จากเงินติดตัวแค่ 1,500 สู่การสร้างโรงเรียนสอนแต่งหน้าชื่อดัง! “ครูจอย-ครูโรส” สองสาวพี่น้องช่างแต่งหน้า 'โจร ปล้นร้านทอง' เปิดใจเล่าเส้นทางชีวิต “กว่าจะมีวันนี้ไม่ง่าย” เป็นพนักงานบริษัทไม่รุ่ง-เป็นแม่ค้าก็ไม่รอด หลังเอาดีด้านเมกอัพ ล่าสุดจบหลักสูตรจากต่างประเทศ แถมมีนักเรียนในสังกัดกว่าหมื่นคน!!
“แต่งหน้าให้ผมหน่อย” #โจร2018 เปลี่ยนโฉมก่อวีรกรรม!
เมคอัพทำพิษซะแล้ว! จากเหตุการณ์ โจร2018 ที่กลายเป็นประเด็นฮอตในสังคมออนไลน์ ถึงกรณีช่างแต่งหน้าสาว 'กนกพร เขมะสิงคิ' หรือ 'ครูจอย' เจ้าของโรงเรียนสอนแต่งหน้าชื่อดัง 'Sisters Makeup' ได้ออกมาเล่าวินาทีระทึกของตนที่ได้รับการว่าจ้างแต่งหน้าให้กับลูกค้าคนหนึ่ง แต่กลับหักมุมเพราะลูกค้าคนดังกล่าวได้ไปก่อวีรกรรมปล้นร้านทองซะงั้น!
เรื่องราวเกิดขึ้นจากลูกค้ารายหนึ่งมีความต้องการให้แต่งหน้าแปลงโฉมเพื่อไปง้อแฟนสาว โดยมีข้อแม้ว่าจะต้องแต่งให้กลายเป็นคนละคน อีกทั้งยังบอกครูจอยอีกว่า ครอบครัวตนกำลังจะพัง มีลูกสาวอายุ 11 เดือน จึงอยากง้อภรรยาให้สำเร็จ เห็นเช่นนั้นครูจอยจึงตัดสินใจแต่งหน้าให้ลูกค้าคนดังกล่าว
โดยมีการนัดเจอกันเพื่อวางแผนการแต่งหน้า หลังจากแต่งหน้าเสร็จ ครูจอยและครูโรส (น้องสาวครูจอย) ได้ติดต่อสอบถามว่าง้อภรรยาสำเร็จหรือไม่ แต่กลับติดต่อไม่ได้และมาทราบจากข่าวภายหลังว่าลูกค้าคนดังกล่าวเข้าปล้นร้านทองแห่งหนึ่งใน จ.นนทบุรี
ขณะที่ ครูจอย เปิดใจกับทีมสัมภาษณ์ว่า เรตราคาแต่งหน้าของเธอในแต่ละครั้งอยู่ที่ราคา 30,000 บาท ขณะที่การแต่งหน้าแบบสเปเชียลเอฟเฟกต์ จะเริ่มต้นที่ 20,000 บาทขึ้นไป ซึ่งสำหรับเคสลูกค้าคนดังกล่าว เธอยอมรับว่าคิดราคาแต่งหน้าที่ถูกมากๆ เพราะเกิดจากความสงสาร โดยไม่รู้ถึงเหตุผลที่แท้จริงของการแต่งหน้ามาก่อน
“ถ้าเป็นแต่งหน้าเจ้าสาวทั่วไป ครูแต่งรอบหนึ่งอยู่ที่ 30,000 บาท แต่ถ้าแต่งหน้าเอฟเฟกต์อย่างที่เป็นข่าว จริงๆ จะอยู่ที่ 20,000 บาทขึ้นไป ขึ้นอยู่กับวัตถุดิบที่เราใช้ ซึ่งราคาอาจแพงขึ้นไปถึงหลักแสนก็มี หากต้องมีการหล่อหน้า เตรียมแผนงานด้วย ราคาก็จะสูง ซึ่งสำหรับเคสลูกค้าคนนี้ ครูจอยคิดราคาที่ 20,000 บาท แต่จ่ายเงินจริงๆ เราคิดแค่ 3,000 บาท เพราะเห็นใจเขา”
แน่นอนว่าหลังเกิดเรื่องขึ้น ได้เกิดกระแสวิจารณ์เข้ามาอย่างถล่มทลาย บ้างให้ความสนใจไปในประเด็นฝีมือการแต่งหน้าที่สมจริงจนเหลือเชื่อ จนเกิดเป็นกระแสความเห็นที่มองว่าเพราะเหตุการณ์นี้ จึงทำให้โรงเรียน 'Sisters Makeup' มีชื่อเสียงขึ้นมา ซึ่งครูจอยเปิดใจกับเราว่า ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ขอไม่เลือกที่จะมีชื่อเสียงเพราะเหตุการณ์ลักษณะนี้จะดีกว่า
“จากกระแสที่บอกว่าโรงเรียนของเราดังขึ้นเพราะเหตุการณ์นี้ ต้องบอกก่อนนะคะว่าก่อนหน้านี้ คนรู้จักโรงเรียนเราอยู่แล้ว นักเรียนของเราก็มีจำนวนมาก ถ้าสมมติว่าจะต้องดังเพราะเหตุการณ์นี้ ถ้าย้อนกลับไปได้ ครูขอไม่ดังด้วยเหตุการณ์แบบนี้ดีกว่า เพราะมันไม่ปลอดภัยต่อชีวิตเราสักเท่าไหร่”
ครูจอยมองว่าคนอาจจะรู้จักเรามากขึ้นในวงนอก แต่ถ้าเป็นวงในเกี่ยวกับเรื่องการแต่งหน้า เขาก็น่าจะรู้จักกันอยู่แล้ว แต่คนทั่วไปอาจจะเห็นว่ามีการแต่งหน้าลักษณะนี้ด้วยเหรอ ก็ทำให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นค่ะ”
อย่างไรก็ดี จากเหตุการณ์ระทึกใจที่เกิดขึ้นกับครูสอนแต่งหน้าคนดังกล่าว นำมาสู่วิธีแสกนคนที่รัดกุมมากขึ้น เนื่องจากว่าเหตุการณ์ในครั้งนั้น ทำให้ครูจอยและครูโรสเกิดความวิตกกังวลเรื่องของความปลอดภัยด้วยเช่นกัน
“ถ้าสมมุตเป็นการแต่งหน้าแบบเอฟเฟกต์ที่ต้องเปลี่ยนหน้าไปเลย ต้องสืบหาที่มาที่ไปก่อนค่ะว่าแต่งไปเพื่ออะไร มีเหตุการณ์หรืองานอีเวนท์อะไร จริงหรือไม่ อาจจะต้องขอดูบัตรประชาชนและขอแอดเฟซบุ๊กไว้ก่อน อย่างน้อยเราจะได้เช็กไทม์ไลน์ได้ด้วย หรือแม้แต่การให้เซ็นยินยอมว่าแต่งหน้าไปเพื่ออะไร ให้แสดงจุดประสงค์ที่ชัดเจนไว้ก่อนค่ะ
แต่ถ้าเป็นแต่งหน้าเจ้าสาวทั่วไปก็ยังเหมือนเดิมนะคะ เพราะการแต่งหน้าแบบนี้เราดำเนินการตามปกติอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นการแต่งหน้าที่เปลี่ยนหน้าไปเลย คงต้องมีมาตรการที่รัดกุมมากขึ้นค่ะ แต่ก่อนไม่เคยคิดเลยว่าการแต่งหน้าจะนำไปทำเรื่องแบบนี้ได้ เราเคยเห็นแต่ในหนังก็ไม่คิดว่าจะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นจริง อย่างที่บอกก็จะต้องรัดกุมกว่าเดิม”
จบหลักสูตรแต่งหน้าจากอเมริกา!
“ก่อนจะมาสู่อาชีพช่างแต่งหน้าหรือครูสอนแต่งหน้า เราลองทำกันมาหมดแล้ว ทั้งเป็นเลขาฯ ในบริษัท ครูสอนพิเศษ แม่ค้าขายลูกชิ้น หรือแม้แต่ลูกจ้างขายรองเท้า จนกระทั่งร้านรองเท้าต้องปิดกิจการเพราะขายไม่ดี เรามีเงินติดตัวแค่ 1,500 บาท ก่อนจะมาเริ่มชีวิตใหม่กับอาชีพสอนแต่งหน้า”
ครูจอย ย้อนภาพทรงจำให้เราฟังถึงประสบการณ์ชีวิตของเธอและน้องสาวที่ผ่านอะไรด้วยกันมามากมาย หลังจากจบปริญญาตรี เส้นทางชีวิตของเธอดำเนินไปเช่นกับมนุษย์เงินเดือนทั่วๆ ไป แต่เธอกลับพบว่าชีวิตการทำงานลักษณะนั้นไม่เหมาะกับเธอสักเท่าไหร่ จนนำมาสู่อาชีพการค้าขายที่ได้ลองผิด-ลองถูกอยู่เรื่อยมา ก่อนค้นพบพรสวรรค์เรื่องการแต่งหน้า
“ก่อนจะมาสู่อาชีพครูสอนแต่งหน้า เราลองทำกันมาหมดแล้ว ทั้งเป็นแม่ค้าขายลูกชิ้น ขายรองเท้า หรือแม้แต่เป็นเลขาในบริษัท และครูสอนพิเศษก็ทำมาแล้ว เราสองคนพี่น้องหาเงินเรียนตั้งแต่ ม.ปลาย ไม่อยากเดือดร้อนแม่ แต่ความฝันที่อยากมีกิจการเป็นของตัวเองเกิดขึ้นในหัวมาตั้งนานแล้ว เพียงแต่ว่าตอนนั้นเราก็ยังนึกไม่ออกว่ามันคืออะไร
ซึ่งการแต่งหน้า เริ่มจากแต่งหน้าตัวเองในวันรับปริญญาก่อน จากนั้นก็ฝึกเองมาเรื่อยๆ ไม่ได้ทำอาชีพนี้จริงๆ จังๆ รวมระยะเวลาที่แต่งหน้า ทั้งลองผิด ลองถูก หรือฝึกเองก็ราวๆ 10 ปีได้ค่ะ จนมีอยู่วันหนึ่งสงสัยต้องทำอาชีพนี้จริงจังซะแล้ว เพราะร้านรองเท้าที่เราเป็นพนักงานขายอยู่ต้องปิดกิจการ พอร้านปิด เราไม่มีเงินสำหรับการเลี้ยงตัวเองเลย
ทั้งครูจอยและครูโรส 2 พี่น้อง เราเหลือตังค์อยู่ที่ตัว 1,500 บาท ครูจอยก็มาคิดว่ามีอะไรที่เราพอจะทำได้บ้าง นั่นคือการแต่งหน้าที่ผ่านเข้ามาในหัว จึงเริ่มรีวิวการแต่งหน้าลงโซเชียลฯ ดู ทั้งเว็บจีบัน พันทิป และเว็บต่างๆ ทำให้เริ่มมีคนสนใจและสอบถามเข้ามาเรื่องจ้างแต่งหน้า รวมถึงให้เราสอนเขาแต่งหน้า ตั้งแต่ปี 56 ก็ได้เริ่มสอนแต่งหน้ามาตลอด”
พูดคุยถึงเส้นทางชีวิตอยู่พักหนึ่ง ก็พบว่าโปรไฟล์ของครูจอยและครูโรสนั้นไม่ธรรมดา เพราะเธอเคยเดินทางไปเรียนหลักสูตรแต่งหน้าถึงสหรัฐอเมริกา ซึ่งถือเป็นโรงเรียนดังที่ติดท็อป 5 ของโลกเสียด้วย!
“วงการสอนแต่งหน้าตัวเองเมื่อ 5-6 ปีก่อนยังไม่แพร่หลาย หรือแทบจะไม่มีเลย เราเลยตัดสินใจเปิดเป็นสตูดิโอสอนแต่งหน้าเล็กๆ เริ่มรับจาก 1-2 คน จนมา 4-5 คน เรื่อยๆ จนนักเรียนมากขึ้นถึงขั้นต้องจองคิวกันเป็นเดือนๆ ครูจอยทำอยู่ที่นั่นได้ 1 ปี แต่สตูดิโอเรารองรับนักเรียนได้ไม่พอ จึงตัดสินใจกับน้องสาว (ครูโรส) ว่าจะซื้อบ้านมาทำเป็นสตูดิโอ
พอเริ่มทำสตูดิโอได้สักระยะ เราก็อยากเรียนแต่งหน้าจริงจัง ซึ่งเมื่อก่อนจะเป็นการเรียนแบบเทกคอร์สสั้นๆ เราก็คิดว่าอยากต่อยอดให้มันไปได้ไกลกว่านี้ เพราะประเทศไทย ณ ตอนนั้นก็ยังไม่มีการแต่งหน้าแบบเอฟเฟกต์เท่าไหร่ เราเลยตัดสินใจไปเรียนที่ต่างประเทศแบบจริงจังเลย
ครูจอยกับครูโรสเดินทางไปเรียนแต่งหน้าที่ โรงเรียน Cinima Makeup School ที่สหรัฐอเมริกา ค่ะ โรงเรียนนี้ติดท็อป 5 ของโลกด้วย ก่อนตัดสินใจว่าจะเรียนที่นี่ก็ได้เข้าไปดูผลงานของคุณครูและรุ่นพี่จากโรงเรียนนี้ มีครูหลากหลายคนที่แต่งหน้าให้กับภาพยนตร์ดัง เช่น Pirates of the Caribbean, Spiderman, X-Men หรือ Iron Man
หลังจากที่เรียนได้ 2 เดือนพอจบคอร์สก็กลับมา ครูจอยกับครูโรสก็นำความรู้ที่เรียนจากที่นั่นมาต่อยอดกับอาชีพแต่งหน้าเพื่อหาเงินต่อ พอครบจำนวนก็จองคลาสถัดมาเพื่อไปเรียนต่ออีกครั้งค่ะ รวม 2 คอร์สที่ไปเรียนมา ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 5 ล้านกว่าๆ ได้ค่ะ ถือว่าสูงมาก แต่คุ้มค่าที่ชีวิตหนึ่งได้มีโอกาสเดินทางไปศึกษางานแต่งหน้าที่นั่น”
ตั้งใจ-ไม่หยุดฝัน = ความสำเร็จ
ยอดติดตามแฟนเพจกว่า 2แสนคน! นักเรียนในสังกัดกว่าหมื่นคน งานแต่งหน้ามีเข้ามาที่โรงเรียนแห่งนี้แทบทุกวัน!! นี่จึงเป็นสิ่งที่ยืนยันความสำเร็จได้อย่างดีว่ากว่าจะมีวันนี้ได้ เธอต้องทุ่มเท-มุ่งมั่นเพื่อความฝันที่อยากมีกิจการเป็นของตัวเองมากมายถึงเพียงไหน
“ย้อนกลับไปก็คิดว่าเรามาไกลเหมือนกันนะ แต่ด้วยความที่เรารู้อยู่แล้วว่าสักวันเราต้องมาถึงวันนี้ เพียงแต่ว่ามันจะเป็นทางไหน อย่างตอนที่เป็นเด็กก็ไม่รู้มาก่อนเลยว่าตัวเองชอบการแต่งหน้า รู้ตัวแค่ว่าเราชอบศิลปะ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะนำศิลปะมาทำมาหากินยังไง หรืออย่างคำที่เคยได้ยินว่า 'ศิลปินไส้แห้ง' คำนี้มันฝังอยู่ในหัวเราเหมือนกัน
แต่มาถึงตอนนี้ คำๆ นั้น มันเปลี่ยนความคิดเราไปสิ้นเชิง ครูจอยกลับมองว่าคนที่เป็นศิลปิน เขาสามารถหาเงินได้มากเท่าที่เขาสามารถ ถ้ารู้จักนำความสามารถที่ตัวเองมีอยู่มาแสดงให้คนอื่นรู้ รวมถึงต้องรู้จักพรีเซ็นต์หรือนำเสนอผลงานของตัวเองให้คนสนใจด้วย”
แม้เธอจะเริ่มต้นสู่วงการแต่งหน้าในยุคที่การสอนแต่งหน้ายังไม่ได้รับความนิยมเท่าปัจจุบัน แต่เธอเองก็บอกกับเราว่าต้องพัฒนาฝีมือและอัปเดตเทรนด์การแต่งหน้าอยู่เสมอ เพราะหากไม่ฝึกฝนตัวเองก็จะอยู่ไม่รอดในยุคปัจจุบัน
“ครูจอยมองว่าช่างแต่งหน้าเหมือนร้านอาหารนะคะ ร้านอาหารมีเป็นร้อยๆ พันๆ ร้าน แต่จะมีสักกี่ร้านที่คนเลือกที่จะเดินเข้าไป ฉะนั้น เราต้องทำตัวเองให้เหมือนร้านอาหารที่คนอยากเข้ามาทาน
แต่สิ่งที่ช่างแต่งหน้าหรือครูสอนแต่งหน้าควรมี อย่างน้อยต้องมีวุฒิภาวะ การรู้จักวางตัวและการใช้คำพูด เพราะการทำงานลักษณะนี้ ต้องเข้าใกล้คนอยู่ตลอดเวลา ที่สำคัญต้องมีคุณธรรม ต้องคิดดี พูดดี และซื่อสัตย์กับลูกค้าเสมอ รวมถึงพยายามฝึกฝนตัวเองอยู่ตลอดเวลา และอัปเดตเทรนด์เครื่องสำอางใหม่ๆ
ซึ่งครูจอยเองก็คุยกับน้องสาวอยู่ตลอดว่าเราต้องไปเรียนเพิ่มเติมทุกปี ตอนนี้มีสิ่งที่เราเรียนมาใหม่เพิ่มเติม ทั้ง Special Effect หรือ AirBrush รวมไปถึงการแต่งหน้า Monster ตอนนี้กำลังทำรายงานอยู่”
สุดท้าย ในฐานะครูสอนแต่งหน้าที่มีประสบการณ์กว่า 6 ปี เธอกล่าวทิ้งท้ายถึงคนรุ่นใหม่ที่มีความฝันอยากทำอาชีพด้านการแต่งหน้าด้วยว่า ให้หมั่นฝึกฝนพัฒนาทักษะแต่งหน้าของตัวเอง รวมถึงให้ตั้งใจทำอย่างเต็มที่ แล้วความฝันที่ตนรักจะตอบแทนความสำเร็จในสักวัน
“มีหลายคนที่ยังค้นหาความฝันของตัวเองไม่เจอ ครูจอยมองว่าเราต้องหาทางของเราให้เจอก่อน จากนั้นค่อยสร้างเส้นทางของตัวเอง ให้เป็นเส้นทางที่เราอยากจะได้มันจริงๆ พยายามฝึกฝน มุ่งมั่นอย่างเดียวไม่ได้ ต้องหมกมุ่นอยู่กับมันด้วย ถึงจะทำให้มันเป็นจริงได้
ขอให้คิดก่อนว่าอย่างน้อยเราได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก เราจะต้องสร้างมันขึ้นมาด้วยตัวเอง ฉะนั้น เราต้องตั้งใจทำมันต่อไป แม้มันจะไม่ได้เงินหรือประสบความสำเร็จในทันที แต่ขอให้ทำต่อไป วันข้างหน้าเมื่อเราทุ่มเทกับมันเต็มที่ เมื่อเรารักมันมากๆ ไม่นานสิ่งๆ นั้น มันจะตอบแทนกลับมาให้เราเอง”
เรื่องโดย พิมพรรณ มีชัยศรี
ภาพ FB: Sisters Makeup
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **