ศธ.ประกาศให้สถานศึกษาแก้ปัญหาเด็กนักเรียนท้อง ห้ามไล่ออก สังคมชี้กฎมายไม่เคยศักดิ์สิทธิ์!? ฝ่ายโรงเรียนกลับมีทางเลือกให้ นร.เพียงแค่ "ดร็อปเรียน" และ "ไล่ออก" หวั่นชื่อเสียงโรงเรียนเสียหาย สังคมตั้งข้อสงสัยกฎหมายนี้ จะเป็นดาบสองคมหรือไม่ เพราะดูจะเป็นการส่งเสริมให้นักเรียนท้องมากกว่าป้องกัน เด็กวัยนี้ยังรับผิดชอบไม่เป็น โชคร้ายจะตกไปอยู่กับพ่อแม่
ท้องวัยฮอร์โมน...ก็เรียนได้
ราชกิจจานุเบกษา ประกาศกฎกระทรวงศึกษาธิการกำหนดให้สถานศึกษาตั้งแต่ระดับประถมไปจนถึงอุดมศึกษา ดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น โดยจัดให้มีการเรียนการสอนเพศศึกษาที่ถูกต้อง พร้อมห้ามไล่ออกนักเรียนหรือนักศึกษาที่ตั้งครรภ์ โดยให้ลาหยุดเรียนระหว่างตั้งท้อง คลอดบุตรและดูแลบุตรได้ พร้อมให้มีช่องทางดูแลช่วยเหลือคุ้มครองนักเรียนหรือนักศึกษาที่ตั้งครรภ์ด้วย
โลกโซเชียลฯเสียงแตก! มีทั้งเห็นด้วย และไม่เห็นด้วยกับกฎหมายนี้ ชี้ปัญหาท้องวัยเรียนไม่ใช่เรื่องใหม่ บางโรงเรียนเห็นใจให้นักเรียนหยุดเรียนจนกว่าจะคลอดแล้วให้กลับมาเรียนใหม่ แต่นักเรียนบางคนเลือกจะไม่เรียนต่อเองเพราะอายเพื่อน แต่บางโรงเรียนกลับไล่นักเรียนออกเหตุเพราะต้องการรักษาหน้าตาของโรงเรียนไว้เท่านั้น
“เด็กมันพลาดไป ต้องมีช่องทางให้ได้หายใจ ดร็อปการเรียนได้ คลอดลูกเสร็จ หากมีเวลาก็กลับมาเรียนต่อให้จบได้ หลายคนก็เสียเวลาอีกแค่นิดหน่อยก็จะจบการศึกษา จะได้ไม่สูญเปล่าทางการศึกษา”
“เมืองนอก สอนการป้องกัน การท้อง สอนให้รู้จักหน้าที่ และทางรัฐ มีเงินเลี้ยงเด็ก ตั้งแต่เกิดจนโต อายุ สิบแปดปี เมืองไทย ไม่มี ทำแบบนี้ ไม่ช่วยหยุดการท้องก่อนวัยอันควรอีกหน่อย ประชากร เด็ก กำพร้า พ่อแม่ ปู่ ย่า ตายาย ไม่มีปัญญาเลี้ยง คงต้องทำการฝังชิป ทำหมัน ตัดตอน การเกิดแน่เลยค่ะ”
“แก้ปัญหา หรือส่งเสริม ไม่ป้องกัน เพราะฉะนั้น มันส์เต็มที่ ดีแน่แท้ เพราะท้องมา ไปเรียนได้ ไม่ต้องแคร์ลูกงอแง แม่ควักนม ผสมให้ในคาบเรียนเลยมั้ย”
“จำได้ว่าตอนนั้น ม.3 มั้ง นานมากแล้วมีคนหนึ่งในชั้นเรียนท้อง เจ้าตัวน่ะตั้งใจจะลาออกเพราะอาย
แต่อาจารย์เป็นคนไปตามกลับมาเรียนให้จบ ให้ใส่เสื้อตัวใหญ่ๆมาเรียนเพื่อจะได้ไม่เป็นที่สังเกต คลอดตอนปิดเทอมพอดีเลย”
“คนท้องมีข้อจำกัดหลายประการที่ไม่มีศักยภาพพอที่จะทำให้เท่ากับคนปกติ ไม่งั้นเค้าไม่มีบริการโน้นนี่เพื่ออำนวยความสะดวกกับคนท้องหรอกค่ะ ที่จอดรถคนท้อง ที่นั่งคนท้อง และอื่นๆอีกมากมาย
ถ้ามองเรื่องง่ายๆแบบแค่การใช้ชีวิตประจำวันในโรงเรียนสมมุติท้องตอนมัธยม คงเรียนพละไม่ได้เหมือนคนอื่น เดินขึ้นลงตึก 5-7 ชั้นเหมือนเพื่อน ถ้าท้องตอนมหาลัย สมมุติเรียนเก่งมาก ติดสอบแพทย์ แต่คุณท้อง คุณก็มีโอกาสที่จะสัมผัสกับสารเคมีมาก มีผลต่อลูกอีก
อีกอย่างไม่มีคนซ้ำเติมคนที่พลาดหรอกค่ะ เพื่อนเราก็ท้องตอนเรียน ต้องออกจากการเรียนเหมือนกัน (ออกด้วยตัวเองด้วยหลายๆปัจจัย) ไม่มีใครไปซ้ำเติมมัน มันคิดไปเอง อายเองจนจะฆ่าตัวตาย แต่พอเพื่อนๆและคนรอบข้างรู้ความจริงว่ามันท้อง ก็คอยให้กำลังใจเพื่อน ไม่มีใครไปด่ามันสักคน ก็คนมันพลาดไปแล้ว
แต่ต้องยอมรับว่าการท้องตอนที่ไม่พร้อมมันไม่สมควรจริงๆ เคยดูรายการคนค้นคนสมัยเมื่อ6-7ปีก่อนได้ วัยรุ่นท้องแบบไม่พร้อมไม่ให้พ่อแม่รู้ เงินไม่พอ ต้องเอานมข้นผสมน้ำให้ลูกกิน สงสารเด็กที่เกิดมาจากความไม่พร้อมมากๆ พ่อก็ติดเกมส์ เห็นแล้วสะเทือนใจค่ะ”
แม้ก่อนหน้านี้ในปี 2559 จะมี "พ.ร.บ.แม่วัยรุ่น" ซึ่งเป็นกฎหมายออกมาประกาศใช้ และระบุไว้อย่างชัดเจนว่า สถานศึกษาต้องจัดการเรียนการสอนมี ผู้ชำนาญการที่มีความรู้เรื่องเพศศึกษามาให้ความรู้กับเด็กเรียน อย่างถูกต้อง เพราะเด็กหลายคนไม่เข้าใจเรื่องเพศศึกษา บางครั้งยังมีคำถามว่า การใช้นิ้วสอดใส่เข้าไปจะทำให้ท้องหรือเปล่า รวมถึงการป้องกันการตั้งครรภ์ จึงคุมกำเนิดผิดวิธี
ทว่า หากเด็กนักเรียนเกิดผิดพลาดตั้งครรภ์ขึ้นมา ก็ยังเป็นหน้าที่ของโรงเรียน ในการจัดหาการศึกษาให้กับเด็กเหล่านั้นได้จบการศึกษาตามกฎหมาย แต่ในความเป็นจริง พ.ร.บ.นี้ก็ไม่ได้ศักดิ์สิทธิ์เพราะยังมีโรงเรียนที่ “เลือกปฏิบัติ” อยู่ นักเรียนบางคนต้องจำยอมออกจากระบบการศึกษา เหตุผลอาจเพียงเพราะว่าโรงเรียนกลัวเสียชื่อเสียง กระทรวงศึกษาธิการจึงต้องประกาศกฎออกมาย้ำชัดอีกรอบ เพราะบางโรงเรียนไม่เคยทำตามกฎ!
เรียนได้ ไม่ไล่ออก แต่โดนเท!?
"ช่วงปิดเทอมกำลังขึ้น ม.6 หนูได้ทำการตรวจการตั้งครรภ์ ปรากฏว่าขึ้น 2 ขีด ก็ปรึกษาแฟนก่อน เขาไม่แนะนำให้ไปทำแท้ง แต่หนูคิดที่จะทำ เขาก็แนะนำให้ไปปรึกษาพ่อกับแม่ ให้ไปบอกพ่อกับแม่เลย เขาก็ให้แต่งงาน แบบมีพิธีเฉยๆ” คุณแม่วัยใสเปิดใจตั้งครรภ์ระหว่างเรียน ยันรู้ว่ามีกฎหมายรองรับให้เรียนต่อได้ แต่ก็ยังสงสัยว่าทำไมทางโรงเรียนถึงให้ออก
“ตอนนั้นคิดแค่เรื่องเรียนอย่างเดียว เพราะกำลังขึ้น ม.6 ตอนนั้นได้ปรึกษาครูหลายท่าน และหลายโรงเรียน ว่าหนูสามารถเรียนต่อได้มั้ย ซึ่งอาจารย์ก็บอกว่า "เรียนได้สิ" มีกฎหมายรองรับแล้ว
เปิดเทอมได้อาทิตย์แรกก็ไป 4 วันแรกไปปกติ กระทั่งวันต่อมาครูได้เรียกเข้าห้องปกครอง เขาก็ถามเราว่าจะทำยังไงต่อ หนูก็เลยบอกว่า หนูอยากเรียนต่อ แต่เขากลับให้ทางเลือกหนูแค่ 2 ทาง คือ "ดร็อปเรียน" และ "ลาออก"
รู้สึกน้อยใจ และรู้สึกเคว้งมาก ที่ทำไมเราไม่ได้เรียนต่อ ก็เข้าใจเลยว่า โรงเรียนเขานึกถึงหน้าตาของโรงเรียน แต่เขาไม่เข้าใจจุดที่หนูยืนอยู่เลย ว่าหนูจะโดนยังไง
ในห้องก็จะมีอาจารย์จิตวิทยา อาจารย์ฝ่ายปกครอง รองผู้อำนวยการ ทุกคนก็พูดกับหนูดีหมด ไม่มีคำพูดแรงๆ แต่คำพูดเหล่านั้นมันไม่ได้โอเคกับหนูเลย อาจารย์เขาพูดแต่ด้านของทางโรงเรียน หนูก็อยากจะเรียนต่อ “
ถึงแม้คุณแม่วัยเรียนรายนี้จะอยากเรียนเพียงใด แต่ด้วยคำประกาศิตของทางโรงเรียนที่รักชื่อเสียงมากกว่า จึงทำให้เด็กนักเรียนคนนี้ต้องออกจากโรงเรียนด้วยความกังขาถึงกฎหมายที่ออกมารับรองแล้วว่า ให้เด็กนักเรียนตั้งครรภ์เรียนต่อได้
เหตุการณ์ที่พบบ่อยเหล่านี้จึงทำให้กระทรวงศึกษาธิการจึงออกกฎมาย้ำจุดยืนอีกรอบ ว่าห้ามไล่ออกนักเรียนหรือนักศึกษาที่ตั้งครรภ์ โดยให้ลาหยุดเรียนระหว่างตั้งท้อง คลอดบุตรและดูแลบุตรได้ พร้อมให้มีช่องทางดูแลช่วยเหลือคุ้มครองนักเรียนหรือนักศึกษาที่ตั้งครรภ์ด้วย
อัธยา บุณยรัตเศรณี ครูชำนาญการพิเศษ หัวหน้างานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน โรงเรียนคลองขลุงรัชดาภิเษก จ.จันทบุรี เคยกล่าวถึงประเด็นการเปิดโอกาสให้นักเรียนที่ตั้งครรภ์มีโอกาสได้เรียนต่อว่า ปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยเรียนเป็นเรื่องสำคัญ ทางโรงเรียนตระหนักถึงปัญหาจึงออกแบบหลักสูตรเฉพาะสำหรับนักเรียนที่ตั้งครรภ์ไม่พร้อมให้เรียนต่อได้จนจบซึ่งจะส่งผลดีต่อเด็กทั้งเรื่องคุณภาพชีวิตและการประกอบอาชีพในอนาคต
การช่วยเหลือนักเรียนที่ตั้งครรภ์ไม่พร้อมนั้น เริ่มแรกจะต้องพูดคุยกับครู ฝ่ายบริหารและผู้ปกครอง เพื่อทำความเข้าใจถึงปัญหาว่าหากปล่อยให้นักเรียนที่ตั้งครรภ์หลุดออกจากระบบการศึกษาจะทำให้เกิดปัญหาอื่นๆ ตามมา เช่น ปัญหาการตั้งครรภ์ที่ไม่มีคุณภาพเนื่องจากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมและการขาดโอกาสในการทำงานในอนาคต เป็นต้น จากนั้นจึงพูดคุยกับเพื่อนนักเรียนในห้องให้เข้าใจและเห็นใจเพื่อนที่ประสบปัญหา เพื่อให้เด็กรู้จักช่วยเหลือซึ่งกันและกันทั้งด้านร่างกายและสภาพจิตใจโดยจะทำควบคู่ไปกับการออกแบบหลักสูตรเป็นรายบุคคล
เริ่มจากให้นักเรียนเลือกอาจารย์ที่ไว้ใจเป็นที่ปรึกษา ซึ่งจะเป็นผู้ดูแลในเรื่องการเรียนและสภาพจิตใจ รวมทั้งเปิดโอกาสให้นักเรียนเลือกรูปแบบการเรียนด้วยตัวเองแต่ต้องเรียนให้ครบตามหลักสูตรที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนด และมีการวัดผลการศึกษาตามปกติเพียงแต่เปิดโอกาสให้เด็กเลือกวัน เวลา ในการมาเรียนและมาสอบเอง เช่น หากนักเรียนอายที่จะมาโรงเรียนก็สามารถมารับการบ้านหรือมาสอบนอกเวลาเรียนได้ นอกจากนี้ ยังให้ความช่วยเหลือเป็นกรณีพิเศษ เช่น อนุญาตให้ย้ายแผนการเรียนได้หากมีผลการเรียนต่ำลงให้พักการเรียนได้หากนักเรียนต้องการหรือให้ลาคลอดแล้วกลับมาเรียนใหม่ได้ เป็นต้น
ทั้งนี้ การกลับมาร่วมชั้นเรียนกับเพื่อนตามปกตินั้น อาจจะเป็นไปได้ในช่วงแรกที่อายุครรภ์ยังไม่มาก เพราะหากอายุครรภ์มากขึ้นสภาพร่างกายอาจไม่เอื้ออำนวย เช่น ปวดปัสสาวะบ่อย ปวดหลัง ไม่สบายเนื้อสบายตัว หรือนักเรียนบางคนอาจมีสภาพจิตใจที่ไม่เข้มแข็งพอจะมาเรียนตามปกติ แต่ครูก็พร้อมจะให้คำปรึกษาเสมอและพร้อมจะผลักดันให้เด็กเรียนจนจบทุกคน โดยที่ผ่านมาเด็กส่วนใหญ่ก็กลับมาเรียนต่อจนจบการศึกษา จะมีเพียงบางส่วนที่หลังจากพักการเรียนไปแล้วก็ทำเรื่องย้ายโรงเรียนจึงไม่สามารถติดตามได้
...คงจะต้องดูกันต่อไปอีกว่า ผู้บริหารสถาบันการศึกษาจะปฏิบัติตามกฎ หรือยังคงคิดถึงแต่หน้าตาชื่อเสียงของโรงเรียนเป็นสำคัญ มากกว่าอนาคตของเด็กนักเรียน
โดยทีมข่าว MGR Live