xs
xsm
sm
md
lg

“ล่อลวงสอดใส่” หรือ “แค่ใช้เครื่องมือตรวจ” ปากคำ 2 ฟาก ปมหมอสูติฯ ฉาว!!

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


แฉแหลก! ข้อมูลขัดแย้ง คดีหมอสูติฯ ส่อพิรุธ 2ฝั่ง ทั้งทนายดังมีหลักฐานมัดตัว เลียอวัยวะเพศเหยื่อ, ดูดนม , เรียกที่รัก, ฯลฯ และด้านหมอแก้ต่าง ต้องใช้ เครื่องอัลตราซาวด์-ถุงยาง-สอดใส่เครื่องมือเข้าไป คาดคนไข้ได้สัมผัส แล้วเข้าใจคลาดเคลื่อน!

รวมตัวแฉมุมเสื่อม หาหลักฐานมัดคนผิด!

สะเทือนวงการสูตินรีแพทย์กันยกใหญ่ กับประเด็นที่หมอสูติฯ ชื่อดังในจังหวัดนครสวรรค์ น.พ.จักรพงษ์ ลีลาพร อายุ 53 ปี ตกเป็นผู้ต้องสงสัยกระทำอนาจารและช่มขืนคนไข้ในคลินิก ขณะตรวจภายใน โดยมีคนไข้ที่เดินทางมาตรวจยังคลินิกแห่งนี้เผยว่า ตนเองถูกหมอกระทำอานาจาร ทั้งเลียอวัยวะเพศ, จับหน้าอก, ดูดนม, เป่าลมที่หู, เรียกที่รัก ฯลฯ

ทว่ามีทั้งคนที่ออกมาแฉและแก้ต่าง ทำให้หลักฐานแบ่งออกเป็น ฟาก ทางฝั่งของคลินิกหมอสูติฯ เองหากไม่มีบุคคลที่ 3 ระหว่างตรวจภายใน ก็จะเข้าข่ายผิดมาตรฐานสถานพยาบาล และขณะนี้กำลังมีการตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นกัน

อย่างกรณีของคนไข้รายหนึ่งได้เผยผ่านสื่อว่าตนเองเป็นฝีบริเวณช่วงขาหนีบ ไปพบหมอคนนี้ แต่หมอกลับบอกว่าเธอตั้งท้อง แต่เธอบอกไม่ได้ท้อง หมอจึงให้ไปขึ้นขาหยั่งตรวจภายใน โดยภายในห้องตรวจไม่มีพยาบาลหรือบุคคลที่สามอยู่ ขณะตรวจหมอมีการใช้มือจับหน้าอก เลียที่หู ซอกคอ แล้วยืนที่ปลายเตียงขาหยั่งทำท่าคล้ายการมีเพศสัมพันธ์ ทำให้มีผู้เสียหายมาร้องเรียนกับทนายสาว “นิด้า-ศรันยา หวังสุขเจริญ” กว่า 50 ราย และทนายสาวยังโพสต์ผ่านเฟซบุ๊กอีกว่า คดีนี้เธอตั้งใจทำอย่างมาก



“คดีนี้นิด้าตั้งใจทำงาน พยายามรวบรวมพยานหลักฐานสำคัญมาด้วยตัวเอง ตามศักยภาพที่ตัวเองมี ไม่ได้คิดร้ายกับใคร และไม่เคยทำร้ายใคร ไม่เคยยุ่งวุ่นวายกับใคร เพราะนิด้าอยากเป็นคนมีเกียรติ จึงให้เกียรติทุกคน นิด้าอยากพิสูจน์การทำงาน ว่าทนายความผู้หญิงก็สามารถทำงานได้ไม่แพ้ผู้ชาย ซึ่งก็พยายามพิสูจน์มาตลอด แต่หากผู้ชายอกสามศอก จะรังแกนิด้า นิด้าก็คงไปสู้อะไรไม่ได้”

หากวิเคราะห์จากคำพูดของทนายชื่อดังอีกราย “เดชา กิตติวิทยานันท์” เจ้าของเพจทนายคลายทุกข์ ในกรณีดังกล่าว ทนายได้แสดงความคิดเห็นผ่านการไลฟ์สดในเพจ ว่าเรื่องดังกล่าว มีพิรุธหลายอย่าง เช่น ผู้เสียหายไม่มีหลักฐาน และหลังเกิดเหตุไม่แจ้งความทันที แต่กลับปล่อยเวลาล่วงเลยนานหลายวัน รวมถึงระหว่างเกิดเหตุ ไม่มีการต่อสู้ขัดขวาง แต่กลับปล่อยให้หมอล่วงละเมิดทางเพศถึง 2 ครั้ง



ส่วนกรณีทนายหญิง บอกให้เหยื่อคนไข้ หลอกล่อหมอ เพื่อบันทึกเสียง และหลอกขอเงินจนปรากฎหลักฐานบทสนทนาในแอปพลิเคชั่นไลน์นั้น เป็นวิธีการที่ไม่สุจริต รวมถึงกรณีผู้เสียหายเรียกเงินจากหมอ และได้เงินแล้ว ตรงนี้หมายถึงการยอมความ ซึ่งทำให้สิทธิ์ในการดำเนินคดีทางอาญา เกี่ยวกับข่มขืนกระทำชำเราในที่ลับ จบลงไปเช่นกัน

เช่นเดียวกับการที่ทนายความหญิง อ้างว่า มีเหยื่อถึง 50 คน ตั้งแต่ 15 ปีที่แล้ว โดยไม่มีพยานหลักฐาน เกรงว่า จะเปิดช่องให้มีการกลั่นแกล้งหมอ

เมื่อมีผู้เสียหายออกมาร้องเรียนจำนวนมากทางฝั่งของ “บุ๋ม ปนัดดา วงศ์ผู้ดี” นักแสดง พิธีกร และประธานองค์กรทำดี ก็เผยผ่านสื่อชัดเจนว่า ตนเองยังมีหลักฐานอีกจำนวนมาก ซึ่งจะขอเก็บไว้เปิดบนชั้นศาล เพราะผู้เสียหายถูกกระทำ ตนต้องปกป้องและบางเรื่องเป็นข้อมูลส่วนตัวตนไม่สามารถเปิดเผยได้ อีกทั้งผู้เสียหายบางรายต้องการสู้เพื่อมีชีวิตใหม่ บางรายเป็นที่รู้จักในจังหวัด เป็นข้าราชการ ตนยิ่งต้องปกป้องให้มาก ดังนั้นจึงไม่คุ้มที่จะออกมาสู้เอง

ขณะนี้ถึงเวลาแล้วที่คนในสังคมต้องรับรู้ข้อมูลเหล่านี้ ตนไม่รู้ว่าผลการต่อสู้ทางคดีจะเป็นอย่างไร แต่ตนได้ลงมือทำ เป็นกระบอกเสียงให้กับเสียงร้องไห้ของผู้เสียหาย อีกทั้งจะสังเกตว่า ผู้เสียหายแต่ละรายจะพูดถึงพฤติกรรมของแพทย์รายนี้คล้ายกัน ซึ่งการที่ตนออกมาเปิดโปงเรื่องนี้ เป็นการให้ความรู้กับผู้หญิงอีกว่า การไปรับการตรวจภายในกับหมอสูติฯ จำเป็นต้องมีบุคคลที่ 3 อยู่ด้วย เพราะหลายคนไม่ทราบว่าการตรวจเหล่านี้เป็นอย่างไร

“ในส่วนของผู้เสียหายเอง ต่างก็รู้สึกเครียดกับเรื่องที่เกิดขึ้น และสิ่งที่หลายคนสงสัยว่าทำไมผู้เสียหายต้องกลับไปที่คลีนิกซ้ำอีก การกลับไปเพราะต้องไปเก็บหลักฐาน ทั้งรูป เสียง รวมถึงพฤติกรรมบางอย่างของหมอที่บ่งบอกว่าข่มขืนผู้เสียหาย เพราะคงไม่มีผู้หญิงคนไหนที่ระหว่างถูกข่มขืนจะขอถ่ายรูปขณะถูกกระทำไว้ได้ ตนอยากให้มองว่าผู้เสียหายสู้กับเรื่องนี้มาก

นอกจากนี้ การทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่มีความล่าช้ามาก กว่าจะลงพื้นที่เก็บข้อมูล ทุกอย่างก็เปลี่ยนสภาพไปหมดแล้ว อีกทั้งสิ่งที่หมอกระทำ ไม่ได้มีหลักฐานจากอุปกรณ์ แต่ต้องดูจากพฤติกรรมของหมอ ตนต้องการถามเจ้าหน้าที่ซึ่งเข้าไปคลินิกตอนนี้ว่า สายไปหรือไม่”

หมอแก้ต่าง มันคือหน้าที่ เรียก “ที่รัก” ให้คุ้นเคย!?

แม้เรื่องฉาวที่เกิดขึ้นนั้น จะมีหลายฝ่ายที่มองว่าหมอเป็นคนไม่ดี แต่ก็ยังมีคนที่เข้าข้างหมอสูติฯ อย่างสมพงษ์ อายุ 75 ปี ชาวบ้านบริเวณคลินิก ซึ่งได้เผยผ่านสื่อว่า ส่วนตัวไม่เชื่อว่าหมอจะทำแบบที่เป็นข่าว เพราะหมอเป็นคนดี มีน้ำใจ ตนจอดรถสามล้ออยู่ตรงหน้าร้านหมอ เป็น 10 ปีมาแล้ว ไม่เคยเห็นคุณหมอมีพฤติกรรมอย่างนั้น พวกที่ออกมา 40-50 คน ที่เป็นผู้เสียหาย ให้หาหลักฐานมา อย่ามโนไปเอง

นอกจากนี้ยังเชื่อว่าเป็นไปไม่ได้ที่หมอจะทำแบบนั้น เพราะหมอมีจรรยาบรรณแพทย์สูง หมอขยันมากที่สุด และเป็นอาจารย์หมอที่เก่งที่สุด ตนอยากให้ผู้เสียหายมาแจ้งความ ไม่ต้องมาสัมภาษณ์สื่อฯ ไปสู้กันในชั้นศาล ดูว่าใครจะชนะ ส่วนเรื่องข่าวที่หมอโอนเงินให้ผู้เสียหาย 300,000 บาทนั้น หมอให้จริง เพราะคุณหมอเป็นคนจิตใจดี



“อยากให้ไปสู้ในชั้นศาล แล้วถ้าหมอชนะคดี ผู้เสียหายโดนหมอฟ้องกลับ จะมีเงินจ่ายให้หรือไม่ ตนกับภรรยา เข้าไปรักษากับคุณหมอเป็นประจำ รักษาฟรีด้วย และภรรยาก็เคยตรวจภายในกับคุณหมอ ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม อยากให้หมอสู้ๆ เรื่องนี้ถ้าหมอชนะคดี ให้ฟ้องกลับผู้เสียหาย คนที่ออกมาช่วยเหลือผู้เสียหาย และเรียกค่าเสียหายที่ทำให้เสียชื่อเสียง 100 ล้านบาท อยากรู้ว่าจะมีปัญญาหาเงินมาให้หมอไหม”



กระทั่งน.พ.จักรพงษ์ แพทย์สูตินรี ผู้ถูกกล่าวหา ได้ยอมเปิดคลินิกให้นายอัจฉริยะและสื่อมวลชนเข้ามาดูภายในคลินิกเผยว่า การตรวจรักษาภายในที่คลินิกนั้น เป็นการตรวจรักษาที่ต้องใช้เครื่องอัลตราซาวด์กับคนไข้ และจะมีการใช้ถุงยางอนามัยและสอดใส่เครื่องมือเข้าไป อาจจะทำให้คนไข้สัมผัสแล้วเข้าใจคลาดเคลื่อน

กรณีที่ตนเรียกคนไข้ว่า “ที่รัก” เป็นเพราะความเคยชิน เพื่อสร้างความคุ้นเคยกับคนไข้ และอาจจะมีบ้างที่สัมผัสคนไข้ เป็นปกติของหมอที่มีความใกล้ชิดและอยากให้ความเป็นกันเองกับคนไข้ ซึ่งก็แล้วแต่ว่า คนไข้จะคิดว่าเป็นการล่วงละเมิดทางเพศหรือไม่ ขอยืนยันว่า ทุกอย่างที่ทำคือกระบวนการรักษาคนไข้ทั้งหมด เพียงแต่คนไข้อาจจะเกิดความเข้าใจผิด

“ยอมรับว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นกระทบกับชื่อเสียงของตนเองแต่ยังเล็กน้อย แต่ฝากไปยังทนายนิด้าด้วยว่า ไม่น่ากระทำอย่างนี้หากต้องการฟ้องร้องเอาผิดตนเอง ควรดำเนินการส่วนตัวในกระบวนการยุติธรรม เพราะว่าการกระทำเช่นนี้จะส่งผลเสียหายกับตัวผู้เสียหายเอง และที่สำคัญคือชื่อเสียงและการทำงานของวิชาชีพสูตินรีแพทย์ จะทำให้หมองานยากขึ้นมาก และจะส่งผลกระทบตามมาสู่คนไข้โดยตรง

เรื่องที่เกิดขึ้นได้พูดคุยชี้แจงต่อผู้อำนวยการโรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์แล้ว และยอมรับว่าทางสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครสวรรค์ ได้ปรับเรื่องการเปิดคลินิกโดยไม่มีผู้ช่วยแพทย์เพียงพอ เป็นเงินจำนวน 10,000 บาท”

สุดท้ายหมอจักรพงษ์ ยอมรับว่า มีการโอนเงินให้กับผู้เสียหายจริง เนื่องจากเห็นว่าผู้เสียหายต้องการนำเงินไปสร้างบ้านให้แม่ และมองว่าเงินเป็นของนอกกาย จึงโอนเงินให้ และยืนยันว่าไม่ได้ใช่เงินปกปิดความผิดแต่อย่างใด ส่วนกรณีที่มีการเป่าลมที่หู กอดจูบนั้น ไม่ขอให้ข้อมูล หรือตอบคำถามในส่วนนี้

ทางด้านของ “อัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์” ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ได้ให้สัมภาษณ์ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ว่าตนพร้อมทีมแพทย์จะเดินทางไป จ.นครสวรรค์ เพื่อไปดูหลักฐานเพิ่ม หลังมีเหยื่ออ้างว่า ถูกหมอคนดังกล่าวเคยล่วงละเมิดทางเพศ และจะให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย ถ้าหากหมอทำผิดตนรับหน้าที่ในการดำเนินคดี อาจจะมองว่าเป็นการใช้เทคนิคทางการแพทย์ มาฉวยโอกาสล่วงละเมิดทางแพทย์เหยื่อ เป็นเช่นนั้นจริงตนคงไม่ปล่อยให้หมอลอยนวล แต่ถ้าหมอบริสุทธิ์คนที่ทำต้องรับผิดชอบ

ส่วนเรื่องของ แชทไลน์ หรือข้อความต่างๆ ระหว่างหมอและคนไข้ ลักษณะเช่นนี้ อัจฉริยะกล่าวว่า เหมือนหมอกับคนไข้ สนิทสนมถึงขั้นเป็นทางชู้สาวกันมากกว่า โดยหมอบอกว่าจะดูแลจนชั่วชีวิต เป็นข้อความระหว่างหมอกับคนไข้ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ และมีการซื้อของจากต่างประเทศมาฝาก ดูแล้วห่วงใยเกินระหว่างหมอกับคนไข้ รวมถึงมีการโอนเงินให้ ตนจะตรวจสอบว่าทำไมต้องโอนเงินให้คนไข้ถ้าตัวเองไม่ได้ทำผิด

“การที่เราจะจับหมอสักคนต้องชัดเจน ถ้าเขาอ้างเรื่องเทคนิคทางการแพทย์เราก็ทำอะไรไม่ได้ แต่หากมีการเลียอวัยวะเพศ ดูดนม มันไม่ใช่เทคนิคทางการแพทย์ แต่เป็นการล่วงละเมิดทางเพศ และผิดศีลธรรมอย่างนี้ต้องดำเนินคดี นโยบายผมคือไม่ได้ช่วยหมอ ผมจะช่วยเหลือคนที่ตกเป็นเหยื่อซึ่งมันต่างกัน หมอมีเงินเยอะที่จะจ้างทนายความชั้น 1 ส่วนเหยื่อเป็นผู้หญิงแทบจะไม่มีทางต่อสู้กับทางการแพทย์ จุดมุ่งหมายของผมคือช่วยเหลือถ้าถูกละเมิดจริง”

ข่าวโดย MGR Live


กำลังโหลดความคิดเห็น