xs
xsm
sm
md
lg

“บ้านครูบุญชู” ดินแดนเพื่อเด็กพิเศษ สร้างอนาคต-สร้างคุณค่าในสังคม!! (มีคลิป)

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


“ครูบุญชู” แม่พระที่มีหัวใจเต็มเปี่ยมด้วยความรัก ทุ่มเทแรงกายแรงใจ พร้อมเสียสละทรัพย์สมบัติที่มี เพื่อสร้างบ้านของตนเองให้เป็นดินแดนของเด็กพิการหรือมูลนิธิบ้านครูบุญชูเพื่อเด็กพิเศษมายาวนานถึง 9 ปี ดูแลเด็กพิการกว่า 200 ชีวิต พร้อมตั้งปณิธานทิ้งความดีไว้ให้คนข้างหลังหากจากโลกนี้ไปแล้ว

ทุ่มเทสุดแรงใจเพื่อ “200 ชีวิต”

หากจะพูดถึงเด็กพิเศษหลายคนอาจเข้าใจว่าหมายถึงเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา เช่นเด็กในกลุ่มออทิสติก ดาวน์ซินโดรมเท่านั้น แต่จริงๆ แล้วเด็กพิเศษหมายถึงเด็กที่ต้องการการดูแลและส่งเสริมด้านต่างๆ มากกว่าเด็กปกติทั่วไปเนื่องจากเด็กมีความบกพร่องด้านร่างกาย จิตใจ หรือสติปัญญา
พวกเขาเลือกเกิดไม่ได้ และไม่ได้ต้องการความสงสารหรือเวทนาจากสังคม แค่เพียงต้องการโอกาสในการแสดงความสามารถพร้อมเปิดใจยอมรับ และเข้าใจในสิ่งที่พวกเขาเป็น ช่วยให้พวกเขาอยู่ร่วมกับสังคมได้อย่างปกติเพียงแค่นี้พวกเขาก็มีความสุขมากแล้ว
ผู้หญิงคนนี้ คือ ผู้เสียสละที่แท้จริง ทุ่มเทแรงกาย แรงใจดูแลเด็กพิเศษ โดยเปิดพื้นที่บ้านส่วนตัวของตนเองเป็นมูลนิธิแห่งนี้มานานถึง 9 ปี ทั้งที่พื้นที่บ้านออกจะกว้างขวางใช้ชีวิตอยู่กินได้อย่างสุขสบาย เพราะอะไรทำให้ครูบุญชูต้องพาตัวเองเข้ามาเหนื่อยกับเรื่องราวเหล่านี้
เรื่องราวของครูบุญชู ม่วงไหมทอง อดีตข้าราชการครู ที่นอกเหนือจากการเป็นครูด้วยจิตวิญญาณแล้ว ยังเป็นแม่พระผู้ให้ที่มีหัวใจเต็มเปี่ยมด้วยความรัก พร้อมทุ่มเทแรงกายแรงใจ และเสียสละทรัพยสมบัติที่มีเพื่อทำบ้านของตนเองให้เป็นดินแดนของเด็กพิการ หรือ “มูลนิธิบ้านครูบุญชูเพื่อเด็กพิเศษ” มายาวนานถึง 9 ปี


“จากเนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ครึ่งในอดีตตอนนี้เรามีที่ดินทั้งหมด 9 ไร่ 2 งาน ไม่มีเงินรัฐบาลคอยช่วยเหลือ มีเพียงเงินจากสังคมช่วยเหลือเมตตาเกื้อกูลให้ดินแดนเหล่านี้เป็นดินแดนของเด็กพิการอย่างแท้จริง ครูไม่เคยมุ่งหวังว่าครูจะเอาสมบัติตรงนี้ไปทำอะไร ครูหวังเพียงแต่ให้เด็กเหล่านี้ได้มีโอกาสเท่านั้นพอ
ครูทำงานตรงนี้ด้วยหัวใจ เพราะฉะนั้นเรายืนอยู่ได้ทุกวันนี้คือความซื่อสัตย์ ความจริงใจ จึงเกิดขึ้นเป็นพลังสังคม จึงเป็นพลังให้สังคมมองเห็นเกิดพลังศรัทธาที่เด็กๆ เหล่านี้ที่อยู่ที่นี่ แล้วมาช่วยเรา”
จากจุดเริ่มต้นของการเปิดบ้านให้เป็นสถานดูแลเด็กพิเศษที่มีเด็กเพียง 30-40 คน จนกลายมาเป็นมูลนิธิบ้านครูบุญชูเพื่อเด็กพิเศษในวันนี้ ทำให้มีเด็กพิเศษอยู่เกือบ 200 ชีวิต มีทั้งแบบอยู่ประจำและไปกลับ ซึ่งการที่เด็กแต่ละคนจะเข้ามาอยู่ที่นี่ได้ ต้องผ่านการคัดกรองของนักจิตวิทยาและนักสังคมสงเคราะห์เพื่อจำแนกความพิการและการจัดการดูแลที่เหมาะสม
นี่เป็นอีกเสียงบอกเล่าของ รัตติยา ม่วงไหมทอง ลูกสาวเพียงคนเดียวของครูบุญชู ได้เล่าถึงที่มาที่ไปของผู้เป็นแม่ที่ได้สัมผัสชีวิตของเด็กพิเศษแต่ด้วยโรงเรียนเขาบายศรี จังหวัดชลบุรีที่ครูบุญชูสอนอยู่นั้นเปิดสอนถึงเพียงชั้น ป.6 ทำให้เกิดความห่วงใยว่าจะทำอย่างไรถึงจะให้เด็กเหล่านี้ได้มีโอกาสเรียนต่อ

รัตติยา ม่วงไหมทอง ลูกสาวเพียงคนเดียวที่พร้อมสานงานต่อจากแม่
“เริ่มจากที่คุณแม่เป็นคุณครูอยู่ที่โรงเรียน เป็นคุณครูสอนเด็กปกติธรรมดา และวันหนึ่งแม่ได้มีโอกาสไปอบรมเรื่องเกี่ยวกับการสอนเด็กพิเศษเพื่อที่จะเป็นโรงเรียนร่วม ก็คือเด็กปกติเรียนร่วมกับเด็กพิเศษ จุดนั้นจึงทำให้แม่ได้มีโอกาสเข้าไปสัมผัสกับเด็กพิเศษ และคลุกคลีอยู่กับเด็กพิเศษ
เด็กพิเศษที่แม่สอนจะจบถึงแค่ป.6 ซึ่งในระบบไม่สามารถรับได้แล้ว แม่จึงได้คุยกันกับผู้ปกครองว่า เราจะทำอย่างไรกับลูกๆ ของเราดี เราฝึกมาแล้วถ้าปล่อยกลับไปก็เท่ากับศูนย์ ทำให้เป็นจุดเล็กๆ เริ่มต้นเป็นบ้านครูบุญชูเพื่อเด็กพิเศษขึ้นพร้อมกับผู้ปกครองที่มีน้องๆ เป็นเด็กพิเศษร่วมกันก่อตั้งเป็นบ้านหนึ่งหลัง”
ครูบุญชูถือว่าเป็นผู้เสียสละ และมีความตั้งใจจริงในการที่จะทำคุณประโยชน์ให้กับสังคม เพราะต้องยอมรับว่าในปัญหาของสังคมไทยปัญหาหนึ่งก็คือภาวะเด็กพิการทางสมองบางครั้งอาจจะถูกพ่อแม่ทอดทิ้งถ้าไม่มีหน่วยงานหรือมูลนิธิใดเข้ามาดูแล เด็กเหล่านี้ก็คงประสบกับชะตากรรมที่อยากลำบาก

ทำด้วยหัวใจ ทิ้งความดีให้คนข้างหลัง!!

หากถามถึงความท้อแท้ของครูผู้เสียสละคนนี้แล้วนั้นครูบอกว่าไม่มีความท้อแท้กับปัญหาที่เข้ามาแม้แต่นิดเดียว เพราะรู้สึกโชคดีมากแล้วที่มีโอกาสช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์กลุ่มหนึ่งให้เติบโตไปในสังคมอย่างเข้มแข็ง
“ครูไม่เคยคิดท้อเลย แต่ครูกลับมองว่าครูโชคดีที่มีโอกาสเกิดมาแล้วได้ทำงานตรงนี้ ได้ช่วยเหลือมนุษย์กลุ่มหนึ่งที่ด้อยกว่าเราเยอะ และสิ่งที่ครูภูมิใจ คือครูสามารถที่ทำให้เด็กเหล่านี้ช่วยเหลือตัวเองได้ในสังคม ตรงนี้คือสิ่งที่เราภูมิใจและเป็นรางวัลที่มีค่าที่สุด
ครูปลุกจิตสำนึกคนที่อยู่รอบตัวว่าการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์เป็นสิ่งที่มีค่า และประเสริฐที่สุด เราสามารถที่จะปลุกฝังหรือสามารถที่จะทำ ทำตรงนี้ได้ตราบที่เรามีลมหายใจอยู่ ครูโชคดีที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ในชาตินี้และครูโชคดีที่จะสามรถทำงานได้ตรงนี้ ครูจึงไม่เคยท้อกับการทำงานตรงนี้เพราะครูถือว่าครูโชคดีแล้วที่เจองานแบบนี้ เพราะว่าถ้าเกิดว่าครูไม่ได้เจอแบบนี้ชีวิตครูอาจจะเป็นอย่างอื่นก็ได้

ครูจะบอกกับลูกสาวเสมอว่าคนเราเกิดมาตายไปก็เอาไปไม่ได้ สร้างบุญสร้างบารมีร่วมกันไว้ วันที่ตาย วันที่ไปจากโลกนี้ทิ้งอะไรไว้ให้คนข้างหลังบ้าง”
ปัจจุบันมีเด็กพิการหรือขาดโอกาสและขาดการเข้าถึงการศึกษาเป็นจำนวนมาก ข้อมูลสำนักงานสถิติแห่งชาติเมื่อปี 2550 พบว่ามีเด็กพิการในวัยเรียนที่ไม่สามารถเข้าถึงการศึกษามากกว่าร้อยละ 81.7 หรือราวสองแสนคน และยังพบปัญหาการอยู่ร่วมกันของเด็กพิการกับเด็กปกติอีกด้วย ขณะที่กรมสุขภาพจิตประเมินว่าเด็กไทยป่วยเป็นออทิสติกมากถึง 3 แสนคน
นอกจากนี้ยังพบปัญหาผลกระทบจากพ่อแม่ที่มีลูกป่วยพิการเป็นโรคซึมเศร้าถึงขั้นฆ่าตัวตาย ปัญหาพ่อแม่ยากจนไม่สามารถเลี้ยงดูลูกที่พิการซึ่งนำมาสู่การละทิ้งเด็กในเวลาต่อมา อีกปัญหาที่สำคัญคือการยอมรับและเข้าใจในความเป็นมนุษย์ที่ทุกคนเท่าเทียมกัน ไม่ว่าคนนั้นจะพิการหรือเป็นอย่างไรก็ตาม
ควาามมุ่งหวังของคนเป็นครู หวังเพียงว่าบ้านหลังนี้จะสร้างอนาคตและคุณค่าให้เด็กพิการเหล่านี้ ได้อยู่ในสังคม ได้ใช้ประโยชน์ที่เหลืออยู่ของเขาให้มากที่สุด
“ทำอย่างไรไม่ให้สมองหยุดการพัฒนา ครูจึงคิดทุกอย่างที่จะให้บ้านหลังนี้มีสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นเพื่อรองรับเด็กเหล่านี้ให้เด็กเหล่านี้มีคุณค่าในตัวเอง นี่คือสิ่งที่ครูมุ่งหวังที่สุด
ในฐานะที่ครูเป็นแม่แล้วต้องดูแลลูกๆ ทั้งหมด ครูไม่ต้องการ ให้ลูกครูอยู่ไปวันๆ โดยที่ไม่มีจุดหมาย ครูพยายามดึงเอาส่วนที่เหลือที่เป็นส่วนดีของเขามาสร้างประโยชน์ จริงอยู่เด็กๆ อาจจะเรียนไม่ได้ เรียนไม่เข้าใจเพราะวิชาการอาจจะซับซ้อนแต่งานฝีมือแบบนี้อาจไม่ได้ใช้ความคิดมากเท่าไหร่นัก ใช้ความจำ อาศัยทำซ้ำๆ จนเกิดความเคยชิน เข้ามาทำทุกวัน แล้วเด็กก็จะมีงานทำ ได้มีความสุข สมองก็จะได้เพิ่มพัฒนาการไปเรื่อยๆ”

ค่ายสายใยรักกิจกรรมดีๆ สำหรับเด็ก

และที่นี่ยังมีโรงเรียน กศน. (การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย) เพื่อให้เด็กพิเศษได้เรียนรู้เหมือนกับเด็กทั่วไป ให้เด็กมีโอกาสได้เรียนหนังสือได้พัฒนาตัวเองในทุกๆ ด้านเท่าที่มูลนิธิแห่งนี้จะทำได้
“ครูต้องการให้เด็กใช้สมองตัวเองเท่าที่จะเป็นไปได้ ให้เขามีโอกาสที่จะอยู่กับตัวหนังสือบ้าง เด็กเหล่านี้ยังมีศักยภาพในการที่จะเรียนได้ จึงร่วมมือกับ กศน.สัตหีบ เปิดเป็น กศน. จึงนำเด็กที่พอจะเรียนได้มาเรียน
กรณีที่เด็กที่ไม่สามารถเรียนร่วมได้ ก็มีกิจกรรมอื่นให้ทำ มีกิจกรรมฝึกอาชีพให้ จะมีคุณแม่คุณลูกช่วยกันทำ เช่นกระปุกออมสินหลากหลายรูปแบบ กางเกงเสื้อที่บริจาคนำแปรเป็นกางเกงสำหรับคนตัวใหญ่ๆ ส่วนเศษผ้าที่เหลือก็มาทำเป็นผ้าเช็ดเท้า เราพยายามนำเอาของที่ทุกคนบริจาค และของเหลือใช้กลับมาทำให้เกิดประโยชน์มากที่สุด”
ไม่น่าเชื่อว่าจากเด็กพิเศษที่หลายคนอาจมองว่าเป็นภาระของสังคมไม่สามารถเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพอะไรได้ จะสามารถพัฒนาตนเองขึ้นมาได้ บางคนถึงขั้นเป็นเลิศในสิ่งที่ตนเองถนัดด้วย
อย่างน้องนนท์-ศักดิ์สิทธิ์ เมืองมัจฉา วัย 21 ปี ที่เข้ามาพักอาศัยอยู่ในมูลนิธิแห่งนี้มานานถึง 3 ปี เป็นเด็กพิการสมาธิสั้น ที่เป็นนักกีฬาโบว์ลิ่งทางปัญญา เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่9 ณ ประเทศมาเลเซีย

น้องนนท์-ศักดิ์สิทธิ์ เมืองมัจฉา นักกีฬาโบว์ลิ่งทางปัญญา

อนาคตของมูลนิธิ ในวันที่แม่ไม่อยู่!!

ด้านลูกสาวเพียงคนเดียวของครูบุญชู เธอเฝ้ามองการทำงานของผู้เป็นแม่ที่ได้ทุ่มเทต่อการทำมูลนิธิตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา แม้จะขาดแคลนปัจจัยในการทำงานแต่แม่ก็ไม่เคยบ่นเคยท้อต่อสิ่งที่ทำแม้แต่น้อย
“เอาจริงๆ นะ แม่ไม่เคยพูดอะไรเลย แต่เราอาจจะมีการคุยกันว่าแม่เดือนนี้จะไหวไหมค่าใช้จ่าเท่านี้กับรายรับที่เราได้มาเท่านี้ แม่ก็จะพูดเสมอว่าไม่เป็นไรทุกครั้ง เหมือนกับว่าไม่อยากให้เราเสียกำลังใจ แม่จะชอบพูดว่าไม่เป็นไรหรอกเดี๋ยวก็มีทางออกของมัน มันจะต้องทำได้สิ เหมือนเราตั้งใจทำดีแล้ว ก็ต้องมีแต่เรื่องดีๆ เกิดขึ้น แต่แล้วมันก็ผ่านมาได้ทุกครั้งจริงๆ”
สำหรับอนาคตของมูลนิธิแห่งนี้หากถึงวันที่ครูบุญชูทำไม่ไหวลูกสาวเพียงคนเดียวก็พร้อมที่จะสานต่อกับงานที่แม่ได้ทำไว้ แม้จะอดห่วงไม่ได้ว่าจะดำเนินต่อไปได้แบบมั่นคงหรือไม่
การที่ต้องดูแลเด็กพิเศษที่มีความพิการแตกต่างกันเป็นจำนวนมากจำเป็นต้องใช้พื้นที่ และเงินในการใช้จ่ายและต้องยอมรับว่าลำพังครูบุญชูเพียงคนเดียวคงไม่สามารถยืนหยัดดูแลเด็กเหล่านี้ได้จนถึงทุกวันนี้

“กำลังทรัพย์ส่วนหนึ่งต้องขอบคุณแม่ๆ ที่มีผู้ปกครองเป็นเด็กพิเศษที่เราร่วมกันก่อตั้งขึ้นมา เราทำเป็นผ้าป่าการกุศลขึ้นมา จัดเป็นผ้าป่าระดมทุน รวมถึงผู้ปกครองที่มีกำลังทรัพย์เยอะที่เห็นถึงความสำคัญว่าลูกเขาจะมีที่วิ่งเล่น มีที่ทำให้เกิดความสุข เขามีกำลังหลักในการบริจาคที่ดินให้กับเรามาเพิ่มเรื่อยๆ
คือเราจะมีการจัดผ้าป่าการกุศลกันทุกปี เพื่อระดมทุนขยับขยาย ทุกๆ อย่างที่เราได้มา ก็ได้มาจากพลังความร่วมมือของทุกคน ส่วนหนึ่งมาจากที่คุณแม่ตั้งแต่แรกหลังจากนั้นก็คือมาจากการรวมกลุ่มกัน การ่วมบุญร่วมกุศลกันที่เราทำตรงนี้ขึ้นมา”
จริงๆ เรื่องทุนถ้าในระยะสั้นที่เรามอง ด้วยความเป็นจิตใจของคนไทยในการให้ความช่วยเหลือเราไม่ห่วง แต่สิ่งที่ห่วงคือระยะยาวอีก 10 ปี ข้างหน้าเราจะยังคงอยู่ได้ไหม แล้วเราจะอยู่อย่างมีคุณภาพไหม เด็กของเราจะเติบโตเป็นอย่างไร อันนั้นคือสิ่งที่เราห่วงมากกว่า
อยากจะดันมูลนิธิเข้าสู่ระบบ แต่คงไม่ใช่เร็วๆ นี้ ก่อนอื่นตัวเราเองก็ต้องมาอยู่ที่นี่อย่างเต็มตัว มาเข้าใจลักษณะของที่นี่ ที่อยากจะดันให้เข้าไปในระบบเพื่อความมั่นคง เคยคุยกับแม่ว่าถ้าวันหนึ่งแม่ไม่อยู่แล้วเราจะทำตรงนี้ต่อได้ไหม เราไม่ได้มองแค่ว่ามันจะต่อไปได้อีกแค่ สองปีสามปีแต่เรามองถึงสิบยี่สิบปี เราอยากให้มั่นคงมากกว่านั้น นั้นคือสิ่งที่เราห่วง
และอีกอย่างคือเราอยากได้บุคคลากร หรือองค์กรที่เป็นมืออาชีพ ที่มีความมั่งคงที่คอยให้คำปรึกษาหรือคอยดูแล น่าจะมีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น อีกอย่างพื้นฐานเด็กทุกคนไม่ว่าจะเป็นเด็กพิเศษหรือเด็กปกติสามารถพัฒนาศักยภาพเขาได้ ถ้าเรามองเห็นและก็เข้าใจเขา”
เรื่องราวของมูลนิธิที่ดูแลเด็กพิการทางสมองที่เราก็ต้องยอมรับกันว่าในสังคมไทยยังมีเด็กกลุ่มนี้อยู่ ที่บางครั้งอาจจะขาดคนที่ดูแล หรือว่าคนที่มาทำงานที่มีความรู้ และมีใจรักในการดูแลเขาอย่างถูกต้อง เพื่อจะทำให้เด็กเหล่านั้นมีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีโอกาสพัฒนา สามารถทำงานหรือมีศักยภาพในการดำรงชีวิตได้


สัมภาษณ์ : รายการ “ฅนจริง ใจไม่ท้อ”
เรียบเรียง : ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง : พัชรินทร์ ชัยสิงห์
ขอบคุณภาพ : fb.com/kruboonchoohome



 
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **





กำลังโหลดความคิดเห็น