นทุน]
ยังไงก็ตาม ผมมองว่า “เทรนด์รักโลก” เริ่มมาแรงมากขึ้น ทำให้การใช้แก้วทดแทนพลาสติกมีมากขึ้น เพราะวัสดุที่เป็นแก้วสามารถนำไปรีไซเคิลได้ทั้งหมด 100 เปอร์เซ็นต์
และไม่ว่าจะยังไง พลาสติกก็ไม่ใช่วัสดุที่จะสามารถเอากลับมารีไซเคิลได้ซ้ำๆ ทุกครั้ง เพราะในแต่ละครั้งที่ถูกนำมารีไซเคิลใหม่ จะได้ผลผลิตที่มีเกรดต่ำกว่าเดิม เช่น ผลิตภัณฑ์แรกเป็นขวดน้ำ พอเอามารีไซเคิลใหม่ อาจจะกลายเป็นผนังพลาสติกแทน เพราะฉะนั้น เราทุกคนก็ควรใช้พลาสติกอย่างประหยัด และทิ้งอย่างถูกต้อง”
อีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ผู้ชายคนนี้ ไม่ค่อยหนักใจกับเรื่องส่วนแบ่งการตลาดในไทยมากเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะเขาเพ่งโฟกัสไปที่จุดหมายปลายทางที่ใหญ่กว่า นั่นก็คือ “ตลาดส่งออก” ที่กำลังรอให้เขาเข้าไปลุย เพื่อท้าทายความสามารถของตัวเองอีกครั้งหนึ่ง
“อุตสาหกรรมแก้วในเมืองไทย ทุกวันนี้เริ่มอยู่ในระดับการเติบโตอย่างช้าๆ ไม่หวือหวาเท่าไหร่แล้ว ผมเลยอยากให้มันมีอัตราเร่งที่เร็วกว่านี้ ซึ่งตลาด export ก็คือจุดนึงที่น่าจะทำให้เกิดขึ้นได้
จากข้อมูลที่ผ่านมา ผมพบว่าที่นี่ตลาด export ยังค่อนข้างเล็ก คือมีประมาณ 4-5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ถึงแม้ในแง่ของการผลิตเราจะเป็น “อันดับ 1 ของอาเซียน” แล้วก็ตาม แต่ส่วนใหญ่เราเน้นขายที่เมืองไทย
ตอนนี้ ผมกำลังมองว่าจะทำยังไงให้ตลาด export มันใหญ่ขึ้นได้ เพราะถ้าเราสามารถขยายตลาดตรงนั้นได้ การผลิตหลายๆ อย่างก็จะมีความหลากหลาย และยังมีกำไรจากส่วนแบ่งการตลาดค่อนข้างดีด้วย ก็เลยเป็นความท้าทายอีกอย่างนึงที่ผมตั้งใจเอาไว้”
เห็นได้ชัดว่านิสัย “รักความท้าทาย” เป็นสิ่งที่มีอยู่ในสายเลือดของนักบริหารมากประสบการณ์รายนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ลองย้อนมองกลับไปมองสมัยยังเป็น “เด็กชายศิลปรัตน์” ในวันวาน ก็พบว่าคุณสมบัติลักษณะเดียวกันนี้เอง ที่เป็นตัวการสำคัญผลักให้เขาได้เดินมาถึงเส้นชัยในวันนี้
“ตอนเด็กๆ ผมจำได้เลยว่า มีเพื่อนคนนึงเอาหนังสือความรู้รอบตัวเล่มหนามากมาล่อ บอกว่าให้ไปเก็บหินสวยๆ มาแลก ผมถึงกับต้องไปนั่งขุดตั้งหลายวัน กว่าจะได้หินแต่ละก้อนขึ้นมา เพื่อที่จะมาแลกหนังสือความรู้รอบตัวเล่มนั้นกับเพื่อน พอได้มาแล้วก็เอามาอ่านทุกหน้าเลย (ยิ้ม)
ถ้าให้ย้อนกลับไปมองว่ามองเห็นอะไรในตัวเอง คงเป็น “ความอยากรู้อยากเห็น” ที่ซึมซับมาตั้งแต่ตอนเด็กๆ นั่นแหละครับ มาจนถึงวันนี้มันก็พัฒนามาเป็น “ความอยากทำ” ขึ้นมาแทน และสุดท้ายมันก็เปิดโอกาส ให้เราได้ลองผิดลองถูกในแบบที่เป็นตัวเองมากที่สุด”
ทำงานแบบ “พี่น้อง” สานสัมพันธ์ “Coffee Talk” [เดินดูโรงงาน พูดคุยกับ "พี่น้องบีจีซี" อย่างเป็นกันเอง] หลายคนก็บอกครับว่าผมเป็นคนทำงานเร็ว ซึ่งมันก็ถือเป็นจุดท้าทายอย่างนึงในการบริหารงาน แต่เหนือสิ่งอื่นใด ผมเป็นคนมีความสุขกับการทำงานครับ เป็นคนที่ชอบเอาตัวเข้าไปอยู่กับงาน เทียบกับหลายคนที่อาจจะโอดครวญ เมื่อนึกขึ้นได้ว่าวันนี้วันอาทิตย์ และพรุ่งนี้ต้องไปทำงานแล้ว แต่ผมไม่เคยเป็นแบบนั้นเลย ตรงกันข้าม ผมกลับรู้สึกสนุกมากกว่าที่จะถึงวันจันทร์ ความสนุกของผมในการทำงานก็คือ การได้มาเจอผู้คน ได้มาพูดคุยกับพี่ๆ น้องๆ เหมือนสมัยเด็กๆ ที่ต้องไปโรงเรียน มันก็เหมือนได้ไปเจอเพื่อน พอมาถึงที่ทำงาน ส่วนใหญ่ผมจะชอบเดินไปตามชั้นต่างๆ เพื่อไปทักทาย ด้วยความที่เราเป็นคนค่อนข้าง active แม้แต่วันเสาร์-อาทิตย์ ผมก็จะไม่ค่อยนั่งอยู่บ้านเฉยๆ แต่จะชอบออกไปทำกิจกรรมต่างๆ ด้วยไลฟ์สไตล์ของผมที่ไม่ค่อยชอบอยู่นิ่ง พอถึงเวลางาน ผมก็เลยติดนิสัยไม่ชอบอยู่นิ่งๆ แบบนั้นมาด้วย มันเลยทำให้เรารู้สึกสนุกกับมันอยู่ตลอดเวลา ส่วนเวลางาน ถ้าไม่ติดธุระอะไร ผมจะชอบพูดคุยกับคนในทีม จะมีจัดกิจกรรมที่เรียกว่า “Coffee Talk” ในที่ทำงาน เชิญพนักงานฝ่ายต่างๆ ที่ปกติไม่ค่อยได้เจอกัน มานั่งคุยกันสบายๆ คือเน้นถามไถ่สารทุกข์สุกดิบในชีวิต เพื่อแลกเปลี่ยนกันว่าตอนนี้ชีวิตเป็นยังไงบ้าง ลำบากตรงไหนไหม มีอะไรอยากให้บริษัทช่วยเหลือหรือเปล่า หรือแม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในบริษัท อย่างเรื่องเครื่องไมโครเวฟเสีย เราก็คุยกันนะครับ ถึงแม้ช่วงแรกๆ ที่เริ่มทำแบบนี้ เขาจะดูเกร็งๆ กันไปบ้าง แต่หลังๆ เขาก็สนิทใจที่จะพูด เหมือนเล่าสู่กันฟังมากกว่า นอกเหนือไปจากนั้น ผมก็จะใส่ในตารางงานของผมไว้เลยว่า อย่างน้อยๆ ทุกๆ เดือน ผมจะต้องไปเดินในโรงงานแต่ละที่ไม่ต่ำกว่าครึ่งวัน แต่ไม่ได้ไปเพื่อคุมหรือตรวจงานอะไรนะครับ แค่อยากไปให้คนในนั้นเขาได้เห็นหน้าค่าตากัน เผื่อมีอะไรจะได้พูดคุยกับผมได้แบบสบายๆ |
สัมภาษณ์: ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง: อิสสริยา อาชวานันทกุล
ภาพ: วชิระ สายจำปา
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **